เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อชโลมหัวใจของเราไง หัวใจของสัตว์โลก เวลาเกิดมามันทุกข์มันยาก เวลามันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากเกิดมา เกิดมาจากเวรจากกรรมนะ เพราะเรามีเวรมีกรรม เราถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แต่คนสร้างบุญกุศลมาเขาเกิดมาด้วยความรื่นเริง เกิดมาด้วยความอาจหาญนะ
เวลาพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เกิดมาจะสร้างแต่คุณงามความดี เขาสร้างคุณงามความดี แล้วเขาทำเพื่อสังคม ทำเพื่อโลกไง ถ้าทำเพื่อโลก นั่นน่ะเพราะจิตใจของเขา เขาสร้างของเขามาอย่างนั้นจนมันเป็นความคิด จนมันเป็นความเคยชิน
แต่ของเรา เวลาเราคิด เราคิดเห็นแก่ตัวไง คิดแต่เรื่องของเราก่อนไง คิดว่าเราจะทำอย่างไรเราจะประสบความสำเร็จ คิดอย่างไรเราทำแล้วเราจะเชิดหน้าชูตา เราคิดของเราไง
แต่ถ้าคนมีธรรมๆ นะ คำว่า “เชิดหน้าชูตา” มันเชิดหน้าชูตาที่ไหน มันเชิดหน้าชูตาในหัวใจนั้นไง ถ้าหัวใจมันรื่นเริง หัวใจมันอาจหาญ ทำสิ่งใดทำด้วยความสุขตลอดน่ะ จะมีของเล็กมีของน้อย เขาก็มีความสุขของเขา ถ้ามีความสุขของเขา มันมีอะไรไปเบียดเบียนในใจของเขา ถ้าไม่มีอะไรเบียดเบียนในใจของเขา เขาทำด้วยความรื่นเริง เห็นไหม นี่ถ้ากรรมดีพาเกิด
กรรมดีๆ กรรมดีพาเกิด เกิดมาใช้ชีวิต พอเกิดมาใช้ชีวิตมันต้องเกิด เพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีสิ้นไม่มีสุดหรอก จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตของคนที่มีคุณงามความดี เขาสร้างแต่ศิลปวัฒนธรรม ศิลปวัฒนธรรม ศิลปะทำให้จิตใจของคนนุ่มนวล ศิลปะไง ศิลปะมันมาจากไหนล่ะ ศิลปะมันต้องสังคมร่มเย็นเป็นสุขนะ ศิลปะร่มเย็นเป็นสุข สิ่งนั้นเขาถึงได้ฝึกหัดเจือจานกันมา เวลาสิ่งนี้ทำเพื่อให้คนมีความสุขในชาติปัจจุบันนี้
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขุดลงไปในจิตวิญญาณนั้นเลย ถ้าขุดลงไปในจิตวิญญาณนั้น ปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาจิตปฏิสนธิเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมีอะไรจะไปยับยั้งมันล่ะ ถ้ามีอะไรไปยับยั้งมัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนกรรมฐาน ๔๐ ห้อง คำว่า “กรรมฐาน ๔๐ ห้อง” ทำความสงบ ๔๐ วิธีการ นั่นน่ะจะเข้าไปในจิตวิญญาณนั้น ถ้าเข้าไปในจิตวิญญาณนั้น จะไปขุดในจิตวิญญาณนั้น ถ้ามันขุดในจิตวิญาณนั้น จิตวิญญาณนั้นได้รับการดัดแปลงแล้ว จิตวิญญาณนั้นมันจะไปไหนต่อไปล่ะ
จิตวิญญาณนั้นเหมือนเมล็ดพืช เมล็ดพันธุ์มันตกลงดินแล้วมันต้องงอกแน่นอน เมล็ดพันธุ์ที่มันดี ดูสิ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ขาวท่านพิจารณาของท่าน พิจารณาจิตวิญญาณของท่านน่ะ ท่านบอกเปรียบเหมือนเมล็ดข้าว เมล็ดข้าวถ้ามันตกลงสู่ดิน มันมีน้ำ แหล่งดินนั้นมันมีอากาศ มีแดด มันต้องงอกขึ้นมาแน่นอน แต่เมล็ดข้าวนั้นชาวบ้านเขาได้เก็บเกี่ยวแล้ว เขาได้ไปสีแล้ว แล้วเขาไปหุงแล้ว ทำให้เป็นข้าวสุกแล้ว เมล็ดข้าวเกิดอีกไม่ได้ไง
นี่ไง เวลาจิตวิญญาณนั้นๆ เมล็ดพันธุ์นั้น เมล็ดพันธุ์ที่ปฏิสนธิจิต ธาตุรู้ ธาตุรู้ที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนมาที่นี่ ถ้ามาสอนที่นี่ เริ่มต้นก็บอกสอนให้ทำความสงบของใจเข้ามา กรรมฐาน ๔๐ ห้อง เวลากรรมฐาน ๔๐ ห้อง มันก็ไปตรงกับเรื่องฌานโลกีย์ มันไปตรงกับเรื่องโลกไง เรื่องโลกคือเรื่องอภิญญา เรื่องอภิญญาเป็นเรื่องโลกๆ โลกๆ เพราะอะไร เพราะอภิญญามันเกิดจากไหนล่ะ
สมัยพุทธกาลนะ สมัยโบราณมันไม่มีเทคโนโลยีใช่ไหม คนเหาะเหินเดินฟ้าได้มันต้องเป็นตามความเป็นจริงมันถึงเหาะเหินเดินฟ้าได้ ในสมัยปัจจุบันนี้สลิงชักรอกทั้งนั้น ยิ่งเครื่องบินมันพาไปรอบโลก จะไปดวงจันทร์อีกต่างหาก นี่มันมีเทคโนโลยีขึ้นมามันก็เลยหลอกลวง ความหลอกลวงนั้น เราก็ไปเชื่อความหลอกลวงนั้นไง ถ้าความหลอกลวง ไปเห็นความหลอกลวงแล้วก็ตื่นเต้น เพราะอะไร เพราะจิตของเราคิดไม่ได้อย่างนั้น เราไม่ใช่คนทุจริต ไม่ใช่ทุจริตชนที่จะคิดหลอกลวงชาวบ้าน เราเห็นเขาทำ เราก็ด้วยความใสซื่อ อือ! มหัศจรรย์ๆ
แต่ถ้าความเป็นจริง ความเป็นจริงสิ่งที่มหัศจรรย์นั่นก็เป็นเรื่องโลกๆ นะ เรื่องฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์มันมีของมันอยู่แล้ว ดูสิ สมัยโบราณรบทัพจับศึก ไอ้เครื่องรางของขลังก็มาจากนั่นน่ะ มาจากการรบทัพจับศึก แล้วเรื่องเครื่องรางของขลังมันก็เป็นของชำร่วย ของชำร่วยผู้ที่เขามีอภิญญา มีอภิญญา เขาทำของสิ่งนั้นไว้เป็นของชำร่วย ไอ้พวกเราก็เลยไปตื่นของชำร่วยไง แล้วหัวใจมันทุกข์ล่ะ พระพุทธศาสนาสอนอย่างนั้นหรือ
พระพุทธศาสนาสอนเข้ามาที่ใจนี่ ถ้าพระพุทธศาสนาสอนเข้ามาที่ใจนี่ หัวใจของเราที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ ถ้ามันทุกข์มันยากอยู่นี่ มันจะแก้ไขอย่างไรที่ความทุกข์ความยากในหัวใจนี้ ถ้าความทุกข์ความยากในหัวใจ ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามา คนมันต้องมีอำนาจวาสนา ไม่มีอำนาจวาสนา ทำความสงบของใจเข้ามามันก็ไปเจอความคิดของตัวไง เออ! พระพุทธเจ้าบอกว่าสมาธิเป็นความว่าง มันก็คิดว่าง
คำว่า “คิดว่าง” ไม่ใช่ความว่างนะ มันคิดว่าง มันคิดของมันน่ะ ถ้าความว่างๆ พอมันตัวมันเอง มันไม่ใช่เป็นความคิดว่าง ตัวมันว่าง ถ้าตัวมันว่าง ทำไมมันถึงว่าง
ถ้าตัวมันว่าง มีสติ แล้วความว่าง เรื่องของฌาน แล้วความว่าง ความว่างมีหลายระดับนัก ความว่างของปุถุชน ความว่างของพระโสดาบัน ความว่างของพระสกิทาคามี ความว่างของพระอนาคามี แล้วความไม่มีตัวตนของพระอรหันต์น่ะ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยน่ะ ความว่างมันเป็นชั้นๆๆ เข้าไป
แล้วชั้นๆ เข้าไปน่ะ ความที่มันชั้นๆ เข้าไป เหมือนส้ม ส้มเอามาตั้งอยู่นี่ ส้ม เราหยิบส้มแต่ละคน ส้มมีเปลือก แล้วใครไม่รู้ กินส้มทั้งเปลือกเลย ถ้าคนฉลาดเขาปอกเปลือกส้ม ปอกเปลือกส้มแล้ว คนที่เขาละเอียดรอบคอบ เขายังไปใยส้ม เขายังแกะอีกต่างหาก ยิ่งเป็นชาววังนี่เขาแกะให้พร้อมเลย ผลไม้เขาสลักมาให้เสร็จ เขาแกะผลไม้มาจนไม่กล้าตัก มันสวยเกินไป เราไม่กล้าตักน่ะ
ถ้าคนที่เขาฉลาด ความว่าง ความว่างแค่ไหน ความว่างอย่างไร ถ้ามันว่าง มันมีอะไรเป็นความว่าง ความว่าง มันมีเหตุผลอะไรถึงเป็นความว่าง แต่ถ้าคิดว่าว่าง เราคิดว่าว่างก็ความคิด นี่ไง เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐเลอเลิศมาก แต่ด้วยวุฒิภาวะของสังคมไทย วุฒิภาวะของชาวพุทธที่อ่อนแอนี่ เวลาพูดแล้วพูดไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันแล้วไม่มีเหตุมีผลไง
แต่ถ้ามันมีเหตุมีผลนะ พูดก็รู้ เพราะอะไร เพราะเขาว่างๆ ว่างๆ เขาหยิบส้มมาทั้งลูก เขาบอกว่าส้มนี้หว๊านหวาน ส้มนี้หว๊านหวาน ไอ้พวกเราคนกินส้มเป็นก็งงๆ เนาะ เอ๊ะ! ทำไมเขาไม่ปอกเปลือก เอ๊ะ! ทำไมเขาไม่ปอกเปลือก เพราะเขาไม่เคยทำไง ถ้าคนไม่เคยทำ คนไม่เคยปอกเปลือก มันก็ไม่รู้ว่าปอกเปลือกอย่างไรหรอก แล้วเวลาปอกเปลือกก็ปอกแล้ว ก็ปอกความคิดนั่นแหละ ก็เป็นความคิดอันเดิมนี่แหละ แล้วก็บอกว่าเราคิดให้ว่างไง เวลาเราคิดฟุ้งซ่าน แล้วก็บอกว่าอันนี้กิเลส พอคิดให้ว่าง บอกว่านี่ธรรมะ ก็ความคิดอันเดียวนั่นน่ะ
แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเราสอนปัญญาอบรมสมาธินะ ปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้ความคิดไล่ความคิด ความคิดที่มันเกิดขึ้น ความคิดเป็นสติปัญญาเท่าทันความคิดของตน ความคิดของตน คิดแล้วมันแผดเผาตัวเราไหม ความคิดถ้าคิดแล้วมันเจ็บซ้ำน้ำใจไหม แล้วทำไมคิดซ้ำคิดซาก นี่จะปอกเปลือก
มันต้องมีเหตุมีผลของมัน เวลาพุทโธๆ เราบริกรรมของเราๆ แล้วถ้ามาบริกรรมแล้ว ตั้งแต่เดิมเวลาเราพุทโธของเรามันขัดมันแย้งทั้งนั้นน่ะ พุทโธแล้วก็คิดเรื่องนู้น คิดเรื่องร้อยแปดเลย พอมันเข็ดมันหลาบ มันมีสติปัญญาขึ้นมา พอพุทโธกับอารมณ์ความรู้สึก เออ! ชักเข้ากัน ว่าดี ไอ้นั่นก็ว่า เออ! พุทโธกับเราเป็นอันเดียวกันแล้วเนาะ พอพุทโธๆ พุทโธจนพุทโธไม่ได้แล้วเนาะ พุทโธแล้วก็พุทโธไปเรื่อยๆ ไง ปอกเปลือกต้องปอกให้ได้ ถ้าปอกเปลือกไม่ได้ มันไม่ได้รับรสหวานของเนื้อส้ม
ถ้ารสหวานของเนื้อส้มนะ เวลาเป็นสมาธิขึ้นมามันแปลกใจ เวลาคนเป็นสมาธินะ คำว่า “สมาธิ” คนเราไม่เคยได้สัมผัส พอได้สัมผัสนะ ดูสิ เหมือนคนที่แบบว่าสลบไสลไป คนสลบไสลไปฟื้นขึ้นมา เอ๊ะ! ฉันเป็นอะไรๆ ฉันไม่รู้ตัว แต่เขาวางยาสลบไง
แต่ของเรา ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านเข้าผ่าตัด เขาถามหมอเลย ใช้เวลาเท่าไร ไม่ต้องวางยา ท่านกำหนดของท่านเลย แล้วผ่าเลย ทำไมท่านทำของท่านได้ล่ะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านทำของท่านได้ ท่านไม่ตกอกตกใจ
ไอ้เรานะ เวลาหมอจะผ่าตัด สะดุ้งเลยล่ะ แล้วก็ปวดๆ แล้วก็บอกว่า เดี๋ยวกำหนด เดี๋ยวผ่าเลยนะ พอหมอผ่ามันดิ้นตกเตียงเลย...ดัดจริต ไอ้พวกดัดจริตมันก็เยอะ แต่ไอ้พวกความจริงๆ น่ะ ไอ้นั่นเขาทำนะ
เวลาครูบาอาจารย์ท่านทำน่ะ ท่านทำไว้ให้เห็นว่า จิตใจที่มันประพฤติปฏิบัติแล้วมันมีคุณสมบัติอย่างนี้ ถ้ามีคุณสมบัติ มันเป็นประโยชน์กับการที่ว่าปฏิบัติแล้วมันต้องมีผลอยู่จริงไง อัตตสมบัติๆ ใครมีสติปัญญาที่ดีเท่าทันความคิดของตน รู้จักคัดเลือดแยกแยะ วัฒนธรรม ศิลปวัฒนธรรมหล่อหลอมให้จิตใจนี้นิ่มนวล จิตใจนี้อ่อนโยน ทำให้จิตใจของคนมันไม่แข็งกระด้าง นั่นน่ะเพื่อคุณงามความดี
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากจิต เกิดจากจิตวิญญาณนั้น แก้ไขจิตวิญญาณนั้น ถ้าแก้ไขจิตวิญญาณนั้นน่ะ จิตวิญญาณนั้นน่ะมันมีความไม่รู้ มีอวิชชา อวิชชาคือจิตใต้สำนึก เวลาเรื่องที่มันผุดขึ้นมาจากกลางหัวใจ มันผุดขึ้นมาจากหัวใจ มันมาจากไหน มันมาจากตัณหาความทะยานอยากที่มันขับดันออกมาจากใจ
ทั้งๆ ที่พลังงาน ความรู้สึก ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้คือพลังงาน พลังงานตั้งอยู่บนกาลเวลา พลังงานตั้งอยู่บนกาลเวลาก็คิดชีวิต ชีวิตนี้คือพลังงาน พลังงานนั้นมันมีอวิชชา พลังงานนั้นมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก พลังงานนั้นมีครอบครัวของมารควบคุมมันอยู่ เวลาเราพิจารณาของเราเข้าไป เราจะไปสำรอกไปคายครอบครัวของมาร ตั้งแต่หลานมัน ลูกมัน พ่อมัน ปู่มัน เราคายเราชำระของมันออก พลังงานที่ได้ชำระ ที่ได้สำรอก ได้คายออก ได้คายอะไร คายตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม สิ่งนั้นมันก็เป็นพลังงาน แต่พลังงาน สิ่งที่มันจะแก้ไขแล้ว มันต้องมีภาวนามยปัญญา ปัญญาที่สำรอกไปคายของมันขึ้นมา ถ้าคายขึ้นมา นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างนี้ปัญญาในพระพุทธศาสนา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอนธรรมๆ อริยสัจ สัจจะความจริง สัจจะความจริงมันมีคุณค่า แต่เพราะว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันเข้าไม่ถึงสัจจะอันนี้ไง พอเข้าไม่ถึงสัจจะอันนี้มันเกิดจินตนาการไง คำว่า “จินตนาการไป” แต่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นทางวิชาการใช่ไหม มันก็จินตนาการอย่างนั้นขึ้นมาใช่ไหม แล้วก็สร้างอารมณ์ๆ แล้วมันก็มาแปะไว้ไง เอากิเลสมาแปะกับธรรมะไว้ไง ความรู้ความเห็นของมันก็มาแปะมาแขวนไว้ตามธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาคนที่เขาทำสังคายนาๆ เขาบอกว่า พุทธพจน์มันเป็นพุทธภาษิต ไอ้พวกเรามันสาวกภาษิตไง ไอ้สาวกภาษิตยังดีนะ ไอ้กิเลสภาษิตน่ะ ไอ้ความโง่เง่าเต่าตุ่นภาษิตนั่นน่ะ ไอ้บ้าบอคอแตกนั่นน่ะ มันมาแปะไว้ในศาสนาน่ะ ไอ้เราก็เชื่อ เชื่ออะไร เพราะมันขลังดีไง อะไรที่มันตื่นเต้น อะไรที่มันดูแปลกประหลาด โอ๋ย! ชอบๆ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจเป็นปกตินะ เราอยู่ในบ้านในเรือนของเรา เราก็มีความสุขของเรา ในร่างกายของเรา ในหัวใจของเรานะ มันก็ไม่ฟุ้งซ่านไม่ดีดดิ้นจนเกินไป เพราะอะไร เพราะเราเห็น นี่คือความผิดปกติ ถ้ามันดีดดิ้น นี่คือความผิดปกติ จิตใจเราผิดปกติแล้วล่ะ มันผิดปกติเพราะอะไรล่ะ ถ้ามันผิดปกติ เราตั้งสติของเราไว้ แล้วถ้าตั้งสติแล้วเรายังเอาชนะตัวเองไม่ได้ เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธานุสติ
เราพูดบ่อย อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลอดภัย ระลึกถึงพุทโธนี่ปลอดภัย คนเฒ่าคนแก่นะ โบราณเขาตกใจเขาจะพุทโธๆ เลยนะ เพราะเขาฝังไว้จนเป็นจริตเป็นนิสัย เวลาคนเขาตกใจ เขามีอะไรกระทบกระเทือนในชีวิตของเขา เขาจะอุทานด้วยคำว่า “พุทโธๆ” เพราะเขาฝึกของเขาไว้ นี่อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลอดภัยที่สุด เห็นไหม พุทธมามกะ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เรามีรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของเรา ทั้งๆ ที่เราฝึกของเราไม่ได้ แล้วถ้าเราฝึกของเรา นั่นน่ะคือประสบการณ์จริงของเรา
ในการประพฤติปฏิบัตินะ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ การศึกษาๆ มา ศึกษามาเป็นทฤษฎี ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกธรรมะเป็นธรรมชาติๆ นี่แหละเป็นธรรมชาติ สิ่งที่เป็นธรรมชาติคือทฤษฎีที่วางไว้ ทฤษฎีความเป็นธรรมชาติไง แล้วชีวิตเราก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่งนะ กิเลสก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่มันเกาะกินในหัวใจของคนนะ กิเลสมันฝังอยู่ในจิตใจของสัตว์โลก สิ่งที่มันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ธรรมชาติที่มันเกิดดับไง
แต่เวลาเราฝึกหัดของเรา เรามีสติปัญญาของเรา เราทำสมาธิของเรา เราเกิดปัญญาของเรา นี่เกิดอริยสัจ จิตนี้มันกลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตนี้มีการกระทำ มันสำรอกมันคายของมันนะ มันคายของมัน นี่เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นของส่วนบุคคลนะ เป็นของของคนคนนั้น เป็นของของจิตดวงนั้น ถ้ามันเป็นการยื่นให้การมอบให้ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะยื่นให้จะมอบให้ จะขนพวกเราไปหมดเลย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ด้วยความปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ด้วยความเมตตา
เราเห็นคนโกงกัน คนทำร้ายกัน คนรังแกกัน เราอยากช่วยเหลือเขาทั้งนั้นน่ะ เราอยากช่วยเหลือเขาทั้งนั้นน่ะ แต่เพราะมันเป็นเวรเป็นกรรมของเขา เห็นไหม คนที่โดนรังแกอยู่ เราไปบอกเขาว่า เอ็งโดนรังแกนะ เอ็งไม่ควรจะไปเสียเปรียบเขานะ เขาบอกว่า มันเป็นความพอใจของฉันน่ะ จะมายุ่งกับฉันได้อย่างไร...เขายังพอใจของเขา เขายังมีความชอบใจของเขา มันเป็นความสมยอมของเขา แล้วเราจะไปพูดๆ นี่ไง กรรมของสัตว์ๆ ไง
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนไง บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตั้งแต่พระเวสสันดรไป ปัจจุบันนี้เรามาเกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ใจดวงนี้ไง ถ้าใจดวงนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ซากศพที่แต่ละภพแต่ละชาติเอามาไว้มันกองเหนือโลกนี้อีกน่ะ เพราะมันไม่มีต้นไม่มีปลาย เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะน่ะ แต่เวลามันจะสำเร็จขึ้นมา มันทำลายขึ้นมา ทำลายหัวใจอันนี้ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ตรงนี้ก่อนไง แล้วก็เล็งญาณ เล็งญาณเข้าไปในบริษัท ๔ ใครมีอำนาจวาสนา คำว่า “มีอำนาจวาสนา” คือฟังแล้วมันมีเหตุมีผล เออ! พระพุทธเจ้าพูดถูกต้อง พระพุทธเจ้าพูดดี พระพุทธเจ้าพูดถึงชีวิตเรา เอ๊ะ! ชีวิตเรามันลำเค็ญ ชีวิตเราควรจะทำอย่างไร นี่มันคิดไง
แต่ถ้ามันไม่มีวาสนานะ มันเดินชนพระพุทธเจ้าเลย มันไม่สนหรอก บอกมัน มันก็ไม่ฟัง คนมันหนา เวลาจิตใจมันหนา จิตใจมันด้าน มันไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าคนมีอำนาจวาสนา เหมือนดอกบัวมันโผล่อยู่กลางน้ำ โดนแสงแดดมันจะบานของมันไง
จิตใจของเรามันทุกข์มันยาก สาวกสาวกะผู้ได้ยินได้ฟัง มันต้องมีครูบาอาจารย์นะ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เหมือนแสงแดดที่มันต้องกับดอกบัว มันจะเบ่งบานไง จิตใจที่มันเบ่งบาน จิตใจที่มันเบ่งบาน หมายถึงว่า จิตใจที่มันแสวงหาทางออก จิตใจที่มันมีอำนาจวาสนาที่มันจะมีการกระทำกับใจดวงนั้นไง ถ้าทำกับใจดวงนั้น นี่ส้ม มันจะแกะ แกะเปลือกมัน จะทำความสะอาด แล้วรสหวาน รสหวาน รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง วิมุตติรส เลิศใน ๓ โลกธาตุ เลิศมาก เลิศจนพ้นจากรสใน ๓ โลกธาตุนี้ มันอยู่ที่ไหนล่ะ อยู่ที่ใจนี้ นี่พูดถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำคัญมากนะ
บางประเพณีวัฒนธรรม ผู้ที่มีบุญมาเกิดเขาก็พาพวกเราทำคุณงามความดีกัน คุณงามความดีก็สร้างสมบุญญาบารมี แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมโอสถ แก้ไขการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย แก้ไขความทุกข์ความยากในใจของเรา เห็นไหม วิมุตติรสเลิศที่สุด เอวัง