เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ ธ.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันนะ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา การเกิดเป็นมนุษย์มีค่ามาก มีค่ามากเพราะมีกฎหมายคุ้มครอง

 

เวลากรรม เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาเราเกิดเป็นสัตว์ เกิดในนรกอเวจี เขาเกิดด้วยเวรด้วยกรรมของเขาทั้งนั้นน่ะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เวลาเกิดเป็นมนุษย์มันอยู่ที่น้ำใจของคน เวลาน้ำใจของคน คนที่มีสติปัญญา ปัญญาเท่านั้นจะแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ ได้ ปัญญาเท่านั้นจะแก้ปัญหาชีวิตได้ ปัญญาเท่านั้น ปัญญาเท่านั้นนะ

 

แต่ปัญญาขี้โกง ปัญญาขี้โกงมันทำลายชีวิตของเราเองนะ มันทำลายหมดเลย เวลามีสติมีปัญญา ปัญญาที่เป็นธรรมๆ ไง ปัญญาที่เป็นธรรมมันเป็นอย่างไร ปัญญาที่เป็นธรรมนะ คนเรามีน้ำใจต่อกัน คนเรามีสติมีปัญญา มันเห็นคุณค่าไง

 

แต่ถ้าปัญญาขี้โกง ขี้โกงว่ามันไปกว้านสมบัติทั้งหมดมาเป็นของเราๆ แล้วมันเป็นของเราจริงหรือเปล่าล่ะ ถ้ามันเป็นของเราไม่จริง เป็นของเราไม่จริงเพราะอะไร เพราะมันเป็นความจริงไปไม่ได้ มันเป็นสมบัติสาธารณะ ใครมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน ด้วยความสุจริต ด้วยความเป็นธรรมนะ ก็ได้มาด้วยความสุจริต แต่ได้มาด้วยความทุจริต ได้มาด้วยความทุจริตก็ได้มาเหมือนกัน ด้วยความทุจริต

 

สุจริต ทุจริตมันมาจากไหนล่ะ สุจริต ทุจริตมันก็มาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากของคน ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากของคน คนที่มีปัญญามาก ปัญญาน้อยไง นี่ก็เหมือนกัน คนที่มีปัญญาบวกมาก ปัญญาลบน้อย นี่ปัญญาบวก ปัญญาลบ ปัญญาบวก ปัญญาลบก็ด้วยกิเลส ด้วยตัณหาความทะยานอยากของคน ถ้าของคนนะ คนที่มีสติมีปัญญา มีอำนาจวาสนานะ เขาเห็นคุณประโยชน์ไง เห็นสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์

 

เวลาคนกรุงเทพฯ เวลาไปต่างจังหวัด ไปเขาใหญ่สูดโอโซนที่สะอาดบริสุทธิ์ สูดโอโซนที่ดีที่สุดในประเทศไทย ทำไมแสวงหาล่ะ เราก็รู้อยู่ว่าแสวงหาโอโซนสิ่งที่มันมีคุณค่ากับชีวิตไง อยู่ในกรุงเทพฯ มันมีแต่ควันพิษไปทั้งนั้นน่ะ แต่เราก็ต้องอยู่ที่นั่น อยู่ที่นั่นเพราะอะไร ที่นั่นเป็นที่ทำงาน ที่นั่นเป็นแหล่งโอกาส แต่เวลาเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมันอยู่ที่ไหนล่ะ เราก็รู้ คนที่มีสติปัญญาเขาสรรหาของเขาได้ นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันมีสติปัญญา สิ่งที่เป็นคุณธรรมๆ ที่มันละเอียดลึกซึ้งๆ มันละเอียดลึกซึ้งในหัวใจของเราไง

 

ความลับไม่มีในโลก เวลาคิดสิ่งใดทำสิ่งใด หัวใจมันรู้ทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าหัวใจที่มันสะอาดบริสุทธิ์ เราทำสิ่งใดด้วยความถูกต้องชอบธรรม มันจะขาดตกบกพร่องอย่างไรเราก็ภูมิใจ ความภูมิใจนี่เขาเรียกว่าเข้มแข็งโดยแบบว่าศีลธรรมจริยธรรมเข้มแข็ง ถ้ามันเข้มแข็งในหัวใจของเราไง แต่ถ้าศีลธรรมจริยธรรมอ่อนแอในหัวใจ มันอ่อนแอ มันไปหมด มันไปหมด

 

นี่ไง คนที่มีคุณธรรม มีคุณธรรมตรงนี้ไง เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาท่านขวนขวายของท่าน ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน ใครบ้างไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจ ใครบ้างมันไม่คิดถึงว่าเราเป็นคนทุกข์คนยาก

 

เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นนะ ถ้าพูดถึงทางโลก เศษมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดที่จะได้ความเป็นสุขทางโลกนี้เลย เหมือนเศษคน ท่านบอกเศษคนๆ นะ แต่ถ้าเป็นทางธรรมๆ เศรษฐีธรรม ท่านเป็นเศรษฐี ท่านมีคุณธรรมในหัวใจ ท่านมีความสุข มีความสงบ มีความระงับ

 

มีความระงับ เหมือนเรา เรามีเงินมีทองแล้วเราไปเที่ยวเขาใหญ่นั่นน่ะ ไปอยู่ที่นั่น อยู่ที่นั่นก็ต้องกลับ เพราะมันต้องกลับไปทำงาน แต่เศรษฐีธรรมๆ ท่านไม่มีห่วงภาระในหัวใจ อยู่ที่ไหนก็ได้ มีความสุขทั้งนั้น แล้วความสุขในใจ วิมุตติสุขๆ ที่เราไม่เคยรู้จักไง

 

เรารู้จักแต่สุขเวทนา ทุกขเวทนา ถ้าสุขเวทนาได้เสวย ได้ความพอใจของตน มีความสุขๆ แล้วมันก็แสวงหาที่มากขึ้นๆ เรื่อยๆ เพราะมันไม่เคยพอไง มันจะเอาสิ่งที่มากขึ้นๆๆ จนโลกนี้ก็ไม่พอกับมัน แล้วมันก็ไม่สมกับความสุขของตนไง

 

แต่วิมุตติสุขนี่จบ ไม่มีสิ่งใดจะเข้าไปเติมเต็มสิ่งนั้นได้ มันอิ่มในตัวมันเองของมันอยู่แล้ว นี่พูดถึงเวลาคนที่เขาแสวงหา แสวงหาอย่างนั้น ถ้าคนมีสติมีปัญญาไง แต่ถ้ามองในทางโลก มองในทางโลกมันจะมีความสุขมาจากไหน ดูสิ เรากินอาหารวันหนึ่ง ๓ มื้อ ๔ มื้อ เราก็แสวงหาว่าเราเอร็ดอร่อยของเราไง พระฉันมื้อเดียวมันจะมีความสุขได้อย่างไร แต่เวลามาบวชเป็นพระแล้วฉันมื้อเดียวมันมากเกินไป ฉันมื้อเดียวแล้วนะ ธาตุขันธ์ทับจิต ธาตุขันธ์ทับจิตในทางการแพทย์ ทางการแพทย์ พลังงานที่เหลือใช้ เวลาเหลือใช้ คนเราต้องออกกำลังกายไง สุขภาพกายๆ ไง

 

นี่ก็เหมือนกัน เวลาถ้าคนฉันแล้ว พลังงานที่มันเหลือใช้นะ เวลานั่งก็สัปหงกโงกง่วงไง เวลาสัปหงกโงกง่วง ต้องมาทอนมันอออกไปไง ทอนออกไปเพื่อไม่ให้ธาตุขันธ์ทับจิตไง ให้จิตนี้มันสว่างไสว ให้จิตมันมีกำลังของมัน

 

คนที่มีสติปัญญาเขารู้จักคัดรู้จักเลือกของเขา แล้วรู้จักคัดรู้จักเลือกขึ้นมา สิ่งที่บิณฑบาตมา ความชอบธรรมนะ บิณฑบาตมาถูกต้องตามกฎหมาย ศีลธรรมจริยธรรมดีงามหมด คนใส่บาตรนะ เขาขวนขวายของเขา เจตนาตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้จะใส่บาตร เขาแสวงหาของเขา เวลาใส่บาตรของเขา เขาอธิษฐานของเขา ให้บุญของเขาได้ประโยชน์ให้มากที่สุด

 

เราได้มา เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งไง ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา เราบิณฑบาตมา สิ่งที่ได้มามันถูกต้องชอบธรรมไหม ถูกต้องชอบธรรม สะอาดบริสุทธิ์เลย แต่เราล่ะ เรายังมีสติปัญญาคัดเลือกคัดแยก อาหารเบา ข้าวเปล่าๆ กับผัก อาหารเบาๆ อาหารอย่างกลาง ผัก อาหารอย่างหนัก เนื้อสัตว์ไง อาหารก็มีกลาง มีหยาบ มีละเอียด แล้วเราคัดเลือกของเราไง คัดเลือกเพื่ออะไร

 

คัดเลือกนะ ถ้าเป็นทางโลก คัดเลือกเพื่อสุขภาพกายแล้ว แล้วยังการภาวนา ธาตุขันธ์ พลังงานไม่สะสมไว้ในร่างกายนี้ แล้วพลังงาน ดูครูบาอาจารย์ของเราสิ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เลย ไม่มีพลังงานเลยหรือ พลังงานของใจ ใจมันสูงส่ง ใจมันมีคุณค่าไง ถ้าใจมีคุณค่าแล้ว สิ่งนี้เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง พอเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพมาไว้ทำไม เลี้ยงชีพมาเพื่อขวนขวาย มาเพื่อประพฤติปฏิบัติไง เขาเห็นคุณค่าอันนั้นไง

 

ทางโลกก็เหมือนกัน เราต้องมีหน้าที่การงานของเรา เราต้องหาปัจจัย ๔ เลี้ยงชีพของเรา เลี้ยงชีพของเราแล้ว เราทำหน้าที่ทางโลก ฆราวาส เรามีหน้าที่ทางโลกด้วย แล้วถ้าคนที่มีจิตใจ เราก็อยากแสวงหา เราเป็นชาวพุทธไง เราก็อยากมีศีลมีธรรม เราอยากมีคุณธรรมในหัวใจของเรา เราก็แสวงหาเพื่อประพฤติปฏิบัติของเรา นี่ประพฤติปฏิบัติของเรา

 

หน้าที่ของเรา ทางของฆราวาสเป็นทางคับแคบ คับแคบเพราะต้องแบ่งชีวิตครึ่งหนึ่งไปทำหน้าที่การงานเพื่อเลี้ยงชีพ แล้วจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็ก่อนนอนหรือว่าตื่นนอน เราจะทำตอนนั้นไง

 

แต่ถ้ามันเป็นสมณะทางที่กว้างขวาง กว้างขวางจริงๆ นะ ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดี กว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมง บิณฑบาต ฉันเสร็จแล้ว ทำข้อวัตรในศาลาแล้ว ได้เวลาเลย จนถึงพรุ่งนี้เช้าเลย แล้วกลางคืนทั้งคืนเลย พระปฏิบัติ ๒๔ ชั่วโมง ทางกว้างขวาง กว้างขวางไว้ให้ประพฤติปฏิบัติไง แต่ถ้ากิเลสมันบอกเวลามากเกินไป เป็นผู้หงอยเหงาไง หงอยเหงาเพราะอะไร เพราะใจไม่มีหลักไง ถ้าใจมีหลัก เขาก็แสวงหาสิ่งนั้น

 

สิ่งที่ทางโลก สิ่งที่เวลาๆ มีค่ามากนะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราต้องตายไปข้างหน้าแน่นอน แล้วคลื่นลูกใหม่ เด็กรุ่นใหม่ขึ้นมามันก็อยากจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ผู้ใหญ่ก็แก่เฒ่าไป ไอ้แก่เฒ่าก็ต้องชราคร่ำคร่าไป นี่กาลเวลามันกลืนกินหมดเลย แล้วเราก็ต้องการเวลาไง แล้วเวลาเสร็จแล้ว ชีวิตนี้ก็ปล่อยทิ้งมันไปไง ใช้เวลาไปโดยไม่มีคุณค่าไง

 

เวลาพระของเราบวชมาแล้วถ้ามีครูบาอาจารย์นะ ถ้าเดิน การเหยียดการคู้ที่ไม่มีสติ หลวงปู่มั่นท่านบอก นั่นน่ะศพเดินได้ มันตายตั้งแต่มันยังไม่ตาย มันตายตั้งแต่มันยังมีชีวิตอยู่นั่นน่ะ

 

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมา การเหยียดการคู้มีสติสัมปชัญญะตลอด นี่การปฏิบัติของเรา ถ้าทางกว้างขวาง แล้วกว้างขวางด้วยสติด้วยปัญญาไง ด้วยสติปัญญา ด้วยการขวนขวายของเราไง

 

บัว ๔ เหล่า คนเรามันเกิดมาด้วยอำนาจวาสนาของคน เวลาผู้ที่ขิปปาภิญญา ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย มันก็วาสนาของเขา คำว่า “วาสนาของเขา” คือเขาได้ลงทุนลงแรงมาก่อนหน้านั้น ไอ้ของเรา เราลงทุนลงแรงมาขนาดนี้ เราก็ต้องพยายามขวนขวายของเราขนาดนี้ นี่พูดถึงเวลาปฏิบัติไปแล้ว เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาแล้วมันจะได้เหมือนกัน มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะต้นทุน ต้นทุนของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน พอต้นทุนไม่เท่ากัน ต้นทุนอยู่ที่ไหน ต้นทุนก็อยู่ที่จริตนี่ไง อยู่ที่ความชอบ เห็นสิ่งใดแล้วมันพอใจ

 

เวลาคนมาวัดมาวา ในสังคมเขาพูดเลย ไอ้พวกนี้พวกมีปัญหา ไอ้พวกมีปัญหาไม่มีทางไป มันถึงไปวัดของมันไง ไอ้พวกที่ปัญญาดี สิ่งที่ชีวิตที่บันเทิงเริงรมย์ บันเทิง ความบันเทิง ถ้ามันไปถึงสุรายาเมามันก็เป็นอบายมุขแล้ว อบายมุขมันก็ไปอบายภูมิแล้ว สิ่งที่เวลาบันเทิงๆ มันไปไหนล่ะ มันก็ไปจบลงที่อบายมุขอบายภูมิทั้งนั้นน่ะ แล้วปัญญาเขาเลอเลิศ โอ้โฮ! ชีวิตเขามีค่า ชีวิตนี้มีความสุข ไอ้พวกไปวัดมันมีปัญหา นี่ไอ้พวกมีปัญหา

 

เวลามีปัญหา ปัญหาอะไรล่ะ ปัญหา คนเราเกิดมา ชีวิตเรามันก็มีเชื้อมีโรค มันเป็นเรื่องธรรมดา หัวใจของเราๆ คนเรา หัวใจที่คิดบวก หัวใจที่มีปัญญาที่มีคุณธรรมนะ มันแสวงหาสิ่งนี้นะ ในโลกนี้ อะไรเป็นความจริง ชี้ไปเลย ชีวิตนี้อะไรเป็นความจริง ตรงไหนมันจริง สิ่งที่เราหามา อะไรมันจริง

 

สมบัติสาธารณะเป็นเรื่องของโลกทั้งนั้น ถ้าเป็นเรื่องของโลก เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันเป็นสมมุติบัญญัติ ถ้าเป็นสมมุติๆ จริงตามสมมุตินะ สมมุติไม่มีหรือ สมมุติมันก็จริงนะ แต่มันชั่วคราวไง แล้วแต่กฎกติกาบังคับบัญญัติไว้ไง นี่สมมุติบัญญัติๆ มันเป็นสมมุติบัญญัติ ถ้าเป็นสมมุติบัญญัติ เราก็ต้องอยู่กับความเป็นจริง ไม่ใช่ว่า เราเป็นชาวพุทธนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้มีสติปัญญา แล้วก็อะไรไม่มีค่าๆ

 

ไม่มีค่าหรือ มีค่ามากนะ ชีวิตนี้มีค่ามาก แล้วชีวิตนี้มีค่า สิ่งที่สัมผัสๆ ความรู้สึกเราได้สัมผัสธรรมะนะ เวลาทุกข์ ทุกข์เกือบเป็นเกือบตายนะ เวลาสุข มันสุขที่หัวใจนี้นะ มันมีคุณค่ามากเลย แล้วเราปล่อยเวลาให้มันสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์หรือ ถ้ามันจะเป็นความจริง ความจริงมันเกิดจากไหนล่ะ ความจริงมันเกิดจากความเพียรไง คนเราจะมีคุณค่าได้ด้วยการกระทำ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ แต่ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิความถูกต้องดีงามนะ ถ้าความเพียรที่เป็นมิจฉา มันก็ทำให้เรายิ่งห่างไกล ยิ่งแตกแยกออกไปจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าความเพียรที่ถูกต้องๆ เราทำความเพียรของเรา ทำของเรา

 

แล้วเวลาจะเข้าวัดเข้าวาต้องมีศรัทธามีความเชื่อ ศรัทธานี้เป็นหัวรถจักร หัวรถจักรชักขบวนรถนั้นมาเลย ศรัทธาเรา เราจะศึกษา เราจะค้นคว้าของเรา นี่ศรัทธานะ แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับไปสอนกาลามสูตรเลย ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อคนโน้มน้าวนะ ไม่ให้เชื่ออุปาทาน อุปาทานหมู่ไม่เชื่อ ไม่เชื่อทั้งสิ้น ถ้าเป็นอุปาทานหมู่ เรื่องของเขา เฮ้ย! มันจริงหรือเปล่าวะ พยายามของเราเลย

 

นี่ไง ถ้าความเพียร ความเพียรชอบต้องเป็นอย่างนี้ ความเพียรชอบต้องเป็นความจริงขึ้นมา พิสูจน์เท่าไรก็ได้ ถ้ามันเกิดขึ้นมาจากเรานะ ถ้ามันมีสติ สติมันยับยั้งได้ มันสติจริงหรือเปล่า ปล่อยมันเผลอไป เดี๋ยวถ้ามันเจ็บปวดแล้วก็กลับมาตั้งสติใหม่ อ๋อ! มันเห็นความแตกต่าง เห็นไหม ถ้าเป็นสมาธิ สมาธิมันมั่นคงจริงหรือ สมาธิกับความเป็นจริงมันแตกต่างกันอย่างไร เราพิสูจน์ของเราเป็นความจริงของเรา ถ้ามันเกิดปัญญามันจะเห็นเลยนะ

 

ปัญญาของเรา เราเคยคิดไหม ความคิดเราไม่มีหรือ ความคิดเรามีทั้งนั้นน่ะ เราเคยคิดมาตลอด ไอ้ความคิดอย่างนี้เราก็คิดได้ นักวิทยาศาสตร์เขาไตร่ตรองของเขา เขาคิดอย่างนี้ของเขา ปัญญาอย่างนี้หรือปัญญาในพระพุทธศาสนา เวลามันเป็นสมาธิขึ้นมา เวลามันใช้ปัญญาไป มันเกิดภาวนามยปัญญา เราเกิดเห็นความมหัศจรรย์

 

ความมหัศจรรย์ เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ดาบสายฟ้า ปัญญามันฟาดฟัน มันฟาดฟันกิเลส มันฟาดฟัน มันยุบยอบกิเลส มันทำลายกิเลสเป็นชั้นๆ เราเห็นนะ ดูสิ ของเรามีความเคยชินกับความคิดเรา เคยชินกับความรู้สึกของเรา เราก็ว่าเรามีปัญญาเราตลอด แต่พอมันมีปัญญาขึ้นมาที่มันรอบรู้ในกองสังขาร รู้ปัญญาของเรา เราจะเกิดเอ๊อะๆๆ นี่มันพิสูจน์อย่างนี้ กาลามสูตรเขามีไว้ให้พิสูจน์ มีไว้ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อในการประพฤติปฏิบัติของเรา

 

แต่ก่อนเริ่มต้นจะปฏิบัติ เรามีศรัทธา ศรัทธาเป็นแนวทาง ศรัทธาให้ค้นคว้า เวลาค้นคว้าปฏิบัติแล้วมันต้องเป็นความจริง ถ้าความจริงมันต้องเป็นความจริงกับเรา ถ้าความจริงกับเรามันตรวจสอบได้ อริยสัจมีหนึ่งเดียว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้พยากรณ์เอง เวลาใครสิ้นกิเลสแล้ว เอตทัคคะตั้งไว้ ความถนัด ๘๐ องค์

 

ความถนัดนั้นคือจริตนิสัย คือความถนัดทางวิชาการ ความถนัดทางการศึกษา ความถนัดทางองค์ความรู้ แต่มันต้องทำถึงคุณธรรมอันนี้ คุณธรรมอันนี้คือสัจธรรมนะ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ คำว่า “กลั่นออกมาจากทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” มันเกิดมรรคเกิดผล มันเกิดนิโรธ การดับทุกข์ การดับต่างๆ ความดับทุกข์มันไม่มีตัวตน มันไม่มีความผูกพันของเราแล้ว สิ่งที่จะเป็นปัญญามันก็เป็นปัญญาสัจจะความจริงไง ปัญญาสัจจะความจริง เห็นไหม

 

ดูสิ เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเทวดา อินทร์ พรหมเขาก็อยู่ในภพของพรหม ภพของเทวดา ความเป็นอยู่ของเขาก็แตกต่างกับเราอยู่แล้ว แต่เวลาฟังอริยสัจทำไมมันเข้าใจล่ะ เวลาอริยสัจ เวลาพ้นจากทุกข์ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เทวดาสำเร็จเป็นแสนเป็นล้าน มันสำเร็จได้อย่างไรล่ะ สำเร็จด้วยมรรคนี่ไง สำเร็จด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาในหัวใจนี้ไง หัวใจเท่านั้นไง หัวใจเท่านั้น หัวใจนี้พ้นจากวัฏฏะๆ แล้วถ้าหัวใจไม่พ้นจากวัฏฏะ มันไปไหนล่ะ มันเกิดตั้งแต่นรกสวรรค์ขึ้นไป นี่ไง ผลของวัฏฏะๆ เวลามันพ้น มันพ้นวัฏฏะอย่างไร

 

ถ้ามันเกิดอริยสัจ มันเกิดสัจจะความจริงอย่างนั้น นี่อริยสัจมันมีหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวอย่างนี้ไง หนึ่งเดียว มันสิ้นเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ จะมาแนวทางไหนมันก็สิ้นเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ เวลาสิ้น แล้วมันสิ้น ใครเป็นคนสิ้นล่ะ ตำราสิ้นหรือ

 

หัวใจของสัตว์โลก ปฏิสนธิจิต มนุษย์นี้มาจากไหน มนุษย์นี้มาจากไหน มนุษย์นี้มาจากพ่อจากแม่ แล้วที่พ่อแม่เป็นหมันล่ะ มันมาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตดวงนี้ๆ แล้วจิตดวงนี้มันทุกข์มันยากนี่ นี่ที่มันมีค่า มีค่าตรงนี้ไง

 

เวลาหลวงตาท่านพูดประจำ ศาสนา ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ชี้เข้ามาในใจของสัตว์โลก จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วจิตนี้เป็นผู้ที่ข้ามพ้นจากวัฏฏะ แล้วจิตมันอยู่ไหนล่ะ อยู่ในหัวอกของเราทุกๆ คนไง สิทธิเสรีภาพมีอยู่เสมอภาคด้วยกันทุกคน แต่ใครจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น ถ้าคนที่ทำเขาก็ต้องมีอำนาจวาสนามาอย่างนี้

 

เดินจงกรมทำไม เราโดนเขาเคยมาต่อว่า “วันๆ ไม่เห็นทำอะไรเลย เห็นเดินไปเดินมา แบบใช้ชีวิตสิ้นเปลือง” นี่เขาไม่รู้เรื่องของเขาเลยนะ นี่ไง “วันหนึ่งๆ ไม่เห็นทำอะไร เดินไปเดินมา เดินไปทำไม” ก็เขาไม่รู้จัก เขายังมาติอีกนะว่า “บวชไปทำไม บวชมาแล้วเดินไปเดินมา”

 

อ้าว! นี่ไง แต่ของเรา เรามาค้นคว้าของเรา เรามาแสวงหาของเรา เรามาแสวงหาด้วยความจริงของเรา ถ้าความจริงของเรา ค้นคว้าให้ใจดวงนี้ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้เข้ามาที่หัวใจของสัตว์โลก แล้วหัวใจของสัตว์โลกเป็นผู้รู้สุขรู้ทุกข์

 

เวลากิเลสมันบีบคั้นนะ เจ็บแสบปวดร้อนนัก เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปนะ พอจิตมันสงบไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แค่จิตสงบ แค่สัมมาสมาธิมันก็สุขเลอเลิศแล้วแหละ เพราะอย่างนี้คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาถึงบอกว่า สุขอย่างนี้คือนิพพาน นิพพานเป็นเช่นนี้เอง ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยเขาบอกว่านิพพานเป็นเช่นนี้เอง

 

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่าพอทำความสงบของใจแล้วให้ฝึกหัดใช้ปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากจิตแล้วชำระล้างสำรอกกิเลสตัณหาความทะยานอยากของใจดวงนั้น ถ้ามันสำรอกคายกิเลสตัณหาความทะยานอยากแล้ว พ้นจากวัฏฏะ พ้นจากวัฏฏะเพราะไม่มีอวิชชา

 

ที่เกิดอยู่นี่เพราะไม่รู้ เพราะไม่รู้ถึงมานั่งกันอยู่นี่ไง เพราะไม่รู้ ไม่รู้ปั๊บ เกิดแล้ว ไม่รู้แล้วเกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ เทวดา อินทร์ พรหมเขาเกิดแบบโอปปาติกะ เพราะไม่รู้ เพราะมีเวรมีกรรม มันก็ไปตามนั้น

 

แต่ถ้ามีวิชชา มีธรรมะ มันรู้ชัดแจ่มแจ้ง เกิดไหม ไม่เกิด แล้วมาจากไหน มาจากภาวนามยปัญญา ปัญญาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เป็นมรดกตกทอดให้กับชาวพุทธ ชาวพุทธได้รับมรดกมาเท่ากัน ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน เราได้รับมรดกตกทอดกันมา แต่เราไม่สามารถแสวงหาสัจธรรมความเป็นจริงขึ้นมาในใจของเรา

 

เรามีโอกาสแล้ว มีสติมีปัญญาแล้ว ขวนขวายขุดค้นให้เป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา ถึงจะได้ทรัพย์สมบัติตามความปรารถนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เอวัง