เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ ต.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันพระ วันนี้วันพระด้วย วันครบกำหนดในหลวงสิ้นพระชนม์ ๑ ปีด้วย ในหลวงสิ้นพระชนม์ เห็นไหม เวลาคนเขาถามทุกวัน ถามว่าทำบุญทิ้งเหว ทำบุญทิ้งเหวทำอย่างไร

ทำบุญทิ้งเหว ทำบุญทิ้งเหวก็ในหลวงทำให้เป็นตัวอย่างนี่ไง ทำบุญทิ้งเหว ทำบุญแล้วไม่หวังผลตอบแทนไง ไม่หวังสิ่งใดๆ ทำบุญทิ้งเหวแล้วมันจะได้บุญมหาศาล บุญที่สะอาดบริสุทธิ์ บุญ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไง

แต่ส่วนใหญ่เราทำบุญๆ กัน เราทำบุญแล้ว “ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำบุญแล้วไม่มีใครนับหน้าถือตา ทำบุญแล้วไม่มีใครยกย่องสรรเสริญ” ไอ้นั่นมันบุญอะไรน่ะ มันแลกเปลี่ยน มันธุรกิจ การทำธุรกิจ อยากจะมีชื่อเสียง อยากให้คนยอมรับนับถือ นั่นน่ะ ไอ้นั่นมันหวังผลน่ะ แล้วหวังผลเราก็ทุกข์ “โอ้โฮ! ทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี”

ดูในหลวงทำดีสิ นี่ไง ทำบุญทิ้งเหว ทำบุญทิ้งเหว ในพระไตรปิฎกสอนไว้ ในพระไตรปิฎกนะ เวลาเขาทำบุญกุศลกันน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ว่าทำบุญกุศลให้ทำเหมือนทิ้งเหว

พอทำทิ้งเหวขึ้นมา มันก็มีคนถามมาไง ทำทิ้งเหวแสดงว่าเราเป็นคนโง่ใช่ไหม เราเป็นคนโง่ไง เวลาไปตามถนนหนทางใช่ไหม เขาไปจับเด็กมาแล้วทำให้เป็นพิการนะ แล้วเราไปทำบุญกุศลกับเขาอย่างนั้น เราถือว่าเราไปส่งเสริมการค้ามนุษย์ นั่นน่ะถามมาอย่างนั้นนะ

นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงกิเลสตัณหาความทะยานอยากของคน คนทำสิ่งใดแล้วหวังผลตอบแทน หวังให้คนนับหน้าถือตา หวังให้คนยกย่องสรรเสริญไง อันนั้นก็กิเลสอันหนึ่ง แต่ถ้าทำบุญกุศล ทำบุญด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเรานะ ทำด้วยหัวใจที่เป็นธรรมๆ ไง

แต่ถ้าคนมันชั่ว คนมันชั่ว มันทุจริต มันไปหลอกลวงคนเขามา แล้วมาทำให้เป็นคนพิการแล้วมาขอความเมตตา อันนั้นเราไปส่งเสริมเขาได้อย่างไร อันนั้นเขาเรียกทำบุญหรือ ไอ้นั่นเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาของคนไง แต่สังคมเป็นแบบนั้น เวลาสังคมเป็นแบบนั้น เขาก็ทำให้แนบเนียน ทำให้เราจับต้องไม่ได้ ทำให้เรารับรู้ไม่ได้ว่าคนคนนี้เป็นคนที่น่าสงสาร คนคนนี้น่าสมเพช แต่เขาทำตัวของเขาให้น่าสมเพชแบบนั้น แล้วเราก็ไปทุ่มเทให้เขาไง แล้วก็บอกว่าพวกนั้นโดนหลอกๆ ไง ไอ้นี่มันคนที่ไม่มีปัญญา

ทำบุญทิ้งเหวเขาต้องมีปัญญานะ ทำบุญทิ้งเหวด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ทำแล้ว แล้วกัน แล้วไม่ไปสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ทำสิ่งนั้นเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าประโยชน์กับเรา ถ้ามันเป็นความผิดพลาดไป ที่เราทำผิดพลาดไปแล้วนั่นก็หนหนึ่งใช่ไหม คราวต่อไปจะไม่มีครั้งที่สอง ครั้งที่สอง เราพยายามจะหลบหลีกของเราเพราะเรามีปัญญา เรามีปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน วันนี้วันพระๆ พระเป็นผู้ที่ประเสริฐ ประเสริฐที่ไหน ประเสริฐในหัวใจ คนเหมือนกัน คนเดินมานี่คนเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ แต่หัวใจผู้ยิ่งใหญ่ หัวใจที่ประเสริฐ หัวใจเขามีคุณธรรมในหัวใจของเขา เราเดินมาด้วยกัน เห็นไหม ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ อยู่กับครูบาอาจารย์ของเรา ท่านเป็นพระอรหันต์ๆ ไม่เคยเห็นหัวพระอรหันต์เลย วิ่งเต้นไปหาพระอรหันต์ไอ้ที่รูปเคารพกันนู่น ไอ้เดินอยู่กับพระอรหันต์ พระอรหันต์อยู่ในวัดไม่รู้จักไง

นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน พระอรหันต์คือพ่อแม่ของเรา พ่อแม่ในบ้านของเรา หลวงตาท่านสอนไว้นะ พ่อแม่ของเราท่านจะผิดพลาดบ้าง เราก็ไม่ควรจับผิดตรงนั้น เพราะว่าสิ่งที่มีคุณค่าคือท่านให้ชีวิตเรามา คนปุถุชนทั้งนั้นมันก็มีความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา มันก็มีอารมณ์ความรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา แล้วธรรมดาขึ้นมา ถ้าเรามีจิตใจ ผู้ที่มีปัญญา สิ่งนั้นแม่ของเราๆ พ่อของเรา เราทำสิ่งใดผิดพลาด เราก็คุยกัน ไม่ต้องไปใส่อารมณ์ ไม่ต้องไปทำให้มันทุกข์มันยากอย่างนั้น สิ่งนั้นมันเป็นเรื่อง พระอรหันต์ของเราๆ ไง ให้ชีวิตนี้มีคุณค่า ชีวิตมีค่าราคานี้มาไง จะผิดพลาดอย่างใดๆ มันเรื่องธรรมดา คนอยู่ด้วยกัน ลิ้นกับฟันๆ นี่พูดถึงว่าพระอรหันต์ของเราแล้ว แล้วเราจับต้องสิ่งใดไม่ได้เลยหรือ พระอรหันต์ของเราต้องดีงามไปหมดใช่ไหม แล้วคนมันมีอารมณ์ มันจะดีงามตลอดได้ไหม เวลามีผลกระทบอันนั้นไง ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราคัดแยกของเราอย่างนี้ ถ้าเราแยกแยะของเราอย่างนี้ เรามีสติปัญญา

วันนี้วันพระ ถ้าจิตใจที่มันประเสริฐนะ มันประเสริฐเข้ามาที่หัวใจนี้ เวลาประเสริฐขึ้นมา ทำบุญที่ไม่ปรารถนาสิ่งใด เวลาคำสอนของท่าน ปิดทองหลังพระๆ เวลาครูบาอาจารย์ของเราปิดทองก้นพระนู่นน่ะ

ปิดทองหลังพระๆ ไม่ต้องปรารถนาสิ่งใดเลย แล้วดูสิ ดูผลตอบสนอง เวลาท่านสิ้นพระชนม์ไป ใครพูดถึงไม่ได้ พูดถึงเป็นต้องน้ำตาไหล พูดถึงเป็นต้องน้ำตาไหล มันสะเทือนใจ เห็นไหม มันเข้าสู่หัวใจของคนน่ะ ความจริงๆ ความจริงที่เป็นความจริงแท้ๆ มันเข้าถึงหัวใจ มันเข้าถึงความรู้สึกของเราได้ไง แล้วถ้าเราทำอย่างนั้น เราก็ปรารถนาของเรา ทำคุณงามความดีของเราๆ ถ้าทำคุณงามความดีของเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ทำความดีนี้ความดีทางโลก แล้วความดีทางธรรมๆ ดูสิ เวลาพระที่บวชมาแล้ว เวลานั่งสมาธิภาวนา ทำดีเพื่อใคร แล้วทำดีเพื่อใคร เวลาทำภัตกิจเสร็จแล้วนะ ผู้มีสมาธิเข้าสมาธิ ผู้มีปัญญาก็เดินปัญญาของตน ทางโลกเขาบอกว่าพระเห็นแก่ตัวๆ

แล้วถ้าพระไม่เห็นแก่ตัว พระไม่ทำเพื่อตัวเองก่อน แล้วพระจะเอาสิ่งใดไปสอนคนอื่นล่ะ เวลาทำบุญตักบาตรไป เราก็ขอให้พระเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ให้มีคุณธรรมในหัวใจขึ้นมา พอคุณธรรมในหัวใจนั้นเพื่อมาสอนเราบ้างไง ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจอันนั้น มันก็อยู่ในศีลในธรรม ถ้าในศีลในธรรมความเป็นจริงอันนั้นไง ความเป็นจริงๆ นะ ธรรมนี้ได้แต่ใดมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาออกพรรษาแล้วไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะถามปัญหาเลย ปฏิบัติมาอย่างไร ขัดข้องอย่างไร เหมือนกับพระกรรมฐานเราที่ไปหาครูบาอาจารย์ เวลาออกไปเที่ยวกลับมาท่านจะถามเลย ไปได้อะไรมา ได้คุณธรรมมาหรือได้ยาเสพติดมา

ยาเสพติดก็ไปเที่ยวเล่นไง ไปเที่ยวเล่น ไปเที่ยวเพลิดเพลินกลับมา ที่นู่นดีอย่างนั้น ที่นี่ดีอย่างนั้นไง แต่หัวใจมันไม่ดี ถ้าหัวใจมันดีนะ ที่นั่นเขาจะดีหรือเขาจะไม่ดีอย่างไร นั่นมันก็เป็นชุมชนของเขา นั่นเป็นอำนาจวาสนาของเขา เราวิเวกไปต่างหาก เราไปพึ่งพาอาศัยเขา ถ้าพึ่งพาอาศัยสิ่งที่ดีงามขึ้นมามันก็ฝังหัวใจของเรา ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูดถึงชาวหนองผือๆ ไม่มีตลาดนะ มันอยู่ในบ้านป่าบ้านดอยนะ ต้องทำมาหากินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนนะ พระ ๔๐-๕๐ องค์ เขาดูแลกันอย่างไร เขาดูแลรักษาได้ ซึ้งน้ำใจของเขาๆ

เราเลือกเองนะ เราเลือกเองว่าเราจะไปหาใคร เราจะอยู่ที่ไหนนะ ที่นั่นมันจะดีหรือว่ามันจะต่ำต้อยอย่างไร เราเลือกของเราเองไง เราเลือกของเราเองด้วยอำนาจวาสนาบารมีของเรา แล้วหัวใจของเรา หัวใจของเราล่ะ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เพื่อหัวใจของเรานี่ไง ถ้าหัวใจของเราถ้ามันได้คุณธรรมสิ่งนี้มา เวลาหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่ขาว ท่านไปสำเร็จที่ไหนนะ ท่านจะต้องออกจากที่นั่นไป สถานที่ๆ มันมีบุญมีคุณ แม้แต่สถานที่ยังมีบุญมีคุณ แต่ถ้าสิ่งที่เป็นปัจจัย ๔ มันยิ่งมีบุญมีคุณมากขึ้นไปอีก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ท่านบอกเลย ทานที่มีคุณค่ามีอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งนางสุชาดามาแก้บนของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ฉันอาหารมื้อนั้น แล้วพิจารณาคืนนั้นท่านถึงซึ่งกิเลสนิพพาน คือสิ้นกิเลสไปในคืนนั้น กับอีกคราวหนึ่งฉันอาหารของนายจุนทะ ฉันอาหารของนายจุนทะเสร็จแล้ววันนั้นท่านถึงกับดับขันธนิพพาน คือท่านต้องสิ้นชีวิตของท่านไปดับขันธนิพพาน

บุญกุศลในพระพุทธศาสนานี้ที่มีผลเลิศๆ มีอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วถึงซึ่งกิเลสนิพพาน กิเลสขาดไปจากใจ อีกคราวหนึ่งของนายจุนทะๆ ถึงขันธนิพพานคือสิ้นชีวิตนี้ไป นี่มีบุญอยู่ ๒ คราว บุญที่ยิ่งใหญ่ในพระพุทธศาสนา นี่ไง แล้วพระที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาวิเวกไปๆ ก็วิเวกไปเพื่อเหตุนี้ไง เพื่อได้ฉันอาหารของเขา ฉันอาหารของเขาแล้วได้มีสติมีปัญญาหรือไม่ มีสติปัญญาใคร่ครวญในหัวใจของตนหรือไม่ ในหัวใจของตนมันมีสิ่งใดครอบงำในหัวใจของตน นี่ไง สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์ นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ๆ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ทำคุณงามความดีทั้งนั้นๆ นี่ก็เหมือนกัน ในหลวงของเราเป็นพระโพธิสัตว์ๆ ท่านทำคุณงามความดีของท่านโดยไม่ปรารถนาสิ่งใดเลย ท่านไม่ปรารถนาสิ่งใดเลยเพราะอะไร เพราะท่านทำของท่านมาทุกภพทุกชาติไง ท่านไม่ได้ทำแต่ชาตินี้ ท่านทำมาเป็นเรื่องปกติเรื่องธรรมดาของท่าน แล้วท่านทำให้มากขึ้นกว่านั้นไง ไอ้ของเราทำสิ่งใดแล้วหวังผลตอบแทนๆ มันก็เลยไม่มีสิ่งใดตอบแทนไง ถ้าเราไม่หวังผลตอบแทน มันมีบุญที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ที่ไหน บุญเป็นตัวอย่างไร เวลาบาปอกุศล บาป เวลามันทุกข์มันยาก มันบีบคั้นในหัวใจ นี่บาป มันเกิดความเครียด มันเกิดความทุกข์ใจๆ เวลาบาปนี่ไม่ต้องบอกเลย รู้จักมันหมดเลย เวลาบุญไม่รู้จัก

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เหมือนน้ำฝนใสสะอาด จืดสนิทเย็นดี แต่เราไม่รู้จัก เราชอบแต่ไอ้พวกสุรายาเมา ไอ้ที่รสจัดๆ นั่นน่ะ ไอ้ที่มันกินแล้วมันซู่ซ่าน่ะ นั่นไปชอบอย่างนั้นไง รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร สิ่งที่ในโลกนี้มันทำให้คนลุ่มหลง หลงใหลไปกับมันไง

เราเกิดมา เห็นไหม เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงศีลนะ ศีล ๕ ศีล ๘ พวกนี้พวกจืดชืด พวกนี้พวกที่ไม่มีรสชาติ ไอ้ของเรา โอ้โฮ! มันชอบรสชาติอย่างนั้นน่ะ นี่ไง มันทำให้ลุ่มหลง พอลุ่มหลงขึ้นมา เวลาเราเอาจริงเอาจังขึ้นมา นี่ระดับของทาน บุญกุศลของเราๆ

เรามีอำนาจวาสนามากนะ เกิดมาได้พบได้เห็น บุรุษผู้หนึ่งเกิดมา บุรุษผู้หนึ่งทำคุณงามความดี บุรุษผู้หนึ่งได้จากไป โลกธาตุนี้ไหวหมดนะ โลกนี้สั่นสะเทือนนะ แล้วมันมีไอ้พวกเปรตผีพยายามจะเจาะจะทำลาย มันทำลายไปไม่ได้หรอก มันทำลายอย่างไรมันจะทำลายตัวมันเองไง ตัวมันเองเพราะอะไร เพราะว่าคลื่นมนุษย์ คลื่นของความรู้สึกของคนน่ะ ความดีอันนั้นมันเข้าไปสิงอยู่ในหัวใจ มันเข้าไปสะเทือนใจของประชากรโลก เขารับรู้

บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย ไม่ได้รุกราน ไม่ได้เบียดเบียนใครทั้งสิ้น ไม่ต้องโฆษณาชวนเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น โลกเขายอมรับโดยคุณงามความดีอันนั้น คุณงามความดีอันนั้น โลกเขายกย่องสรรเสริญ ไอ้คนอยากได้ไม่ได้ ไอ้คนพยายามสร้างภาพจะให้เขานับหน้าถือตา พยายามจะตีเสมอ เขาทำอะไรก็จะทำตามเขา ไม่มีใครเอาหรอก ไม่มีใครสนใจหรอก แล้วจะมาเจาะจะมาทำลาย มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้

ธรรมะย่อมชนะอธรรม มันชนะในตัวมันเองอยู่แล้ว พอชนะในตัวมันเอง แต่พวกเรามันต่ำต้อยไง พวกเรามันต่ำต้อย จิตใจเรามันไม่มั่นคงไง เราทำคุณงามความดีของเราไม่ได้ เรายืนอยู่บนความถูกต้องชอบธรรมไม่ได้ ความถูกต้องชอบธรรม อะไรที่มันถูกต้องชอบธรรม เรามีความกล้าหาญ มีความองอาจที่เราจะยืนหยัดอยู่กับความถูกต้องชอบธรรม ถ้ายืนอยู่กับความถูกต้อง นั่นน่ะผู้ที่มีบารมี ถ้าบารมี จิตใจที่มันได้สร้างสมมา ได้มีการกระทำมา มันถึงจะยืนอยู่ในกระแสลมการเมืองที่มันพัดรุนแรง เขายืนของเขาได้เพราะอะไร เพราะเขามีจิตใจที่เข้มแข็ง จิตใจที่เข้มแข็งมันมาจากไหน

จริตนิสัยของคน จริตนิสัยของคน การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ดูสิ พระอรหันต์ต้องสร้างมาแสนกัป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ดูหัวใจของคนสิ หัวใจคนที่หวั่นไหว หัวใจคนที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์ กับหัวใจคนที่มั่นคง มั่นคงเพราะอะไร มั่นคงเพราะมันมีจุดยืนของมันไง แล้วจุดยืนนี้มันมาจากไหน จิตใจนี้มาจากไหน ดูสิ เวลาเกิดมา ศีล ๕ คนเราเกิดมาเป็นมนุษย์สูงต่ำดำขาวไม่เท่ากัน นั่นน่ะรูปสมบัติ แล้วคุณสมบัติล่ะ ทิพย์สมบัติล่ะ สมบัติในหัวใจนั่นน่ะ นี่มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากการกระทำทั้งนั้นน่ะ มันต้องมีการกระทำมา พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนว่าให้หยิบฉวยเอา ให้อ้อนวอนเอา พระพระพุทธศาสนาสอนให้มีการกระทำทั้งนั้น กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมดีจำแนกสัตว์ให้เกิดที่ดีขึ้น แล้วทำคุณงามความดี กรรมดีนั้นน่ะ บุญกุศล ทำความดีนั้นมันเข้าไปอยู่ในหัวใจนั้นเพราะมันเจตนาอันนั้น ถ้าเจตนาอันนั้นมันทำสิ่งนั้นมา นี่กรรม การกระทำอันนั้นที่ว่ามันมั่นคงขึ้นมา แล้วมีสิ่งใดมันจะย้อนกลับมา คนที่มีอำนาจวาสนาเขาจะหาคุณงามความดีที่ละเอียดลึกซึ้ง เขาจะหาคุณงามความดีที่เป็นความจริงไง

คุณงามความดีที่เราทำมันเป็นสมมุติ สมมุติคือการกระทำเป็นพิธีกรรม พิธีกรรมทำขึ้นมา พิธีกรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางมรดกธรรมเอาไว้ไง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาไง นี่ฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ บริษัท ๔ ชาวพุทธเป็นเจ้าของศาสนา นั่นเป็นพินัยกรรมๆ ไง แล้วถ้าใครทำได้มากน้อยขนาดไหนมันจะได้คุณสมบัติออกมาจากพินัยกรรมนั้นไง พินัยกรรมนั้นสอนให้หาทิพย์สมบัติ ให้หาสัจจะความจริงไง

เราขึ้นมานี่ พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร อ้อนวอนให้เขาให้มาใช่ไหม

ทำดีดีกว่าขอพร เราทำคุณงามความดีของเรา ทำที่ไหนก็ทำได้ แล้วทำมันเป็นความดีขึ้นมา ความดีมันเกิดจากหัวใจอันนี้ ถ้าเกิดจากหัวใจอันนี้ สิ่งที่เราทำมันเป็นการกระทำ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านทำโครงการช่วยชาติ ทำโครงการช่วยชาตินั่นน่ะ เราเสียสละไป คุณงามความดีเราทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะเขาบอกมันทำคุณงามความดีต้องสร้างโบสถ์สร้างวิหาร โบสถ์วิหารมันตั้งอยู่บนอะไร มันตั้งอยู่บนแผ่นดิน แล้วแผ่นดินของชาติเรากอบกู้มันมา แล้วมันจะไม่มีบุญกุศลตรงไหน แล้วมันมีบุญกุศลมีบุญกุศลมหาศาล มีบุญกุศลแบบว่าเป็นสาธารณะไง เพราะแผ่นดินของชาติ คำว่า “ชาติ” ทุกคนมีสิทธิ ทุกคนมีสิทธิ์ทั้งนั้นไง แล้วการมีสิทธิ์นั้นมีสิทธิ์เพื่อเราไง แล้วเรามีการกระทำอันนั้นเพื่อประโยชน์อันนั้น แล้วเราทำประโยชน์อย่างนี้ให้กับสาธารณะมันจะได้บุญกุศลไหม เวลาบุญกุศล บุญกุศลที่มันเป็นบุญกุศลที่มันเข้ามาในหัวใจ บุญมันเป็นอย่างไร ตัวบุญมันเป็นอย่างไร นี่พูดถึงบุญนะ

แล้วเวลาคนมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็บอกว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธพจน์ๆ

พุทธพจน์คือคำสั่งสอน คำสั่งสอนมันเป็นชื่อ คำสั่งสอน พ่อแม่สอนทำดีๆ แล้วทำหรือเปล่า เวลาทำคุณงามความดีศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมามันเกิดมาจากไหน มันต้องเกิดขึ้นมาจากหัวใจสิ หัวใจที่มันฟุ้งซ่าน หัวใจที่มันทุกข์มันยากขึ้นมา ถ้าเรามีสติปัญญา มีคำบริกรรมของเรา ถ้ามันสงบลงมา นี่ไง มันเป็นตัวสมาธิ ตัวสมาธิมันเกิดที่ไหน มันเกิดขึ้นในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เวลามันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนา เกิดโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่พ้นจากโลก ปัญญาที่จะชำระล้างกิเลส มันดูความมหัศจรรย์ของศาสนาสิ นี่พูดถึงบารมีๆ นะ คนที่จะมีบารมี คนที่จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องมีบารมี คำว่า “มีบารมี” มันมีจุดยืนไง มีจุดยืนเวลามันปฏิบัติขึ้นมามันไม่ให้ใครมาหลอกล่อไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของตน ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ให้เชื่อในผลของการปฏิบัติ แต่ด้วยวุฒิภาวะที่อ่อนแอ จิตใจที่มันอ่อนแอ ไม่มีหลัก ไม่มีจุดยืนไง เพราะพอมันเผลอๆ มันเผลอมันละเมอ “อู้ฮู! ธรรมะเป็นอย่างนี้เอง” นี่คนที่วุฒิภาวะมันอ่อนแอ

แต่ถ้าเวลาคนที่มีคุณธรรม ดูหลวงตาสิ เวลาท่านประพฤติปฏิบัติที่หนองผือนั่นน่ะ ที่บ้านผือๆ พอจิตสงบแล้ว มันสงบ มันคลายออก มันเสวยอารมณ์มันปล่อย “เอ๊ะ! อย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์หรือ อย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์หรือ” นี่ขนาดปฏิบัติมาขนาดนั้นนะ ถ้า เอ๊ะ! ว่าอย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์หรือ ไม่เอา เพราะเอ๊ะคือความเอะใจ ความเอะใจคือความลังเลสงสัย ถ้ามีความลังเลสงสัยอยู่ ปัดให้กิเลสไปเลย ไม่คิดว่าเป็นธรรม นั่นคนที่ปฏิบัติเขาปฏิบัติกันอย่างนี้ เขาไม่เชื่อ แม้แต่เกิดขึ้นมายังไม่เชื่อ ต้องทดสอบๆ เลย

แต่ไอ้ของเราเผอเรอ ปฏิบัติเผอๆ เรอๆ ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ อะไรของมันน่ะ นี่จะบอกว่าวุฒิภาวะมันอ่อนด้อยมาก บารมีในหัวใจอ่อนแอมาก อ่อนแอจนไม่มีคุณงามความดีจะอยู่บนหัวใจอย่างนี้ได้เลย เหมือนกับแพที่มันแตกไปอยู่บนแม่น้ำไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน เราทรงตัวอยู่ไม่ได้ แต่ถ้ามันอยู่ของมันได้ มันจะเข้มแข็งของมัน ถ้าจิตใจที่เข้มแข็ง จิตใจที่อำนาจวาสนาบารมี ไม่เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น กาลามสูตร ไม่เชื่อแม้แต่อาจารย์ของตน ไม่เชื่อทฤษฎี ไม่เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น เชื่อความเป็นจริงในใจ

เวลาฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านหนักหนา เวลาสงบ สงบระงับดีมาก แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่ไม่เคยเกิดขึ้นในโลกนี้ ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ชำระล้างกิเลส เพราะกิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา กิเลสมันอยู่ในซอกหลืบในใจที่แอบคิด แอบทำลาย แอบทำให้ตัวเองเสียหาย แล้วปัญญามันเข้าไปชำระล้าง เข้าไปสำรอก เข้าไปค้นคว้า มันเป็นปัญญาที่มหัศจรรย์ แล้วมันมหัศจรรย์มาจากไหนล่ะ

นี่ถ้าคนมีคุณธรรม คนมีอำนาจวาสนาบารมี เขาจะหาคุณงามความดีของเขา ถ้าคุณงามความดีของเขา ถ้าคุณงามความดีอย่างนั้นจะเข้าใจได้ว่าบุญมันคืออะไร บุญตัวมันกลมๆ หรือมันตัวแบนๆ บุญตัวมันอ้วนๆ หรือตัวมันผอมๆ แล้วมันจะเห็นของมันน่ะ มันรื้อภพรื้อชาติ มันถอนภพถอนชาติ นี่พระพุทธศาสนาไง

เวลาเราทำบุญกุศล วันนี้วันสิ้นพระชนม์ครบ ๑ ปี บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ในหัวใจของท่าน ท่านไปแล้ว ดีหรือชั่วอยู่ที่พวกเรานี่แหละ เรายังเห็นกันอยู่ ท่านทำไว้ให้ทั้งชีวิตของท่าน ต่อไปแล้วใครจะสืบทอด ใครจะทำคุณงามความดีเพื่อใจของตน เอวัง