เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ พ.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วเนาะ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น ทำคุณงามความดีเราต้องได้คุณงามความดี แต่เราทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีของเรา เราก็มีเป้าหมายของเราใช่ไหม ถ้าเป้าหมายของเรา เป้าหมายของโลก โลกกับธรรม เวลาโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ นี่ไง มีลาภเสื่อมลาภ มีชื่อเสียงก็มีคนนินทา เวลาติฉินนินทามันเสียดแทงในหัวใจของเรา แต่เราทำคุณงามความดีก็ทำคุณงามความดีของเรา ถ้ามีสติปัญญาแล้วทำคุณงามความดีเพื่อคุณงามความดี

คนเราเกิดมานะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด มันจะต้องชราคร่ำคร่าเป็นธรรมดา ความเจ็บไข้ได้ป่วยนี้เป็นเรื่องธรรมดา ทีนี้ความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าหัวใจของเรา เรามีคุณธรรมในหัวใจของเรา เราก็เข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้ไง แต่ถ้าเราไม่มีคุณธรรมในหัวใจ เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาชีวิตต้องพลัดพรากไป คร่ำครวญทั้งนั้นน่ะ คร่ำครวญทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา ชีวิตนี้มันต้องชราคร่ำคร่าเป็นธรรมดา เราเกิดมาแล้วชีวิตนี้มีพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา แต่เรื่องธรรมดา ธรรมดาตั้งแต่ต้น ธรรมดาตั้งแต่ต้นทำสิ่งใดมีสติปัญญา ไม่ต้องไปหลงใหลได้ปลื้มมันจนมากเกินไปไง เราทำเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัย เราทำแค่เพื่อดำรงชีวิตของเรา ถ้าดำรงชีวิตของเรา ในเมื่อมันต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันก็มีบุญกุศลของเราให้มันเกิดแล้วไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป

ถ้ามันเกิดมาทุกข์มายาก ทุกข์ยากก็เราทำมา แล้วเราทำมานะ เราก็ขวนขวายของเรา ทำคุณงามความดีของเรานะ มันจะเกิดอำนาจวาสนาบารมี คำว่า “บารมีๆ” บารมีคือการกระทำของเรานั่นน่ะ ดูสิ เวลาคนทุกข์คนจนเขาขยันหมั่นเพียรของเขา เรายังชมเชยเขาเลย คนนี้ถึงเขาจะเป็นคนทุกข์คนยาก แต่เขาไม่เบียดเบียนใคร เห็นไหม เขายังเข้มแข็งของเขา นี่ไง เพราะเขามีการกระทำๆ การกระทำมันไม่มีคนเห็น

แต่ถ้าการกระทำของเรา ถ้าเราไม่มีใครเห็น เราก็ทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรานี่ ประโยชน์กับตัวของเรานี่แหละ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดี พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ไง สอนให้ทุกคนเป็นคนดี ถ้าเป็นคนดี ดีเพื่อใคร ก็ดีเพื่อตัวเราเองทั้งนั้นน่ะ ไม่ต้องดีเพื่อใครทั้งสิ้น

ทีนี้พอมันดีไม่ได้ พอดีไม่ได้มันถึงเกิดคนพาล เพราะอะไร “มึงรู้จักไหมว่าพ่อกูชื่ออะไร” นั่นน่ะมันจะไปข่มเขา พ่อเอ็งชื่ออะไรเอ็งยังจำไม่ได้เลย มาถามกูได้อย่างไร นี่ไง “พ่อกูชื่ออะไร พ่อกูชื่ออะไร” ยังไม่ทำไง โอ๋ย! ถ้าเขารู้จักนะ เขาหลีกทางให้เลย ไม่เหมือนครูบาอาจารย์ของเรา เวลาครูบาอาจารย์ไปไหนท่านจะไม่ให้ใครรู้จัก แล้วคำว่า “รู้จักๆ” เวลาไม่มีชื่อเสียงไปที่ไหนเป็นเรื่องสัจจะเป็นความจริง เห็นตามข้อเท็จจริงทั้งนั้นน่ะ ถ้ามีชื่อเสียงขึ้นมา ไปไหนมีแต่คนเขาต้อนรับ ผักชีโรยหน้าทั้งนั้น เราอยากเห็นของจริง ไม่ได้เห็นของจริงหรอก ไอ้คนที่จะเห็นของจริงมันได้แต่ของปลอม ไอ้เราคนทุกข์คนจนมันเห็นแต่ของจริงทั้งนั้นน่ะ ของจริงจากภายนอกไง แล้วถ้ามันเป็นภายในล่ะ

นี่ไง เวลาเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงทั้งนั้นน่ะ แต่เป็นสัจจะความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมาได้ข้อเท็จจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เย้ยมารเลย “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดในหัวใจเราไม่ได้เลย” เราไม่ดำริถึงเจ้า เราดำริถึงคุณงามความดีไง เราไม่ดำริถึงเจ้า เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ อนุปุพพิกถา เวลาคนเขาทุกข์เขายากมา เขาทุกข์เขายากมา เขาไม่มีสิ่งใดมาเลย บอกให้เขาเสียสละทาน คนมามาด้วยความทุกข์ความยาก หัวใจมีแต่ความแผดเผา บอกให้เสียสละทาน แล้วจะเอาอะไรไปเสียสละล่ะ ก็มันทุกข์มันยากมา มาก็เพื่ออยากได้ ก็มันทุกข์มันยากมา ก็ขอไง ขอให้มันสมความปรารถนาไง แล้วมันจะสมความปรารถนาไหมล่ะ มันไม่สมความปรารถนาเพราะอะไร เพราะหัวใจมันโดนไฟแผดเผาอยู่ไง ถ้ามันโดนไฟแผดเผาอยู่ เห็นไหม ให้เสียสละทาน สิ่งที่เรากำมานี่ไฟเต็มมือ ให้วางไว้ วางไว้ การเสียสละนั้นคือการพลิกหัวใจ ถ้ามันพลิกหัวใจของมันได้ มันพลิกหัวใจ มันจะรับสิ่งดีงาม จะรับสิ่งดีงาม แต่มันยังเป็นฟืนเป็นไฟอยู่เลย แล้วก็บอกว่าเอาน้ำชโลมลงมา เอาน้ำชโลมลงมา ยิ่งชโลมลงมา คนไข้ก็เลยตายเลย

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาให้เสียสละทาน คำว่า “เสียสละ” คือเจตนา คือความดำริความคิดให้มันพลิกแพลง ไม่ใช่ไปจมกับความรู้สึกนึกคิดที่กิเลสมันเอามาแผดเผาอยู่นั่น นี่เวลาแผดเผาขึ้นมาๆ ก็บอกว่าให้เอาออกให้ที ให้เอาออกให้ที แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้เสียสละทาน เสียสละทานคือจิตมันคิด มันต้องมีการกระทำของมัน ดูสิ ร่างกายมันเคลื่อนไหว มันเคลื่อนไหวได้อย่างไร มันเคลื่อนไหวด้วยหัวใจมันสั่งใช่ไหม ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว

เวลาร่างกายเป็นบ่าว หัวใจนี้มันอยู่ในร่างกายนี้ เวลาร่างกายนี้ที่มีหัวใจอยู่นี่ แล้วหัวใจที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเกิดมาด้วยบุญกุศลถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ไง แล้วมนุษย์ เวลาเรามานั่งสมาธิภาวนาของเรา เราเอาร่างกายนี้ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย บุญกิริยาวัตถุ เราไม่อยู่ด้วยความพอใจของกิเลส ไม่ให้มันนอนตีแปลงของมัน เราจะควบคุมของมัน เราควบคุม เห็นไหม มาจากไหน มาจากเจตนา มาจากความเชื่อในพระพุทธศาสนา มาจากความเชื่อในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากความเชื่อค้นคว้าหาใจของตน

ถ้าค้นคว้าหาใจของตน ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้ามันสงบระงับเข้ามาได้ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตมันสงบ มันสงบมาจากไหน คนที่เขาความสุขด้วยอามิส อามิสแสวงหาๆ ถ้ามันได้สมความปรารถนามันก็มีความสุข แล้วความสุขอย่างนี้เติมเข้าไปเถอะ ไม่มีวันเต็ม ไปเที่ยวมารอบโลกให้ ๕ รอบ แต่ถ้าเราพุทโธๆ ไม่ต้องไปไหนเลย สุขได้ สุขที่หัวใจเรานี่แหละ แต่มันหาไม่ได้เพราะอะไรล่ะ เพราะมันตรงข้ามกับโลกไง มันตรงข้ามกับความพอใจของกิเลสไง กิเลสถ้ามันได้ไปเที่ยวรอบโลกมา ๕ รอบนะ มันมาบอกเลย โอ้โฮ! เห็นมาหมดแล้ว แล้วอย่างไรต่อล่ะ เห็นแล้วทำอย่างไรต่อ ก็รอวันตายไง นั่งคอตกไง แต่ถ้ามันหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ สิ่งที่เวลามันสงบระงับเข้ามา ความสุขที่เกิดจากตัวมันเอง ความสุขที่หัวใจของเรา เห็นไหม

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราต้องลาจากโลกนี้ไป เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ลาวัฏฏะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเวลาท่านจะนิพพานของท่าน หลวงปู่เสาร์ลาวัฏฏะ ไปดูสิ่งที่เราเคยเข้มงวดกับตัวเราเอง ไปดูสิ่งที่เราเคยทำแล้วได้ผลที่นั่น บ๊ายบาย ลาแล้วนะ นี่ลาวัฏฏะ

นี่ก็เหมือนกัน เราต้องจากโลกนี้ไปไง เราไปมา ๕ รอบ ๖ รอบโลก แล้วเราต้องจากมันไป จากมันไป แล้วมีอะไรสิ่งใดติดหัวใจนั้นไป นี่ไง ขันธ์ ๕ สัญญา สัญญาอย่างหยาบ สัญญาอย่างหยาบคือความรู้เห็นนี่แหละ เวลาที่มันละเอียดลึกซึ้งไปเป็นปฏิจจสมุปบาท เป็นไปในหัวใจ ในหัวใจ เวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนอดีตชาติๆ ที่มันสะสมไปๆ นี่เราไปมาแล้ว ๕ รอบโลก แล้วเราก็ต้องบ๊ายบายจากโลกนี้ไป แล้วสิ่งที่ตกค้าง ตกค้างอยู่ที่ไหน มันตกค้างอยู่ในภวาสวะ อยู่ในภพนั่นน่ะ อยู่ในจิตใต้สำนึกนั่นน่ะ ถ้าจิตใต้สำนึก สิ่งที่มันอยู่นั่นน่ะ แล้วมันได้สิ่งใดมา

แต่ถ้าเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันไม่ต้องมีภาพ ๕ รอบโลกนั้นอยู่ในหัวใจของเราไง หัวใจเรามีคุณธรรมไง ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นมรรค สิ่งที่ว่าเป็นมรรคๆ มรรค ถ้าหัวใจมันเต็มเปี่ยมไปด้วยมรรค ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล หัวใจของเรา นี่เราร่ำรวย ดูสิ หลวงตาท่านชื่นชมหลวงปู่ลี “เศรษฐีธรรมๆ” ถ้าเป็นเศรษฐีธรรม ในหัวใจมันมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มันมีปัญญาเต็มหัวใจเลย ถ้ามันเต็มหัวใจ มันเต็มหัวใจมันจะเอาอะไรเข้าไปบรรจุในหัวใจนั้น

ไอ้นี่หัวใจมันไม่มีสิ่งใดเลย มีภาพ ๕ รอบโลกนั่น ถ้ามีภาพ ๕ รอบโลก นั่นน่ะมันไปอยู่นู่นน่ะ แล้วไปอยู่นู่นมันก็ไปติดอยู่นั่นไง แต่ถ้าเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ในหัวใจของเรามันมีแต่มรรคมีแต่ผล มันมีแต่คุณธรรมในหัวใจของเรา นี่ไง สิ่งที่เป็นจริงๆ เป็นจริงที่นี่ไง ถ้าเป็นจริงที่นี่ แล้วมันเป็นจริงขึ้นมาแล้วมันเกิดมาจากไหนล่ะ เกิดมาจากคนฉลาด

เราเห็นคุณงามความดี เราทำหน้าที่การงานของเรา เราจะประสบความสำเร็จมากน้อยขนาดไหน ถ้าเราใช้ประโยชน์กับเราแล้ว ใช้ประโยชน์ สุขภาพกาย สุขภาพกายที่เราดำรงชีพอย่างใดให้สุขภาพมันแข็งแรง ถ้าแข็งแรงขึ้นมา ไม่มีสิ่งใดเบียดเบียนตัวเรา สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ได้ ถ้ามันฉลาดนะ สิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ เราทำประโยชน์ซะ แล้วทำประโยชน์ สิ่งที่ทำประโยชน์นั่นน่ะเสริมอำนาจวาสนาบารมีของตน สิ่งที่จะได้มันได้ตรงนั้นไง

สิ่งที่ว่าเป็นของเราๆ เก็บไว้ไม่ได้อะไรหรอก ไม่ได้อะไรสิ่งใดเลย ถ้าได้ไว้เป็นมรดกตกทอด แล้วมรดกตกทอดขึ้นไป ผู้ที่เขาได้สิ่งนั้นเขามีสติปัญญา เขาจะรักษาสิ่งนั้นได้ ถ้าเขาไม่มีสติปัญญา เขาจะรักษาสิ่งใด แต่ถ้าเขามีสติปัญญาของเขา เขาแสวงหาของเขา เขาทำของเขาได้เอง อันนี้พ่อแม่ชื่นชมมากกว่า เห็นไหม สิ่งที่เราทำประโยชน์ได้ ทำประโยชน์ได้เพื่อหัวใจดวงนี้ไง

บ้านเรือนใดก็แล้วแต่ ทรัพย์สมบัติสิ่งใดที่เราขนออกมาจากบ้านของเรา ขนออกมาจากบ้านของเรา ขนออกมาจากบ้านของเราจะเป็นของเรา

ของที่อยู่ในบ้านเรือนของเรา เวลามันมอดไหม้ไปแล้วจบทั้งนั้นน่ะ ชีวิตนี้มันต้องมอดไหม้ไป เวลามอดไหม้ไปแล้วมันต้องลาโลกนี้ไป เวลาลาโลกนี้ไป สิ่งที่ลาโลกนี้ไปมันก็กองอยู่นี่ไง เพราะมันเป็นสมบัติสาธารณะไง มันไม่ใช่สมบัติของเราไง แต่ถ้าเราได้เสียสละไปแล้ว เราได้ขนออกมาแล้วไง ขนออกมาเพื่อประโยชน์ไปแล้ว สิ่งที่ขนออกมา ใครเป็นคนขน จิตนี้เป็นคนขน จิตนี้เป็นคนคิด จิตนี้เป็นคนเจตนา แล้วมันขนออกไปมันทำประโยชน์กับมัน ทำประโยชน์กับมัน สิ่งที่เราเสียสละไปเป็นประโยชน์กับหัวใจดวงนี้ไง ถ้าหัวใจดวงนี้ สิ่งที่ทำๆ มันเป็นประโยชน์ตรงนี้ไง ถ้าจิตใจมันดีขึ้น มันเบาบางขึ้น ที่มันละเอียดรอบคอบขึ้น แล้วถ้าจิตที่มันดีขึ้น สิ่งนั้นไม่สนใจเลย สนใจแต่ความรู้สึก ความรู้สึก พลังงานที่มันส่งออกนี่ พุทโธสว่างไสว พุทโธผ่องใส มันผ่องใสที่ไหน มืดบอดไม่รู้จัก รู้จักแต่ส่งออกไปข้างนอก แต่เข้ามาข้างในมันสว่างไสวที่ไหน เวลามันสงบระงับเข้ามา ถ้ามันไม่สว่างไสวโดยภาพที่เห็น มันก็สว่างไสวจากความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดมันปลอดโปร่งไง ความรู้สึกนึกคิดที่มันเบาบางไง ความรู้สึกนึกคิดที่มันนุ่มนวลไง ความนุ่มนวลไง ความนุ่มนวลที่เราจับต้องได้ไง

แล้วว่าจิตมันอยู่ไหน ความคิดมันอยู่ไหน ความคิดเวลามันแผดเผาเพื่อไปกว้านฟืนกว้านไฟมา มันเผาให้เร่าร้อนไง แต่พอมันปล่อยวางเป็นสัมมาสมาธิ มันอิ่มเต็มของมัน มันไม่ต้องไปกว้านสิ่งใดมา มันร่มเย็นของมันอย่างไร นี่ไง เวลามันรู้มันรู้จริงอย่างนี้ นี่ธรรมโอสถ สิ่งที่เป็นสัจธรรมๆ ธรรมโอสถ แล้วถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญาไป ปัญญาที่มีครูบาอาจารย์ท่านคอยชี้แนะนะ วิปัสสนา วิปัสสนาคือปัญญาการรู้แจ้ง รู้แจ้งในอะไร รู้แจ้งในความไม่รู้ของตนนั่นแหละ รู้แจ้งความโง่ของตนนั่นแหละ รู้แจ้งที่ว่าไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์กับไม่เป็นประโยชน์ไง

เราเกิดมามันจริงตามสมมุตินะ เกิดมาเป็นคน เกิดมาเป็นคน สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้คือห้ามทำลายตนเอง ห้ามทำลายสิ่งที่มีชีวิต ศีล ๕ ไม่เบียดเบียนใครทั้งสิ้น แล้วก็ไม่เบียดเบียนตัวเราเองด้วย แล้วไม่เบียดเบียนตัวเราเอง มานั่งสมาธิภาวนามันเบียดเบียนตัวเราเองหรือไม่ เพราะมันทุกข์ทรมานอย่างนี้

อันนี้ไม่ได้เบียดเบียนตัว อันนี้เบียดเบียนกิเลส เบียดเบียนไอ้ขี้เกียจขี้คร้าน เบียดเบียนไอ้ความไม่เอาไหน ถ้าความไม่เอาไหน พอจิตมันสงบแล้วทำไมมันชื่นบาน ทำไมมันปลอดโปร่ง เวลามันปลอดโปร่งขึ้นมา มันฝึกหัดใช้ปัญญาไป ปัญญาที่มันจะถอดมันจะถอนไง ถอดถอนไอ้ความไม่รู้ในหัวใจของตน ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้ว่าเกิดมาจากไหน มาจากไหนมานั่งอยู่นี่ แล้วถ้ามันสำรอกมันคายไปแล้ว สิ่งที่มันสำรอกคายทิ้งหมดแล้วมันไม่ไปไหนทั้งสิ้น แล้วไม่ไปไหนทั้งสิ้นแล้วไม่ไปแล้วไม่มาด้วย แล้วมันอยู่คงที่ของมันด้วย

แล้วคงที่อย่างไร ถ้าคงที่ก็เป็นอัตตาสิ

มันยังมีความสงสัยต่อเนื่องไปตลอด ถ้าสงสัยต่อเนื่องไปตลอด ถ้าเรามีสติมีปัญญา เรามีสติปัญญา เราทำคุณงามความดีของเรา เราทำคุณงามความดี มาวัดมาวาเสียสละเพื่อนี่ ใกล้พุทธะ ชาวพุทธมีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง มีพระพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา พอตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วลาวัฏฏะ ไม่มีอีกแล้ว เวลาแสดงธรรมขึ้นมาได้พระอัญญาโกณฑัญญะขึ้นมาเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก นี่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะ สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านในใจของท่าน มีหลักมีเกณฑ์ความเป็นจริงในใจของท่าน นี่เป็นรัตนตรัยของเรา เราหวังอาศัย หวังพึ่งพา หวังพึ่งพาของเรา เรามาเสียสละเพื่อประโยชน์กับเรา มาทำประโยชน์กับเรา ทำประโยชน์กับเรา ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อตอกย้ำให้หัวใจมันคิด ให้หัวใจมันจุดประเด็นขึ้นมา ให้มีประเด็นขึ้นมา ให้คิด ให้แยกให้แยะว่าอะไรเป็นสมบัติเราจริงๆ

เวลาพระ ครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ ถ้าพระเราทรงศีลทรงธรรมไม่ได้ ใครจะทรง แล้วมันทรงไว้ที่ไหนล่ะ มันทรงไว้ที่ในหัวใจไง แล้วหัวใจเรามีอะไรทรง หัวใจเราหาหัวใจเราเจอไหม ถ้าหัวใจเราไม่เจอ มันจะวางไว้ที่ไหน สิ่งที่มีอยู่ก็มีอยู่แต่ฟืนแต่ไฟ แต่ฟืนแต่ไฟแล้วทำอย่างไรให้มันสงบระงับเข้ามา ทำอย่างไรที่มันจะถอดถอน ทำอย่างไรมันสลัดฟืนไฟนั้นทิ้ง

ความสลัดฟืนไฟนั้นทิ้งมันมีแต่คุณธรรมขึ้นมาในหัวใจน่ะ นั่นไง ศีลธรรมมันทรงอยู่นั่นไง อกุปปธรรมๆ ให้มันทรงอยู่ในหัวใจนั้น ถ้ามันทรงอยู่ในหัวใจนั้น นี่ชาวพุทธแท้ ชาวพุทธจะเป็นชาวพุทธที่นี่ ถ้าชาวพุทธที่นี่แล้วมันยังเห็นว่าสิ่งใด เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่างเปล่า ๓ โลกธาตุนี้ว่างเปล่า มันเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน มันมีเพราะเราไปยึดไปมั่นเท่านั้นน่ะ ถ้าเรามีสติมีปัญญาเท่าทันหัวใจแล้ว ๓ โลกธาตุว่างเปล่า กลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ ความรู้ใน ๓ โลกธาตุนั้น จบ พอจบแล้ว นี่ไง พระพุทธศาสนาสอนถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ แล้วสิ้นสุดแห่งทุกข์มันอยู่ที่ไหนล่ะ มันอยู่ที่ความทุกข์ความยากในใจนี่ ที่ความทุกข์ความยากบีบคั้นนี่ เรามีอยู่หนทางเดียว ถ้ามีหนทางอื่นที่ดีกว่านี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกหนทางเอก หนทางที่เลิศที่สุด

พ่อแม่ทุกคนหวังให้ลูกมีแต่คุณงามความดี พ่อแม่ทุกคนปรารถนาดีกับลูกทั้งนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ นี่ไง วางธรรมและวินัยนี้ไว้ให้เราก้าวเดินๆ แต่เราจะเชื่อมั่นหรือไม่ เราจะมีอำนาจวาสนาหรือไม่ เราจะทำประสบความสำเร็จหรือไม่ เราก็ขวนขวายของเรา

ชีวิตนี้ต้องมีเป้าหมาย ไม่ปล่อยให้เป็นสิ่งไร้สาระ ปล่อยเป็นขี้ลอยน้ำ ชีวิตของเราแท้ๆ เรือยังมีหางเสือ ชีวิตเราไม่มีเป้าหมายใช่ไหม ชีวิตเราไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับเราเลยหรือ มันต้องมีสิ แต่มีมากน้อยแค่ไหน ใครจะมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน เขาจะมีประโยชน์กับตัวของเขาเอง เอวัง