เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ ก.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมะ เพราะเราเห็นใจมากนะ โยมขวนขวายมาๆ ดูทางโลกสิเวลาเขานอนตอนเช้า เขานอนตื่นสายเขามีความสุขของเขา ทำไมพวกเราต้องขวนขวายกันมาล่ะ เราขวนขวายกันมาเพราะเรามีหัวใจไง เพราะเรามีสติมีปัญญาไง เพราะเราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้แสวงหาคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีของเรานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เสียสละทาน ทาน ศีล ภาวนา

นี่ระดับของทานนะ ระดับของทาน มนุษย์เกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุขทุกๆ คน แล้วเวลาปรารถนาความสุข ทุกๆ คนก็บอกว่า “หลวงพ่อ ไม่ต้องการอะไรเลย ขอให้ร่ำรวยเท่านั้น มีความสุข ขอให้มีเงินทองมากๆ มีความสุข” เราคิดข้างเดียวไง ถ้าเราคิดข้างเดียวว่าจริง ถ้ามีเงินมีทองมันสะดวกสบายขึ้น แล้วถ้ามีเงินมีทองขึ้นมา ถ้าจิตใจของคนเป็นธรรมนะ เงินทองอันนั้นจะเป็นประโยชน์ไง

อนาถบิณฑิกเศรษฐีจ้างลูกชายไปฟังเทศน์นะ มีเงินมีทองมหาศาล แล้วอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านเป็นพระโสดาบัน ท่านมีลูกมีเต้าของท่าน ท่านก็อยากให้ลูกเต้าของท่านฉลาดไง ลูกเต้ามันก็ไม่เอาอะไรเลย มันประชดประชันนะ พ่อแม่ทำแต่บุญ พ่อแม่ทำแต่บุญไง สุดท้ายแล้วนะ พ่อแม่เอาเงินจ้างไปฟังเทศน์ ไปฟังเทศน์กลับมาก็จ่ายตังค์ ฟังเทศน์กลับมาก็จ่ายตังค์ ทีนี้ก็ไปฟังเทศน์ พอฟังเทศน์ขึ้นมา พ่อฉลาด พ่อที่ฉลาด คนที่ฉลาด เงินทองเป็นประโยชน์ขึ้นมาไง เป็นประโยชน์เอาลูกได้ จากลูกที่มันดื้อมันด้าน ลูกที่มันไม่เอาไหน ลูกที่มันต่อต้านพ่อแม่มันนะ จ้างให้ไปฟังเทศน์ จ่ายตังค์ทุกทีเลย ทีนี้จะให้เพิ่มเป็นสองเท่า ให้เพิ่มเป็นสองเท่านะ ถ้าฟังพระพุทธเจ้าพูดว่าอะไรบ้าง ให้จำมาวันละคำ พอเริ่มสนใจว่าพระพุทธเจ้าพูดอะไรบ้าง มันเริ่มสนใจ พอเริ่มสนใจ เริ่มเปิดหัวใจ เพราะอะไร เพราะจะเอาตังค์มากขึ้นสองเท่า จะเอาตังค์มากขึ้นสองเท่า ฟังให้ดีๆ เพื่อจะไปรายงานเอาตังค์

ทีนี้พอฟังไป ความจะเอาใจความนั่นแหละมันเปิดหัวใจ มันเข้าไปถึงหัวใจ พอเข้าถึงหัวใจนะ ลูกชายอนาถบิณฑิกเศรษฐีฟังธรรมๆ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนได้บรรลุพระโสดาบัน บรรลุพระโสดาบันนะ กลับไปบ้าน พ่อนั่งถือตังค์ไว้เลยไง ถือตังค์ทุกวัน ต้องรีบมาเอาตังค์ก่อน เพราะเขาต้องการเงิน ต้องการเงินอย่างเดียว แต่ถึงเวลาแล้วพอใจเป็นธรรมขึ้นมา วันนั้นไม่ไปรับตังค์นะ พ่อก็นั่งรออยู่ เอ๊ะ! วันนี้แปลก เอ๊ะ! ลูกมันไม่มาเอาตังค์ มาเอาตังค์สิ โอ๋ย! อายนะ

พอบรรลุโสดาบัน ไปกราบพ่อ โอ๋ย! ลูกมันโง่นักหนา พ่อเลี้ยงมาตีนเท่าฝาหอย มีสิ่งใดให้ก็แต่ลูกแต่หลาน เราก็โง่เง่าเต่าตุ่นขนาดนี้ คอยจับผิดคอยต่อต้านทั้งนั้น ถึงเวลาไปฟังธรรมๆ พอฟังมามันสะเทือนใจ พอธรรมมันเกิดขึ้นในหัวใจ เห็นไหม เงินไม่เอา เงินไม่เอา ไม่เอา มันได้คุณธรรมในหัวใจ

นี่ไง ถ้าเราบอกว่า เกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุข ทุกคนก็ปรารถนาความสุข ทุกคนบอกว่า “มีสุขไม่ต้องอะไรเลยหลวงพ่อ เอาเงินมามีความสุขทั้งนั้นน่ะ”

มีเงินมา บางครอบครัวมีเงินมาแล้วมีปัญหาทั้งนั้นนะ แต่ถ้ามีเงินนะ เงินมา สิ่งที่ครอบครัวมีบุญกุศล สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์นะ แล้วสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราเป็นพ่อเป็นแม่ เราเป็นปู่ย่าตายาย เราก็อบรมสั่งสอนของเรา เราอบรมสั่งสอนเรา สิ่งนั้นเราอบรมลูกหลานเรา ไปโรงเรียน มีสิ่งใดที่เราจุนเจือเพื่อนได้เราก็ให้บ้างนะ เราอย่าไปเอาของใครนะ ฝึกหัวใจของเขา ฝึกหัวใจของเขา จนกว่าเขาจะเติบโตขึ้นมาๆ เพราะอะไร กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันนะ คนเราเกิดมามีเวรมีกรรมทั้งนั้น ถ้ามีเวรมีกรรมทั้งนั้น กรรมมันอยู่ที่ไหนล่ะ พันธุกรรมของจิตๆ รู้หน้าไม่รู้ใจ เห็นหน้าทั้งนั้นน่ะ ปากหวาน หน้าชื่นอกตรม มันมีความทุกข์ในหัวใจทั้งนั้นน่ะ ถ้ามีความทุกข์ในหัวใจ สิ่งนี้เราเปลี่ยนแปลงได้ไง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเรามีเวรมีกรรม เวลาไปหาหลวงพ่อสงบ เดี๋ยวหลวงพ่อสงบแก้กรรม มาเถอะ มีเท่าไรล้วงกระเป๋าหมดเลย ไอ้พวกแก้กรรมๆ มันจะล้วงกระเป๋านั่นน่ะ

ไอ้แก้กรรม แก้กรรมตรงไหน ใครให้แก้ ใครบอกให้แก้กรรม แก้กรรม พระพุทธเจ้าแก้อย่างไร เวลาแก้กรรมๆ มันแก้ที่นี่ อนาถบิณฑิกเศรษฐีแก้กรรมให้ลูก สอนลูกๆ ลูกเปลี่ยนจากคนที่ต่อต้าน คนที่ไม่เอาไหน กลายเป็นพระโสดาบันขึ้นมาไง

นี่ก็เหมือนกัน ลูกเต้าของเราเราก็ฝึกหัดของเรา ฝึกหัดของเราเพราะคนมีเวรมีกรรมมาทั้งนั้น เราฝึกหัด เวลาอบรมบ่มเพาะของเราขึ้นมา ปัจจุบันธรรมๆ สิ่งที่มันจะแก้ไขได้มันแก้ไขได้ที่นี่ไง แล้วมันก็เป็นจริตเป็นนิสัยนะ อภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ บุตรที่มันแบบมีเวรมีกรรมขึ้นมาไม่ฟังหรอก

เวลาสองคนตายายรักกันมากเลย แล้วมันมีสิ่งใดเป็นปมในหัวใจ มันเจ็บช้ำน้ำใจอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ถ้าวันไหนมันมีปัญญานะ มันคิดได้นะ เฮ้อ! แค่นี้ ไอ้ที่เป็นทุกข์เป็นยากหายหมดเลย แค่เฮ้อ!

นี้มันไม่เฮ้อ! น่ะสิ มันคิดแล้วมันคิดน้อยเนื้อต่ำใจ คิดจะเอาเขา คิดแต่จะแก้แค้น คิดแต่จะผูกโกรธไง คิดแต่ทำลายเขาไง แต่ด้วยสติปัญญานะ เราคิดจะแก้แค้น จะทำลายเขา นั่นล่ะสร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นน่ะ การสร้างเวรสร้างกรรมสิ่งนั้นไม่ดีเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน สอนให้อภัยต่อกันๆ สิ่งที่มันบาดหมาง มันบาดหมางมันไม่เฉพาะชาตินี้หรอก คนเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ มันบาดหมางมามหาศาล เทวทัตกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบาดหมางมาตลอดทุกภพทุกชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เทวทัตก็เป็นคู่บารมี ผู้ที่ต่อต้านมาตลอด มันก็บาดหมางมากี่ภพกี่ชาตินั่นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ความที่บาดหมางๆ มันต้องมีที่มาที่ไปทั้งนั้นน่ะ ทำไมคนเราเห็นหน้ามันถูกชะตา โอ้โฮ! คนนี้ถูกชะตามากๆ เวลาเราเห็นคนนี้ไม่ถูกชะตาเลย นี่มันมีของมันนะ จิตใต้สำนึกมันมีแรงต้านของมัน นี่กิเลส เวลากิเลสอย่างนั้นถ้าใครมันเบาบางอย่างไร มันหนาแน่นแค่ไหน เราเกิดมาในชาติปัจจุบันนี้มันก็เป็นสายเลือดของเรา เราก็เป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกันใช่ไหม เราเป็นชาติเป็นตระกูลเดียวกันใช่ไหม เราเกิดมา เกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นญาติกันโดยธรรมใช่ไหม เกิดมาก็มีปากมีท้องเหมือนกันใช่ไหม เราเกิดมาแล้วเรามาวัดมาวา เราก็แบ่งปันกัน เรามีน้ำใจต่อกัน ใครมีน้ำใจต่อกัน จิตใจเขายิ่งใหญ่ไง

จิตใจของคนที่คับแคบ อะไรก็ของกูๆๆ ไอ้ของกูไม่ได้อะไรเลยนะ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ผู้ใดเกิดมาบ้านเราโดนไฟไหม้ อายุขัยมันเผาลนตลอด คนเราชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ของใครเสียสละทานๆ มันก็เหมือนไฟจะไหม้บ้านของใครก็แล้วแต่ ใครขนทรัพย์สมบัติออกมาจากบ้านได้เท่าไร มันจะเป็นสมบัติของเรา

ถ้าทรัพย์สมบัติมันอยู่ในบ้านนั้น ไฟไหม้บ้านเรือนนั้นจนมอดไหม้ ทรัพย์สมบัตินั้นจะโดนไฟไหม้ไปหมดเลย นี่ก็เหมือนกัน ของกูๆ อยู่กับเรา เผาไหม้ไปกับเราไม่มีอะไรเหลือเลย ของกูๆ แล้วไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าของเสียสละไป นั่นล่ะของกูจริงๆ

เสียสละทาน เราเสียสละ เราแบ่งปันไป นี่ของเราทั้งนั้นน่ะ ของเราตรงไหน ตรงเป็นทิพย์สมบัตินะ คนที่เขาทุกข์เขายากนะ เราให้อาหารเขามื้อเดียวนะ เขาจำฝังใจจนตาย แล้วเวลาเขาเติบโตขึ้นมาเขาจะตอบแทนๆ เรา เราไม่ต้องการ เราต้องการมิตรภาพ มิตรภาพต่อกัน ไอ้เรื่องข้าวของวัตถุมันหาที่ไหนก็ได้ ไอ้มิตรภาพ ไอ้ความผูกพันของหัวใจน่ะ ไอ้คนที่เห็นน้ำใจกันน่ะ นี่มิตรภาพ

ถ้าคนจิตใจที่ยิ่งใหญ่ เขามีมิตรภาพ เขามีบารมี คนมีบารมีมีคนชื่นชมเขาไง ชื่นชมเขาเพราะอะไรล่ะ เพราะเขามีหัวใจนี่ไง สิ่งที่เป็นประโยชน์นี่ไง สิ่งที่เป็นประโยชน์ เราต้องการมิตรภาพ ต้องการน้ำใจ คนที่ใจคับแคบ มันไม่คับแคบ มันบีบคั้นหัวใจมันอยู่แล้ว แล้วของกูๆ มันกวาดมาของกูหมดเลย แล้วก็ใช้สอยแค่นี้

คนเกิดมาเหมือนกัน มีปากมีท้องเหมือนกัน ใช้สอยเหมือนกัน ปัจจัยเครื่องอาศัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีลาภมหาศาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแจกจ่ายเจือจานทั้งหมดนะ ของที่ได้มาๆ ใช้ไม่หมดหรอก ดูสิ ดูพระอานนท์ได้จีวร ๕๐๐ คู่ เอาไปทำไม เอาไปแจกผู้ที่อัตคัดขัดสนไง คนเราอัตคัดขัดสนมันมีใช่ไหม พระที่บวชใหม่ พระที่ไม่มีใครดูแลมันก็มีใช่ไหม ไอ้พระที่เขาร่ำรวยศรีสุข สาธุ ใครร่ำรวยศรีสุข สาธุเถอะ แต่ไอ้คนที่อัตคัดขาดแคลน เรามีน้ำใจ เรามีหัวใจ เราดูแลเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงประหยัดมัธยัสถ์ ผ้าครองๆ ถ้ามันขาดจนแม้แต่เม็ดถั่วเขียวหลังเลือดนี่ขาดครอง ต้องปะ ต้องชุน ต้องรักษา เพราะอะไร เพราะเรื่องสุขภาพไง

สุขภาพกาย ดูการขบการฉัน ห้ามฉันของที่เป็นเดน ของที่เป็นเดนเราฉันไม่ได้ ของที่เหลือแล้วจะแจกใครต้องคิดต้องเป็น นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนะ สอนถึงพระนะ ให้รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ การที่ประหยัดมัธยัสถ์ ผ้าผืนหนึ่ง ชุดหนึ่งอย่างน้อย ๓ ปี จีวรตัวหนึ่งห่มได้ถึง ๓ ปี แล้วเราไปห่วงอะไร สิ่งที่ได้มาๆ มันเป็นเรื่องสมบัติของสังฆะ ของสงฆ์ ของโลก เราเจือจานเราแจกจ่ายเขาไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนั้นไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ไง

ถ้าเรารู้จักประหยัดมัธยัสถ์ ไม่ใช่เราคนจน เราคนร่ำรวย คนที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ที่หัวใจไง ของเรามี เราประหยัดมัธยัสถ์ เราประหยัดมัธยัสถ์ไม่ต้องของสวยของหรู โอ้โฮ! ต้องอย่างนั้น ไปเทียบเคียง ไอ้นั่นจิตใจแห้งแล้ง คนที่จิตใจแห้งแล้งอยากเทียบอยากเคียง อยากอวด อยากจะเสมอเขา แต่คนจิตใจที่ยิ่งใหญ่นะ มันยิ่งใหญ่ในหัวใจนะ ข้างนอกนะ จะปะๆ ชุนๆ สุดยอด

หลวงตาชื่นชมมาก หลวงตาท่านเห็นผู้ที่ประหยัดมัธยัสถ์ท่านจะชื่นชม ท่านจะรักใคร่มาก แล้วในนวโกวาท ตระกูลใดรู้จักเก็บออม รู้จักซ่อมแซมของใช้ของสอยในบ้าน ตระกูลนั้นจะไม่ตกต่ำเลย ตระกูลใดใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักรักษา ตระกูลนั้นจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน ร่ำรวยขนาดไหน ตระกูลนั้นต่อไปข้างหน้าจะขาดแคลน นี่ไง ความรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ ของมันจะมีน้อย เราประหยัดมัธยัสถ์ มันจะสะสมขึ้นไป คนจะรวยรวยได้อย่างนี้ไง

บอกว่า ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้น ถ้าปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ หลวงพ่ออยากให้มีความสุขก็เอาเงินมาเยอะๆ ลาภสักการะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกถ้าคนไม่มีปัญญา นี่อสรพิษนะ เงินทองให้เด็กๆ อันตราย ถ้าเด็กไม่รู้จักจับจ่ายใช้สอยนะ เสียหายหมดแหละ คนที่เขาร่ำรวยนะ เขาให้ลูกให้หลานเขาให้ด้วยความประหยัดมัธยัสถ์ ให้เขาแสวงหา ให้เขาเติบโตขึ้นมา เห็นไหม คนที่เขาฉลาดๆ เขาฉลาด เขาต้องการหัวใจ ต้องการให้ฉลาด ต้องการรู้จักประหยัดมัธยัสถ์

แต่ไอ้คนที่ขาดแคลน ลูกจะเอาอะไร ให้ๆๆ สุดท้ายให้มันแล้วไม่มีวันพอหรอก ไม่มีวันพอ ถึงเวลาแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นเลย แล้วต้องเลี้ยงมันจนตายนะ ถ้าเลี้ยงมันจนตายแล้วเราห้ามตายด้วย ต้องเลี้ยงมันไปจนกว่ามันจะตายไปข้างหนึ่ง เพราะอะไร เพราะขาดจากการที่จิตใจเราอ่อนแอไง จิตใจที่เราไม่เข้มแข็งพอที่เราจะอบรมบ่มเพาะของเราไง

นี่ปัจจุบันธรรมๆ นะ เราจะบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เชื่อกรรม กรรมคือการกระทำ ถ้าการกระทำนะ แก้กรรมๆ แก้ที่การประพฤติปฏิบัตินี่ เวลาแก้กรรม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้ากรรมมันเป็นของตายตัว เป็นพระโสดาบันไม่ได้ เป็นพระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ไม่ได้ เพราะกรรมมันตายตัว เราเกิดมาโดยอวิชชา เรามีเวรมีกรรมกันอยู่แล้ว แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้อย่างไร เวลาครูบาอาจารย์เราเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้อย่างไร

เป็นพระอรหันต์เพราะตัดทอนมันไง ฆ่ากิเลสไง ฆ่าเวรฆ่ากรรมจนผ่องแผ้วไง จนไม่มีเวรไม่มีกรรมในหัวใจเลย นี่การจะแก้กรรมๆ แก้กรรมด้วยการหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แก้กรรมด้วยการพัฒนาหัวใจของเรา ถ้าหัวใจมันพัฒนาขึ้นมาแล้ว มันมีสติปัญญาขึ้นมาแล้ว มันจะไปหยิบฉวยอะไรที่มันเป็นโทษเป็นภัยล่ะ มันจะหยิบฉวยสิ่งที่ดีทั้งนั้น

แล้วถ้ามันหยิบฉวยไม่เป็นโทษเป็นภัยนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เวลาจะไปกรุงกบิลพัสดุ์ เวลาข้ามหนองน้ำ “อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน เรากระหายเหลือเกิน” เวลาจะไปตักน้ำมาถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพบูชา ไม่ๆ ตักไม่ลง น้ำขุ่น ไปรายงานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปข้างหน้าเถิด ไปดื่มน้ำที่ใสสะอาดดี นี่มันขุ่น”

“อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน เรากระหายเหลือเกิน”

พระอานนท์ด้วยความจนใจจำใจก็ต้องไปตักน้ำนั้นไง พอตักน้ำนั้น ด้วยบุญบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะใสสะอาดเฉพาะตรงที่ตักนั่นน่ะ พอตักขึ้นมาเป็นความมหัศจรรย์ พระอานนท์อึ้งเลย พระโสดาบันนะ พระโสดาบันมีคุณธรรมในหัวใจ มีภูมิธรรม พระโสดาบันไม่ใช่คนซื่อบื้อ ไม่รู้อะไรเป็นอะไรเลย พระโสดาบันน่ะ ขนาดพระโสดาบันยังอึ้งเลย “สิ่งที่ไม่เคยมีไม่เคยเป็นได้เป็นแล้วพระเจ้าค่ะ”

น้ำขุ่น พอจะตัก มันใสเฉพาะตรงนั้น นั่นแหละบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาสิ่งที่น้ำขุ่นเพราะเศษของกรรมๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา กรรมคือการกระทำ กรรมที่เป็นเศษของกรรมที่มันติดสอยห้อยตามมา แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณ ด้วยคุณธรรม ด้วยวิชชา ด้วยสัจธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชำระล้างอวิชชา อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาดับหมดสิ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดติดค้างในหัวใจเลย นั่นแหละความจริง ธรรมธาตุๆ ในใจอันนี้สำคัญมาก ถ้าสำคัญมาก สิ่งที่แก้ไขๆ มันแก้ไขที่นี่ไง มันทำได้ที่นี่ไง มันทำได้จริงไง แก้กรรมๆ แก้กรรมที่นี่ไง เราแก้กรรมที่เราเป็นเศษกรรมที่นู่นไง

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราเป็น หัวใจเรายิ่งใหญ่ หัวใจเรามีสติปัญญา เรามีคุณธรรมในหัวใจ สิ่งใดที่มันจะเกิดขึ้นยิ้มรับทั้งนั้นน่ะ มันยิ้มรับ พอยิ้มรับก็เป็นความสุขไง ยิ้มรับด้วยสติปัญญาไง ไม่ใช่คนใจคับแคบไง

พอใจคับแคบขึ้นมา อะไรก็โดนเราไม่ได้ กระทบกระเทือนเราไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้

ไม่ได้เป็นคนหรือ คนเราก็มีหิวมีกระหายใช่ไหม คนก็มีความทุกข์ความยากเป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหม เรื่องหิวกระหายเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลกใช่ไหม ไอ้เรื่องหิวกระหายถ้าคนมีปัญญาขึ้นมาเขาก็แก้ไขของเขาไง ถ้ามันจะหิวกระหาย เศษของกรรม ถ้ามีสติปัญญามันเข้าใจตรงนี้ไง มันปล่อยวางด้วยความแช่มชื่นแจ่มใสไง ที่ว่าแพ้เป็นพระๆ เพราะพระเขาประเสริฐในหัวใจไง พระประเสริฐในหัวใจเขาเข้าใจตรงนี้ไง ฟังธรรมๆ ตอกย้ำหัวใจเราตรงนี้ไง

ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์แล้วไปตะครุบเงามันก็ได้แต่ความทุกข์ๆ น่ะสิ ถ้าปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ สิ่งที่แสวงหาเราก็แสวงหามาเพื่อดำรงชีพ แต่ธรรมโอสถ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าสู่ในหัวใจ อันนี้ประเสริฐมาก ประเสริฐที่ไหน ประเสริฐเพราะมันสัมผัสด้วยหัวใจ

คนเราศึกษาจบ ๙ ประโยค มันก็ทางวิชาการ เวลามันเรียน มันก็เขียนในกระดาษ ในคอมพิวเตอร์ของมันเท่านั้นน่ะ แต่มันไม่เข้าถึงหัวใจหรอก แต่ถ้ามันเข้าถึงหัวใจได้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันเข้าสู่หัวใจ เข้าสู่ฐีติจิต ถ้าฐีติจิตมันมีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ มันพิจารณาของมัน มันแก้ไขของมัน เวลามันสำรอกมันคายออกในหัวใจอันนี้ไง นี่แก้กรรม แก้กรรมอย่างนี้ เวลาแก้กรรมเขามีสติปัญญา เขาแก้อย่างนี้

ไม่ใช่ไปแก้กรรม พระสงบมาเลย ที่นี่รับแก้กรรม มาได้เลย ใครชงมาได้เลย เอาตังค์มาเยอะๆ นะ ยิ่งตังค์เยอะยิ่งแก้ได้ชัดเจนเลย...ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้ตั้งสติปัญญานี่ แก้ที่สมองนี่ แก้ที่หัวใจนี่ แก้ขึ้นมาให้เป็นคนยิ่งใหญ่นี่ แก้ขึ้นมา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ให้เป็นอิสระเป็นเสรีภาพ ภราดรภาพ พระอรหันต์แต่ละองค์นี่หัวใจยิ่งใหญ่ หัวใจที่พ้นจากกิเลส พ้นจากการครอบงำของมาร

ไอ้นี่ให้แต่ความวิตกกังวล ให้แต่ความสงสัยครอบงำ แล้วก็ให้ความสงสัย ให้อุปาทานหมู่ชักกันไป แก้กรรมๆ แก้กรรมก็กระเป๋าเขาไง ในหลวงพูดไว้ เวลาเศรษฐกิจตกต่ำไง ท่านบอกตอนนี้เศรษฐกิจกำลังเจริญ

คนก็สงสัยถามในหลวง ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ถามว่าเศรษฐกิจมันเจริญที่ไหน

เจริญที่หมอดูไง เจริญที่พวกพยากรณ์ ทุกคนต้องไปจิ้มกล้องตรงนั้นหมดเลยไง เจริญตรงนั้นไง แต่พวกเราทุกข์ยาก

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์กับเรา ถ้าสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ต้องมีสติปัญญา เรามีพุทธะอยู่กลางหัวใจ ทุกคนมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางหัวอก พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ปฏิสนธิจิตนั่นคือพุทธะ เรามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่กลางหัวใจคนละองค์ แต่เราไม่รักษาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เราไปแสวงหาแต่ภายนอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางหัวใจเรานี่ ต้องการฝึกหัดสติเราให้เข้มแข็งขึ้นมา ถ้าเป็นสติเข้มแข็งขึ้นมา มีสติสัมปชัญญะ ใครจะหลอกลวงเราไม่ได้ ใครจะพูดสิ่งใดเราไม่เชื่อใครทั้งสิ้น ต้องมีเหตุมีผล ถ้ามีเหตุมีผล เราฟัง เราฟังแล้ว ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ด้วยเหตุด้วยผล เราเชื่อสิ่งนั้น แล้วเวลาพิจารณาเข้าไป เวลาจิตมันสงบแล้ว พุทธะของเรานะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันเบิกบานมันก็มีความสุขแล้ว

คนปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ ถ้าปรารถนาความสุข ความสุขเกิดที่นี่ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับการชำระล้างกิเลสไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับทำให้หัวใจผ่องแผ้วนี้ไม่มี ความผ่องแผ้วในหัวใจนี้เป็นสมบัติของเรา เอวัง