เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม ฟังสัจธรรม สัจธรรมผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ถ้ามันมีความเป็นจริงในหัวใจอันนั้น ถ้ามันมีความเป็นจริงในหัวใจอันนั้นมันจะมีความสุขประจำหัวใจอันนั้นไง
เวลามีความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากมันเกิดมาจากไหนล่ะ มันเกิดจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเป็นขั้วลบ ถ้าขั้วลบขึ้นมา ในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีขั้วลบและขั้วบวก
เวลาขั้วบวกขึ้นมา สัจธรรมๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนเราถ้าไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ไง การเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลามีการศึกษาขึ้นมาแล้วเขาบอกว่าพยายามจะทำให้เป็นศาสนาประจำชาติๆ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านบอกศาสนาประจำหัวใจไง
ถ้าประจำหัวใจของเรา ถ้าหัวใจมันมีธรรม มีสัจธรรม ถ้ามีสัจธรรม มันมีคุณธรรมคุ้มครองหัวใจ ถ้ามีคุณธรรมคุ้มครองหัวใจ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนะ ถ้าหัวใจของตนมันมีคุณธรรมในหัวใจของตน เห็นไหม “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราไม่ได้อีกเลย” นี่ไง ถ้ามันเกิดบนหัวใจดวงนี้ไม่ได้ มันจะทำทุจริตไปได้อย่างไร มันจะทำความชั่วไปได้อย่างไร มันจะเอาแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมาเผาหัวใจมันได้อย่างไร แต่ถ้ามันไม่มีสิ มันไม่มีมันก็เป็นขันธมารไง มารมันครอบคลุมหัวใจของเราไง ถ้ามันครอบคลุมหัวใจ
ศาสนาประจำชาติๆ ใช่ ชาติเป็นเรื่องยิ่งใหญ่นะ เพราะสังคมของเรา มนุษย์รวมกันขึ้นมามันถึงเป็นชาติ พอเป็นชาติขึ้นมา มีศาสนาหล่อหลอม หล่อหลอมขึ้นมาให้คนเห็นน้ำใจต่อกันไง มีการเสียสละต่อกัน สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข เราอยู่ที่ไหนเราไม่อยู่ด้วยความหวาดระแวงไง
ดูสิ ถ้ากฎหมายบังคับใช้ไม่ได้ อยู่ที่ไหนมีแต่ความทุกข์ความยากไปทั้งนั้นน่ะ มันไม่น่าไว้วางใจ ทรัพย์สมบัติของเรา ระแวงไปหมดเลย แต่ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข กฎหมายบังคับใช้ตามกฎหมายนั้น แล้วผู้ที่มีหน้าที่ทำตามหน้าที่ของตน มันมีความร่มเย็นเป็นสุข มีความร่มเย็นเป็นสุข สมณะชีพราหมณ์ก็มีโอกาสประพฤติปฏิบัติ
เวลามีโอกาสประพฤติปฏิบัติใช่ไหม เรามาทำบุญกุศลของเรา มาแสวงหาสัจธรรมความจริงในหัวใจของเรา ระดับของทานๆ เราไปทำบุญกุศล เวลาทำทานแล้วมีศีล มีศีลแล้วมีภาวนา เวลาจะภาวนาขึ้นมา ภาวนาก็กลัวมีการผิดพลาด พอกลัวมีการผิดพลาดขึ้นมาก็มีการศึกษา ศึกษาเป็นเรื่องของสมอง สมองจำมาขนาดไหน จำมาเท่าไรมันก็ลืมหมดทั้งนั้นน่ะ แต่ศาสนาประจำใจๆ เรามานี่เราพยายามทำความสงบของใจของเราขึ้นมา
ใจมันต้องสงบก่อน ถ้าใจมันไม่สงบ มันฟุ้งซ่าน มันมีแต่ความคิด มีความหวาดระแวงไปทั้งนั้นเลย ทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จ จะพุทโธมันก็แฉลบไปทั้งนั้นน่ะ มันแฉลบไปมันก็เรื่องธรรมดาของกิเลส
พลังงานมันมีขั้วบวก ขั้วลบทั้งนั้นน่ะ เวลาขั้วบวก ขั้วลบ ใครขั้วบวกแรง ขั้วบวกแรงทำสิ่งใดมันก็ทำสมความปรารถนา ถ้าขั้วบวกแรง ทำสิ่งใดมีสติปัญญารักษาหัวใจของตน มันก็สงบร่มเย็นเข้ามา
แต่ถ้าขั้วลบมันแรง ขั้วลบมันแรงมันทำสิ่งใดมันอึดอัดขัดข้องไปหมดล่ะ เวลามันอึดอัดขัดข้องมาจากไหน มันอึดอัดขัดข้องมาจากไหนล่ะ ใครทำให้ มีใครมาทำลายหัวใจของเรา มีใครมาแผดเผา มีใครมาสุมไฟในใจของเรา กิเลสทั้งนั้นน่ะ คนนอกเขาก็อยู่ข้างนอกทั้งนั้นน่ะ เวลาโลกธรรม ๘ เราเวลามีสิ่งใด เราก็โทษสังคม โทษคนอื่นทั้งนั้นเลย เวลาโทษคนอื่นทั้งนั้นเลย
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ เป็นศาสดา มีฤทธิ์มีเดช มีอภิญญาทำสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้นน่ะ เวลาเผยแผ่ธรรมๆ พวกพราหมณ์ พวกต่างๆ มีแต่ขุดหลุมพราง มีแต่วางกับดักทั้งนั้นน่ะ ท่านแผ่เมตตา
เวลาพระมีปัญหาขึ้นมา “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอโดนโลกธรรมรุนแรง” โลกธรรมคือนินทา นินทากาเลต่างๆ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เวลามันเสื่อมยศเสื่อมลาภขึ้นมา “เธอโดนโลกธรรม ๘ บีบคั้นหัวใจ เธออย่าเสียใจ อย่าคร่ำครวญ ให้ดูเราตถาคตเป็นตัวอย่างๆ” เพราะตถาคตผ่านเหตุการณ์อย่างนั้นมา เพราะมันมีกรรมเก่ากรรมใหม่ไง
เวลากรรมเก่าๆ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด เกิดมาจากไหน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดจากนางมหามายา มีพระเจ้าสุทโธทนะ มีพ่อมีแม่ไหม มี มีบุญคุณไหม มี มีญาติพี่น้องไหม มี มีทุกอย่างเลย แล้วมันมีมาก่อนเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พี่น้องก็ยังมี ญาติโกโหติกาก็ยังมีอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วเขาเป็นอะไร เขามีความคิดอย่างไร แล้วเราเป็นใคร เราก็เคยมีความคิดอย่างนั้นมาใช่ไหม แล้วเราสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ เวลามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อวิชชาคือความไม่รู้ ไม่รู้ไม่เห็น มีความมืดบอด มีสิ่งใดที่มันซับซ้อน เข้าใจไม่ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่ง แต่คนอื่นเขาเข้าใจได้ไหม ถ้าเขาเข้าใจไม่ได้ เขาทำของเขา นั่นน่ะกรรมเก่า แต่เวลาทำไปแล้ว พูดถึงว่าเวลาอนันตริยกรรม อันนี้กรรมทำตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้อพระโลหิต ฆ่าพระอรหันต์ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ อนันตริยกรรมอย่าทำเลย อย่าทำเลย ถ้ามีสติสัมปชัญญะ อย่าทำ เพราะเวลามันทำแล้วมันจะให้ผลรุนแรงมาก รุนแรงไปที่ไหน รุนแรงไปที่ไหน ดูเขาทำกัน ทำสังฆเภทๆ ถ้ามีสติปัญญา อย่าทำ ถ้าทำแล้วทำสังฆเภท ทำให้สงฆ์แตกแยก
คนคนหนึ่งมีศรัทธามีความเชื่อมาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระแล้วมีความปรารถนาอยากจะพ้นจากทุกข์ แล้วมาอยู่ในชุมชนของสงฆ์ สังฆะ ๔ องค์ขึ้นไปเป็นสงฆ์ แล้วบวชมาแล้วไม่ถูกใจ ไม่พอใจสิ่งต่างๆ เที่ยวยุเที่ยวแหย่ เที่ยวทำให้มันแตกแยก มีสิ่งใด อย่าทำเลย อย่าทำเลยนะ เพราะคนที่กว่าเขาจะมาบวช กว่าเขาจะมีจิตใจมุ่งมั่น แล้วเขามีความปรารถนาดี แล้วเราไปทำให้เขาแตกแยกกัน ให้เขามีความเห็นแตกต่างกัน แล้วมันเป็นบาปเป็นกรรม เป็นบาปเป็นกรรม ถ้ามีสติปัญญา อย่าทำเลยๆ
นี่พูดถึงว่า มันยังมีกรรมเก่า กรรมเก่าคือพันธุกรรมของจิต จิตที่มันเป็นจิตที่มันพาล มันพาลอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่จิตที่มันมีบุญกุศล ในสมัยพุทธกาล เวลาคนที่มีบุญกุศลจะขอบวช องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบริขาร ๘ มาโดยทิพย์ มาเลย แต่คนที่ไม่มีอำนาจวาสนา หาไม่ได้ นี่ไง ถ้ามันมีมันก็มีหนนั้นหนหนึ่ง
นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ต้องมีจาตุรงคสันนิบาตหนหนึ่ง พระ ๑,๒๕๐ องค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่บวชให้เอง บวชให้คือว่าเราบวชให้ เราคลอดเอง เราให้กำเนิดมาเอง แล้วเราสั่งสอนเอง เราฟูมฟักเอง เราดูแลเอง แล้วสิ้นกิเลสทั้งหมด แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนนั้นมีมากกว่านี้ไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ องค์ มันจะมีหนหนึ่งๆ ในอำนาจวาสนาบารมีของผู้ที่สร้างบุญกุศลมา นั่นก็เป็นบุญกุศลของเขา
แต่ของเราล่ะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้าเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเกิดมาแล้วโลกเจริญๆ โลกเจริญคือการศึกษามันเจริญขึ้น วิทยาศาสตร์เจริญขึ้น อายุขัยของมนุษย์ก็ยืนยาวขึ้น โรคภัยไข้เจ็บรักษาได้ง่ายขึ้น คนเราก็มีเวลามากขึ้น เราก็ว่าเรามีสติมีปัญญาๆ มันก็ปัญญาสมองไง ปัญญาสมอง สุตมยปัญญา ปัญญาการศึกษาไง
ศึกษามา เขาให้ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติไง ไอ้นี่พอศึกษาขึ้นมาแล้ว ด้วยวุฒิภาวะที่อ่อนด้อย ขั้วลบมันมากไง โอ๋ย! ฉันมีความรู้ๆ
ความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความรู้มากกว่านี้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการใบไม้ในกำมือเท่านั้นน่ะ พระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ใบไม้ในกำมือ ความเป็นจริงเหมือนใบไม้ในป่า มันมีอีกมหาศาลขนาดนั้นน่ะ แต่สิ่งที่สั่งสอนได้ มนุษย์จะรับรู้ได้ รับรู้ได้แค่นี้ ได้แค่นี้ก็เอาแค่นี้ แค่นี้ถ้ามันทำจริงมันก็จะเป็นประโยชน์กับมันไง สิ่งที่เราศึกษามาๆ ใบไม้ในกำมือขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้ามันเป็นความจริง เป็นความจริงในใจของเรา เห็นไหม
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเป็นที่พึ่งของตน แล้วตนอยู่ที่ไหนล่ะ อยู่ที่บัตรประชาชน อยู่ที่ทะเบียนบ้าน เราอยู่ที่ไหนล่ะ
มันเป็นสิทธิ์นะ จริงตามสมมุติๆ เราเกิดมาชีวิตหนึ่ง อายุขัยหนึ่ง มันสิทธิของเรานะ เวลาชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาตายไปแล้วเป็นของใคร สมบัติของเรา เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา ใช้สอยทุกวัน ใช้จ่ายทุกวันก็พลัดพรากจากเราไป แต่ถ้าเราพลัดพรากจากเขาไปสิ มันจะเป็นสมบัติสาธารณะเลย แล้วสมบัติของเราล่ะ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ละเอียดลึกซึ้งเข้ามาไง สมบัติของเราก็บุญกุศล บาปกรรมไง คิดถึงความดีเราสิ คิดถึงความชื่นหัวใจเราสิ นั่นล่ะบุญ นี่มันติดหัวใจไป คิดถึงทำความชั่วสิ ใครทำสิ่งใดไว้ ความลับไม่มีในโลกหรอก มันอยู่ที่ใจนั่นน่ะ คนทำมันรู้หมด นี่ไง สมบัติแท้มันอยู่ที่นี่ ถ้าสมบัติแท้อยู่ที่นี่ จิตใจเราถึงพัฒนาขึ้น
พอพัฒนาขึ้น เวลาพระ พระเราก็ต้องบิณฑบาต เช้าออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ มันก็มีปัจจัย ๔ ทั้งนั้น คนเกิดมามันก็ต้องมีอาชีพทั้งนั้นน่ะ ถ้ามีอาชีพ เราก็มีหน้าที่การงานของเรา ถ้ามีหน้าที่การงานของเรา เราก็ทำหน้าที่การงานของเรา หน้าที่การงานขึ้นมา
คนถ้ามีอำนาจวาสนาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ คนที่อำนาจวาสนาอ่อนด้อย เราก็พยายามทำของเรา มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียรไง เราก็มีความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ พยายามของเราไง อำนาจวาสนาเราขนาดไหน มันก็เป็นอำนาจวาสนาส่วนหนึ่ง กรรมเก่า
กรรมใหม่ๆ ความขยันหมั่นเพียร สติปัญญาไม่ประมาท นี่กรรมปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้ต่างหากที่มันจะประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่มันขาดตกบกพร่องมา สิ่งที่ขาดตกบกพร่องในจิตใจของใคร อันนั้นก็เป็นสิ่งที่เราทำมาๆ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เราทำของเรามา ทำสิ่งใดมา เราทำของเรามา ถ้าทำของเรามาแล้ว เราจะมาอุทธรณ์ฎีกากับใคร ก็เราทำมา
แล้วถ้ามีสติปัญญา ทำปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้ให้ทำคุณงามความดีของเราๆ ถ้าทำคุณงามความดี ถ้าวุฒิภาวะที่จิตใจมันพัฒนาขึ้น มันเห็น ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง ทำสมาธิได้ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับภาวนามยปัญญาได้หนหนึ่ง ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา ที่ไปรื้อค้น ไปพลิกแพลงใจของตน แล้วมันมาจากไหนล่ะ
ตำราเป็นตำรานะ เวลาเป็นจริงๆ เป็นจริงที่ในหัวใจนี้นะ หลวงตาท่านพูดประจำ ศาสนาประจำใจๆ ถ้าใจของคนมีกิริยามีการกระทำแบบนี้ นี่ศาสนาประจำหัวใจ มันมีมรรคมีผลไง ถ้ามันมีมรรคมีผลในหัวใจอันนั้น มีองค์ความรู้ มีความจริงในใจ เห็นไหม
“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา” เวลาดำริขึ้นมา เวลาจะคิดขึ้นมาไม่ทันมันหรอก เวลาความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดในหัวใจ มันเหยียบย่ำหัวใจจนแหลกลาญ ไม่เคยทันมันเลย บางคนทุกข์เป็นเดือนเป็นปีไม่มีวันจบสิ้น บางคนทุกข์สัก ๒ วัน ๓ วันก็ยังทันใช่ไหม แต่บางคนนะ
นี่ไง ถ้ามันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาจากไหน เรามันอยู่ที่ไหน นี่เรายังไม่รู้จักตัวเราเลย ถ้าเรารู้จักตัวเรา ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้วท่านถึงบอกว่า ก่อนที่จะประพฤติปฏิบัติ เราพยายามทำความสงบของใจเราก่อน ทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบระงับเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แค่จิตมันเป็นสมาธิมันก็สงบขึ้นมา มันมีความสุข ความสงบ ความระงับ มันมีความมหัศจรรย์แล้ว
คนที่อ่อนด้อยทางวุฒิภาวะ เวลามัน “เออ! นิพพานเป็นเช่นนี้เอง” มันว่างๆ ไง “นิพพานเป็นเช่นนี้เอง”...ยัง อีกไกลนัก แต่มันเริ่มต้น มันเริ่มต้นที่นี่
นี่จุดเริ่มต้นก็ไม่มี จุดท่ามกลางก็ไม่มี ที่สุดก็ไม่มี แล้วเอาอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไง แต่ถ้ามันจะเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา มันต้องรู้จักหัวใจของเราก่อนไง ทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบมันก็มีความมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์แล้วกว่าจะยกขึ้นวิปัสสนา ยกอย่างไรยกไม่เป็นหรอก เวลาจะใช้ปัญญาก็ใช้สัญญาทั้งนั้นน่ะ
สัญญาคือศึกษามา สัญญาคือข้อมูลที่เคยรู้จักมา “สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ กายานุปัสสนาสติปัฏฐานก็พิจารณากาย” หมอมันผ่าตัดดีกว่านี้อีก มันพิสูจน์ศพ ศพพูดได้ด้วย ดีกว่านี้อีก แล้วเราก็เอาโครงกระดูกมาแขวนกัน มาพิจารณากัน มันอยู่ในตู้ มันไม่อยู่ในใจ
ถ้ามันอยู่ในใจ จิตสงบแล้วมันเห็นกายของมันโดยความเป็นจริง นั่นน่ะมันจะเป็นความจริงขึ้นมา ศาสนาถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ โดยอริยสัจ โดยสัจจะความจริง ไม่ใช่สติปัฏฐาน ๔ ด้วยความนึกคิด ด้วยความเพ้อเจ้อ เพ้อเจ้อไปอย่างนั้นน่ะ นี่ศาสนาประจำชาติ มีทฤษฎีแล้วก็เพ้อเจ้อกันไปไง
ถ้าศาสนาประจำใจขึ้นมา มันสงบระงับนะ พอมันสงบระงับขึ้นมา มันเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าที่มันสำรอกที่มันคายออก อ๋อ! กิเลสมันเป็นแบบนี้ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านพูดประจำนะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมาไม่เห็นความร้ายกาจของสิ่งใดในโลกนี้เท่ากับกิเลสของคน กิเลสในใจของคน
แต่เวลาทางกฎหมาย ผู้ทำผิด ผู้ทำผิดเป็นกฎหมายอาญา แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มโนกรรม สิ่งที่การกระทำ กิเลสในหัวใจของสัตว์โลกน่ากลัวที่สุด แล้วหัวใจสัตว์โลก หัวใจใครล่ะ หัวใจทุกๆ คน คนที่เกิดมาบนโลกนี้ทั้งหมด ทุกดวงใจ ทุกดวงใจที่มีการเกิด นั่นน่ะน่ากลัวมาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน แต่มันมีขั้วบวกมาก ขั้วบวกน้อยไง ถ้ามีขั้วบวกมาก มันก็ยังควบคุมดูแลของเราได้ แล้วถ้าควบคุมดูแลได้ มาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระดับของทาน ให้มีความเสียสละ ให้มีความเมตตาต่อกัน มีการเห็นน้ำใจต่อกัน
เราศึกษามาแล้ว เออ! พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น เราเป็นชาวพุทธ เราแสวงหาอย่างนี้ แล้วถ้าเราจะเพิ่มอำนาจวาสนาบารมีของเรา อย่างเช่นโยมมาทำบุญนี่แหละ มาเสียสละของเราเพื่อประโยชน์กับหัวใจของเรา ฝึกหัดหัวใจของเรา เห็นไหม สุขภาพกายแข็งแรงเพราะเขาได้ออกกำลังของเขา สุขภาพกายเขาถึงแข็งแรง สุขภาพจิตของเรา เราจะให้มันแข็งแรงขึ้นมา เราฝึกหัดมันให้มันรู้จักเสียสละ ให้มันรู้จักเมตตา ให้มันรู้จักถึงหัวใจของสัตว์โลก ให้มันรู้จักหัวใจของคนอื่นไง ให้มันรู้จักถึงประโยชน์ของผู้อื่น ประโยชน์ของที่เราใช้สอยร่วมกันไง ถ้ามันพัฒนาขึ้น หัวใจมันพัฒนาขึ้น สุขภาพจิตมันดีขึ้น มันจะย้อนกลับเข้ามา
ถ้าย้อนกลับมา ศีลคือความปกติของใจ ใจมันปกติไหม ในปัจจุบันมันปกติไหม ศีล ๕ นี่ข้อห้าม ศีล ๑๐ ก็ข้อห้าม ศีล ๒๒๗ ก็ข้อห้าม อุโบสถศีล ศีลต่างๆ เป็นข้อห้ามทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาคือความปกติในหัวใจนั้น ถ้าหัวใจนั้นปกติ มันไม่ผิดศีลผิดธรรม
ไอ้นี่เวลาจะถือศีลขึ้นมามีแต่ความคิด ความคิดว่ากลัวผิดกลัวพลาดไปทั้งหมดเลย ทั้งๆ ที่ยังไม่ทำอะไรเลย เห็นไหม ความคิดผิดไม่มี ความคิดเป็นโทษไม่มี ความคิดมันเป็นกิเลสที่มันเหยียบย่ำหัวใจต่างหาก ความคิดที่มันเป็นอยู่นี่ไง ความคิดที่มันเป็นอาบัติไม่มี
แต่ความคิดที่เลวร้าย แล้วการกระทำออกไป เห็นไหม ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ จับต้องกายหญิงเป็นอาบัติสังฆาทิเสส มันมีความกำหนัดอยู่ แล้วมันจับต้อง ความจับต้องนั้นมันเกิดขึ้น นี่ไง เวลามันเป็นจริงๆ ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดจาเกี้ยวหญิง พูดจาเคาะหญิง นี่ไง เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ถ้าไม่มีการกระทำ ไม่มีการพูดการจาออกไป มันมีความกำหนัดในหัวใจ มันมีของมันโดยธรรมชาติของมัน ถ้าคนเกิดมามันมีของมันทุกคน แต่มีการกระทำแล้วมันถึงจะเป็นอาบัติขึ้นมา
นี่ก็เหมือนกัน ความคิดที่มันเป็นโทษเป็นภัย ความคิดในหัวใจนั้น นี่ไง สิ่งที่ว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้วไม่เห็นภัยใดที่รุนแรงเท่ากับกิเลสในใจของสัตว์โลก กิเลสในใจเรานี่แหละ นี่พูดถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพูดถึงคุณธรรมนะ สูงส่งมาก แล้วสูงส่ง สูงส่งเพราะอะไร สูงส่งเพราะได้สำรอกได้คายแล้วไง
แต่ของเราพิษเต็มตัว พิษเต็มตัวมันก็ต้องแก้ไข ต้องประพฤติปฏิบัติของเรา ขวนขวายของเรา กระทำของเราขึ้นมา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น
นี่ก็เหมือนกัน วัด อารามิกะ ผู้ไม่มีเหย้าไม่มีเรือน มาอยู่วัดอยู่วา อยู่วัดอยู่วาเพื่ออะไร เพื่อประพฤติปฏิบัติ เพื่อแสวงหา เพื่อการกระทำของเราขึ้นมา ให้มันมีคุณธรรมขึ้นมาในใจ
ศาสนานี้นะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ สติ สมาธิ ปัญญา มันเป็นชื่อของมัน ถ้าเป็นจริงขึ้นมามันเป็นในหัวใจนี้ ถ้ามันสุข มันสุขในหัวใจนี้ มันรู้ มันรู้ในหัวใจนี้ สดๆ ร้อนๆ แล้วแต่ใครจะเข้าครัวแล้วจัดการแสวงหาทำให้มันเป็นขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน เข้าไปในหัวใจของตน แล้วพยายามทำของตนขึ้นมาให้เป็นสัจจะให้เป็นความจริง
เราบอกว่า “มันสุดวิสัย เป็นหน้าที่ของพระ ไม่ใช่หน้าที่ของเรา”
เวลาทุกข์ล่ะ อยากทุกข์หายไหมล่ะ คนป่วยทุกคนอยากหายป่วยทั้งนั้นน่ะ ถ้ามีกิเลส อยากให้กิเลสหมดไปจากใจดวงนั้นน่ะ มันเป็นหน้าที่ของเรา มันเป็นสมบัติของเรา มันเป็นโอกาสของเรา มันเป็นเจตนาของเรา มันเป็นการกระทำของเราให้เป็นสมบัติของเรา เอวัง