เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ เราฟังธรรม ฟังสัจธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาก่อนนะ ต้องสร้างสมบุญบารมีมา เวลาสร้างสมบารมีมา มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะตรัสรู้ได้ ค้นคว้าสิ่งนี้มาๆ สัจธรรมอันนี้ เห็นไหม ถ้าสัจธรรมอันนี้ นี่ธรรมโอสถ สิ่งต่างๆ เข้าไปชำระล้างจิตใจในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง
คนเราเกิดมามีสองมือสองเท้าเหมือนกันนะ คนเกิดมาเท่ากันโดยการเกิด คนเกิดมา คนเราไม่ใช่ดีเพราะการเกิด คนเราดีเพราะการกระทำ ถ้ามีการกระทำ ถ้าทำของเรา ทำเพื่ออะไร เพื่อหัวใจของเรา เห็นไหม เราทำเพื่อเรา ทำเพื่อเราทั้งนั้นน่ะ ใครเกิดมาก็ทำเพื่อตนเองทั้งนั้นน่ะ
เวลาเราเกิดมาทำมาหากินของเรา เราพยายามขวนขวายของเรา แล้วเราบอกว่าเราเป็นโรคทรัพย์จางๆ โรคจน เวลาเราจนของเรา เราทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จของเรา คนที่ประสบความสำเร็จเขามีสติปัญญาของเขานะ เขาก็ห่วงลูกหลานของเขา กลัวลูกหลานเขาจะเป็นโรครวย โรครวยทำให้ขี้เกียจขี้คร้าน ทำให้เห็นแก่ตัว
มันจะจน มันจะรวย มันอยู่ที่หัวใจไง ถ้าหัวใจเราได้ฝึกฝนที่ดีมาแล้ว จะจนหรือจะรวยก็แล้วแต่ ถ้าเราฝึกฝนบุตรของเรา ฝึกฝนลูกของเราเป็นคนดีขึ้นมา คนดีขึ้นมา ถ้าหัวใจเขาเป็นคนดีขึ้นมา เขาทำเพื่อประโยชน์กับตัวเขาก่อน การทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีก็ทำเพื่อตัวเขา เพราะทำเพื่อตัวเขา
เวลาปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เวลาสมควรแก่ธรรม ธรรมะจะคุ้มครองๆ คุ้มครองเพราะความดีคุ้มครองเราไง เรามีศีลมีธรรมขึ้นมา ทำสิ่งใดกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม คนคนนี้เป็นคนดี คนดีเวลาตกทุกข์ได้ยากมีแต่คนคิดถึงเขา คนนี้เป็นคนเลว คนนี้เป็นคนเห็นแก่ตัว ตกทุกข์ได้ยาก เขาปล่อยเลย
แต่ถ้าคนดีๆ ไง ถ้ามีศีลมีธรรม ธรรมะคุ้มครอง คุ้มครองอย่างนี้ไง ถ้าเราฝึกฝนลูกหลานของเรา ลูกหลานของเราเป็นคนดี เป็นคนดีนะ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ไปตกที่ไหนก็มีคนมาอุ้มชู เพราะคนเขามีเมตตาของเขา เพราะคนเกิดมา คนต้องการคนดีทั้งนั้นน่ะ สังคมมันอยู่ได้ สังคมที่มันดี
สังคมมันเกิดเพราะอะไร สังคมก็เกิดเป็นมนุษย์รวมกันเป็นสังคมขึ้นมา ถ้าสังคมที่ดี สังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข สมณะชีพราหมณ์ได้ประพฤติปฏิบัติไง สังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข การเมือง การเมืองที่นิ่ง ใครทำสิ่งใดก็มีโอกาสได้ทำสิ่งนั้นใช่ไหม ถ้าการเมืองมันวุ่นวายๆ เราทำสิ่งใดมีแต่ความขัดแย้งไปทั้งนั้นเลย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าสังคมที่ดีๆ ดีมันดีที่ไหน มันดีที่หัวใจนี้ไง แล้วหัวใจมันจะดีได้อย่างไร
ครูบาอาจารย์ท่านสอน สิ่งที่สัมผัสธรรมได้ๆ คือความรู้สึกของคน ความรู้สึกของเรานี่ ความรู้สึกนี้สัมผัส เห็นไหม เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ต้องมีปริยัติ ต้องมีการศึกษาเล่าเรียน
การศึกษาเล่าเรียน เราศึกษาเล่าเรียนด้วยลูกตานะ ศึกษาเล่าเรียน มีหูมีตา ครูพักลักจำ เราไปอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่ทำคุณงามความดี เราสังเกต เราดูแลของเรา เราจะทำอย่างนี้ เราจะทำอย่างนี้ไง สิ่งใดที่เป็นความเลวๆ เราจะไม่ทำอย่างนี้ เราจะไม่ทำอย่างนี้ นี่ไง เวลาศึกษา ศึกษามาด้วยสายตา ศึกษามาด้วยผลกระทบ อายตนะ ที่เราศึกษามา เวลาเป็นจริง เป็นจริงขึ้นมา หัวใจของเรามันจะสัมผัสธรรมๆ
เวลามันทุกข์มันยากมันบีบคั้นหัวใจนะ คนเกิดมามีสองมือสองเท้าเหมือนกัน ทำไมคนหนึ่งมีความสุขล่ะ ทำไมผู้ที่มีความทุกข์ความยากมันบีบคั้นหัวใจล่ะ มันบีบคั้นหัวใจเพราะอะไร เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นโทษของมันไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้วนะ ไม่เห็นในโลกนี้มีสิ่งใดที่น่ากลัวเท่ากับกิเลสของคน
ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวในโลกนี้ มันเป็นธรรมชาติของมัน แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบีบบี้สีไฟในใจของเราแล้วส่งออกไปทำลายคนอื่น ไอ้หัวใจดวงนี้ที่มันมีคุณภาพ หัวใจนี้ คนเกิดมามีกายกับใจๆ หัวใจมีทุกๆ คน เพราะเป็นสิ่งมีชีวิต หัวใจดวงนี้มันโดนอะไร มันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันไว้ไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากบีบคั้นมันไว้ บีบคั้นมันไว้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสอนตรงนี้ไง
แล้วถ้ามีคุณค่าๆ คุณค่าเพราะคนสำนึกว่าตัวเราผิด คนจะมีคุณค่ามากเพราะว่าเรามีความผิดพลาด เราจะแก้ไขตัวเรา คนนั้นมีคุณค่า แต่คนเรามันยังเหิมเกริมของมันอยู่ มันจะเอาอะไรเป็นคุณค่าของมัน ถ้ามีคุณค่าของมัน นี่ไง กว่ามันสำนึกได้ สำนึกได้มันคืออะไร
คนที่สร้างอำนาจวาสนามานะ เห็นสิ่งใดก็แล้วแต่ “ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ” ธรรมะเป็นธรรมชาติเพราะครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นธรรม ท่านมองเป็นธรรมชาติ มองเป็นสัจธรรม ใบไม้หลุดจากขั้วนะ ครูบาอาจารย์เราพิจารณาจนเป็นพระอรหันต์นะ ใบไม้หลุดจากขั้ว พอมันแก่มันเฒ่าขึ้นมา มันถึงกาลเวลาของมัน มันต้องหลุดจากขั้วของมันไป ชีวิตของเราก็ต้องเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
นี่เรากวาดกันทุกวันเลย ใบไม้ตกนี่ อู้ฮู! ลมพัดเกลื่อนกลาดไปหมดเลย เป็นความรำคาญนะ มันตกๆ แต่ครูบาอาจารย์ท่านเห็นมันหลุดออกจากขั้ว ไม้มันผลัดใบ อารมณ์ความรู้สึก ความคิดเกิดดับๆ มันเกิดในหัวใจเราแล้ว เกิดแล้วเกิดเล่า เกิดแล้วเกิดเล่า เขาเกิดมาเพื่อเป็นสัจจะเป็นความจริงของเขา คนที่มีสติปัญญา เราจับต้องของเราได้ เราจับต้องถึงความทุกข์ความยากของเราได้ ทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้ ทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้ แล้วทุกข์นี้มันมาจากไหน เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ควรกำหนด ทุกข์ควรกำหนด ไอ้เราทุกข์มาจะปัดให้ไม่มีทุกข์ ทุกข์ไม่เอา ทุกข์ไม่เอา
ทุกข์ไม่เอามันเป็นวิบาก มันเป็นผล มันต้องมีที่มา มันมีเหตุมีปัจจัยมามันถึงเป็นแบบนี้ ถ้ามันเป็นแบบนี้ นี่ไง ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ไปละที่ไหนล่ะ ละที่ตัณหาความทะยานอยากไง อยากให้มันหายไง อยากให้มันไม่มี ผลักไสมันๆ
ผลักไสมันน่ะบวกสองบวกสาม เวลาทุกข์มันก็ทุกข์อยู่แล้วนะ ผลักไสมันอีก กลายเป็นความทุกข์ย้ำเข้าไปอีก ทุกข์ซ้ำทุกข์ซากเข้าไป แล้วก็บอก “ทำบุญไม่ได้บุญ ทำดีไม่ได้ดี”
ก็เอ็งโง่ไง ถ้าเอ็งฉลาดขึ้นมาสิ ก็เอ็งมันโง่ ก็มันโง่ ทุกข์มาก็ไปผลักมัน
ทุกข์ควรกำหนด ทุกข์ ถ้ากำหนดนะ คนที่จะกำหนดได้คนนั้นต้องมีสติปัญญานะ เราต้องสร้างอำนาจวาสนามา นี่เป็นความทุกข์ พอความทุกข์เรากำหนดแล้ว ทุกข์มันมาจากไหน มันก็สาวไปหาเหตุ แต่พอมันทุกข์ คำว่า “วิบาก” คือผล ผลนี้มันต้องเกิดจากการประกอบ การกระทำ มันถึงเกิดผลอันนี้ ถ้ามันเกิดผลอันนี้ นี่ทุกข์ควรกำหนด
ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ นี่คือมรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราไม่รู้ เราไม่รู้ขึ้นมา เราก็ผลักไสเลย เราเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกทุกข์ไม่ดีๆ ไม่ดีก็พยายามจะผลักไส ผลักไสมันก็เลยกลายเป็นทุกข์ซ้ำซาก ทุกข์ตอกย้ำ ซ้ำซ้อน
แต่คนถ้ามีสติสัมปชัญญะนะ เราย้อนกลับมาที่เรานี่ เราย้อนกลับมาปฏิสนธิจิต เกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ ชาติปิ ทุกฺขา การเกิดที่ไหนต้องมีความทุกข์ที่นั่น เราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องมีกายกับใจ มนุษย์มีร่างกายนี้ต้องการอาหาร ปัจจัย ๔ หัวใจนี้ต้องการธรรมะนะ หัวใจต้องการความถูกต้องนะ ต้องการความสุจริต
หัวใจนี้ไม่ยอมรับทุจริตนะ หัวใจนี้ไม่ยอมรับความผิดนะ หัวใจนี้ไม่ยอมให้ใครรังแกทั้งสิ้น แต่มันอยู่ในหัวใจ มันอยู่ในความคิดไง แต่การกระทำมันทำออกมาไม่ได้ ด้วยอิทธิพล ด้วยอำนาจ เด็กเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ได้หรอก พ่อแม่ชี้ผิดหมด ไอ้เด็กมันก็ “ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน อาบน้ำร้อนมาก่อน” เด็กมันรำคาญ แต่ผู้ใหญ่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี
ความคิด ความคิดมันเกิดดับ เกิดดับในหัวใจ คนเกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มีธาตุ ๔ ก็คือร่างกายนี้ มันต้องการปัจจัยเครื่องอาศัย ต้องมีปัจจัย ๔ ชีวิตนี้อยู่ได้ต้องมีอาหาร ต้องมีที่อยู่อาศัย ต้องมียารักษาโรค ต้องมีเครื่องนุ่งห่ม ปัจจัย ๔ สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ในวินัยเหมือนกัน เวลาพระบวช พระบวชมาก็ปัจจัย ๔ ทั้งนั้นน่ะ บาตรคืออาหาร เครื่องนุ่งห่มก็ไตรจีวร ยาก็น้ำมูตรเน่า นี่ไง ที่อยู่อาศัยก็ตามถ้ำ ตามเงื้อมผา เธอจงอยู่อย่างนี้ เธอจงใช้ชีวิตแบบนี้ เธอจงค้นคว้าหัวใจของเธอ ถ้าเธอทำหัวใจของเธอขึ้นมาได้
นี่ไง เราเป็นชาวพุทธๆ ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงมันอยู่ที่หัวใจนี่ ใจนี้สัมผัสธรรมได้ๆ ใจนี้สัมผัสความจริงได้ แล้วความจริงมันอยู่ที่ไหนล่ะ ความจริงถ้ามันเป็นความจริง ความจริงต้องเกิดจากเรา ต้องเกิดจากการปฏิบัติไง
เราไม่มีสิ่งใดเลย อ้อนวอนขอเอาทั้งนั้น ไปอ้อนวอนขอเอามาจากไหนล่ะ
เรามีหัวใจ เรามีสติปัญญาของเรา เราก็ตั้งสติของเราสิ สติ สติมันยับยั้งได้ หลวงตาท่านสอนประจำ ฝ่ามือสามารถกางกั้นพายุมหาสมุทรได้ เราฟังแล้วซึ้งมาก ท่านบอกว่าฝ่ามือสามารถกั้นพายุได้นะ ฝ่ามือนี่ สติไง
คนมันจะทุกข์มันจะยาก มันจะทุกข์ยากขนาดไหน มันจะมีความคิดรุนแรงขนาดไหน ถ้ามีสติสัมปชัญญะนะ พอมีสติสัมปชัญญะมันนึกได้แล้ว เอ๊อะ! เอ็งคิดทำไม เอ็งมันโง่ ให้อารมณ์มันมาหลอกแล้วก็บีบคั้นในใจน่ะ พอสติมันกลับมา ความคิดมันจะหยุด นี่ไง ฝ่ามือมันสามารถกางกั้นพายุร้ายได้ กางกั้นได้หมดเลยถ้ามีสตินะ
พอมีสติ เดี๋ยวมันก็เกิดอีก เพราะพายุมันตามฤดูกาลใช่ไหม พายุเรายับยั้งมันได้แล้วมันจะสูญสิ้นไปไหม ไม่มีทางสูญสิ้นไปหรอก เราตายไปแล้ว พายุมันยังมีอยู่อย่างนี้ พอถึงฤดูกาลของมันเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ความร้อนของมันในน้ำ มันทำให้พายุรุนแรงขึ้นมา
นี่ก็เหมือนกัน อารมณ์เราที่มันรุนแรง รุนแรงได้ขนาดไหน ถ้ามันรุนแรงได้ขนาดไหน ฝึกหัดๆ ถ้ามันฝึกหัดขึ้นมา ถ้ามันเห็นผลขึ้นมา โอ้โฮ! มันจะซาบซึ้งมาก ซาบซึ้งนะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน โอ้โฮ! เราทำได้ขนาดนี้เชียวหรือ อู้ฮู! เรารู้ขนาดนี้เชียวหรือ อู๋ย! เก่ง เก่ง...เก่งเดี๋ยวก็ตาย มันต้องพัฒนาของมันขึ้นไป
ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกนะ ที่ว่ากราบธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม กราบธรรมเพราะมันซาบซึ้งในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นความจริงๆ ขึ้นมาไง นี่ก็เหมือนกัน เราเองเราฝึกหัดของเราขึ้นมา เราทำของเราขึ้นมา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก
ศึกษามา ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ศึกษามาแล้วเป็นความรู้ของเรา แล้วไปอวดกัน ลับฝีปากกัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เป็นมงคลชีวิตนะ เราสนทนาธรรมกัน แต่ถ้ามันขัดแย้งกัน นั่นน่ะหมามันกัดกัน หมามันกัดกันมีแต่น้ำลายฟูมปาก
นี่ก็เหมือนกัน ศึกษามา ศึกษามาเพื่อโต้แย้งกันหรือ ศึกษามาเพื่อว่าเอ็งมีปัญญามากใช่ไหม ปัญญามาก เอ็งไปทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานะ มันเป็นตำรา มันเป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เป็นศาสดาของเรา
แล้วเขาวางไว้ทำไม ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ศึกษาให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เพราะความจริงอันนั้น ธรรมโอสถมันจะมีผลไง มันยับยั้งได้หมด มันทำให้ปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน แล้วถ้ายกขึ้นสู่มรรค ได้เป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล นี่มันสามารถทำให้คนคนหนึ่งกลายเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ มันสามารถทำให้ใจดวงหนึ่งพ้นจากกิเลสไปได้ พ้นจากความทุกข์ไปได้
“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนดวงใจดวงนี้ไม่ได้อีกเลย” ดวงใจดวงนี้มารมันหาไม่เจอ มารมันหาไม่ได้
ไอ้นี่ไม่ใช่ อ้าซ่าให้มันเลย นี่ไง หลวงตา ครูบาอาจารย์ของเราท่านถึงพูดไง ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเท่ากับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของมนุษย์ กิเลสตัณหาความทะยานอยากอันนั้นทำให้เรามีความรู้สึกนึกคิดที่บิดเบี้ยว แล้วความรู้สึกนึกคิดที่บิดเบี้ยวมันก็ทำลายกัน แล้วมันทำลายกัน สร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นน่ะ ใครก็แล้วแต่ทำแล้วคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จ ไม่รู้หรอกว่าได้สร้างเวรสร้างกรรมไว้มากน้อยแค่ไหน เพราะได้สร้างเวรสร้างกรรมไว้นะ เราไปล้วงไปทำลายในครอบครัวเขาเลยนะ
ในครอบครัวเขามีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข เราไปทำลายในครอบครัวเขาให้แตกแยกนะ เราไปทำลายเขาๆ ทำลายความแตกแยกในครอบครัว ทำลายความสงบสุขในสังคม มันเป็นบุญมาจากไหน มันเป็นบาปทั้งนั้น แล้วใครทำ
กิเลสมันเกิดขึ้นจากใจดวงนี้ มันยุมันแหย่ มันพยายามกระตุ้นให้เราทำ ทำตามแต่ความพอใจ ตามความปรารถนา แล้วมันก็สงบตัวลง ผลที่จะตกขึ้น ตกขึ้นกับจิตดวงนั้น จิตดวงที่กิเลสมันครอบงำนั่นแหละ มันกระตุ้นให้เกิดความคิด เกิดการกระทำ ผลจากการกระทำนั้นตกลงสู่ที่จิตดวงนั้น คือเจตนาทำให้จิตดวงนั้น นี่ถึงเป็นพันธุกรรม เป็นจริต เป็นนิสัย คนย้ำคิดย้ำทำสิ่งใดจะเกิดนิสัยอย่างนั้น คนย้ำคิดย้ำทำอย่างใด มันจะเกิดบาปเกิดกรรมกับใจดวงนั้น
แล้วเกิดมาแล้ว เราเกิดเป็นมนุษย์นะ สองมือสองเท้าเหมือนกัน เสมอกันด้วยการเกิด แต่จิตใจคนไม่เท่ากัน ความรู้สึกนึกคิดของคนแตกต่างกัน คน ความรู้สึกนึกคิดของคนที่เป็นคนดี เจตนาดี หวังแต่คิดดีๆ แล้วเราเห็นคนที่เขาคิดลบนะ คิดทำลาย เรางงนะ เอ๊ะ! ทำไมเขาคิดได้ขนาดนั้น เขาคิดได้ขนาดนั้น แล้วงงไม่งงเปล่านะ เขาคิดได้ขนาดนั้นน่ะ เขากว้านเวรกว้านกรรมมาเผาใจเขาโดยเขาไม่สำนึกตัวเลย นั่นคือเวลากิเลสมันฉลาด
แต่เวลาธรรมมันฉลาดนะ เรามีสติมีปัญญาของเรา สิ่งใดเราทำมาด้วยสัมมาอาชีวะ มันจะมีมากมีน้อยขึ้นมา เราก็มีความประหยัดมัธยัสถ์ เราเห็นว่าเพราะการกระทำของเรามันมีคุณธรรมขึ้นมา เราพอใจไง เราพอใจกับผลของการกระทำ เราจะไม่ทำความชั่ว เราจะไม่ทำความเลวทราม เราจะทำคุณงามความดีของเรา มันจะได้มากได้น้อยก็อำนาจวาสนาของเรา นี่ไง ผลบุญมันเกิดตรงนี้ไง นี่ไง ความพอดีไง ความพอดี ความเหมาะสมในใจของเราไง ถ้ามีคุณธรรมอย่างนี้มันจะทุกข์ไหม มันจะไปเทียบเคียงคนอื่นไหม
คนมีสองมือสองเท่าเหมือนกัน แต่หัวใจที่ผ่องแผ้ว หัวใจที่มีสติปัญญาให้เราไม่ไปยอมจำนนอยู่กับความทุกข์อันนั้น ไม่ยอมจำนนอยู่กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากอันนั้น นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ใครจะทำอะไรกับเรา สาธุ มันเป็นเวรเป็นกรรมของเขา ถ้าเขายังทำอย่างนี้ต่อไป เขาจะต้องไปเจอเจ้าหน้าที่ เขาต้องไปเจอคุกเจอตะรางแน่นอน ความชั่วให้ผลเป็นความชั่ว แต่เราไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับเขา ถ้าคนทำใจได้นะ
หลวงตาท่านสอนประจำ แล้วเราก็พูดบ่อยมาก เวลาท่านเตือนพวกเรานะ ใครจะทำชั่วอย่างไรมันเรื่องของเขาว่ะ เราจะทำคุณงามความดีกัน เราจะทำ เรา เรา เราถ้ามีสติสัมปชัญญะ เราจะทำคุณงามความดี ใครจะทำความชั่วแข่งขันชิงดีชิงชั่ว มันเรื่องของเขา มันเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยว แต่เราก็ไม่ไปคลุกคลีกับเขา เราจะทำคุณงามความดีกันว่ะ ทำคุณงามความดีเพื่อรักษาหัวใจของเราไง
วันนี้วันพระ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้ามันรู้ มันตื่นขึ้นมาแล้ว มันสร้างแต่คุณงามความดีของเรา ให้หัวใจเราผ่องแผ้ว ให้หัวใจเรามีคุณธรรม มีคุณธรรมขึ้นมา มันก็เกิดพันธุกรรมของเราไง พันธุกรรม พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ถึงที่สุดแล้ว สร้างอำนาจวาสนาบารมีเต็มแล้วมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราสาวก สาวกะ เราก็สร้างหัวใจคุณงามความดี คุณงามความดีนี้มันจะเข้าไปในใจของเราให้ใจเรามีจุดยืน ให้ใจเราตั้งมั่น ให้ใจเราไม่วอกแวกวอแว ไม่ให้ใจเรา โลกธรรม ๘ เขาติฉินนินทาแล้ววูบวาบไปหมดเลย
แต่ถ้ามันมีอำนาจวาสนานะ นั่นปากเขา ปากสกปรก เราเชื่อปากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องภาวนา เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่เชื่อปากสกปรก ไม่เชื่อปากกิเลส เอวัง