เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ พ.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราฟังธรรมะดีกว่าเนาะตั้งใจฟังธรรมะธรรมะคือสัจธรรม สัจธรรมคือความจริงอันประเสริฐ ความจริงอันประเสริฐที่เราแสวงหากันอยู่นี่ไง เราเกิดนี่เป็นจริงนะ จริงตามสมมุติ สิ่งมีชีวิตนี้เป็นความจริง ดูสิสัตว์เดรัจฉานมันก็เป็นความจริงของมัน แต่มันเป็นชั่วคราวๆ ทั้งนั้นน่ะ ชีวิตของเราจริงตามสมมุติ แต่มันมีสัจจะ สัจจะความจริงอันหนึ่งที่เราแสวงหาอยู่นี่ไงฉะนั้น แสวงหาถ้าเรามีคุณธรรมในหัวใจ คนมันติดดินไง คนติดดินทำงานที่ยิ่งใหญ่

เราบอกว่าคนติดดิน คนติดดินคือคนที่ประหยัดมัธยัสถ์คนที่ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม คนเราถ้าเราฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เราทะเยอทะยานขึ้นไป มันเป็นความทุกข์ความยากนะ

แต่ถ้ามีหน้าที่การงานเป้าหมายไง เป้าหมายทุกคนมีทั้งนั้นน่ะ เป้าหมายเรายิ่งใหญ่ เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่แล้วหลังบ้านเรามันสะดวกสบายหลังบ้านเราคือหัวใจของเราไงหลังบ้านคือเรามันติดดินไงหัวใจเรามันติดดิน มันไม่วิตกกังวลอะไรทั้งสิ้นไม่ต้องมีสิ่งใดทั้งสิ้นเลย

ดูสิ ดูคนจนผู้ยิ่งใหญ่เรายกหลวงตาประจำ คนจนผู้ยิ่งใหญ่ มีบริขาร๘ เท่านั้นน่ะ ช่วยชาติค้ำชาติได้

เดี๋ยวนี้นะมีบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ดูในหลวงสิ เขาไปดูพิพิธภัณฑ์ไปดูโต๊ะทำงานของท่านสิ โต๊ะทำงานของท่านมันมีอะไรล่ะพื้นๆ แต่ท่านติดดินของท่าน ท่านใช้ประหยัดมัธยัสถ์ สิ่งใดประหยัดมัธยัสถ์ของท่าน แต่ท่านทำผลงานทั่วโลกต้องค้อมก้มคารวะ

นี่ไง ถ้าเราติดดิน คำว่า“ติดดิน” ขึ้นมาแล้วเราจะเป็นคนทุกข์คนจน...ไม่ใช่ คำว่า “ติดดิน” คือหัวใจมันไม่เห่อเหิม หัวใจมันกลับมาเป็นผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีล ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจมันปกติ มันธรรมดานะ คนเรามันประหยัดมัธยัสถ์ คนที่ประหยัดมัธยัสถ์ไม่ต้องฟุ่มเฟือยไม่ต้องหาสิ่งใดเป็นภาระรุงรังจะทำอะไรก็ทำสะดวกสบายเพราะมันไม่ติดไง

แต่เราฟุ่มเฟือย เรามีหัวโขน ทำอะไรก็ระลึกแต่หัวโขนคอยจับหัวโขนไว้มือหนึ่งทำงานมือเดียวไง กลัวหัวโขนมันหลุด แต่ถ้าเราไม่มีหัวโขนคนเหมือนกัน คนเหมือนกันสถานะเท่ากัน

ผู้ที่ติดดินเราติดดินของเรา เราไม่ต้องทุกข์ต้องร้อนแล้วจะมาติดดินมันมาจากไหนล่ะ มนุษย์เหมือนกัน เราไม่ต้องไปมองเขาหรอกว่าเขา โอ้โฮ! ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม นั่นคือเขาขาดสติแล้ว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคำสั่งสุดท้ายนะ “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” ด้วยความไม่ประมาทเลินเล่อกับชีวิตไง ไม่ประมาทเลินเล่อกับความเป็นอยู่ของเราไงไม่ประมาทเลินเล่อควบคุมดูแลหัวใจของเราไง ไม่ให้กิเลสมันครอบครองหัวใจของเราไง แล้วเวลาทำงาน ทำงานยิ่งใหญ่เลยเพราะอะไรเพราะหลังบ้านปิดสนิท หัวใจมั่นคง จะทำอะไรก็ทำได้ แล้วทำด้วยความภูมิอกภูมิใจ ทำแล้วไม่ต้องหวาดระแวงนะ

แต่ถ้าหัวใจมันว้าเหว่หัวใจมันเหลวไหล หวาดระแวงไปหมด กลัวจะไม่ทัดเทียมเขากลัวจะไม่เท่าเขากลัวไปหมด แล้วทำงานมันจะรอบคอบไหมทำงานไม่รอบคอบหรอกฉะนั้น เราอยู่ติดดินนี่แหละ คำว่า“ติดดิน” มันต้องฝึกหัดของเราฝึกหัดที่ไหนล่ะฝึกหัดกลับมาที่นี่ไง

มนุษย์การเกิดเป็นมนุษย์มีค่าอันประเสริฐ การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ อริยทรัพย์ ความเกิดมาเป็นเรา เรามีค่ามากแล้ว แต่เรามีค่ามาก แต่หัวใจของเรา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอริยสัจสัจจะความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะธรรมะอันนั้นอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้วางธรรมวินัยนี้ไว้แล้วเราก็ไปศึกษาศึกษามาด้วยความว้าเหว่ศึกษามาด้วยความหวาดระแวงเราก็กลัวจะไม่รู้ไม่เห็น ก็จับยัดเข้ามาในใจของเราทั้งหมดเลยมันเป็นของข้างนอกทั้งนั้นเลยความจริงของเราไม่เกิดขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง

เวลามันเกิดขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุดในคนที่มีคุณธรรมในหัวใจแล้วมันมีความสุข

เส้นทางชีวิตๆ เส้นทางชีวิตของคนเกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุขทั้งนั้นแล้วความสุขจะไปหาที่ไหนความสุขถ้าไปหาจากข้างนอกมันก็ตะครุบเงาทั้งนั้นน่ะ ความสุขถ้าจะหาในหัวใจของเราเห็นไหม

ถ้าในหัวใจของเรามีศีลมีธรรม มีศีลไม่เบียดเบียนเขา ไม่ลักของเขา ไม่หยิบฉวยของเขา ของใครตกหล่นเก็บไปคืนเขาด้วย ของใคร เราทำคุณงามความดีของเราไง แล้วถ้าเป็นหน้าที่การงานของเรา เราทำหน้าที่การงานมันก็มีผลประโยชน์ตอบแทนทั้งนั้นน่ะ ผลตอบแทนนั้น ยิ่งทำมากเท่าไรนะ ผลตอบแทนที่มันมากขนาดไหนนะเขาเอาไว้ให้เป็นประโยชน์กับโลกอีกต่างหาก

เรามาทำเรามีอำนาจวาสนาบารมี เราทำสิ่งใดแล้วประสบความสำเร็จทั้งนั้น สิ่งที่ประสบความสำเร็จ เราก็ประหยัดมัธยัสถ์ใช่ไหม เราก็ใช้แค่ปัจจัย ๔เท่านั้นไง แล้วที่เหลือล่ะ ที่เหลือก็ประโยชน์กับโลกนี่ไง แล้วเราเจือจานประโยชน์กับโลก ให้คนที่ขาดตกบกพร่องขึ้นมา

คนที่ขาดตกบกพร่องเขาคิดถึงเรานะ เขาคิดถึงว่า “โอ๋ย! เราขาดตกบกพร่อง เราเป็นคนทุกข์คนจนนะมีคนที่มาดูแล” เขาคิดถึงน้ำใจเขาคิดถึงคนคนนั้น เขาคิดถึงน้ำใจน่ะ

ไปไหนดูสายตาคนที่มองสิ สายตาคนที่มองด้วยความนุ่มนวล สายตาคนที่มองด้วยความเคารพบูชา กับสายตาตรงข้าม สายตาตรงข้ามสายตาเขียวปั้ดเลย มันจะกินเลือดกินเนื้อน่ะ ปากหวาน แต่มันจะกินเลือดกินเนื้ออยู่นั่น เห็นไหมด้วยสายตานั่นน่ะ

แต่ถ้าเราหาสิ่งใดมาเพื่อประโยชน์กับเขาๆ ประโยชน์กับเขาตอนที่เราพอแล้วนะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น อย่าเบียดเบียนตนถ้าเราเบียดเบียนตนนะ เราไม่มี เราพยายามจะแสวงหา

แสวงหามาก็ใช่ เราต้องแสวงหาทั้งนั้นน่ะดูสิ เวลาบวชเป็นพระๆ เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาแสนทุกข์แสนยาก แสนทุกข์แสนยากนะเวลาเอาหัวใจของเราไว้ในอำนาจของเราไงจะทำความสงบของใจเข้ามาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาแล้วถ้ามันไม่อยู่เราจะทำอย่างไรๆ

หัวใจมันรักษายาก หัวใจดูแลได้ยาก ดูแลได้ยากเพราะอะไร ดูแลได้ยากก็ด้วยอำนาจวาสนาบารมีพันธุกรรมของจิตไง คนที่มีอำนาจวาสนา ผู้ที่ขิปปาภิญญาฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียวเป็นพระอรหันต์ไปเลย

ไอ้เราปากเปียกปากแฉะ เรามีศรัทธามีความเชื่อนะเราท่องจำ เราท่องบ่นได้เลยเราท่องบ่นทั้งนั้นน่ะ แล้วท่องบ่นไว้ทำไมล่ะ ท่องบ่นด้วยความรู้ของเราหรือ ท่องบ่นขึ้นมาแล้วสลดสังเวชไหมสลดสังเวชในชีวิตของเราไหมชีวิตของเราทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้ ชีวิตเราทำไมไม่เห็นสัจธรรมตามความเป็นจริงอย่างนั้น เราท่องบ่นมาๆ

ท่องบ่นมาเป็นแนวทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ทางไว้ นี่ไงทางอันเอก มัคโคไง แล้วถ้าเป็นความจริงๆความจริงเราก็ต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมาไง ที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็มาดัดแปลงตัวเรานี่ไง ที่เราดัดแปลงตน ที่เราพยายามขวนขวายมาวัดมาวานี่ไง มาวัดมาวาให้มันเข้ามาใกล้ชิด ให้มาฟังธรรมๆ ไง

การฟังธรรม สิ่งที่อานิสงส์ของการฟังธรรม สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังสิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วก็ตอกย้ำๆตอกย้ำมัน เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่องจำๆท่องจำมา แล้วพฤติกรรมมันเป็นอย่างนั้นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ฟังธรรมๆ ตอกย้ำหัวใจๆ แล้วถ้ามันจะไปแก้ไขความลังเลสงสัย “ไม่จริงๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไม่จริงๆคนจะร่ำจะรวยต้องขยันหมั่นเพียร ต้องขวนขวาย ต้องทำ ไม่จริงๆๆ” แล้วเราประพฤติปฏิบัติแล้วมันจริงไหมล่ะ

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาถึงจริงๆ แล้วในโลงนั่นน่ะ เวลาจริงขึ้นมาแล้วสัปเหร่อมันเอาไปเผานู่นน่ะเวลาจริงขึ้นมาแล้วไม่มีใครเอาไว้ในบ้านเลย ไอ้ที่ว่ารักๆ เขาเก็บไว้มันเหม็น เขาเอาไปวัดไปวาทั้งนั้นน่ะ นี่ไงเวลามันจริงขึ้นมาแล้วคอตกไงเวลาจริงขึ้นมาจริงขึ้นมาต่อเมื่อหมดโอกาสแล้วไง

แต่นี่มันจริงของมันอยู่แล้ว แต่หัวใจของเรา ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันคิดไปอีกอย่างหนึ่งไง นี่ไง ที่หัวใจมันรักษายาก รักษายากอย่างนี้ไง

แต่ถ้ามันรักษาง่าย บางคนรักษาง่ายเกิดมาเป็นคนดิบคนดี คิดแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้นน่ะ คิดแต่เรื่องดีๆ มันก็ต้องมีสติปัญญานะ คิดแต่เรื่องดีๆ แล้วคิดว่าทำสิ่งใดจะประสบความสำเร็จ ความคิดดีๆ นั่นเป็นเรื่องภายในหัวใจของเรา แต่อำนาจวาสนาการกระทำปัญหาสังคม คนคิดดีๆ ก็คนโดนรังแกไง โดนรังแกว่าคนไม่มีปัญญาไง ไอ้คนที่คิดไม่ทันคนน่ะ

ทัน เขาทันกิเลสของเขาด้วย เขาทันความคิดของเขาด้วย แต่โอกาสที่เขาจะกระทำในสังคมมันไม่มี ถ้าเขาไม่มีขึ้นมามันก็ไม่มีโอกาสเหมือนกัน

นี่ไงภายนอกภายใน คนเราดีทั้งนอกทั้งใน นี่ไง เวลาหลวงปู่มั่นท่านชมหลวงตา หลวงตาดีทั้งนอกทั้งใน

นอกนอกก็พฤติกรรมมารยาท วินัยเรื่องโลก ความเป็นอยู่นี่่เรื่องโลก นี่ข้างนอก

ข้างในข้างในคือหัวใจที่ผ่องแผ้ว หัวใจที่เป็นธรรมๆเวลาหลวงตาท่านพูดไง เวลาจะคิดสิ่งใดมันก็ต้องแบกขอนไม้ๆ

คำว่า“แบกขอนไม้” ขอนไม้มันหนักขนาดไหน ดูสิพวกใบไม้มันเบาๆ มันก็ปลิวไปตามกระแสลม ขอนไม้มันหนัก กว่ามันจะยกขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะคิดเหมือนขอนไม้ ขอนไม้เพราะอะไร ขอนไม้เพราะจิตใจท่านเหนือไงธรรมเหนือโลกไง เหนือธาตุ ๔และขันธ์ ๕

ขันธ์ ๕มันแสดงตัว ขันธ์๕ ดูสิ เวลาหิวกระหายมันก็แสดง มันก็ต้องการความอยากทั้งนั้นน่ะขันธ์ ๕ แต่มันไม่ใช่จิต จิตของมันเพราะอะไรเพราะจิตมันต้องอาศัยธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ไง แล้วเวลาจะเสวยเวลาจะนึกจะคิดเหมือนกับแบกท่อนซุง แบกท่อนซุงก็พร้อม ท่านมีสติมาพร้อมความคิดๆ ที่มันมา มันพร้อม นี่เวลาข้างในมันดีมันดีชัดเจนขนาดนั้น เวลาดีชัดเจนขนาดนั้น

เวลามันกรรมของสัตว์นะสัตว์ จ้ำจี้จ้ำไชบอกมันขนาดไหนมันก็ไม่ฟัง ถ้ามันไม่ฟังขึ้นมากรรมของสัตว์ๆ นี่ไง เวลามันกรรมของสัตว์ นั่นมันเวรกรรมของเขาจ้ำจี้จ้ำไชแล้วเขาไม่สนใจ มันก็เรื่องของเขา

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ขนาดนั้นท่านเห็นเลยนะแม้แต่สัจธรรมที่แสดงออกมามันเพชรนิลจินดาทั้งนั้นน่ะ แต่ไก่ได้พลอยๆ มันไม่รู้จัก ฟังธรรมไม่เป็น คนฟังธรรมไม่เป็น ฟังธรรมเอาบุญนโม ตัสสะฯพนมมือแป้เลยนะ พอเอวัง อู้ฮู! บุญเต็มเลย มันนั่งสัปหงกไม่รู้เรื่อง

แต่เวลาฟังธรรมนะ เวลาทิ่มเข้าไปในหัวใจนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก กิเลสมันอยู่จิตใต้สำนึกนั้นเวลาแสดงธรรมลูกศรแห่งธรรมปักเข้าไปในกลางหัวใจ พอปักเข้าไปกลางหัวใจนะ ขนลุกขนพอง เวลาพูดถึงความสะเทือนใจ น้ำหูน้ำตาไหลนะ คนฟังธรรมๆ ถ้าฟังธรรมเป็นมันฟังอย่างนั้นไง ฟังเอาเหตุเอาผลไง ฟังให้มันถอดถอนไงไอ้ขี้เกียจตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเราให้มันสำรอกให้มันคายออกมา ถ้ามันคายออกมานี่เวลาถ้ามันดีทั้งภายใน ดีภายในถ้ามันเป็นความจริงๆ

คนเราเกิดมาเกลียดความทุกข์ปรารถนาความสุขทั้งนั้นน่ะ ทีนี้ความทุกข์ความยาก ความทุกข์คนที่มีสติปัญญาคนทำงานมันไม่ต้องออกแรงหรือคนทำงานมันต้องใช้สมองทำงานต้องใช้สมองทั้งนั้นน่ะมันเป็นความทุกข์ไหม แต่ความทุกข์เพราะว่านี่มันเป็นบุญกุศล นี่เป็นคุณงามความดีไง นี่เป็นหน้าที่ของเราไง เราเกิดเป็นมนุษย์ไม่เสียชาติเกิดไงมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ไง มนุษย์ที่ทำเพื่อประโยชน์กับสังคมไง

มนุษย์ทำเพื่อประโยชน์เห็นไหม ท่านอยู่ของท่านนะ ดูในหลวง ไปดูโต๊ะทำงานโอ้โฮ! ใครไปเห็นแล้วน้ำตาไหล นึกว่ามันจะวิจิตรพิสดารขนาดไหน มันก็เหมือนโต๊ะเสมียนชาวบ้านนั่นแหละ แล้วของใช้ไม้สอยเรื่องเสมียนเรื่องหน้าที่การงานของเขา นั่นเขาทำตามตำแหน่งของเขานะ นี่มันมีทั้งนั้นน่ะ อยากเอาอะไรก็ได้ ต้องการอะไรก็ได้ คือมันมีโอกาสทำทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่ทำนี่สิแล้วทำแบบโลกที่เขานึกไม่ถึงไง

แล้วเวลาทำขึ้นมาด้วยอำนาจวาสนาบารมี เวลาทำขึ้นมา ทำเพื่อประโยชน์กับคนที่ไม่รู้จักเลยประโยชน์กับสังคม ไม่ใช่ประโยชน์กับใครทั้งสิ้นเลย ไม่เจาะจงบุคคลใดๆทั้งสิ้นเลย ทำเพื่อโลกทั้งหมดเลย นี่ไง ไม่ได้เจาะจงทำเพื่อกลุ่มนี้ที่ฉันพอใจ กลุ่มนั้นที่ฉันไม่พอใจ ไม่มีเลย ทำเสมอภาคกันหมดเลย

นี่ไง ถ้ามันเป็นจริง ทุกคน เส้นทางของชีวิตเราจะเลือกเดิน ถ้าหัวใจที่ยิ่งใหญ่มันทำได้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าหัวใจมันคับแคบ หัวใจคับแคบก็พยายามจะฝึกกันทีนี้พอฝึกกัน เวลาไปวัดไปวามันก็เท่านั้นน่ะ เพราะมันเป็นที่สาธารณะ เวลาคนมา วุฒิภาวะของคนมันแตกต่างหลากหลายความรู้สึกนึกคิดของคนก็แตกต่างหลากหลายความแตกต่างหลากหลายนั้นประเพณีวัฒนธรรมวัฒนธรรมขัดเกลา ขัดเกลาให้คนน้อมนำไปทางที่ดี

เขาจะไม่มีความเข้าใจเลย แต่เข้าไปแล้วสังคมเขาพาทำๆ เขาก็เดินตามไป แต่เขายังไม่มีสติปัญญาเข้ามา ถ้าวันไหนที่เขาศึกษาแล้วเขารู้ขึ้นมานะ เขาเห็นคุณค่าของมันนะเขาทำด้วยน้ำใจของเขานะ เขาทำด้วยจิตใต้สำนึกของเขา มันจะสะเทือนหัวใจเลย นี่ไงระดับของทานๆทานเกิดจากเจตนา

ดูคนที่เจตนา อู้ฮู! เขาสาธุนะ เขาเทิดใส่ศีรษะนะ เขาอธิษฐานของเขาเขามั่นหมายของเขา ไอ้บางคนสักแต่ว่าทำโยนเอาๆ เลยปาทิ้งด้วย ไอ้นั่นเวลาบอกทำบุญทิ้งเหวๆ กิริยาปาทิ้งมันเป็นกิริยา ทำบุญทิ้งเหว หัวใจมันไม่ติดไม่ข้อง มันทิ้งเหวมาจากหัวใจไง ทำแล้วไม่ติดไม่ข้องใดๆ ทั้งสิ้น เราทำเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ไง

ปฏิคาหกสิ่งที่เราแสวงหานี้บริสุทธิ์ ขณะที่ให้ ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ให้แล้วชื่นใจ จบ ผู้รับรับด้วยความสะอาดบริสุทธิ์รับแล้วใช้ประโยชน์เต็มที่เวลาทำเสร็จแล้วจบกระบวนการนี่ปฏิคาหก บุญกุศลเกิดตรงนี้ไง

แล้วเราก็ไปคิดกัน “สังฆทานๆ”

สังฆทานมันเป็นเพราะเทวดามาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า“ควรทำบุญที่ไหน” แล้วมาถามศาสดา

“ทำบุญที่เธอพอใจนะ” เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้เท่าทันกิเลสในใจของสัตว์โลกวันนี้คิดจะทำบุญคืนนี้มันคิดแล้วไม่เอา พรุ่งนี้เช้ามันเอาไปซ่อนเลยนี่ไง หัวใจ กิเลสมันร้ายกาจนักความตระหนี่ถี่เหนียว ความยึดมั่นถือมั่นของเราแล้วของเรานี่นะน้ำพักน้ำแรงที่เราหามา แล้วเราจะเสียสละง่ายๆได้อย่างไร

สิ่งนี้ “เธอควรทำบุญที่ไหน”

“ควรทำบุญที่เธอพอใจ” พออยากทำ ทำเลย ไม่ให้กิเลสมันต่อต้านไม่ให้กิเลสมันคอยตลบหลังพอทำเสร็จแล้วถ้าจะเอามรรคเอาผลล่ะ เอาสิ่งที่ทำแล้วได้มากได้น้อยล่ะ

อันนี้มันอยู่ที่เนื้อนาบุญของโลกแล้ว เนื้อนาที่ดีมันก็ให้ผลตอบแทนที่ดีใช่ไหม ถ้าเนื้อนาที่ไม่ดีมันก็ให้ผลตอบแทนที่น้อยใช่ไหม แล้วท่านก็ไล่มา แล้วสุดท้ายแล้วตั้งแต่โสดาบันสกิทาคามีอนาคามีขึ้นมาจนถึงพระอรหันต์ ถึงศาสดา แล้วถ้าหมด หมดคือหมดโอกาสใช่ไหม เวลาพระที่ดีหมดไป ท่านถึงบอกให้ทำสังฆทาน ทำกับสงฆ์ ทำกับสาธารณะไง สิ่งที่ทำกับสาธารณะเราก็ทำสาธารณะ ทีนี้ก็เอามาโต้มาแย้งกัน นั่นสังฆทานนี่สังฆทาน

สังฆทานคือความตั้งใจเรานี่แหละ จิตใจถ้าอยากเป็นสังฆทานแล้ว จบแล้ว เป็นสังฆทานสังฆทานแล้วไม่ต้องมีพิธีกรรมว่าเอ็งถูกเอ็งผิดไอ้นั่นพอมีรูปแบบขึ้นมามันก็คอยทิ่มคอยตำกันทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นจริงขึ้นมาทำบุญร้อยหนพันหน ทำสังฆทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่งถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสัมมาสมาธิขึ้นมาหนหนึ่งสัมมาสมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ชำระล้างกิเลสนี่ไง ถ้าเป็นจริงผู้ฉลาดมันฉลาดที่นี่ไง

แล้วถ้าทำบุญร้อยหนพันหน แล้วนั่งภาวนา แล้วเรามานั่งทำความสงบของใจขึ้นมา เราไม่มีปัจจัยเครื่องอาศัยที่จะไปเสียสละอย่างไร เรามีน้ำใจของเรานะเราก็นั่งขัดสมาธิเลย หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นี่ไง เขาทำบุญร้อยหนพันหน เรานั่งสมาธิของเราแล้วถวาย เอาร่างกาย เอาความขี้เกียจขี้คร้านถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยเรายกร่างกายนี้ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย นั่งสมาธิถวายเลยทำไมจะไม่ได้บุญตรงไหน ถ้าได้บุญตรงนี้ปั๊บ มันก็ไปตัดไอ้ความน้อยเนื้อต่ำใจที่บอกเราไม่มีปัญญาทำเหมือนเขา

เราเป็นคนไหม เป็น เรามีร่างกายจิตใจไหม มี แล้วเรานั่งสมาธิได้ไหม ได้แต่มันไม่เคยนั่งมันไม่กล้า มันอยากจะทำบุญแข่งขันกับชาวบ้านเขา

แต่ถ้ามันภาวนาๆ ไงภาวนาให้ธรรมเป็นทาน ให้ธรรมเป็นทานประเสริฐที่สุด ให้ธรรมเป็นทานกำลังให้อยู่นี่ ให้ธรรมเป็นทานคือให้วิชาการ ให้ความรู้ ให้ความรู้คน ให้ความรู้มันฉลาดขึ้นมา พอฉลาดขึ้นมา ใครจะมาเสี้ยมมาสอน ใครจะมาทิ่มมาตำ

มาทิ่มมาตำ โลกธรรม ๘พอทิ่มตำ เห็นเลย คนนี้ประจบสอพลอ เพราะเขามาทิ่มมาตำแล้วไปเชื่อเขาไหม แต่ถ้ามันหลงใหล พอเขาชมหน่อย ลอยเลยนะ แต่ถ้าคนมีหลักนะ ใครมาพูดยกย่องสรรเสริญ ไอ้นี่ยุแหย่

สังคมเขามีความสงบสุขสังคมเขามีความรักกัน มาถึงมาบอกคนนู้นไม่ดีอย่างนี้ คนนี้ไม่ดีอย่างนี้ คอยทิ่มคอยตำ นี่ไงถ้ามันทิ่มมันตำอย่างนั้น ไล่มันไป คนถ้ามีหลักมันก็จบไง แต่ถ้าคนอยากจะลอยไง ใครมายกย่องหน่อย ลอยเลยนะนี่สังคมแตกแยกเพราะว่าวุฒิภาวะจิตใจมันอ่อนแอ

ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมา พูดถึงว่าถ้าเราติดดิน คนจะติดดินได้มันต้องมีสติมีปัญญานะคนที่ยิ่งใหญ่จะแสวงหาสิ่งใดก็ได้ ท่านใช้ชีวิตเรียบง่าย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บริขาร ๘เท่านั้น ครูบาอาจารย์ของเราก็บริขาร ๘เท่านั้น บุคคลผู้ยิ่งใหญ่เขาอยู่กันปกติธรรมดาทั้งนั้นน่ะ แต่ผลงานของท่านการกระทำของท่านยิ่งใหญ่จนเป็นที่เคารพบูชาของเราไง ถ้าเป็นที่เคารพบูชาเพราะมันไว้ใจไงความไว้ใจ

แล้วที่เรามา เราเป็นสาวกสาวกะ เราก็พยายามฝึกฝนเราก็พยายามกระทำ เราก็จะไปทำหัวใจของเราไง ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคตนะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ที่มันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำอยู่นี่ เราพยายามฝึกฝนขึ้นมา ให้พุทโธให้พุทธะเบ่งบานขึ้นมากลางหัวใจ ดอกบัวบานกลางหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก รู้ท่ามกลางหัวใจชื่นบานกลางหัวใจ ชีวิตนี้มีค่ามีค่าอย่างนี้ เอวัง