เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรมๆ นะ เราบอกสัจธรรมเปรียบเหมือนทองคำๆ คนเหนือสัจธรรมก็เหมือนทองคำในร้านไง เปรียบเหมือนทองคำ เปรียบว่ามันมีค่า สัจธรรมมันมีค่า สัจธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมีค่า มีค่าดั่งทองคำ มีค่าดั่งทองคำ เราก็ว่าถ้าเป็นธรรมะก็ต้องเป็นทองคำ สิ่งที่ทองคำนะ เราแสวงหาทางโลก เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีอำนาจวาสนา เราทำมาหากินของเรา
ถ้าประสบความสำเร็จทางโลก สิ่งที่ประสบความสำเร็จทางโลก ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งนั้นเราดำรงชีวิตมันมีความสุข ความสุขทางโลกไง ถ้าความสุขทางโลก ใครประสบความสำเร็จ ใครมีความทุกข์ความยากขึ้นมาก็ธรรมโอสถเพื่อบรรเทาทุกข์ในหัวใจของเรา เราพยายามจะหาความสุขทางโลกให้ได้ นั่นคือกามคุณ ๕
แต่กามคุณ ๕ สิ่งที่เป็นประโยชน์ๆ สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ถ้าคนมีสติปัญญา ถ้ามีปัญญา เวลามันทุกข์กายทุกข์ใจ ทุกข์กายทุกข์ใจมันมาจากไหน ทุกข์กายทุกข์ใจ สิ่งที่เราแสวงหามามันก็เพื่อประโยชน์กับการดำรงชีวิต มันก็มีประโยชน์กับเรา ถ้าประโยชน์กับเรามันก็ประโยชน์กับการดำรงชีวิตนี้ มีประโยชน์กับร่างกายนี้เท่านั้น เราอยู่ทางโลก เราต้องใช้จ่าย เราต้องใช้สอย มันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยทั้งนั้นน่ะ ไว้ใช้สอยของเราไง แต่หัวใจคนมีธรรมๆ เขามีความสุขของเขานะ ถ้าเขามีความสุขของเขา ความสุขของเขา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เราจะหาความสุขของเรา ถ้าความสุขของเรา ถ้าเราอยู่กับทางโลกมันเป็นวัตถุ มันเป็นเรื่องโลกๆ
แต่มองเรื่องทางธรรมๆ ทางธรรม ทางธรรมเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว ธรรมะดั่งทองคำ เราจะมีทองคำ เราแสวงหาทองคำ ทองคำก็อยู่ในเหมือง ทองคำก็อยู่ในร้าน ทองคำมันอยู่ที่ไหนล่ะ แต่ถ้าเราจะฝึกหัดของเรา เรามีสติมีปัญญาของเรา ถ้ามีสติปัญญาของเรา ถ้ามันไม่ทุกข์มันก็ไม่ยาก เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านเข้าป่าเข้าเขาของท่านไปนะ เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา สิ่งใดถ้ามันขาดตกบกพร่อง สิ่งใดขาดตกบกพร่อง มันจะมาเอาสมบูรณ์มาจากไหน
ถ้าเอาความสมบูรณ์ สมบูรณ์มันก็เรื่องโลกๆ ไง ถ้าเรื่องโลกมันก็ช่วยเหลือเจือจานกันได้ แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติของเรา เราต้องการความวิเวก เราต้องการความสงบสงัดของเรา เราจะต้องการค้นคว้าหาหัวใจของเรา
เวลาเข้าป่าเข้าเขาไป เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา มันถึงเห็นมีคุณค่าไง แต่ถ้าเราอยู่กับมันจนเคยตัว ของสิ่งใดก็อุดมสมบูรณ์ไปหมดๆ มันไม่เห็นคุณค่าหรอก คนเรามันไม่ทุกข์ไม่ยากขึ้นมาจะไม่เห็นคุณค่าของมัน แต่เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมา เราเห็นคุณค่ามากนะ
เวลาครูบาอาจารย์ของเราอยู่ในป่าในเขา กินข้าวเปล่าๆ ทั้งนั้นน่ะ เวลากินข้าวเปล่าๆ ขอให้มีข้าวให้กินก็นับว่าบุญแล้ว เพราะว่าอยู่ในป่าในเขามีแต่คนทุกข์คนยาก เวลาคนเขาไปจับจองที่กันใหม่ๆ เขาก็แค่ไปสร้างตูบเท่านั้นแหละ เราไปอาศัยอยู่กับเขา อาศัยอยู่กับเขา เขาเองเขาก็อยู่กินอย่างนั้นน่ะ แล้วเขาจะมีสิ่งใดดีเลิศมาใส่บาตรให้เรา แม้แต่มีข้าวกินมันก็มีความสุขแล้ว แล้วข้าวเปล่าๆ นะ อยู่ในป่าในเขาเวลามันอดมันอยาก ข้าวเปล่าๆ นี่หวานเจี๊ยบเลย ข้าวเปล่าๆ กลับมีรสมีชาติ
เวลาเราอยู่ในบ้านในเมือง มีสิ่งใดด้วยศรัทธาความเชื่อของสังคม สังคมเขาต้องการบุญกุศลของเขา เวลาทำบุญทำกุศลของเขาก็เพื่อบุญกุศลของเขา เพื่อประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา พอเขาทำสิ่งใดของเขา เขาก็หาสิ่งที่ดีที่สุดของเขามาใส่บาตรพระไง สิ่งใดในโลกเขามี เขาแสวงหามาๆ เพื่อให้คุณค่า ว่าธรรมะดั่งทองคำ ธรรมะดั่งทองคำ เขาปรารถนาทองคำ แต่เขาใส่บาตรพระ เขาใส่บาตรพระก็เพื่อประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา สิ่งใดเขาแสวงหามา แสวงหามาก็ด้วยศรัทธาความเชื่อของเขา เราได้สิ่งนั้นมา เห็นไหม นั่นน่ะคนที่เขาใส่บาตรของเขา หัวเขาดำๆ นะ เขาเป็นคฤหัสถ์นะ เขายังมีจิตใจสูงส่งที่เอาสิ่งนี้มาเสียสละได้ เราเป็นพระเป็นเจ้าบิณฑบาตสิ่งนั้นมา สิ่งที่เขาทิ้งแล้ว
แล้วเวลาพระบิณฑบาตสิ่งนั้นมา จะฉันต้อง ปฏิสงฺขา โยฯ ของนี้เป็นของเน่าของบูด ของนี้มันไม่จีรังยั่งยืน แต่เราดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้เพื่อปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัย อาศัยสิ่งนี้ไว้ดำรงชีวิตไว้ ดำรงชีวิตไว้ทำไม ดำรงชีวิตไว้ค้นคว้าหาความจริงในหัวใจของเราไง ถ้าค้นคว้าหาความจริงในใจนั่นคือสัจธรรมๆ ไง
สัจธรรมมันคืออะไร สติ สมาธิ ปัญญา ถ้ามีสติยั้งคิด มันคิดได้ ถ้ามันคิดได้ เวลาอยู่ในบ้านในเมืองอุดมสมบูรณ์ อุดมสมบูรณ์พูนสุขทั้งนั้นน่ะ มันอยู่ที่สุขที่สบาย เขาว่าพระกินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน แล้วทำไมเราต้องไปประพฤติปฏิบัติ ทำไมจะต้องออกป่าออกเขา ทำไมจะต้องไปทำความทุกข์ความยาก ชีวิตนี้มันก็ทุกข์ยากแสนเข็ญอยู่แล้ว ทำไมต้องเอาความทุกข์ความยากมาใส่ให้ตนอีก นี่เป็นทุกข์นิยมๆ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่คิดอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปรารถนาอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้เราพ้นจากทุกข์ๆ ถ้าพ้นจากทุกข์ขึ้นมา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราเข้าไปหาสัจจะความจริง เข้าไปหาสัจจะ ดูสิ เป็นความจริง
โลกนี้เป็นสมมุติทั้งนั้นน่ะ ตลาดลาดเลนี่เป็นของสมมุติทั้งนั้นน่ะ มันมีตลาดขึ้นมา นี่ผลของตลาด ถ้าที่ไหนมีคนซื้อตลาดมันก็เฟื่องฟู พอที่ไหนไม่มีคนซื้อ ตลาดมันก็วาย ตลาดมันเกิดขึ้นกับสังคมนั่นแหละ พอสังคมขึ้นมา อยู่ที่ไหนมันก็เป็นไปโดยธรรมชาติของมัน เป็นระบบของตลาด
เราเข้าไปป่าเข้าเขาคนเดียว เราอยู่คนเดียว ใครเขาจะเอาอาหารไปขายให้เราล่ะ ไม่มีหรอก สัตว์เขายังไปล่าเป็นอาหารเลย เราไปหาสัจจะความจริงไง ไปหาสัจจะความจริง เวลาสิ่งที่หาสัจจะความจริง มันไม่มีหรอก ตลาดลาดเลมันไม่มี มันไม่มีขึ้นมา เราอยู่กับความจริงอย่างนั้น ถ้ามันจะขาดแคลนขึ้นมาก็ขาดแคลนโดยข้อเท็จจริง แต่ถ้ามันมีอำนาจวาสนาขึ้นมา มันก็ไปเจอคนที่เขามีศรัทธาความเชื่อของเขา นี่ไง มันเป็นอำนาจวาสนาของคน สิ่งที่อำนาจวาสนาของคน เราไปหาสัจจะความจริงอย่างนั้น เวลามันอดมันอยากขึ้นมา มันทุกข์มันยากขึ้นมา มันทุกข์มันยากขึ้นมา คนเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องมีสูงมีต่ำ มันต้องมีลุ่มๆ ดอนๆ มันต้องมีสัจจะความจริงของมัน ถ้าสัจจะความจริงขึ้นมา สิ่งนี้เราจะค้นหาความจริงของเรา ถ้าค้นหาความจริงของเรา
สิ่งที่เวลามันไม่พอใจขึ้นมา มันออกฤทธิ์แล้ว เวลากิเลสมันออกฤทธิ์ ไม่มีสติปัญญาเท่าทันมันทั้งนั้นน่ะ เวลากิเลสมันออกฤทธิ์ นั่นน่ะ ก็เราไปค้นหามัน พอกิเลสออกฤทธิ์ มีสติปัญญานะ ของสิ่งใดที่ทางโลกเขามี เราก็เคยใช้สอยมาทั้งนั้นน่ะ มันจะดีเลิศไปขนาดไหน ของเน่าของบูดทั้งนั้นน่ะ แล้วสิ่งที่เรามาหา เรามาหาอะไร เรามาหาของเน่าของบูดนั้นใช่ไหม เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาจิตมันสงบแล้ว ถ้าเห็นร่างกายขึ้นมาเป็นอสุภะๆ สิ่งที่เป็นอสุภะมันก็ของเน่าของเสียทั้งนั้นน่ะ ถ้าของเน่าของเสีย ถ้ามีสัจจะมีความจริง ถ้ามันเห็นขึ้นมา มันมีคุณค่าไง คุณค่ามันสลดหัวใจ หัวใจมันสลดสังเวชมากนะ ถ้าจิตสงบแล้วเห็นกายมันแปรสภาพ โอ้โฮ! มันสลดสังเวช มันเห็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณะขึ้นมาในหัวใจ นั่นน่ะสัจธรรมๆ ไง
แต่ถ้าแสวงหาอย่างนี้ แสวงหาของเน่าของบูดจากภายนอกไง แล้วก็ติดข้องกับมันไปไง มันจะเป็นจะตาย มันต้องดิ้นรนของมันไง ถ้ามันดิ้นรนของมัน สติปัญญามันเท่าทัน นี่สติ พอสติมันพิจารณาของมันขึ้นไปมันจะมีคุณค่า รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง
เวลามันอดมันอยากมันทุกข์มันยาก มีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจทั้งนั้นน่ะ เวลามีสติปัญญาขึ้นมาปราบปรามกิเลสแล้ว โอ๋ย! มันชุ่มชื่นนะ ดูสิ หลวงปู่ชอบ ครูบาอาจารย์เราอยู่ในป่าในเขา เทวดาเอาอาหารทิพย์จะมาลูบเข้าทางผิวหนัง นั่นน่ะเทวดา อินทร์ พรหมเขาชื่นชมอยู่นั่น ไอ้เรามีแต่เปรตชื่นชม เปรตน่ะ เปรตมันยกย่อง แต่ความจริงมันไม่มีให้ใครชื่นชมไง ถ้ามันชื่นชม ถ้ามันทำความจริงชื่นชมอย่างนี้ไง
ถ้ามันไม่ทุกข์ มันก็ไม่ยาก ถ้ามันไม่อด มันก็ไม่อยาก เวลาเกิดมาแล้วเกิดมาด้วยบุญกุศล เราก็ว่าเรานี่อุดมสมบูรณ์ไปหมด มันไม่เคยขาดแคลนไง แต่ถ้าคนมันขาดแคลน ขาดแคลนเพราะเป็นเวรเป็นกรรมของเรา เพราะเรามีเวรมีกรรมอย่างนั้น เราได้เห็นโทษของมัน เราถึงมีสติปัญญา เราจะมั่งมีศรีสุข ทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน เราก็จะสร้างบารมีของเรา ถ้าเราไม่เจอพระ เราก็สวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนาของเรา ถ้าที่ไหนเราเจอพระ เรามีการเสียสละของเรา เราก็อยากทำของเราไง
เวลาคน คนเกิดมาบางคนไม่เคยทำบุญกุศลเลย แต่บางคนเกิดมาเขาทำมาแต่เล็กแต่น้อยขึ้นมา เขาอยากเสียสละของเขา นี่ไง จิตใจของเขาที่เขาฝึกฝนของเขามา ถ้าฝึกฝนของเขามา เขามีอำนาจวาสนาของเขา เขาคิดแต่เรื่องดีๆ ของเขา เวลาโตขึ้นมาเขาว่าจะอยู่ไปทำไม คนจะอยู่กับโลกไปทำไม อยู่ไปมันไม่มีอะไรแปลกประหลาดเลย มันถึงที่สุดนะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราต้องพลัดพรากจากกันทั้งนั้นน่ะ ทีนี้พลัดพรากจากกันมันเป็นสัจจะเป็นความจริงใช่ไหม คนเรามันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ ทีนี้การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเป็นข้อเท็จจริง เป็นสัจธรรม เป็นเรื่องจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วเป็นสัจธรรม เป็นสัจธรรมขึ้นมาแล้ว จิตนี้ไม่เคยตาย มันต้องเวียนว่ายตายเกิดแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าแน่นอนอยู่แล้ว คนเขามีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน ถ้ามากน้อยแค่ไหน เขาก็ได้สร้างบุญกุศลของเขาเท่านั้น เท่านั้นเพื่ออะไร เพื่อบรรเทาทุกข์ของเขา บรรเทาทุกข์ของเขาไง
คนที่เป็นเอกบุรุษ สัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนยมันไม่กินอาหารทั่วไป มันกินแต่ยอดหญ้า มันกินแต่น้ำค้าง มันกินแต่อาหารที่ประเสริฐทั้งนั้นน่ะ
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นสัตว์อาชาไนย มันถึงออกจากสังคม ออกจากโลก ออกจากโลกมาเป็นนักพรตนักบวชมาประพฤติปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติของเราจะเอาความจริง วันนี้วันพระ ถ้าวันพระ บวชพระก็ไปบวชที่โบสถ์ไง แต่ถ้าเป็นวันพระนะ พระผู้ประเสริฐในหัวใจนี้ไง พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจนี้ ถ้าหัวใจนี้ถ้ามีการกระทำความจริงขึ้นมา ถ้ามันสดชื่น มันมีสติมีปัญญา มันสดชื่นแจ่มใสขึ้นมา มันชุ่มชื่น มันอยากจะประพฤติปฏิบัติ มันอยากค้นคว้าหาพุทธะในใจของเรา
ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำหัวใจ คอตก นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ไม่รู้เกิดมามีแต่ทุกข์แต่ยาก มีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ มีแต่จุดไฟเผาตัวเองไง นี่ไง ถ้าเวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันล้นเหลือนะ มันก็ทำอย่างนั้นน่ะ
แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราจะหาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญตบะนะ เวลาบำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์มา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ท่านสร้างบุญกุศลมาขนาดนั้น เวลาถึงที่สุดแล้วท่านก็มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ต้องประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านสอนประจำ เราทำบุญกุศลจะมากน้อยแค่ไหน บุญกุศลยิ่งทำยิ่งดี ยิ่งดีมันก็ในความดีนั้นไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอนุปุพพิกถา ให้เสียสละทาน เสียสละทานแล้วได้ไปสวรรค์ ได้แต่ความดีงามๆ ความดีงามให้ถือเนกขัมมะ แล้วให้ออกประพฤติปฏิบัติไง เวลาถึงที่สุดแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องประพฤติปฏิบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรก็ปฏิบัติของพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร นางอุบลวรรณา นางภิกษุณีต่างๆ ท่านก็ปฏิบัติของท่านตามแต่อำนาจวาสนาของท่าน
นี่ก็เหมือนกัน พระพุทธศาสนาสอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ตลอดเวลาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย
สิ่งที่โยมเอามามันเป็นอามิสบูชา การที่เป็นอามิสบูชามันก็ได้ผลของวัฏฏะไง ผลของวัฏฏะคือได้บุญกุศล เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง ถ้าปฏิบัติบูชา วิวัฏฏะไง จะหักออกจากกรงของวัฏฏะไง ถ้าออกจากกรงวัฏฏะ มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่สุดปรารถนาของชาวพุทธไง ถ้าชาวพุทธ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เพราะมันซ้ำๆ ซากๆ มันมีอะไรมหัศจรรย์ เราก็เห็นคนเกิดอยู่ทุกวัน เราก็เห็นคนตายอยู่ทุกวัน แล้วเราก็เป็นอย่างนั้นน่ะ แล้วก็ไปเกิดใหม่ ตายใหม่อยู่อย่างนั้นน่ะ ถ้าเกิดใหม่ ตายใหม่ แล้วก็บอก นรกสวรรค์ไม่มี มีชาตินี้ชาติเดียว ไม่เกิด ไม่ตายหรอก ไม่เกิด ไม่ตาย มันก็เป็นเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากปิดบังหัวใจของเรานะ
ถ้าเป็นความจริงๆ มันมีสิ ไม่มีบุญกุศล คนจะเกิดสูงเกิดต่ำมาอย่างไร เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน พ่อแม่คนเดียวกัน ลูกเกิดมาในท้องเดียวมันยังไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกันเพราะอะไร เพราะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันได้สร้างบุญสร้างกรรมของมันมา ปฏิสนธิจิตๆ พันธุกรรมของมัน พันธุกรรมของมันได้ตัดแต่งของมันมาเสร็จแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ก็ตัดแต่งมาดีงามแล้ว แต่ตัดแต่งมาดีงามขนาดไหนมันก็ผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะเกิดจากวัฏฏะไง
นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมามีกายกับใจ กายกับใจก็ผลของความเกิดเป็นมนุษย์ไง ว่าเกิดเป็นมนุษย์นะ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุดไง เราก็เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธาความเชื่อ เรามาวัดมาวาของเรา มาทำบุญกุศลของเรา ฟังธรรมๆ ตอกย้ำให้หัวใจมีสติปัญญา ให้รู้จักคิดไงว่าหัวใจนี้มีคุณค่าๆ
ธรรมะดั่งทองคำๆ ธรรมะดั่งทองคำเพราะทองคำมันมีค่าในโลกนี้ไง เขาบอกว่ามันมีคุณค่าๆ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วมันมีคุณค่ามากกว่านั้น เพราะทองคำเขาตีเป็นราคาได้นะ แต่ความจริง ศีล สมาธิ ปัญญามันตีค่าไม่ได้ไง
ดูสิ แค่อภิญญา กำหนดรู้เสียงเทวดาคุยกันนู่นน่ะ เทวดาคุยกันยังได้ยินเลยนะ ดูสิ นี่ไง ผลของวัฏฏะไง นี่พูดถึงแค่อภิญญา แล้วเกิดถ้าจิตมันสงบแล้วมันรู้มันเห็นของมัน มหัศจรรย์ของมัน มันมีคุณค่าแค่ไหน เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ชำระล้างกิเลส มันสำรอกมันคายกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันยิ่งมีคุณค่ามากกว่านั้นอีก แล้วเวลามันสำรอก สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สังโยชน์ขาดไป ๓ ตัว
คนเรานี่นะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่ไม่มีต้นไม่มีปลาย เวลาเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันจะรู้ขึ้นมาในปัจจุบันนั้นทันทีว่า จิตนี้ถ้าจะเกิดอีกอย่างมากก็แค่ ๗ ชาติ พระโสดาบันจะรู้ในตัวของพระโสดาบัน
เราเป็นมนุษย์ เราก็รู้ความเป็นมนุษย์ของเราใช่ไหม เราเป็นคนเราก็รู้ความเป็นคน สัตว์มันก็รู้ว่าความเป็นสัตว์ของมัน เวลาจิตที่มันสำรอกกิเลสแล้ว ที่มันคายออกไป ถ้ามันละสังโยชน์ ๓ ตัว พระโสดาบันจะรู้ในปัจจุบันนั้นเลยว่าอย่างมากก็อีก ๗ ชาติ อย่างมาก แต่ถ้าทำไปๆ มันพิจารณาของมันไป นี่ไง คุณสมบัติของมัน มันต้องมีสิ คุณสมบัติถ้ามันรู้มันเห็นของมันขนาดนั้นแล้ว นี่มันถึงผลของวัฏฏะๆ เราก็เห็นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันวิวัฏฏะที่มันออก มันออกมาอย่างไร ถ้ามันออกมายังไม่สำรอกยังไม่คายถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ มันก็อีก ๗ ชาติ ๓ ชาติ ชาติสุดท้าย นี่เวลาทำความจริง ถ้ามันเป็นความจริงมันเป็นความจริงอย่างนี้
แต่โลก ในเมื่อพระพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีเป้าหมายอย่างนั้น เวลาพระสมัยพุทธกาลเวลาข้าวยากหมากแพง พระเขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันทุกข์มันยาก เพราะประชาชนเขายังไม่มีจะอยู่จะกิน เขาจะเอาอะไรมาดูแลพระ เวลาไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ้โฮ! หนังหุ้มกระดูกทั้งนั้นน่ะ
มันมีพระอยู่กลุ่มหนึ่งเวลามานี่ผิวพรรณผ่องใส พระพุทธเจ้าว่า เธออยู่กันอย่างไร
โอ้โฮ! ข้าพเจ้าอยู่นะ ก็บอกองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ องค์นั้นก็บอกเป็นพระอนาคามี องค์นั้นบอก อู๋ย! ชาวบ้านเขาศรัทธานะ เขาขวนขวายมาใส่บาตร อุดมสมบูรณ์ ผิวพรรณผ่องใส
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมหาโจร
โจรมันยังต้องไปปล้นนะ ไปปล้นไปจี้ ดูสิ คนมันจะหาผลประโยชน์ มันต้องไปหาของมัน ไอ้นี่มหาโจร หลอกลวงเขาให้เขาเอามาให้ถึงที่ไง หลอกลวงเขานี่ไอ้พวกมหาโจร อยู่แบบโจร
นี่ไง เราเป็นพระโสดาบันมันอีก ๗ ชาติ เขาก็สังเวชของเขา สังเวชเรื่องสัจธรรมในหัวใจ สัจธรรมในหัวใจ คุณธรรมในใจ ธรรมสังเวช มันสังเวช มันสลด มันหดหู่ มันหดหู่ในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันแช่มชื่นแจ่มใสในการพ้นจากวัฏฏะ มันมีคุณสมบัติในหัวใจของมันนะ สิ่งที่มีคุณค่า ธรรมะดั่งทองคำๆ ดั่งสัจธรรมในหัวใจอันนั้นไง
ไอ้นี่ธรรมะดั่งทองคำก็ทองคำในตู้ไง เอ็งก็มีทองคำเต็มตัว ข้าก็มีทองคำเต็มตัว แล้วก็ไปหลอกลวงชาวบ้านไง ชาวบ้านเขาก็ศรัทธาไง แล้วไม่รู้ว่าใครเป็นโจร ใครเป็นพระนะ
แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราพยายามปฏิบัติของเรานะ เวลาเราปฏิบัติของเรา เราตั้งสติของเรา เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทำบุญกุศล เราก็ได้ทำของเราแล้ว ไอ้ทำบุญกุศล เวลาว่าเราทุกข์เรายาก สิ่งใดเราต้องแสวงหามา เวลาเราหายใจเข้าพุท หายใจออกนึกโธ เราต้องมีอยู่แล้ว เพราะคนเรามีชีวิตมันต้องมีลมหายใจ ถ้ามีลมหายใจนะ ถ้ามีสติปัญญา เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นี้คือการรักษาดูแลหัวใจของเรา เพราะหัวใจของเราถ้าเราไม่ดูแลรักษา มันก็คิดนอกเรื่อง มันจะคิดไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไปกว้านเอาความทุกข์มาใส่ตัวเราทั้งนั้นน่ะ
เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เรากอดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ เรามีพุทธานุสติไง จิตของเรามีพุทธานุสติ สติอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เราเอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่กับหัวใจเราไว้
เวลาจะคิดเรื่องการเรื่องงาน เราก็คิดของเราไป พอพ้นจากการจากงานแล้วเราก็พยายามจะมากอดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รักษาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาถ้ามันเป็นพุทธะ มันเป็นความสงบของใจเข้ามา มันเป็นผู้รู้กลางหัวใจของเรา เราชาวพุทธๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องกาลามสูตรนะ ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ให้ศรัทธาความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา แล้วพยายามฝึกหัดภาวนาของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันมีคุณค่ามาก ธรรมะดั่งทองคำๆ ถ้าเราได้หัวใจของเราแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านสอนประจำ ถ้าใครได้ใจของตนแล้ว นั่นเป็นผู้ประเสริฐที่สุด คนที่ประเสริฐที่สุดคือได้หัวใจของตน รักษาหัวใจของตน
คนที่ได้มามากมายมหาศาลจากโลกภายนอก จากทรัพย์สมบัติของเรา ไม่ใช่ของเราทั้งนั้น หามาเกือบตาย ไม่ใช่ของเรา ลองไปวางไว้สิ หายหมดล่ะ ใช่จริงหรือเปล่า ที่หายไปทั้งหมดไม่ใช่ของเราทั้งนั้น มันแค่เครื่องอยู่อาศัย แต่เพราะมีอำนาจวาสนา มีสติมีปัญญา เราถึงสามารถหาอยู่หากินได้ เพราะมีสติมีปัญญา เราถึงมีหน้าที่การงาน เพราะมีสติมีปัญญา เราถึงได้ทำธุรกิจของเราจนได้ผลตอบแทนอย่างนั้นมา ถ้าได้ผลตอบแทนอย่างนั้นมา คนที่มีสติปัญญารู้จักประหยัดรู้จักมัธยัสถ์ รู้จักใช้สอยเพื่อไม่ให้นิสัยเสีย คนที่ไม่มีสติปัญญาได้ทรัพย์สมบัติมาแล้วก็ใช้จนนิสัยเสีย นิสัยเสียแล้วก็พยายามจะหามาป้อนมัน พอป้อนมันไม่ทันก็ต้องแสวงหา ต้องกู้หนี้ยืมสินจนทำลายมันไป
คนที่มีสติปัญญาเขารักษาอย่างนั้น ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่สมบัติของเรานั่นแหละ มันก็เป็นประโยชน์ถ้ามีผู้ที่ฝึกหัดสติปัญญาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งสอนบอกพระอานนท์ไว้ อานนท์ อสรพิษ อานนท์ อสรพิษ เงินนี่อสรพิษ อสรพิษ คนไม่เป็นมันกัดเอานะ แต่คนเป็น อสรพิษ กาชาดเขาเอามาทำเซรุ่ม อสรพิษมันเป็นยาป้องกันโรคได้นะ อสรพิษถ้าคนเขาฉลาด เขาใช้มันเป็นประโยชน์นะ แต่ถ้าคนโง่นะ อสรพิษมันกัดตาย งูเห่า ชาวนาเอามากอดไว้ สภากาชาดไป เขารีดพิษมันไปทำเซรุ่ม ไอ้ชาวนาเอามากอดไว้ สงสารมัน โอ๋ย! รักมันนะ มันกัดตายหมดเลย อสรพิษ
ถ้าคนมีปัญญานะ นี่พูดถึงถ้าคนมีสติมีปัญญาขึ้นมา นั่นไม่ใช่สมบัติของเราเลย แต่เราแสวงหามาแล้วมันเป็นสมบัติของเราในภพชาตินี้ แต่บุญกุศลมันติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ แม้แต่เกิดมาชาตินี้ที่มีสติมีเชาวน์ปัญญา นี่บุญกุศลทั้งนั้นน่ะ ทำไมมันมีเชาวน์มีปัญญา ทำไมคนนั้นมันอั้นตู้อย่างนั้นน่ะ มันไปไหนไม่รอด แต่ทำไมคนนี้มันแพรวพราว แพรวพราวต้องมีศีลนะ ต้องมีศีล มีสมาธิคุ้มครองมันนะ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา นี่หัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเราทำคุณงามความดีจะเป็นแบบนี้
วันพระ ถ้าวันพระแล้วนะ มาวัดมาวา ฟังแล้วอย่าเชื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงกาลามสูตรตลอด อย่าเชื่อ อย่าเชื่อ อย่าเชื่อ กลับไปวิเคราะห์ จริงหรือไม่จริง จะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์เรา ยาไปซื้อไว้ในบ้านเต็มเลยในตู้ยา ไม่เคยได้ใช้มันหรอก เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ นี่ก็เหมือนกัน ความรู้เยอะแยะ ใช้ไม่เป็น นี่ไง เอาไปวิเคราะห์ เอาไปเป็นประโยชน์กับเรา ยาต้องใช้ ถ้าใช้ยาแล้วได้ประโยชน์ คิดแล้วทำ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ไม่คิดไม่ทำ ไม่ได้อะไรเลย คิดแล้วทำ คิดแล้วมีสติปัญญา นี่ไง มีพุทธานุสติอยู่กับเราในหัวใจของเรา ประโยชน์กับเรา
วันพระ วันพระต้องพยายามค้นคว้าหาหัวใจของตน พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ความรู้สึกนี้จะตื่นขึ้นมาด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ให้เป็นพุทธะกลางหัวใจดวงนี้ เอวัง