เทศน์เช้า วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้ฟังธรรมนะ วันนี้วันพระ วันพระ วันออกพรรษา วันมหาปวารณา เขาปวารณากันเพื่อบุญเพื่อกุศลไง เพราะอยู่ในพรรษามีสิ่งใดที่มันขัดมันบาดมันหมางสิ่งใด เขาขอขมาลาโทษกัน นี่เป็นอริยวินัย วินัยที่ว่าใครขาดตกบกพร่องแล้วสำนึกได้ สำนึกจริงๆ นะ ไม่ใช่ตอแหล ถ้าสำนึกจริงๆ ขึ้นมามันเป็นความจริง
ไอ้นั่นมันไม่สำนึกหรอก ไอ้ตอแหลหน้าไหว้หลังหลอก หน้าไหว้หลังหลอกไม่มีประโยชน์หรอก ไม่มีประโยชน์ตรงไหนรู้ไหม ไม่มีประโยชน์ เวลาคนมาแล้ว เวลาไปทำสิ่งใดแล้วมันผุดขึ้นมากลางหัวใจนะ กลางหัวใจ ความลับไม่มีในโลกไง ไปอยู่ในถ้ำ ไปอยู่ในเงื้อมผาที่ไหนก็แล้วแต่ ความคิดที่ชั่วๆ มันเกิดมาในหัวใจ มันบีบคั้นหัวใจเรานะ แล้วก็ไปหาครูบาอาจารย์นะ จะแก้ไขอย่างไร จะแก้ไขอย่างไรไง สิ่งใดที่มันทำแล้วขอขมาลาโทษ ถ้าเราแก้ไขไม่ได้ ถ้ามันแก้ไขได้ เรามีสติปัญญายับยั้งไว้ อย่าทำ อย่าทำสิ่งนี้เลย ทำเสร็จแล้วนะ เสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย สิ่งนั้นไม่ดีเลย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ สิ่งใดมีการเกิด ต้องมีการดับ วันนี้วันออกพรรษา เวลาเกิดขึ้นๆ ธุดงควัตร เราจะทำคุณงามความดีกัน ถ้าพระที่เขามีสติมีปัญญาของเขานะ เขาธุดงค์ตลอดชีวิตของเขา ธุดงค์แล้วไม่ต้องบอกใครก็ได้ ครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านบิณฑบาตมา ท่านบิณฑบาตมา เวลาฉันในบาตร ท่านไว้ข้างบาตร ท่านไม่แตะเลย กินข้าวเปล่าก็ได้ จะมีสิ่งใดวิเศษวิโสมาขนาดไหนนะ เอาไว้ในบาตรนะ แล้วไม่แตะมันเลย หัวใจที่สูงส่งไม่แตะ มันซื่อสัตย์กับตนเองไง นั่นน่ะถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงเขาเป็นจริงอย่างนั้นนะ เขาไม่มีหรอกไอ้หน้าไหว้หลังหลอก ไม่มี ไอ้พวกนี้หน้าไหว้หลังหลอกอยู่แล้วนะ แล้วไปหลอกตัวเอง หลอกตัวเองได้อย่างไร ถ้าหลอกตัวเอง
๑ พรรษา เราประพฤติปฏิบัติมามันมีความดีมากน้อยขนาดไหน เวลาจะเข้าพรรษา เวลาเข้าพรรษา เราชื่นชม เราตื่นเต้น เราส่งเสริมกัน มีผ้าอาบน้ำฝน มีเทียนพรรษา จุดเทียนไว้ให้พระปฏิบัติ อู๋ย! ส่งเสริมกันเต็มที่เลย ออกพรรษาแล้ว ถ้ามีกฐิน เขากฐินเสร็จแล้ว พระจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามเลย ในพรรษาปฏิบัติได้ขนาดไหน ในพรรษาทำสิ่งใดมา
เวลาสมัยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาพระจะออกลาไปวิเวก วิเวกกลับมาแล้วต้องมารายงานเลยว่า ไปเที่ยวที่ไหนมา จิตใจสงบขนาดไหน มันเป็นประโยชน์อะไรมากน้อยขนาดไหน นี่หลักของศาสนามันอยู่ที่นี่ไง ศาสนามันอยู่ที่หัวใจของสัตว์โลกนะ ความสุข ความทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย นี่หัวใจของศาสนา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่หัวใจของศาสนา ศาสนามันอยู่ที่นี่ เขาแสวงหากัน แสวงหาที่นี่ วัดวาอารามเป็นที่พึ่งอาศัยของอารามิกชน คนที่ไม่มีบ้านไม่มีเรือนเขาเสียสละออกมาแล้วมาอยู่ที่อารามิกชน ไม่ใช่สร้างไว้ให้มันเป็นหอปราสาท ปราสาทเอาไว้ทำไม สิ่งที่เราอยู่โคนไม้มีความสุขขึ้นมา ความสุขอย่างนี้มันเกิดมาจากไหน เกิดมาจากการกระทำของเราไง ถ้าการกระทำของเรา ถ้าทำจริงทำจังขึ้นมานะ ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นมีการดับ มันมีสิ่งใดเกิดขึ้นมันต้องดับไป
สิ่งใดที่มีขึ้นแล้วมันต้องมีวันจบวันสิ้นไป แต่เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะของเราไม่จบไม่สิ้นไง พระโพธิสัตว์ๆ สร้างสมคุณงามความดี เกิดแต่ละภพแต่ละชาติสร้างแต่ความดีๆๆ ความดีอันนั้นมันพันธุกรรมของจิต มันตัดแต่ง มันแก้ไข มันดัดแปลง พอมันดัดแปลงขึ้นมา มันมีความสุขในใจของตน เห็นไหม เตมีย์ใบ้ๆ เขาบอกเสวยทศชาติ ๑๐ ชาติ เป็นเตมีย์ใบ้ กษัตริย์ไม่เชื่อ ใบ้จริงหรือ เอามีดตัดหู เอามีดตัดจมูก ตัดมัน ดูซิ มันพูดไหม ไม่พูด ไม่พูดนะ เตมีย์ใบ้ๆ นั่นน่ะขันติบารมี เวลามีขันติธรรม ความอดทนไง ความอดทน นี่พระโพธิสัตว์นะ เรามาเห็นเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เวลากว่าจะมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันทดสอบมา สิ่งที่สร้างสมมาๆ พระโพธิสัตว์สร้างสมมาขนาดไหน พอสร้างสมขนาดนั้น จิตมันถึงมีหลักมีเกณฑ์ของมันไง ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา สิ่งใดขึ้นมามันไม่หวั่นไหว
โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ที่ไหนมีลาภสักการะ ที่นั่นต้องเสื่อมเป็นธรรมดา ไม่มีหรอกที่มันอยู่คงที่ นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ศึกษากับอาฬารดาบส อุทกดาบส อาจารย์ยกยอปอปั้นเลย มีความรู้เหมือนเรา มีใครบ้างที่อาจารย์ยกย่องว่ามีความสามารถเท่าเราล่ะ แล้วสอนลูกศิษย์ได้
เจ้าชายสิทธัตถะไม่สนใจนะ ไม่สนใจเพราะมันไม่จริง มันไม่จริง สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ มันแค่หินทับหญ้า มันแค่ทำความสงบไว้เท่านั้น เวลามันสงบขึ้นมาก็มีความสุข เวลามันคลายออกมา มันละกิเลสตรงไหนออกไป
เจ้าชายสิทธัตถะเป็นลูกศิษย์นะ ไม่ฟังหรอก คำว่า ไม่ฟัง นี่มาจากไหนล่ะ มันก็มาจากพระโพธิสัตว์นี่ไง ขันติบารมี ปัญญาบารมี ศีลบารมี ทานบารมี บารมี ๑๐ ทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สร้างสมมาๆ เพราะสร้างสมมาอย่างนั้น พันธุกรรมของมันตัดแต่งมาแล้ว ใครจะมายกยอปอปั้นอย่างไรก็ไม่สน แล้วไม่มีใครสามารถสอนได้ ถ้ามันสอนได้มันต้องเป็นศาสดา มันไม่มีใครสอนได้หรอกเพราะมันไม่มีใครรู้จริง ถ้ามันรู้จริง ทำไมต้องสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ ทำไมสร้างสมบุญญาธิการมาขนาดนั้น
การสร้างสมบุญญาธิการของเขาเป็นอำนาจวาสนาของเขา เขาทำคุณงามความดีของเขา เราสาธุ เราสาธุ เขาขวนขวายสร้างคุณงามความดีของเขา ความดีของเขาเป็นนามธรรมๆ เวลาที่เราทุกข์เรายากอยู่นี่มันทุกข์ยากที่ไหน มันทุกข์ยากในหัวใจเรานี่ไง คนเกิดมาเป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าคนมันฉลาด ปัจจัยเครื่องอาศัยก็แค่อาศัยเท่านั้นน่ะ คนเราเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรมนะ มีปากมีท้องเหมือนกัน ใครมี ๒ ปาก ใครมี ๕ ท้อง มี ๑ ปากกับ ๑ ท้องเท่านั้นน่ะ
แต่ถ้าจิตใจเขาเป็นธรรมๆ ขึ้นมา ๑ ปาก ๑ ท้องมันก็แค่อาศัย เราหาอยู่หากิน แล้วเวลามาบวชเป็นพระฉันมื้อเดียว อดอาหารด้วย เขาผ่อนทำไม เขาผ่อนไว้ไม่ให้ธาตุขันธ์มันทับจิตไง ไอ้ของเรามีสิ่งใดอุดมสมูบรณ์ไปทั้งหมด หัวใจเร่าร้อน แผดเผาหัวใจ หัวใจมีแต่ความทุกข์ความยาก เพราะอะไร เพราะจิตใจมันต่ำต้อย จิตใจต่ำต้อยมันไพล่ไปหาว่าวัตถุนั้นมันมีคุณค่าไง มันไปเห็นสิ่งที่ข้างนอกเป็นคุณค่าไง มันไม่เห็นคุณงามความดีในหัวใจมีคุณค่าไง
ถ้าความดีในหัวใจมีคุณค่า คนจนผู้ยิ่งใหญ่ หลวงตามหาบัว มีบริขาร ๘ หาเงินค้ำชาติเป็นหมื่นๆ ล้าน ทองคำ ๑๐ ตัน มีใครทำ นี่คนจนผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ที่หัวใจนี่ไง เวลาท่านไปไหนท่านเอาหัวใจของท่าน ท่านบอกเลยนะ ถ้าท่านเป็นเศรษฐีนะ ท่านจะไม่กวนบ้านกวนเมือง จะไม่เบียดเบียนใครเลย แต่นี่เพราะมีบริขาร ๘ เพราะมีบริขาร ๘ แต่หัวใจที่ยิ่งใหญ่นะ สิ่งนั้นเวลาเผดียงๆ ให้พวกเราทำบุญกุศล ทำบุญเพื่อช่วยเหลือเจือจานกัน คนทุกข์คนจนคนละบาทสองบาท ท่านต้องการคนจนคนละห้าบาทสิบบาท ท่านไม่ต้องการไอ้พวกเศรษฐีเลย
แล้วเวลาท่านเผดียงๆ ท่านบอกเผดียงคนที่มันไม่อยากให้ ไอ้คนที่มันเห็นแก่ตัว มันบอกเลยนะ ช่วยไม่ได้ เป็นหน้าที่ของรัฐบาล เป็นหน้าที่ของไอ้พวกทำธุรกิจที่มันทำล่มจม ไม่สนๆ
แล้วเวลาประเทศชาติไม่มีมันสนไหม คนเราไฟไหม้บ้านนะ ไม่มีเรือนอยู่เลย มันจะไปโทษใคร เวลาไหม้บ้านแล้วมันก็อยู่กลางแจ้งทุกคนน่ะ แต่ถ้าคนมีเต๊นท์มีอะไร มันก็ช่วยเหลือเจือจานกัน ท่านพูดอย่างนั้น เห็นไหม คนจนผู้ยิ่งใหญ่ หัวใจที่ยิ่งใหญ่ท่านเห็นคุณธรรมอันนั้นไง
ไอ้คนที่มันมืดบอด ท่านบอกท่านพูดถึงไอ้พวกนั้นน่ะ เวลาท่านบอกว่าให้เสียสละ ให้เสียสละ ท่านพยายามชักนำ ชักนำไอ้พวกนั้นน่ะ ไอ้พวกมืดบอด ไอ้พวกมืดบอด ไอ้พวกที่เห็นแก่ตัว ไอ้พวกที่เหยียบย่ำเขา ไอ้พวกที่ทำลายเขา
แต่ถ้าลูกศิษย์ลูกหาของท่าน ท่านบอกว่า แก้วแหวนเงินทองมันไม่ใช่น้ำใช่ท่า จะไปตักเอาที่ไหนก็ได้ เราต้องใช้สมอง เราต้องใช้ปัญญาของเรา แสวงหาของเราเพื่อเป็นทรัพย์สมบัติของเรา ถ้าแสวงหามาแล้ว จิตใจที่ยิ่งใหญ่ จิตใจที่เสียสละ เวลาพวกนี้ท่านบอกว่ารู้จักคิด เวลาให้ รู้จักคิด ของมันไม่ใช่น้ำใช่ท่า จะไปตักเอาที่ไหนก็ได้ สิ่งที่เป็นเงินเป็นทอง เราแสวงหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงใช่ไหม มันเป็นสมบัติของเราใช่ไหม ก็ใช่ แต่ถ้าหัวใจเรามันยิ่งใหญ่ หัวใจเรามันอยากจะเสียสละ เราก็อยากช่วยเหลือเจือจานคนอื่นไง ท่านบอกว่าพวกนี้จะทำสิ่งใดต้องคิด ต้องคิดเพราะอะไร เพราะท่านบอกว่าท่านมากวนบ้านกวนเมือง มาทำให้ลูกศิษย์ลูกหาของเราบอบช้ำ โอ้โฮ! เวลาท่านพูดนะ ลูกศิษย์ลูกหาของเราที่จิตใจเป็นธรรมมันบอบช้ำ มันต้องแสวงหา มันต้องทำเพื่อประโยชน์ มันจะหาคุณงามความดีของมันไง
แต่ไอ้พวกมืดบอดนั่นน่ะ มันเหยียบย่ำ มันดูถูก มันดูแคลน มันบอกพวกนั้นไอ้พวกโง่ มันเป็นคนที่ฉลาด ท่านบอกว่าท่านพูดถึงไอ้พวกนั้น ไอ้พวกบ้าบอคอแตกน่ะ ว่ามันเห็นแก่ได้ๆ บ้านเรือนของเอ็ง ที่ดินของเอ็งไม่ได้ติดที่บ้านเรือนคนอื่นเลยหรือ ที่ดินของเอ็ง เอ็งอยู่โดยโดดเดี่ยวใช่ไหม ไม่มีที่ข้างเคียงที่ติดที่ดินเอ็งเลยหรือ นี่ก็เหมือนกัน ปัญหาสังคม ปัญหาของเรา เรื่องของชาติมันไม่ใช่เรื่องของปัญหาสังคมหรือ มันไม่ใช่เรื่องส่วนรวมหรือ เอ็งจะอยู่โดดเดี่ยวของเอ็งคนเดียวใช่ไหม เวลาอยู่โดดเดี่ยวมันก็คิดของมันเองไง ทำของมันเองไง แล้วมันก็ไปเผาลนในหัวใจของมันไง เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมาใครจะไปช่วยเหลือเจือจานมันไง
แต่พวกเราผู้ที่จิตใจที่เป็นธรรมๆ เราหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา เราไม่ใช่คนโง่คนเซ่อนะ ทรัพย์สมบัติของเราบอกไม่เอาๆ ไม่ใช่ของเราๆ
ของเรา ของเรา แต่มีสติมีปัญญา จะสร้างคุณงามความดีของเรา ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นต้องมีการดับ วันเวลามันผ่านไปแล้ว ๑ พรรษามันก็ผ่านไปแล้ว ใครทำคุณงามความดีได้มากได้น้อยแค่ไหนก็เป็นของของเขา สมบัติของเรา ทรัพย์ของเรา เราหามาแล้ว เราจะทำเพื่อประโยชน์ของเรา เราก็ทำของเรา เราทำของเรา ทำของเรามันเป็นทิพย์สมบัติ ทิพย์สมบัติเพราะสิ่งใด เพราะเราเป็นผู้เสียสละใช่ไหม เราเป็นคนรู้ใช่ไหม ทิพย์สมบัติมันฝังไปกับใจดวงนั้นไง ใจดวงนั้นทำคุณงามความดีไปเกิดบนสวรรค์ เสวยทิพย์สมบัติๆ
ใครจะไปสวรรค์ สวรรค์ในอก นรกในใจ ถ้ามันเป็นสวรรค์ในอก จิตใจที่เบา จิตใจที่มีแต่คุณงามความดี มันจะลอยขึ้นสู่สวรรค์ มันจะมีทิพย์สมบัติของมัน จิตใจของคนที่ต่ำต้อย ไอ้พวกมืดบอด ไอ้ที่มันเห็นแก่ตัวว่าของมันๆ มันสะสมไว้จนเป็นการถ่วงหัวใจของมัน หัวใจที่มันถ่วงหนัก หัวใจที่มันถ่วงด้วยบาปอกุศลนะ มันจะไปสวรรค์ได้ไหม มันถ่วงหนักมันก็ต้องตกนรกอเวจีทั้งนั้นน่ะ มันทำให้จิตใจมันถ่วงหนักลงไปข้างล่าง มันสะสมของมันว่าจะเป็นของมัน ก็เลยไม่ได้เป็นของมันเลย แล้วสะสมไว้จนมันทุกข์มันยากในหัวใจนั้นไง
นี่ไง ที่ทิพย์สมบัติๆ หัวใจที่เป็นทิพย์นี่ไง หัวใจที่เป็นธรรมๆ เป็นธรรมมันเป็นอย่างนั้นไง มันเห็นของมัน เราทำอะไรมา ตั้งแต่เกิดมา ใครทำมาใครก็รู้ทุกคนแหละ เราทำของเรามาทั้งนั้นน่ะ กรรมคือการกระทำ ทำดีทำชั่วมา เพราะทำคุณงามความดีมาจิตใจมันถึงสูงส่งมาได้ จิตใจมันถึงเป็นคุณธรรมได้ ถ้าเป็นคุณธรรมได้ ดูสิ เจ้าชายสิทธัตถะ อาฬารดาบส อุทกดาบสชื่นชมขนาดไหน ไม่เอาๆๆ จะเอาความจริงๆ
เวลาความจริง เจ้าชายสิทธัตถะก็ต้องไปศึกษาเองค้นคว้าเอง พอค้นคว้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เวลาวิชชา ๓ ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข พญามารหาจิตดวงนั้นไม่เจอไง
ไอ้ของเราไม่ต้องไปให้พญามารหาหรอก วิ่งไปหามันเองไง แบให้มันเลย ไปหามารเลย แต่หัวใจที่มันมีคุณค่านะ มารหาไม่เจอ มารค้นไม่เจอ วิมุตติสุขๆ มันอยู่ที่ไหนล่ะ มันอยู่ที่หัวใจที่มืดบอดนี่ มันอยู่ที่หัวใจของเรานี่แหละ หัวใจเราที่มันต่ำต้อย ต่ำต้อยขนาดไหน แต่เรามีอำนาจวาสนาบารมีนะ มีอำนาจวาสนาบารมีเพราะเรามีสติมีปัญญา เราเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราไม่มีสติปัญญาสามารถพิสูจน์ได้ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีคุณค่าขนาดไหน เราก็เชื่อพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราก็นับถือพระพุทธศาสนา คนโบราณเขามีสติปัญญาของเขา เขาถึงเลือกนับถือพระพุทธศาสนา
เรามีสติมีปัญญาของเรานะ แล้วถ้าเราขวนขวายของเราได้ เราทำของเราได้ มีศรัทธามีความเชื่อ ดูสิ ดูวัฒนธรรมประเพณีของเรา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา มีคนไปวัดไปวามีแต่ความรื่นเริง มีแต่ความสุข มีแต่ความดีงามทั้งนั้นน่ะ ความดีงามระดับของทาน เราทำทานๆ กัน เราเสียสละกันเพื่อประโยชน์กับเราไง แล้วถ้ามีใครสติปัญญา ถือศีล ศีลคือความปกติของใจ ถ้าความปกติของใจ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ ห้องพระใครห้องพระมัน บ้านใครบ้านมัน โคนต้นไม้ใครโคนต้นไม้มัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์
นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะตรัสรู้ ตรัสรู้ขึ้นมาในหัวใจของเราไง เวลาทำความสงบของใจเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แต่เราจะหาความสุขจากข้างนอกกันไง ถ้าเราหาความสุขจากภายใน ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นมีการดับ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด สักวันหนึ่งเราต้องตายไปแน่นอน ความที่จะตายไป เราจะมีทรัพย์สมบัติสิ่งใดเป็นทรัพย์สมบัติของเราไป ของที่หาไว้เป็นของประจำโลก เรามีสติปัญญาขึ้นมา เราเสียสละ เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา มันจะเป็นทิพย์สมบัติๆ เห็นไหม สิ่งที่เสียสละไปแล้วเป็นวัตถุ แต่สิ่งที่เจตนา สิ่งที่มันฝังอยู่กับใจ ใจกระทำ อันนั้นมันจะติดตัวเราไป เวลาตายไปแล้วไม่ต้องให้ใครอุทิศส่วนกุศลให้ เราเอาของเราไปเองไง เอาของเราไปเองคือเราจำได้เอง เรารู้เอง เราเห็นเอง เราเอาสมบัติของเราไปเอง ไอ้คนที่มันจะอุทิศส่วนกุศลมา ไม่เอาๆ เอ็งเก็บไว้ เอ็งเก็บไว้เลย เก็บไว้หาอยู่หากินของเอ็งไป ของข้าพอแล้ว ของข้าพอของข้า
นี่ก็เหมือนกัน เวลาหลวงตาท่านพูดของท่าน เวลางานศพของท่านห้ามสวดกุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมาฯ เพราะท่านทำพอแล้ว เอ็งไม่ต้องมาสวดให้ข้าฟัง เอ็งไม่ต้องมาเตือนสติข้า เอ็งไม่ต้องมาคอยจจี้คอยไช ข้ารู้ของข้าเอง ข้าทำของข้าเอง ข้ามีความสุข นี่ถ้ามันเป็นจริงมันเป็นจริงกลางหัวใจอย่างนี้ แล้วถ้าเป็นจริงกลางหัวใจอย่างนี้ ใครบ้างที่จะมาทิ่มมาตำให้มันล้มเหลวได้ ทรัพย์สมบัติของเรา มารก็หาไม่เจอ ใครก็ค้นหาไม่ได้ ใครก็มาช่วงชิงไม่ได้ มันของของเรา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกกลางหัวใจดวงนี้ เอวัง