เทศน์พระ

มีหาง

๒๒ ส.ค. ๒๕๖o

 

มีหาง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมเพื่อกล่อมหัวใจของเราให้มันมั่นคงนะ หัวใจของเรามันคลอนแคลนไง วันคืนล่วงไปๆ นี่กึ่งพรรษาแล้ว ครึ่งพรรษาเหลืออีก ๒ อุโบสถ ๑ ภาวนาออกพรรษา ออกพรรษาแล้ว ถ้าใครอยากจะไปวิเวก เห็นไหม ใครอยากจะไปหาที่ภาวนา ที่ภาวนา เห็นไหม อยู่ที่นี้ก็ภาวนา เวลาเข้าพรรษาๆ ให้ภาวนา ถ้าภาวนาขึ้นมา เห็นไหม นี่ก่อนเข้าพรรษา พระเราบวชมาแล้วก็หาที่วิเวกหาที่สงบสงัดในหัวใจของเรา ถ้ามันมีความสงบสงัดในหัวใจของเรา เห็นไหม มันพัฒนาขึ้นมาที่นี่ไง

เวลามนุษย์นะ เกิดมาเป็นมนุษย์สิ่งที่เขาทุกข์เขายากขึ้นมานี่ เพราะสิ่งที่มันเป็นอาชีพของเขา เรามาบวชเป็นพระนะ เราเป็นพระอาชีพไม่ใช่อาชีพพระ พระอาชีพหมายถึงเป็นพระจริงๆ อาชีพพระหมายถึงว่าไม่มีอาชีพแล้วมาบวชเป็นพระๆ พอมาบวชแล้วนี่อาชีพพระ สิ่งต่างๆ เราพระอาชีพ เราเป็นพระแท้ๆ ถ้าความจริงของเรา เราบวชขึ้นมาเรามีเป้าหมายของเรา เห็นไหม ถ้าเป้าหมายของเรานี่ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะให้กิเลสมันเบาบางลง ถ้ากิเลสมันไม่สิ้นไปก็ให้ภพชาติมันสั้นเข้ามา ภพชาติมันสั้นเข้ามาเพราะอะไร เพราะมันมีบุญกุศลรองรับขึ้นมา 

เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะก็ให้มันเกิดมาไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป แต่มันต้องเกิดอยู่แล้ว นั้นมันเกิดเพราะมันมีเหตุมีผลของมัน มีเหตุมีปัจจัยไง ถ้าเรามีกิเลสตัณหาทะยานอยากมันจะไม่เกิด ใครจะปฏิเสธอย่างไงมันก็อยู่ที่คำปฏิเสธ อย่างของเรานี่เราบอกว่า สิ่งนั้นไม่มีๆ มันก็มีอยู่ของมันตามความเป็นจริงของมันทั้งนั้น

  นี่ก็เหมือนกันในเมื่อหัวใจมันมีอยู่ สัจจะความจริงมันมีอยู่ ทุกข์มันมีอยู่ในหัวใจนี้ จะปฏิเสธแค่ไหนมันก็เป็นความทุกข์วันยันค่ำ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมาตามความจริงของท่าน เห็นไหม เวลาท่านออกธุดงค์ของท่าน เวลาท่านค้นคว้าหาหัวใจของท่าน ท่านต้องทำจริงๆ ของท่าน ท่านทำจริงๆ ขึ้นมา มันเป็นจริงขึ้นมา เว้นไว้แต่ เห็นไหม เว้นไว้แต่เวลาเป็นพระผู้บวชใหม่ บวชใหม่ก็ต้องหาครูหาอาจารย์เป็นที่พึ่งที่อาศัย 

คำว่าที่พึ่งที่อาศัยนะ เวลาปฏิบัติไปมันมืดแปดด้านทั้งนั้น เวลากระทำไปมันทำสิ่งใดไปก็ไม่สมความปรารถนา ถ้ามันสมความปรารถนามันก็สมความปรารถนาของกิเลสไง เวลากิเลส เห็นไหม เวลาเราอ่อนด้อยขึ้นมา กิเลสมันปรุงแต่งขึ้นมาในหัวใจนี่ มันชักมันชวนของมันไปทั้งนั้น ว่าสิ่งนั้นมันเป็นการปฏิบัติธรรมๆ ไปบูชากิเลสหมดเลย เวลาถ้าทำจริงๆ ขึ้นมา เห็นไหม เราต้องหักแข้งหักขามันไง เวลาทำให้มันสงบตัวเข้ามา ถ้ามันสงบตัวเข้ามาบ้างมันก็เป็นความสุขความสงบของเราตามความเป็นจริงไง 

ถ้ามันเป็นความเป็นจริง เห็นไหม เพราะเราเชื่อมั่น เรามีศรัทธาของเรานะ เวลามาบวช บวชเพราะอะไร เรามาบวชเพราะเห็นมันทุกข์ในวัฏฏะใช่ไหม มาบวชเพราะเห็นทุกข์ในวัฏฏะในสังสารวัฏ มีแต่ความทุกข์ความยากไปทั้งนั้น ทำสิ่งใดก็เป็นความทุกข์ จะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนก็เป็นความทุกข์ นี่เป็นความทุกข์ ทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริง แล้วทางออกๆ มันอยู่ที่ไหน 

ทางออก เวลาทางออกขึ้นมา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาหาทางออกๆ มาด้วยการแสวงหาโมกขธรรม พยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ความจริงอันนั้นเป็นสัจธรรม เป็นความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เวลาเข้าป่าเข้าเขาไปนะ เวลาเรื่องความทุกข์ไง 

ทุกข์เป็นอริสัจ ทุกข์เป็นความจริง ทำไมต้องเพิ่มทุกข์ให้เราอีก เนี่ยเป็นความคิดของกิเลส ทำไมต้องมาเพิ่มให้เรามันทุกข์ให้ยากขึ้นไป เราบวชมา บวชมาก็เพื่อเสวยสุขของเรา ให้ มันมีประสบความสำเร็จ มันมีสุขของเรา ในชีวิตของเราก็พอ แล้วก็พอนี่อย่างนั้นก็รอวันตายไง บวชมารอวันตาย 

  นี่ก็เหมือนกัน ทางโลกเวลาเขาเกิดมาเป็นมนุษย์ เขาสร้างคุณงามความดีของเขา เขาแสวงหาบุญกุศลของเขา เขาประพฤติปฏิบัติของเขา ถ้าเขาปฏิบัติไม่ได้ผลเขาก็รอวันตายเหมือนกัน ยิ่งทางโลกยิ่งรอวันตายเลย วันตายเพราะอะไร เพราะชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้มันต้องตายเป็นสุดทั้งนั้นนะ เวลามันตายขึ้นไปมันมีอะไรมีติดไม้ติดมือมันไปไง เวลาคนเรา เห็นไหม เวลาเกิดมามันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยในการดำรงชีพ ในการดำรงชีพก็มีหน้าที่การงาน หน้าที่การงานขึ้นมาก็เพื่อความอยู่รอดของชีวิต เพื่อความอยู่รอด ถ้าความอยู่รอดขึ้นไปแล้วถึงที่สุดแล้วมันไปไหน

นี่ก็เหมือนกันเวลาบวชมา รอวันตายๆ ถ้าทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา มันรอวันตายไง เวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม มันต้องมีสติมีปัญญา ทำสิ่งใดขึ้นมา เห็นไหม ต้องมีสติมีปัญญาค้นคว้า สติปัญญาๆ ทวนกระแสกลับเข้ามาในหัวใจของเรา ไม่ใช่สติปัญญาส่งออกไปจับผิดคนอื่น นี่มันไม่ใช่หน้าที่ มันเป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์ทั้งนั้น

นี่ไง เวลาเราบวชพระขึ้นมาแล้วเราวิเวกไปที่ไหน ถ้ายังไม่พ้นนิสัยเราต้องขอนิสัย แม้แต่ครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ถ้าท่านอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านขอเป็นประเพณี ขอด้วยความเคารพบูชา นี่ความเคารพบูชาจะพรรษามากน้อยแค่ไหนก็อยากจะขอ ขอขึ้นมา ขอเพื่ออะไร ขอเพื่อเป็นการยืนยันกันว่ายอมลง ลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ลงในครูบาอาจารย์ของเรา 

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราไปที่ไหน เห็นไหม นี่เราไปพักที่ไหน ต้องดูจริตนิสัยกันก่อน ถ้าครบ ๗ วัน ถ้าก่อนล่วงวันที่ ๗ เห็นไหม เราต้องขอนิสัย ถ้าไม่ขอนิสัยเราต้องเก็บของเราไป เราก็ต้องพิจารณาของเราว่ามันลงกันได้ไหมๆ เราน่าเชื่อถือไหม ถ้าไม่น่าเชื่อถือนะ เราจะไปฟังอย่างนั้นได้อย่างไร เราไม่ฟังอย่างนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านวิเวกไป เห็นไหม เวลาไปเจอครูบาอาจารย์ที่มันไม่เป็นความจริง สติปัญญาแค่นี้หรือจะมาสอนเรา สติปัญญาแค่นี้ แค่นี้นะจิตสงบก็ยังไม่รู้ว่าจิตสงบ ภาวนาก็ภาวนาไม่เป็น ถ้าภาวนาไม่เป็นเราเอาอะไรเป็นแก่นสาร มันมีอะไรเป็นแก่นสาร คอมพิวเตอร์มันดีกว่าถ้าความจำนี่คอมพิวเตอร์ พระไตรปิฎกในคอมพิวเตอร์กดได้หมด มันดีกว่าเราอีก มันจำได้แม่นเลย แล้วไม่คลาดเคลื่อนด้วย

  ไอ้ความจำๆ ยังคลาดเคลื่อน เห็นไหม เพราะเป็นความจำ ความจำเดี๋ยวเลอะเดี๋ยวเลือนเห็นไหม ถ้ามีสติปัญญาสิ่งที่ว่าเป็นไปได้นี่ ดูสิ เราจะสวดพระปาฏิโมกข์ เห็นไหม ปาฏิโมกข์ ถ้าใครเป็นพระสวดปาฏิโมกข์ต้องพยายามทวนอยู่ประจำให้คล่องปากๆ ให้ไหลลื่น เห็นไหม นี่ผู้มีหน้าที่ ผู้มีหน้าที่ขึ้นมา เห็นไหม พอพรรษามากขึ้นมามันก็เป็นผู้อาวุโสขึ้นมา ก็ช่วยกันดูแลอบรมเป็นรุ่นต่อรุ่นมาเรื่อยๆ เห็นไหม นี่ส่งต่อๆ กันมา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงของเรานี่ ถ้ามันไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา มันจะมีความสุขไปได้อย่างไร ไม่มีหรอก มันแผดเผาในหัวใจทั้งนั้น กิเลสมันร้ายกาจนัก มันไม่มีอะไรอิ่มพอหรอก ตัณหาความทะยานอยากล้นฝั่ง มันล้นหัวใจอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรมันพอใจหรอก ถ้ามันไม่มีอะไรพอใจ ดูสิ เวลามีข่าวไม่ดีแต่ละคราว เห็นไหม มันมากขึ้นเรื่อยๆ มันทำมากขึ้นไปเรื่อย มันหยุดยั้งตัวเองไม่ได้ หยุดยั้งตัวเองไม่เป็นไงแล้วมันเป็นความสุขเหรอ นี่ไง แสวงหาปรนเปรอไม่พอ เห็นไหม 

ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านออกประพฤติปฏิบัตินะ นี่แสวงหาที่วิเวก เวลามันจะทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากแล้วมันพอใจไง แล้วมันจะทุกข์มันจะยากก็มันที่สงบสงัดไง ถ้าเรามีสติปัญญามันยับยั้งไว้ได้นะ มันพอใจอยู่อย่างนั้น ถ้ามันพอใจอยู่อย่างนั้น เห็นไหม เวลาภาวนาขึ้นมามันก็เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาเพราะมันจับต้องได้ ถ้ามันไม่เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมานี่มันมีแต่ความเหลวไหล มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นี่ดูสิ สิ่งที่เป็นวัตถุ เห็นไหม สิ่งที่ทางโลกเขานี่ เขามีลิขสิทธิ์ของเขา เขาต้องมีสัญญาของเขา

  แต่เวลาในหัวใจของเรา เห็นไหม มันเป็นนามธรรม เป็นความรู้สึกนึกคิด ใครเป็นคนเซ็นสัญญากับใคร แล้วเวลามันพอกพูนขึ้นมา มันไปกว้านมาหมดเลย มันเป็นขโมยเป็นโจรร้าย ของกูๆ มันมีอะไรเป็นของกู ไม่มีเลย มันเป็นของสาธารณะทั้งนั้น ไม่มีของกูสักอย่างหนึ่ง แต่ก็ว่ามันเป็นของมันๆ มันก็จินตนาการนะ เนี่ยมันก็ไปกว้านเอาความทุกข์ความยากมาทับถมตัวเองทั้งนั้น มันเอาความจริงมาจากไหน ไม่ใช่ความจริงด้วย เป็นนามธรรมด้วย แต่มันคงที่อยู่ในหัวใจนั่น แล้วเพิ่มมากขึ้นๆ ไม่มีอะไรน้อยลง 

ถ้ามันจะน้อยลง เห็นไหม เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ ก่อนเข้าพรรษาๆ ขึ้นมาเราอธิษฐานของเรา ในชีวิตประจำวันของเรา เราก็ประพฤติปฏิบัติของเราอยู่แล้ว เราก็ปฏิบัติ เวลาวันพระวันโกนถือเนสัชชิกไม่นอนทั้งนั้น เต็มที่ไปกับมันหาโอกาส แล้วหาโอกาสมันหายาก วัดโดยทั่วๆ ไป เห็นไหม วัด คำว่าวัดมันก็มีสิ่งปลูกสร้าง พอมีสิ่งปลูกสร้างมันก็ต้องซ่อมบำรุงรักษา พอซ่อมบำรุงรักษาวัดโดยทั่วไป เห็นไหม นี่สิ่งก่อสร้างสิ่งที่เป็นที่พึ่งอาศัยมันก็ยังมีของมันอยู่ได้นะ แต่หัวใจมันอยากเปลี่ยน มันอยากสวยอยากงาม มันอยากจะเสมอโลกเขา มันอยากจะเหนือโลกเขา มันอยาก มันอยากไปหมด ถ้าหัวหน้ามันอยาก มันลากพระทั้งหมดไปวุ่นวายหมดเลย แล้วเวลาจะภาวนาเอาที่ไหน เวลาภาวนามันหายาก นี่มันมีกิจกรรมไปอยู่ตลอดเวลาไง 

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดี เห็นไหม นี่เขากันเวลาไว้ให้ เวลานี้สำคัญมาก วันเวลาล่วงไปๆ ตั้งแต่ เห็นไหม วันคืนล่วงไปๆ เดี๋ยวก็มืดสว่าง สว่างแล้วก็มืดอยู่อย่างนี้ มันล่วงของมันไป แล้วเราล่ะ ชีวิตนี้เวลาศรัทธามาใหม่ๆ โอ๋ มันสดชื่นนะ จะเอาให้ได้นะ พอไปๆ อ่อนด้อยไปเรื่อยๆ มันโลเลไปเรื่อยๆ มันเหลวไหลไปเรื่อยๆ

เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงๆ เป็นจริงของท่าน ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เห็นไหม ดูสิ ดูเวลาหลวงตากับหลวงปู่คำดี เวลาท่านเข้าป่าเข้าเขาไปนะ เวลาหลวงตาท่านไปคุยธรรมะกับหลวงปู่คำดีนะ นี่หลวงปู่คำดีพิจารณาเหมือนเราเลย เวลาท่านไปอยู่ในป่าในเขา เพราะว่าโดยข้อเท็จจริงหลวงตาท่านเป็นผู้ที่กลัวเสือมาก หลวงปู่มั่นท่านให้ไปอยู่เฉพาะที่เสือพลุกพล่าน แล้วเวลาพี่ชายหลวงตาท่านไปเยี่ยมหลวงตา เห็นไหม ไปหาไปที่วัดป่าหนองผือ นี่หลวงปู่มั่นบอกว่านู่นอยู่นู่น ตามไปดูนี่ กลับไปแล้วไปทุกข์แทนน้องชาย เพราะพี่กับน้องมาอยู่ด้วยกัน พี่กับน้องเที่ยวป่ามาด้วยกัน รู้เลยว่าน้องชายมีความคิดมีความรู้สึกอย่างไง

นี่เป็นคนกลัวมาก กลัวเสือนี่ มันเป็นแพ้ทางกัน ท่านกลัวของท่านมาก ไปอยู่ในป่า เห็นไหม จินตนาการไปเลยนะ เสือมาแล้ว กลัวไปตลอดๆ โดยใช้ปัญญา เห็นไหม ไปกลัวอะไรมัน เสือมันก็เป็นสิ่งที่มีชีวิต เราก็เป็นสิ่งที่มีชีวิตใช่ไหม เสือมันมีอะไรบ้างล่ะ เสือมันมีหู มีตา มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ เห็นไหม มันมีอวัยวะต่างๆ เราก็มีหมดเลย เสือมันมี เราก็มี เสือมีอะไรเราก็มี เสือกับเราใครมันจะมีสูงกว่าใคร ใครมันจะน่ากลัวกว่าใคร เรามีปัญญาดีกว่าเสืออีกต่างหาก พอสุดท้ายไปแล้ว เห็นไหม เสือมันมีหาง เราไม่มีหาง เพราะเราไม่มีหางนะ และด้วยสติด้วยปัญญานะ ถ้ามันมีหาง ถ้าหางมันวิเศษทำไมตัวมันไม่กลัวหางของมันเอง 

นั่นน่ะ เพราะท่านพิจารณาจนมันเป็นไตรลักษณ์ พิจารณาจนมันปล่อยวางหมด เห็นไหม เวลาเป็นชั้นพิจารณาขึ้นไป นี่หางเสือไง เสือมันมีหางทำไมมันไม่กลัวในหางของมันเอง แล้วเราจะไปกลัวทำไม แล้วเวลาท่านไปคุยกับหลวงปู่คำดี เห็นไหม หลวงปู่คำดีท่านก็บอกว่า ท่านก็พิจารณาอย่างนี้เหมือนกัน ท่านพิจารณาถ้ามันกลัวเสือ เสือตัวมันเป็นอย่างไร ต้นเหตุของเสือมันเป็นอย่างไง แล้วเสือมันประกอบไปด้วยอะไร นี่พิจารณาๆ ซ้ำ ท่านบอกว่าพิจารณาเหมือนกันเลย แต่คนละคราวคนละเวลา 

นี่มันมีสติปัญญา เห็นไหม ท่านพิจารณาจนถึงหางเสือ พิจารณาจนเป็นไตรลักษณ์ พิจารณาจนมันปล่อยวางไปหมด เห็นไหม นั่นพิจารณาจนมันปล่อยวางไป นั่นใช้อะไร นี่เวลาปัญญามันสดๆ ร้อนๆ อย่างนี้ไง เวลาปัญญามันเกิดขึ้นท่ามกลางที่ว่าท่านจะกำลังเผชิญกับสัจจะความจริงไง เวลาปัญญามันเกิดขึ้นต่อเมื่อท่านอยู่ในป่าในเขา เห็นไหม ปัญญามันเกิดขึ้นๆ ในปัจจุบันนั้นไง กิเลสมันขึ้นมาในปัจจุบัน กิเลสมันแผดเผาในปัจจุบัน กิเลสมันยุมันแหย่ขึ้นมาให้วูบวาบอยู่ในปัจจุบัน ปัญญามันไล่ต้อนปัจจุบัน 

นั่น! สิ่งที่พระปฏิบัติเขาทำกันอย่างนี้ เวลาไปศึกษาธรรม ตำราก็เป็นตำราใช่ไหม ศึกษาตำรานี่ตำรามันหนังสือมันไม่หายหรอก เปิด จะไปจะคุยจะโม้จะเล่นขนาดไหนเดี๋ยวเปิดตำราก็อยู่นี่ไง ซุบๆ ซิบๆ ขึ้นมาตัวอักษรมันก็อยู่ตรงนั้น นี่ไง แล้วมันเข้ามาถึงหัวใจไหมล่ะ เพราะอะไร เพราะมันซุบๆ ซิบๆ กันอยู่ ยังโม้อยู่นั่นนะ แต่ทฤษฎีตัวอักษรอยู่ในหนังสือนั้นไง

แต่ถ้าเวลาปฏิบัติสิ ขาดสติมันก็เอาหัวใจไม่อยู่แล้ว เวลาพุทโธๆ ไปนี่มันหายไปอยู่ที่ไหน เวลาจริงๆ จังๆ ขึ้นมา มันจริงจังขึ้นมาอย่างไง มันไม่เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเลย ถ้าไม่จริงไม่จังขึ้นมาแล้วมันยังไพล่ไปอีกนะ ไพล่ไปคิดของมันเองไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านพิจารณาจนมันเป็นไตรลักษณ์ไปหมด พิจารณาจนปล่อยวางไปทั้งหมด ไอ้ของเรามันไม่มีสิ่งใดเลย แต่อยากมีหาง 

เวลาเขาพิจารณาๆ เสือมันมีหาง มันยังไม่กลัวหางมันเลย ไม่กลัวหางมันเลยด้วยสติด้วยปัญญา สติปัญญามันเกิดที่ไหน เกิดที่จิตผู้ที่พิจารณา เกิดจากจิตผู้ที่ทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบแล้วมันพิจารณาของมัน เห็นไหม นั่นนะภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากภาวนา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมันหมุนของมันในจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นพิจารณาไปมีศีลมีสมาธิมีปัญญาขึ้นมา เห็นไหม ปัญญาขึ้นมามันไล่ต้อนจนความกลัว เห็นไหม

ดูสิ ที่เขากลัวผีกลัวสางกลัวทุกอย่าง กลัวเพราะอะไร กลัวเพราะมันอวิชชา เพราะมันไม่รู้จักของมันไง แล้วพิจารณาเข้าไปพอมันเป็นความจริงขึ้นมามันปล่อยหมดเลย แล้วเหลืออะไร เหลือความเด่นขึ้นมา เห็นไหม นั่นพิจารณาจนเสือ หางเสือ เสือมันยังไม่กลัวหางของมันเอง แล้วมึงจะไปกลัวอะไร นี่ไม่กลัวก็จบไง แล้วมันมีอะไรเหนือเรา พอต่างจากที่มันกลัวมาก กลัวจนตัวเนื้อสั่นกลายเป็นผู้ที่กล้าหาญ เสืออยู่ไหนจะไปลูบหัวเสือเลย มีความเมตตากับมัน

เวลาจริงๆ กลัวขึ้นมาเสือมันสัตว์ประเภทหนึ่งที่ออกล่าเหยื่อ มนุษย์นี้มันก็เป็นอาหารของเสือได้ เวลาคิดโดยวิทยาศาสตร์แล้ว โอ้โฮ มันกลัวจนตัวสั่น กลัวจนไม่กล้าที่จะอยู่ที่ตรงนั้น แต่พยายามบังคับให้ตัวอยู่นั่นเพราะหลวงปู่มั่นสั่งให้มา หลวงปู่มั่นท่านสั่งให้มาอยู่ตรงนี้ อยู่เพื่อเพราะหลวงปู่มั่นท่านเคยผ่านมาแล้วว่าตรงนี้มันเป็นดงเสือ อยู่เพื่ออะไร อยู่เพื่อให้มันเกิดให้มันหวาดกลัวขึ้นมา ให้มันเกิดปัญญาขึ้นมาในปัจจุบันนั้นไง เวลาพิจารณาไปแล้วมันปล่อยหมด โอ้โฮ มันว่างหมดเลย โอ้ มันมีความสุขมาก

เสืออยู่ไหน เสือนี่ เมตตาเสือ เมตตามันมาก เมตตามันเพราะอะไร เพราะมันเป็นเครื่องประกอบ มันเป็นสิ่งช่วยกระตุ้นให้เราฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาที่มันไม่เคยใช้ไม่เคยศึกษานี่ เวลาศึกษามาก็สุตมยปัญญา ศึกษามาด้วยความเล่าเรียน เห็นไหม จินตมยปัญญาจินตนาการไป โอ้ เดี๋ยวไปเที่ยวป่า เสือล่ะเสือเพื่อนกันไม่กลัวหรอก เวลาเข้าไปเจอสั่นไปหมดเลย 

นี่ไง เวลาพิจารณาเดี๋ยวนั้น พิจารณาเดี๋ยวนั้นเวลามันขึ้นมาเดี๋ยวนั้น เห็นไหม พิจารณาจนหางมันหายไป พิจารณาจนหางมันปล่อยหมดไง นี่เวลามันปล่อยหมด โอ้โฮ มันรื่นเริง อาจหาญ อยากจะไปหามัน เดิน จะวิ่งเข้าไปหามันเลย สุดท้ายสติมันก็ทันมา เอ็งจะบ้าเหรอ พิจารณาไปแล้วมันก็จบไปแล้ว กลับมาภาวนาอย่างปกติไง นี่ไง เวลาคนที่เป็นจริงๆ ขึ้นมา เห็นไหม ไอ้เราไม่เป็นอย่างนั้น ภาวนาก็ไม่ได้ทำ ไม่มีหางก็อยากมีหาง ภาวนายังไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันก็บอกจิตมันสงบ โอ๊ย ปัญญามันเกิดมันเลอเลิศ อยากจะมีหาง แล้วพิจารณาแล้วผ่าน ผ่านขั้นผ่านตอน ผ่านขันธ์ ผ่านกาย ผ่าน มันจะติดหาง มันอยากมีหาง

เขาพิจารณานะ เราเป็นมนุษย์ มนุษย์ไม่มีหาง สิ่งที่มีหางคือสัตว์ที่มันมีหางทั้งนั้น ดูสิ ลิงบางชนิดมีหาง ลิงบางชนิดไม่มีหาง ลิงที่ไม่มีหางและลิงที่มีหาง นี่ลิงเหมือนกันมันยังมีหางและไม่มีหาง เป็นแล้วแต่สายพันธุ์ นี่มนุษย์ไม่มีหาง มนุษย์ไม่มีหางหรอก มนุษย์เป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์ ๒ เท้าจึงไม่มีหาง แต่ด้วยกิเลสด้วยตัณหาความทะยานอยากมันอยากจะงอกหางออกมา หางมันจะโผล่ไง มันโผล่ขึ้นมาด้วยจริตนิสัยมันนั้น มันโผล่มาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากนั่น มันโผล่ขึ้นมามันอยากจะเป็น มันอยากจะเป็น มันอยากจะได้ โดยที่มันไม่มีความจริง

ถ้ามันมีความจริงขึ้นมา เห็นไหม มันมีความจริงขึ้นมามันต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ยิ่งมีความจริงยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตน ยิ่งมีความจริงยิ่งรักษาหัวใจของตน หัวใจของตนเป็นสิ่งที่รักษายาก ปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ด้วยอำนาจวาสนาของจิต เห็นไหม เวลาเกิดเกิดในกำเนิด ๔ เกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ กำเนิดเกิดจากเวรจากกรรมทั้งนั้นนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ท่านพูด "ให้เชื่อกรรมๆ ไง" กรรมคือการกระทำ นี่กรรมดีๆ ของเราที่เรามาเป็นพระนี่ก็การกระทำ เวลาบวชมา เห็นไหม ญัตติจตุตถกรรมนั้นคืออะไร นั้นคือวินัยกรรม การกระทำนี่เราจะสวดปาฏิโมกข์กันอยู่นี่ นี่คืออะไร นี่คือสามีจิกรรม เราลงอุโบสถสังฆกรรมร่วมกัน เราจะกระทำกันอยู่เดี๋ยวนี้ไง นี่คือกรรมดีไง กรรมที่เราลงอุโบสถไง ด้วยความสามัคคีไง นี่ให้เชื่อกรรมๆ กรรมคือการกระทำ

จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันมาจากผลของการกระทำ แล้วกระทำดีทำชั่วขึ้นมาอย่างไร ถ้ามีความดีขึ้นมา เห็นไหม จิตใจนี้มันมีอำนาจวาสนาบารมี มันเข้มแข็ง เห็นไหม มันไม่วอกแวกวอแว มันไม่ไปสนใจเรื่องปลีกย่อย ไร้สาระจริงๆ นะ สิ่งที่กระทบกระเทือนกันนี่เรื่องไร้สาระมาก สิ่งที่เป็นสาระที่ดี เราบวชมาทำไม เราบวชมานี่ ดูสิ สิ่งใดจะมีคุณค่ามากกว่าธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม "ธรรมมีค่าเหนือโลกเหนือสงสาร" เทวดา อินทร์ พรหมยังต้องการ ยังมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์เพื่อขอแนวทางๆ ขอให้ทำอย่างไรกำหนดหัวใจ

ดูสิ เวลาสังคมในปัจจุบัน เห็นไหม ปฏิบัติในชีวิตประจำวันๆ ชีวิตประจำวันก็อยากจะปฏิบัติ อยากจะมีคุณธรรม ทำสิ่งใดก็อยากได้ หน้าที่การงานต้องทำอยู่แล้ว ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไง เกิดมาปากกัดตีนถีบต้องหาอยู่หากินไง แต่ด้วยความทุกข์ความยากนี่ ความทุกข์ความยากในการทำมาหากินก็เรื่องหนึ่ง ความทุกข์ความยากในการประพฤติปฏิบัติก็เรื่องหนึ่ง ความทุกข์ความยากในการเอาตัวรอดก็เรื่องหนึ่ง อยากได้ไปทั้งนั้นเลย แล้วมันมีโอกาสขึ้นมา เห็นไหม ก็เลยฝึกหัดในชีวิตประจำวันไง ชีวิตประจำวันก็หน้าที่การงานมันก็เป็นหน้าที่การงานให้เราเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่แล้วไง แล้วยังต้องทำความสงบระงับขึ้นมานี่ นั่นมันก็เป็นความทุกข์ความยากไปทั้งหมดเลย

แต่ถ้าคนมีอำนาจวาสนานะ เป็นครั้งเป็นคราว หน้าที่การงานก็ทำด้วยความสติปัญญา เป็นความสมบูรณ์ของเรา ทำเสร็จแล้วเราจะภาวนาเราก็หัดภาวนาของเรา ถ้าภาวนาขึ้นมาแล้วเดี๋ยวจิตสงบระงับเข้ามาบ้าง มันหาทางออกของมันแล้ว แล้วคนเรา เห็นไหม นี่มันก็มีเหรียญมี ๒ ด้าน มีโลกกับธรรม โลกหน้าที่การงานในความเป็นโลกๆ นี่ เวลามีเวลาว่างขึ้นมาไปวัดไปวาหาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าไม่มีเวลาก็บ้านของเรานั่นนะ ในห้องพระก็ได้ ในที่สงัดวิเวกที่ไหนก็ได้ นี่ที่มันสงบสงัดเราไปนั่งเฉยๆ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ เห็นไหม กรรมคือการกระทำ เพราะมีการกระทำขึ้นมาเป็นความจริง นี่มันจะเป็นมันจะเป็นตรงนี้

  เรื่องทาน เรื่องประเพณีวัฒนธรรมมันเป็นการเรื่องการทำบุญกุศล มันเป็นเรื่องของทาน อันนี้เวลาพระเรานี่ พระเราบวชมาแล้ว เห็นไหม พระเวลามาบวชแล้วดำรงชีพ พระอาชีพ เราเป็นพระแท้ๆ พระอาชีพๆ พระจะดำรงชีวิตแบบฆราวาสไม่ได้ พระทำอาหารให้สุกเองไม่ได้ พระจะค้าขายไม่ได้ พระจะแลกเปลี่ยนสิ่งใดไม่ได้ ฉะนั้นไม่ได้ปั๊บนี่เราก็เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราบิณฑบาตของเรา

ถ้าศาสนาเจริญรุ่งเรืองมีคนเขาอยากอธิษฐาน เขาอยากใส่บาตร เราเลี้ยงชีพด้วยอย่างนั้น เลี้ยงชีพๆ แล้วมันมีอะไรน่าวิตกกังวล มันมีอะไรบ้างที่มันเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีหรอก มันมีอย่างเดียวเท่านั้นแหละ มีแต่ว่าเราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำข้อวัตรกันอยู่นี่ ถ้า

ทำข้อวัตรกันอยู่นี่ เห็นไหม ในวัด ถ้าวัดมันร้าง มันเป็นสิ่งที่สะสมแต่เรื่องมูตรเรื่องคูถ เรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ใครเข้าไปมันก็มีกลิ่นเหม็น วัดทั่วๆ ไปสิ่งที่มันไร้สาระนะ ใครก็ไม่อยากเข้าไปเหยียบ ทั้งๆ ที่เป็นวัดเป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีล

นี่ก็เหมือนกันถ้าเราเป็นพระ เห็นไหม กิจของสงฆ์ เราทำข้อวัตรปฏิบัติกันอยู่นี่ก็เพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ศาสนาไม่มีมรรคศาสนาไม่มีผล เห็นไหม นี่ถ้าเรายังไม่มีมรรคไม่มีผลในหัวใจ เราก็ทำบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำข้อวัตรปฏิบัติ ทำตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา ทำตามๆ ทำเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทำเอาหน้าใคร ไม่ใช่ทำเพื่อใครให้ใครนับถือ ไม่ใช่ทำให้เข้าตาใคร ไม่ต้อง! 

ถ้าทำให้เข้าตาเขาเพราะการเวียนว่ายตายในวัฏฏะ เวลาอายุขัยของคนมันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไอ้คนที่เราอยากให้เห็นเขาไม่สนใจหรอก เขาจะตายไป ไอ้คนที่มาใหม่สิ ไอ้คนที่พึ่งเกิดมานี่ เขาถึง โอ้ วัดเป็นอย่างนี้เหรอ ไอ้คนที่จะเห็นคือคนที่เราไม่ได้อยู่ในความรู้สึกนึกคิดเราเลย ไอ้คนที่เราปรารถนาจะให้เห็นความดีของเรานะ โอ้ เขาก็ตายหมดแล้ว เพราะอายุมันไล่เลี่ยกันไง นี่เวลาผลของวัฏฏะๆ มันขบเหลี่ยมกันไปตลอด แล้วเราอยากให้คนนู้นรู้จักอยากให้คนนี้เห็น ไม่มีทาง เขาไม่สนใจหรอก ทิฏฐิมานะของคนมันมี 

แต่ถ้าเราทำบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ธรรมนี้เป็นศาสดาของเรา เราทำเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วสิ่งที่บริษัท ๔ เกิดมา เห็นไหม เวลาเขามารู้มาเห็นของเขานี่ นั่นนะเขาชื่นชมในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาชื่นชมในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ว่ามันเป็นสัจจะมันเป็นความจริง

ดูสิ พระที่เป็นลูกศิษย์เป็นธรรมทายาทมันยังมีอยู่ เขายังเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไม่ทิ้งไม่ขว้าง เขาไม่ใช่คนไร้ราก เขาไม่ใช่คนที่ไม่มีที่มาที่ไป เขาเป็นลูกศิษย์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำเพื่อเหตุนั้น ไม่ได้ทำเพื่อใครทั้งสิ้น ทำเพราะใจมันลงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มันถึงว่าหางมันถึงไม่งอกไง นี่เราประพฤติปฏิบัติไม่มีแก่นไม่มีสาร เกิดตุ่มแล้ว เกิดตุ่มที่หางที่ก้น เดี๋ยวหางมันจะออก ผ่านขั้นนั้น มันจะผ่านขั้นนั้นๆ หางมันจะงอก หางไม่มีก็อยากจะต่อหาง 

แต่ครูบาอาจารย์ของเราเป็นความจริงนะ ท่านพิจารณาของท่าน พิจารณาถึงความกลัว ความวิตกกังวล ความหวาดหวั่นในหัวใจเลย เพราะ เพราะท่านเคยเป็นพราน ท่านรู้ถึงอำนาจๆ หรือการกระทำของสัตว์ สัตว์แต่ละชนิดท่านเคยล่าสัตว์ นี่อำนาจของเสือใครก็กลัว เมื่อก่อนเราเข้าป่าไปเราอาวุธพร้อมนี่ โธ่ เราเป็นพราน มันก็ต้องสุดฝีมือรับการรักษาชีวิต แต่พอบวชเป็นพระ มือเปล่า มีแต่ศีลๆ มีแต่ความมั่นใจ แล้วเข้าไปเจอกับสัตว์ร้ายๆ ที่ตัวเองเคยล่า ท่านเคยเป็นพรานนะ ท่านเคยล่าสัตว์ แล้วอยู่ในป่านี่แล้วท่านเข้าใจเรื่องนี้ทั้งนั้น

แล้วเวลาเข้าไปอีกคราวหนึ่ง เวลาเป็นภิกษุแล้วนี่ เข้าไปโดยมือเปล่าๆ แล้วเข้าไปอยู่ในดงของฝูงเสือ ฝูงสัตว์มันพิจารณากัน เห็นไหม มันมีขน เราก็มีขน มันมีหนัง เราก็มีหนัง มันมีลาย เราก็มีลาย มันมีสิ่งใด เราก็มีทั้งนั้นนะ มันจะมีดีอะไรไปกว่าเรา พอมันมีหาง เราไม่มีหาง นี่เวลาท่านพิจารณาของท่าน เนี่ยคนพิจารณาเขาพิจารณาเพื่อลดทิฏฐิมานะ เขาลดความทุกข์ความยากในหัวใจ เห็นไหม ความหวาดความกลัวความลุ้นระทึกในหัวใจนี่ มันทุกข์ใจมากนะ

  คนกลัวผีแล้วต้องไปอยู่ในที่มืดนะ โอ้โฮ มันกลัวเกือบตาย คนกลัวเสือแล้วต้องไปอยู่กับเสือ ท่านใช้ปัญญาของท่านพิจารณาของท่าน เห็นไหม พิจารณานะถ้าเสือมันมีหางทำไมไม่กลัวหางมัน เวลาหางเขามาทำเป็นอาหารด้วย แต่ของเราล่ะ ของของเรานะเราไม่มี ถ้าเราไม่มี เราก็ต้องทำขึ้นมาเป็นสัจจะความจริงของเรา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ถ้าเป็นสันทิฏฐิโกแล้วถ้ามันมีขึ้นมาเป็นธรรมโอสถด้วย 

ถ้าเป็นธรรมโอสถนะ สิ่งที่ทุกข์ที่ยาก สิ่งที่แรงปรารถนาอยากจะได้อยากจะมีนะ เวลามันมีคุณธรรมขึ้นมา ปล่อยหมดเลย โอ้โฮ เอ้อ เรามันหลงโง่ไปเนาะ เราจะไปเอาอะไรก็ไม่รู้แล้วสิ่งที่เอานะ เป็นสิ่งที่ว่าโยมเขาเสียสละทั้งนั้น นี่ปัจจัยเครื่องอาศัยนะ หลวงตาท่านพูดประจำ "หัวดำๆ เขายังสละได้ ไอ้เราหัวโล้นๆ ไปเอาของทิ้งของเขา" ของสละทานนะเขาสละให้ในท่ามกลางสงฆ์นะ จิตใจเขาต้องสูงส่งกว่านะ แล้วดูสิ ชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณ โลกธรรม ๘ ดูพระบ้าบอคอแตกวิ่งเต้นกันเพื่อเอายศถาบรรดาศักดิ์นะ ยศถาบรรดาศักดิ์มันกินไม่ได้ แต่กิเลสมันชอบ ยศถาบรรดาศักดิ์กินไม่ได้หรอกแต่กิเลสมันอยากได้ พออยากได้ขึ้นมาสวมหัวโขนขึ้นไปแล้วนะ ยิ่งสวมหัวโขนมากเท่าไรมันยิ่งมีอำนาจมาก ที่ไหนมีอำนาจมาก ที่นั่นมีความเลวร้ายมาก

  แต่ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ อำนาจโดยธรรมๆ นะ อำนาจโดยธรรมมีฤทธิ์มีเดชด้วย แต่ไม่เคยเบียดเบียนใครเลย ไม่เคยไปจับต้องสิ่งใดให้เสียหายเลย อำนาจมหาศาลมีฤทธิ์มีเดช แต่ด้วยความเมตตาธรรม จะใช้ต่อเมื่อปราบพวกเดียรถีย์ จะใช้เวลาเพื่อปราบมาร เวลาพวกมารนี่ปราบมันปราบด้วยฤทธิ์ด้วยเดช ไม่มีทางไปได้หรอก จนตรอกหมด

นี่ไง สิ่งที่เป็นธรรมๆ เห็นไหม ถ้าเป็นธรรมขึ้นมามันมีคุณธรรมในหัวใจนี่ ถ้าเราเป็นธรรมโอสถๆ สิ่งนี้คนที่มีธรรมยิ่งสงบสงัดวิเวกไม่ตอแหลหรอก ไม่กะล่อน ไม่หลอกลวง กะล่อนตอแหลนั้นนะมันกิเลสทั้งนั้น ถ้ามันเป็นธรรมๆ เป็นธรรมอย่างนี้ไง ถ้ามันเป็นจริงๆ เพราะอะไร เพราะเราปฏิบัติไปนี่ทุศีล เวลาทุศีลขึ้นไป ศีลมันไม่สะอาดบริสุทธิ์ สมาธิก็ลงไม่ได้ เวลาทำไปนี่นิวรณธรรมมันปิดกั้นหมด ถ้ามันไม่มีนิวรณธรรมก็ซื่อสัตย์ไง คนต้องมีสัตย์ ถ้ามีสัตย์ขึ้นมาแล้วปฏิบัตินะ ตั้งสัจจะเลย จะทำอย่างไงทำให้ได้อย่างนั้น มันภาวนาไปแล้วมันจะทุกข์จะยาก ทุกข์ยากทั้งนั้นนะ

  เราอดอาหารมาเยอะ เราภาวนามาตลอด การภาวนาแสนทุกข์ยากมาก แต่ทุกข์ยากเพื่ออะไร เพื่อไม่เกิด ทุกข์ยากเพื่อที่จะปราบปรามมัน ทำไมจะทำมันไม่ได้ เวลามันทุกข์มันยากๆ แล้วก็ทุกข์ยากกันต่อไป ทุกข์ยากต่อเนื่องไป ทุกข์ยากในความอดทน นี่ขันติธรรมๆ ไง ด้วยความอดทนเฉยๆ ไม่มีปัญญาไง ทุกข์ ขันติธรรมอดทนไปเฉยๆ เวลาหลวงตาท่านพิจารณาของท่านๆ ท่านพิจารณาจนเหนื่อยแล้ว ท่านก็ใช้ขันติ เห็นไหม ยันไว้ไง หลวงปู่มั่นท่านส่งจิตมาดู เห็นไหม พอส่งจิตมาดูขึ้นมานี่ เวลาท่านไปกราบหลวงปู่มั่นไง ขึ้นไปทำข้อวัตร "มหา มหาพิจารณาอย่างนั้นเหรอ พิจารณาแบบหมากัดกัน" หมากัดกันเวลาหมามันกัดกัน กรามมันล็อคๆ เลยไหม มันต่างคนต่างไม่ปล่อย

ไอ้นี่พิจารณาไปแล้วเต็มที่แล้วก็ยันไว้อย่างนั้น ยันไว้เพราะมันเหนื่อยมาก คนภาวนานี่ฟังทีเดียวรู้เลยว่าขั้นตอนอยู่ตรงไหน ใครภาวนามามันผ่านเรื่องนี้มาทั้งนั้น เวลาแพ้มันนะราบคาบ มันเหยียบย่ำมา โอ้โฮ ภาวนาแล้วมันทุกข์ขนาดนี้ ภาวนาทำไมมันโดนกระทำขนาดนี้เชียวเหรอ แต่มันก็กัดฟันทนนะ เวลาจิตใจมันดีขึ้นมานี่ยันกับมันได้ล่ะ แล้วจิตใจวันไหนสมาธิดีๆ ปัญญามันพิจารณาของมันได้ล่ะ โอ้ ฟาดฟันมันนะ ล้มระเนระนาดไปเลย เห็นต่อหน้าต่อตาทั้งนั้นนะ 

นี่เวลาสติปัญญามันดีมันพิจารณาไปอย่างนั้น เวลาพิจารณาไปแล้วมันก็เหนื่อยล้าใช่ไหม พิจารณาไปแล้วการทำงานใครจะไม่เหนื่อยไม่ล้า มันเหนื่อยล้าทั้งนั้นนะ เวลาพักนะยันไว้ไง หลวงปู่มั่นท่านส่งจิตมาดู เวลาขึ้นไปทำข้อวัตร "มหา มหาพิจารณาอย่างนั้นเหรอ" คือท่านก็พยายามจะชี้นำนะ ท่านปกป้องดูแลอยู่นะ มหาพิจารณาอย่างนั้นเหรอ พิจารณาเหมือนหมากัดกัน ท่านก็ฟังนะ แล้วเวลาท่านมาพูดไง มาพูดทีหลังเพราะว่าประสบการณ์ของคน ท่านบอกเลย ถ้าหลวงปู่มั่นส่งจิตมาก่อนหน้านั้นสักหนึ่งชั่วโมงท่านจะเห็นเลยเหรอ เรารบกับมัน เราฟาดฟันกับมัน เราทำมาเต็มที่เลย จนเหนื่อย จนเหนื่อยจนล้า เสร็จแล้วก็วางไว้ พอวางไว้ขึ้นไปนี่ หลวงปู่มั่นส่งจิตมาดูพอดี 

นี่ไง มันก็เป็นคติเตือนใจกันตลอด เพราะหลวงปู่มั่นท่านก็เห็น เพียงแต่ท่านก็บอกว่าก็ควรจะรุกรบขึ้นไปเรื่อยๆ พยายามจะทำขึ้นไปเรื่อยๆ นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านก็รู้ว่าเหน็ดเหนื่อยทั้งนั้นนะ เพราะหลวงปู่มั่นท่านก็ทุกข์ยากมาก่อน ครูบาอาจารย์ที่ท่านจะประพฤติปฏิบัติมาท่านต้องผ่านวิกฤติการณ์ในจิตมาทั้งนั้นนะ ถ้าไม่ผ่านวิกฤติการณ์มันจะรู้ได้อย่างไงว่าอะไรเป็นศีล อะไรเป็นสมาธิ อะไรเป็นปัญญา 

บุคคล ๔ คู่นี้ โสดาปัตติมรรค สกทาคามีมรรค อนาคามีมรรค อรหัตมรรค มันต่างกันอย่างไง เวลาใครพูดถึงมรรคๆ มีมรรคหยาบมรรคละเอียดแค่ไหน ถ้ามรรคหยาบๆ มันยังผ่านไม่ได้ แล้วพูดถึงมรรคละเอียดมันจะเอามาจากไหน เห็นไหม มันมีอย่างเดียวเท่านั้นนะ มันจะต่อหาง มันอยากมีหาง มันอยากให้คนนับหน้าถือตา มันอยากอวดคน

ผู้รู้มีจริง หลวงตาท่านเตือนประจำ จะพูดสิ่งใดแล้วแต่ ผู้รู้เขามีอยู่นะ คนที่ภาวนาเป็นเขารู้ เขาเห็น แต่เขาไม่อยากจะพูด ไม่อยากจะพูดเพราะอะไร เพราะไม่อยากฉีกหน้ากันไง เวลาสิ่งที่ว่าเวลาเป็นธรรมนะ ท่านก็ส่งเสริม ท่านก็บอกอุบาย เพื่อจะให้เราพลิกแพลงแก้ไข เพื่อให้มันถูกต้องไง แต่เวลาไอ้พวกเดียรถีย์มันพยายามอวดดี เนี่ยมันมีหางไง ผ่านขันธ์นั้นผ่านกายนี้ ผ่านเพราะอะไร ผ่านเพราะมันฟังมา มันได้ยินได้ฟังมา มันก็จำมาได้ทั้งนั้นนะ แล้วเวลาพูดก็คำเดียวกันทั้งนั้นนะ 

แต่คนที่เขาเป็นเขาไร้สาระ ไร้สาระตรงไหน ไร้สาระตรงพฤติกรรมของเอ็งนั้นนะพฤติกรรมของคนมีคุณธรรมไม่เป็นแบบนี้พฤติกรรมของพระที่มีศีลไม่เป็นแบบนี้ ดูสิมีกตัญญูกตเวทีไง รู้จักบุญรู้จักคุณไง รู้จักความดีความชั่วไง เราไม่ต้องการให้ใครทำเบียดเบียนเรา เราก็ไม่ควรเบียดเบียนเขาเราไม่ให้ใครเบียดเบียนเราแต่เราอยากเบียดเบียนเขามันจะเป็นความเสมอภาคไปได้อย่างไง

นี่ใครบ้างอยากให้คนอื่นเบียดเบียนเราแล้วเราจะไปเบียดเบียนเขาทำไม เราไม่ได้เบียดเบียนเขาดูสิ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนเกิดมาถือขวานมาคนละเล่ม ถากแม่งทั้งวันเลยปากเม่งถากทั้งนั้นนะ มีขวานมาก็เพื่อ ขวานก็เก็บไว้สิ ขวานเขาเอาไว้ตัดอ้อย ตัดพืช ไว้เกี่ยวข้าวเอามาทำเป็นอาหารสิ่งที่เป็นประโยชน์เขาเอาไว้มาเป็นอาหาร เอาไว้เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยไม่ใช่เอาไว้ทำลาย ทุกสิ่งเอามาไว้เป็นประโยชน์ก็ได้เอาไว้ทำลายก็ได้ 

ถ้าเอาไว้เป็นประโยชน์เห็นไหม เนี่ยเอาไว้เป็นประโยชน์ เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไปแล้วมันมีอะไรขัดข้องก็ถามครูบาอาจารย์สิ สิ่งนี้เป็นอย่างไร นี่ไง เอาไว้เพื่อเป็นประโยชน์ไง เอาไว้เพื่อออดเพื่ออ้อนเพื่อหาช่องทางเพื่อหาทางไปไง ถ้ามันเป็นประโยชน์ เห็นไหม ปากน่ะ แต่ถ้ากิเลสมันใช้มันเที่ยวถากเที่ยวถางเขาไม่มีหางก็อยากมีหาง อยากมีหางอยากให้เขานับหน้าถือตา อยากให้เขายอมรับ ใครมันจะยอมรับ นี่สิ่งที่เป็นเสือ เสือมันต้องยอมรับเสือมันเป็นนักล่ามันคำรามขึ้นมา โอ้ สัตว์ทั้งป่าเลยสงบหมด เพราะกลัวนักล่ามันเอาไปเป็นอาหาร

สิ่งที่มันเป็นจริงๆ มันเป็นจริงอย่างนั้น มันเป็นจริงๆ ด้วยบารมีธรรมของเขาเอง สิ่งที่มันเป็นจริงมันต้องเป็นความจริงอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะไปเรียกร้อง เราจะไปแสวงหา ไอ้นั่นมันต่อหางมนุษย์ไม่มีหางหรอก สิ่งที่เราอยากได้คืออยากมีหางอยากให้เขาเห็นหางของเรานะ โชว์หางหางส่ายไปส่ายมาเลย 

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ไม่แม้แต่หางตัวเองก็ไม่มี แต่เวลาไปตื่นเต้นกับสัตว์ร้ายสัตว์ร้ายมันมีหาง ก็พิจารณาจนว่ามันเป็นเจ้าของหาง มันยังไม่กลัวหางมัน คือเสือมันเป็นสิ่งที่ในโลกนี้เขาหวาดกลัวไปทั้งนั้นนะ ถ้าเขาหวาดกลัวไปทั้งนั้น เห็นไหม แล้วตัวมันเองมันจะหวาดกลัวขนาดไหน 

ในปัจจุบันนี้ เวลาเสืออยู่ที่ไหนมันใกล้สูญพันธุ์เห็นไหม เขาผสมพันธุ์อยู่ที่กรงในสวนสัตว์มันจะมีหางมันจะมีอำนาจขนาดไหนมนุษย์มีปัญญาขึ้นมาเอามันมาเลี้ยงไว้ เป็นสัตว์เลี้ยง เลี้ยงเสือไว้เป็นสัตว์เลี้ยง ถ้ามีปัญญา แต่ถ้าไม่มีปัญญานะเป็นเหยื่อมันให้มันล่า ชีวิตต้องให้มันเป็นอาหาร แต่คนมีปัญญาเขาเอามาไว้ในกรงเอาไว้เลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง

นี่แต่ถ้ามันเป็นกิเลสกิเลสมันท่วมท้นหัวใจพอกิเลสมันท่วมท้นหัวใจมันคิดของมันไปด้วยเล่ห์ด้วยเหลี่ยม มันอยากมีหางอยากมีหางแบบเสือ แล้วเที่ยวโฆษณาไปนะ ผ่านขั้นนั้นผ่านขั้นนี้ ผ่านอะไร ผ่านประตูเหรอ ผ่านอำเภอ ผ่านจังหวัด ผ่านประเทศไปรอบโลกใช่ไหม จะธุดงค์รอบโลกแล้วว่าผ่านกิเลส กิเลสอย่างนั้นเหรอกิเลสมันอยู่ในใจนี่ กิเลสมันไม่ใช่เขตแดนของประเทศกิเลสมันไม่ได้อยู่ที่เขตแดนอำเภอจังหวัด 

มันอยู่ในหัวใจนี่ เวลาทำลายภพทำลายชาติ นี่เขตแดน เขตของภพมันทำลายกันที่นี่ทำลายที่นี่ เห็นไหม ในหัวใจหางของกิเลสได้ทำลายมาแล้วนะ ไม่เห็นใครหรอก มันเป็นมรรคเป็นผลในหัวใจ ผู้ที่ปฏิบัตินั้นนะปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกจะรู้เองเห็นเองในหัวใจนั้น จะไปโชว์หางให้ใครดูๆ มันเรื่องโลกทั้งนั้นโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภมียศเสื่อมยศอยากให้เขาเคารพนับถือ ไร้สาระ หมาก็ไม่เคารพ หมามันก็มีหาง มันชูหางด้วย เป็นหางดาบ นี่เวลาหางหมาแต่คนมันไม่มีหางอยากมีหางหางโผล่เลย

แต่ถ้ามันเป็นจริงๆเห็นไหม มันลดละของมันไปความเป็นจริงมันต้องลดละอย่างนั้น ถ้าลดละอย่างนั้นพิจารณาของมัน เห็นไหม ดูสิครูบาอาจารย์ท่านใช้สติปัญญานะแม้แต่มันมีของมันด้วยความกลัว ด้วยความวิตกกังวล แต่ท่านพิจารณาด้วยสติปัญญาเป็นปัจจุบันธรรมปราบราบเรียบเลย ปราบราบเรียบ หัวใจนี้อาจหาญรื่นเริง อยากจะเข้าไปเผชิญหน้าต่อมันนะเพราะเผชิญหน้าต่อมันเพราะตอนนั้นจิตมันดีไง จิตมันดี มันมหัศจรรย์มากแล้วมันเป็นประโยชน์มากเป็นประโยชน์กับใคร เป็นประโยชน์กับเจ้าของจิตดวงนั้น เป็นประโยชน์กับบุคคลคนนั้น

บุคคลคนนั้น เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันครอบงำในหัวใจนั้น สร้างแต่ความทุกข์ความยาก สร้างแต่ความวิตกกังวลในหัวใจนั้น ด้วยสติด้วยปัญญาพิจารณาไป เดี๋ยวมันปล่อยวางทั้งหมด เห็นไหม จิตดวงนั้นสว่างไสว จิตดวงนั้นมีอำนาจวาสนา จิตดวงนั้นนะ ถ้ามันพลิกไปฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญาในการพิจารณาในสติปัฏฐาน ๔ จิตดวงนั้นจะพิจารณาอย่างนั้น แล้วจะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความราบคาบ อ่อนน้อมถ่อมตน

ถ้ามันจะแข็งกร้าวก็แข็งกร้าวกับกิเลสทั้งนั้นนะ ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีคุณธรรมในหัวใจนะ ท่านเวลาเจอกิเลสท่านพุ่งเข้าใส่เลย หลวงตาท่านพูดประจำ เวลานั่งฉันข้าวอยู่นะ กิเลสอยู่ไหน ผลักๆ บาตรไปเลยจะล่อกิเลสก่อน นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจมันมีคุณธรรมมันจะอาจหาญมันจะปราบปรามก็ปราบปรามกิเลสของสัตว์โลกเท่านั้นล่ะ แต่ถ้าเป็นความจริงแล้ว เว้นไว้แต่ครอบครัวของมารแล้วไม่ยุ่งกับใคร มนุษย์คือมนุษย์เท่ากัน จะเกิดสูงเกิดต่ำก็จิตดวงหนึ่ง สิ่งที่มีคุณธรรมๆ เกิดจากที่ไหน คุณธรรมเกิดจากหัวใจของสัตว์โลก

นี่จิตดวงนั้นเขามีอำนาจวาสนาที่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ทุกๆ ดวง สิ่งนั้นมีคุณค่ามาก แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันปกคุลมในจิตดวงนั้นต่างหากที่มันทำลายๆ แล้วมันทำลายแล้วมันหยาบช้า มันถึงทำลายแล้วมันยังล้นฝั่งไปเบียดเบียนคนอื่นนี่ สิ่งนี้มันร้ายกาจ แต่ถ้ามันเป็นความจริงคุมให้ได้สิ ใจของตัวนะ ต้องคุมให้ได้ เอวัง