จะเป็นคนดี
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่)ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “พระคุณแม่”
กราบนมัสการหลวงพ่อ ลูกขออนุญาตถามปัญหาธรรมชีวิตในการครองเรือนแบบฆราวาส อาจเป็นคำถามพื้นๆ ค่ะ แต่ลูกยังไม่มีปัญญามากนักและยังเป็นเด็กโง่อยู่ค่ะ
ในชีวิตปัจจุบันทำหน้าที่หลายบทบาท เป็นทั้งลูก เป็นทั้งแม่ เป็นทั้งภรรยา ไปทำงานแต่เช้ากลับบ้านมืด ต้องสู้กับกิเลสตัวเองภายในและกิเลสภายนอกซึ่งแสนลำบากมากๆ ค่ะ บางครั้งก็สติหลุดและเครียด
หลวงพ่อเทศน์สอนประจำว่า ความกตัญญูต่อพ่อแม่เป็นความดีงาม ทดแทนบุญคุณมาอันดับแรกที่มีค่ายิ่งนัก แต่บางครั้งลูกก็ท้อแท้กับแม่มากค่ะ ลูกบอกกล่าวแนะนำแม่บางครั้ง แม่ก็ไม่เชื่อ และกลัวลูกจะติดบาป ก็ขอขมาแม่เป็นประจำค่ะ
ถ้ามองทางโลกแล้ว ลูกหวังดีกับแม่ แม่ติดทรัพย์ภายนอกมากค่ะ ติดบ้านต่างจังหวัด บ่นอยากกลับบ้าน ซึ่งแม่อายุมากแล้วและหลงลืม ที่สำคัญไม่มีใครดูแล ลูกแนะนำให้แม่คิดข้อธรรมว่า สมมุติวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะมีชีวิตอยู่ พรุ่งนี้แม่จะตายแล้ว เอาอะไรไปได้บ้าง
ทุกวันนี้ก็อยากปล่อยวาง แม่จะกลับไปอยู่ต่างจังหวัดตามลำพังก็เอาที่แม่สบายใจ ลูกคิดว่ามันเป็นกรรมของแม่เอง ลูกทำหน้าที่ที่ดีที่สุดแล้วค่ะ
ขอหลวงพ่อเมตตาเทศน์อบรมธรรมโอสถแบบฆราวาสในการครองเรือนเพื่อให้คลายความโง่เขลาเบาปัญญากับลูกด้วยนะเจ้าคะ ลูกกราบขอขมาหลวงพ่อด้วยค่ะถ้าคำถามธรรมที่ไร้สาระไม่มีแก่นสารค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อมาก
ตอบ : คำว่า “ไร้สาระ ไม่มีแก่นสาร” มันเป็นที่บุคคล ถ้าบุคคลทางโลกๆ เรื่องนี้เรื่องใหญ่กับชีวิตเลย พอเรื่องใหญ่กับชีวิตเพราะอะไร เพราะปัญหาในครอบครัวไง ปัญหาครอบครัวคือปัญหาของเรา ถ้าปัญหาของเรามันกระทบกระเทือนไปหมด คนใดคนหนึ่งมีความทุกข์นะ มันกระเทือนกันไปทั้งบ้าน ถ้ามันกระเทือนไปทั้งบ้าน เห็นไหม
คนที่เขามีสติมีปัญญานะ เวลาเขาทุกข์เขายากขึ้นมาเขาไม่พูดให้ใครฟัง เขาเก็บไว้ในหัวใจของเขาคนเดียวเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนคนอื่น
ถ้ามันกระทบกระเทือนคนอื่น เวลาหน้าชื่นอกตรม เวลาทุกข์ ทุกข์ในหัวใจมหาศาล เวลาเข้าบ้านยิ้มแย้มแจ่มใส โอ๋ย! มีความสุขๆ เพื่อให้คนอื่นเขามีความสุขไง เพื่อไม่ให้คนอื่นเขาเดือดร้อนไปกับเรา นี่คือปัญหาครอบครัว ถ้าปัญหาครอบครัวนะ
แต่ถ้าคนที่ไม่มีวุฒิภาวะ เขาจะมีสุขมีทุกข์อะไรเขาแสดงออกทั้งหมด เขาต้องการเรียกร้องความสนใจจากคนในครอบครัวๆ นี่พูดถึงวุฒิภาวะของหัวใจ ถ้าวุฒิภาวะของหัวใจมันสูงมันต่ำ มันสูงมันต่ำอย่างนี้ ถ้ามันสูงมันต่ำอย่างนี้
ถ้าพูดถึงกรณีอย่างนี้ เราเกิดมา เราเกิดมาในครอบครัวใดก็แล้วแต่ ถ้ามีแต่คนที่มีคุณงามความดี เราก็มีความสุขทั้งนั้นน่ะ ถ้ามีคนด้อยวุฒิภาวะบ้าง มันก็เป็นภาระๆ ไง พ่อแม่ต้องดูแลลูกเป็นอย่างนี้
แต่ลูกคนไหนที่ฉลาด ลูกคนไหนที่มีความสามารถ พ่อแม่ก็ให้เขาอยู่ด้วยตัวเองได้ ถ้าลูกคนไหนมีความขาดตกบกพร่อง พ่อแม่ก็ต้องมีความเอาใจมากกว่าคนอื่น ไอ้ลูกก็ว่าพ่อแม่รักไม่เท่ากันๆ แต่มันก็เป็นดุลพินิจของพ่อแม่เนาะ
นี่พูดถึงว่า เวลาเขาบอกว่าฟังเทศน์หลวงพ่อ หลวงพ่อเน้นย้ำตรงนี้มาก
เน้นย้ำตรงนี้มาก เน้นย้ำตรงนี้มากเพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดคือชีวิต แล้วพ่อแม่ให้ชีวิตนี้มาไง พ่อแม่ ทางโลกเปรียบเป็นพระอรหันต์ของลูกๆ
แล้วความจริงว่าเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ต้องไม่มีกิเลส พระอรหันต์ต้องชี้ทางสว่างให้เราได้หมดเลย แล้วพ่อแม่เราล่ะ เป็นพระอรหันต์ของเราแล้วชี้ทางสว่างให้เราได้ไหมล่ะ
เป็นพ่อแม่ของลูก แต่เพราะความเป็นพ่อแม่นี่ไง เขาถือสิทธิ์ว่าการเป็นพ่อแม่ เขาก็จะเอาตามใจทั้งนั้นน่ะ
ฉะนั้น ถ้าเป็นพระอรหันต์ของลูก เวลาหลวงตาท่านสอนประจำ ถ้าพ่อแม่ของเรา ถ้าท่านพูดผิด ท่านทำผิด ลูกก็ยังไม่ควรจะชี้ข้อบกพร่องเลย เว้นไว้แต่เราจะหาวิธีการอย่างไรเพื่อจะให้พ้นจากนั้นไปไง คือจะไม่ให้โต้ไม่ให้เถียงพ่อแม่เลยนะ นี่ความเห็นของหลวงตานะ ความเห็นหลวงตาท่านพูดเรื่องนี้เรื่องหนึ่ง
แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งที่ว่าพ่อแม่รักเท่าชีวี มันมีโศลกอยู่อันหนึ่ง แล้วหลวงตาท่านไปเขียนหนังสือเล่มนี้สมัย ๑๔ ตุลา คิดถึงว่า ๑๔ ตุลา ว่าคุณของพ่อแม่ มันมีอยู่เล่มหนึ่งท่านเขียนเรื่องนี้โดยเฉพาะเลยนะ เพราะท่านเห็นคุณค่าของตรงนี้
แล้วสังคม สังคมเดี๋ยวนี้สิทธิเสมอภาคๆ แล้วก็จะเรียกร้องสิทธิ์ๆ
แต่ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นอย่างนั้น พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา ถ้าให้ชีวิตนี้มา คุณค่าการให้ชีวิตนี้มามันมีค่ามหาศาล ถ้ามีค่ามหาศาลแล้ว
ทีนี้เราเกิดมาเจอพ่อแม่ที่สัมมาทิฏฐิ พ่อแม่ที่ดีงามนะ ลูกก็มีบุญกุศลนะ ก็มีความสุขพอสมควร ถ้าลูกเกิดมาพ่อแม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ มาวัดมาวายังไม่ได้เลย มาสิ่งใดมีปัญหาไปหมด
ไอ้นี่มันเป็นสายบุญสายกรรม มันมีเวรมีกรรมต่อกัน ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกันนะ เราก็ต้องแก้ไขด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ถ้าด้วยสติด้วยปัญญาของเรานะ เรามีวุฒิภาวะ เราจะไม่ทำให้กระทบกระเทือนไง
เวลาใช้อุบาย คำว่า “ใช้อุบาย” ถ้าใช้อุบายถ้าทางโลกก็ว่าหลอกล่อ ว่าอย่างนั้นเลย แต่ถ้าทางธรรมเราใช้อุบายๆ อุบายจะทำให้พ่อให้แม่เราหูตาสว่าง ให้พ่อให้แม่เราเห็นบาปบุญคุณโทษนี่แสนยาก เพราะอะไร
เพราะว่าเขาถือสิทธิ์ไง กูอาบน้ำร้อนมาก่อนมึงนี่จบเลย ไปสอนกันเถอะ อีก ๕ ปีก็ไม่จบ ถ้ากูอาบน้ำร้อนมาก่อนมึงคือเขาไม่ฟัง แล้วมันเกิดทิฏฐิ ทิฏฐิถือความเป็นแม่ ถ้าถือว่าความเป็นแม่เป็นลูกนะ
แต่นี่พูดถึงว่าเราต้องมีจุดยืนของเรา คือเราจะทำความดีของเราตลอดไป ถ้าเขาเห็นถึงคุณงามความดีของเรา ถ้าเราทำความถูกต้องดีงามนะ
จากลูก อย่างเราเป็นคนที่ว่าไม่เอาไหนเลย แล้วพอมาวันหนึ่งเราเป็นคนที่ดีงาม เราเป็นคนที่รับผิดชอบ พ่อแม่ก็สนใจ เอ๊ะ! ใครสอนลูกกูวะ ตรงนี้แหละที่มันจะแก้พ่อแม่ได้ เราจะแก้พ่อแม่ได้ที่พฤติกรรมของเรานี่แหละ
ถ้าพฤติกรรมของเราอยู่กับร่องกับรอย พฤติกรรมของเรารับผิดชอบ พฤติกรรมของเราดูแลรักษาท่าน ท่านเห็นคุณงามความดีของเราทั้งนั้นน่ะ แต่ด้วยสถานะของความเป็นแม่ไม่กล้าพูดหรอก แม่จะชมลูกนี่น้อย น้อยมาก แต่เขารับรู้ได้ เขารับรู้ได้ ถ้าเขารับรู้ได้ เราพยายามทำสิ่งนี้ ถ้าเราทำสิ่งนี้ได้ ตรงนี้ถ้าทำได้ มันอยู่ที่ทัศนคติ
ทัศนคตินะ ถ้าทัศนคติที่ดี คนที่มีอำนาจวาสนาบารมีเขาจะทำสิ่งใดแล้วเขาทำด้วยความเต็มใจ ทำด้วยความเป็นบุญกุศล ถ้าทำด้วยความเป็นบุญกุศล เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยหมดเลย แต่ถ้าคนของเรา เรากำลังจะปรับตัวของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเรา แต่ทีนี้ว่าอำนาจวาสนาบารมีเรามาแค่ไหนนะ
เวลาคนทำงาน ทำงานจนหัวปั่น ทำงานจนมีแต่ความตึงเครียดไปหมดเลย แล้วกลับมาบ้านต้องมีภาระรับผิดชอบ เพราะเขาบอกว่าเขามีหลายบทบาทมาก เขาเป็นทั้งลูก เป็นทั้งแม่ เป็นทั้งภรรยา
ถ้าเป็นทั้งภรรยา ถ้าเจอสามีที่ดี เจอพ่อบ้านที่ดีนะ มันก็เป็นบุญของเรานะ ถ้าเจอพ่อบ้านที่ไม่ดี เวลาในบ้านที่มันมีแต่หน้าที่การงาน เขาก็ไปหานอกบ้าน ไอ้นี่เราก็ต้องเจรจาต้องคุยกัน ถ้าเป็นความดีนะ นี่พูดถึงว่าการครองเรือนไง
เขาบอกว่า คำถามนะ สิ่งที่ว่า “ลูกขออนุญาตถามปัญหาธรรมะในการครองเรือนแบบฆราวาส อาจจะเป็นคำถามพื้นๆ แต่ลูกยังมีปัญหามากนักและยังเป็นเด็กโง่อยู่”
คำว่า “เป็นเด็กโง่อยู่” มันไม่เท่าทันกิเลสของตน ถ้าเท่าทันกิเลสของตนนะ ถ้าคำว่า “เป็นเด็กโง่อยู่” หรือว่า “เราอัดอั้นตันใจ” ไอ้กรณีอย่างนี้กิเลสมันจะซ้ำเติม
แต่ถ้าเราบอกว่า เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีอาการ ๓๒ สมบูรณ์ เรามีหน้าที่การงานทำ เรามีสามีที่ดี เรามีลูก เรามีแม่ ครอบครัวของเราอบอุ่น ครอบครัวของเราดี แต่ความรับผิดชอบมันมาก ถ้าความรับผิดชอบมาก เราก็พยายามทำงานของเรา จัดเวลาให้มันเป็นไปได้
เราจะบอกว่า ความดีไม่มีขาย ความดีต้องขวนขวาย ความดีเราต้องมีการกระทำ แล้วถ้ากระทำแล้วถ้ามันเป็นผลบุญนะ ทำจบแล้วนะ วันหนึ่งทำจบแล้วนะ กว่าจะเข้าได้หลับได้นอน เที่ยงคืน ตีสองไม่ได้นอน ตีสี่ต้องตื่นแล้ว แล้วต้องทำหน้าที่การงานอย่างนี้ แล้วต้องทำอย่างนี้ตลอดไปเชียวหรือ มันเครียดไปหมดนะ
เราจะบอกว่า ถ้าเราเด็กโง่ เราไม่เท่าทันกิเลสของเรา ชีวิตเราจะตึงเครียดมาก แต่ถ้าเราปล่อยวางในใจของเราได้ เรามีสติปัญญานะ เราทำความดีเพื่อความดี เราจะเป็นคนดี เราจะเป็นคนดี เราเชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้กตัญญูกตเวทีรู้คุณของคน
ตอนนี้เรามีแม่เป็นพระอรหันต์ในบ้าน เราก็พยายามจะดูแลรักษาของเรา ถ้าเราพยายามจะดูแลรักษาของเรา เราอุตส่าห์เอามาอยู่ด้วย เราอุตส่าห์ดูแล เราทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ของเรา เราจะเป็นคนดี
แล้วถ้าเป็นคนดี ถ้าหัวใจมันวงรอบของมันนะ พอเป็นความดีแล้วมันก็จะมีความสุข มันไม่ตึงเครียดหรอกถ้ามันเป็นไปได้นะ นี่มันเป็นไปได้ ทีนี้พอมันเป็นไปได้ เพราะเราปรึกษาใครไม่ได้ หัวใจของเราอ่อนไหว พออ่อนไหว พอกระทบสิ่งใดแล้วมันก็ไปหมดใช่ไหม พอมันกระทบสิ่งใดไปหมด
ทีนี้มันก็กลับมาตรงนี้ กลับมาว่า เราจะดูแลแม่ของเรา ถ้าแม่ของเราว่ากล่าวอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง
ถ้าไม่เชื่อฟัง เราก็พูดแต่คำดีๆ แล้วก็วางไว้ จบ เราพูดแล้วเราก็จบ เราก็ดูแลรักษา
เวลาคนแก่คนเฒ่า เขาบอกแม่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วย ถ้าแม่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วย แล้วแม่อยากกลับบ้าน แต่มันติดที่ไม่มีใครดูแล
เวลากรรมมันให้ผลนะ กรรมให้ผล ทุกอย่างมันจะมีความเสียหายไปหมด ในพระไตรปิฎกนะ นางปฏาจารา นางปฏาจาราเป็นลูกเศรษฐี แล้วหนีตามคนใช้ไป เป็นลูกเศรษฐีนะ แล้วหนีตามคนใช้ไป พอหนีตามคนใช้ไปอยู่ในป่า ไปหาของป่าขายกัน ไปอยู่ในป่าไง
ถึงที่สุดท้องคนแรก มีลูกคนแรกก็คิดถึงพ่อแม่ก็จะกลับบ้าน เวลากลับบ้านก็ชวนสามีกลับบ้าน สามีก็ไม่กล้า เพราะสามีเป็นคนใช้ในบ้าน แล้วตัวเองก็หนีตามคนใช้ไป จะกลับมาเยี่ยมบ้าน ไม่ได้ มาถึงครึ่งทาง คลอดลูก สามีตามมาทัน สามีไม่กล้ากลับ ก็พากลับไปอยู่ในป่าอย่างเดิม
ท้องลูกคนที่สองก็จะกลับไปเยี่ยมแม่อีก หนีสามีมา หนีสามีมา สามีตามมา พอตามมา พอถึงฝนมันตกหนัก พอฝนมันตกหนักใช่ไหม ภรรยาจะคลอด จะคลอดลูกมันก็ต้องไปหาฟืนเพื่อจะมาจุดไฟเพื่อความอบอุ่น ไปหาฟืนอยู่ งูกัดสามีเสียชีวิต ตัวเองก็คลอดลูกคนเดียวอยู่ในป่า ฝนตกนะ ฝนตกอย่างแรง สุดท้ายคลอดลูกเสร็จแล้วก็เดินตามหาสามี ก็เห็นสามีโดนงูกัดตายอยู่นั่น เสียใจไหม พอเสียใจก็หอบลูกสองคนจะกลับไปหาพ่อหาแม่
เวลากลับไปหาพ่อหาแม่นะ เดินไป ฝนตกทั้งคืน น้ำป่ามันมารุนแรงมาก ก็วางลูกชายไว้ทางนี้ ลูกคนเล็ก แล้วก็เอาลูกคนโตข้ามฝั่งไปก่อน ไปไว้ฝั่งนู้น แล้วก็จะกลับมาเอาลูกคนเล็ก มายืนอยู่กลางแม่น้ำนั้นน่ะ เหยี่ยวมันเห็นลูกเพิ่งคลอดมันแดงๆ ไง เหยี่ยวมันโฉบมา ไล่เหยี่ยว ไอ้ลูกอยู่ฝั่งนู้นก็นึกว่าแม่เรียก ลูก เด็กมันก็เดินลงแม่น้ำมา จมน้ำตาย เหยี่ยวนั้นมันโฉบเอาลูกคนเล็กนั้นไป
คิดดูสิ ตาย ๓ คน ปฏาจารา โอ้โฮ! บ้าเลย คลั่งเลย พอคลั่งไป พอบ้าแล้วจะไปหาพ่อ จากนั้นไปจะไปหาพ่อ ยังไม่ถึง พอไปก็ยังเสียใจมาก ไปหาพ่อหาแม่ พอไปหาพ่อหาแม่ ไปถึงกลางทางก็บอกว่า “บ้านดิฉันอยู่ที่นั่น เห็นพ่อเห็นแม่ดิฉันไหม”
“อ๋อ! เมื่อคืนฝนตกหนักฟ้าผ่าไฟไหม้บ้านหลังนั้น พ่อแม่ตายหมด”
ซ้ำเติมขนาดนี้นะ นี่นางปฏาจารา คนเราเวลาเวรกรรมมันให้ผล พอให้ผล บ้าเลย พอหลุดเลย หลุดก็วิ่งไปเรื่อย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมอยู่ นางปฏาจาราวิ่งเข้าไปนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกชื่อ “ปฏาจารา เธอเป็นอะไร” พอเรียกชื่อ มีสติก็ฟื้นกลับมา เปลื้องผ้าอยู่ก็โยนผ้าให้ผืนหนึ่ง ก็ใช้ผ้านั้นพันตัว
สุดท้ายทุกข์มากก็ขอบวชเป็นภิกษุณี แล้วไปพิจารณาถึงชีวิตไง ไปเพ่งเทียน เทียนมันเผาไหม้ตัวมันเอง มันเผาไหม้ มันละลายไปหมด เปรียบเหมือนชีวิตของตน พิจารณาอย่างนั้นจนได้เป็นพระอรหันต์
นางปฏาจาราเป็นพระอรหันต์นะ แต่ก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์ผ่านวิกฤติมาขนาดไหน เราอ่านในพระไตรปิฎก อยู่ในธรรมบทด้วย ถ้าอ่านอย่างนั้นปั๊บ เราคิดสิ ชีวิตของคนต้องผ่านวิกฤติขนาดนั้น ทำไมต้องทุกข์ยากขนาดนั้น ด้วยความทุกข์ยากขนาดนั้น แล้วกว่าจะสำนึกได้ กว่าจะเข้าใจได้ กว่าจะมาบวชได้ พอบวชได้แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ กว่าจะได้เป็นพระอรหันต์ เห็นไหม
นี่พูดถึงว่าปัญหาชีวิต ถ้าปัญหาชีวิตนะ ปัญหาชีวิตมันเป็นสภาพแบบนั้น ถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมา ถ้าทำของเรา เราทำของเรา ชีวิตเป็นอย่างนี้ ถ้าชีวิตที่ครองเรือน
เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้ว การครองเรือนนี้มันเป็นเรื่องแสนยาก การครองเรือน ถ้าพูดถึงผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการอย่างนั้นนะ
แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของเรา เพราะครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านจะประพฤติปฏิบัติต้องเอาชนะหัวใจของตน ถ้าเอาชนะหัวใจของตน หัวใจของเรากว่าจะเอาชนะได้ ทำความสงบได้ก็แสนยาก เวลาใช้ปัญญาวิปัสสนาขึ้นมา กิเลสก็ยังคอยเสี้ยมคอยหลอกคอยหลอนอยู่ตลอดเวลา กว่าจะเอาชนะหัวใจของเราได้ แล้วจะผ่านกิเลสมาแต่ละชั้นแต่ละตอน
เราคิดสิ หัวใจเราหัวใจเดียวนะ เวลามีครอบครัว หัวใจของเรามันก็อยากได้สมความปรารถนาของเรา แล้วหัวใจของสามีล่ะ แล้วถ้ามีลูกขึ้นมา หัวใจของลูกล่ะ ลูกมันไร้เดียงสาตอนเล็กมันมีสิ่งใด เด็กๆ มีสิ่งใด เราให้ เราเลี้ยงดูได้แล้ว แต่ถ้ามันโตขึ้นมานะ มันก็จะเหมือนเรา ต้องมีความรับผิดชอบ
มันจะครองใจของคนมันครองแสนยาก
แล้วเวลาเราเป็นลูก เรามีพ่อมีแม่ขึ้นมา พ่อแม่ที่ว่าพ่อแม่ของเขา เขาก็สร้างของเขามา เวลาเขาบอกว่า สมมุติพูดกับแม่ ถ้าชีวิตวันนี้มันสิ้นสุดไป ถ้าแม่ตายวันนี้ สมบัติจะเอาอะไรไปได้ไหม
เวลาพูดนี่มันพูดได้ทั้งนั้นน่ะ แต่เวลามันคิดมันก็จะเอาแต่ใจของตนไง เพราะอะไร เพราะเขาอยากกลับต่างจังหวัด เพราะเขาอยากจะไปดูทรัพย์สมบัติของเขา เขาติดทรัพย์สมบัติของเขา
เราก็หาอุบาย หาอุบาย พ่อแม่ของเราน่ะ ทำอย่างไรก็แล้วแต่ บอกจะปล่อยวางๆ
ถ้าคำว่า “ปล่อยวาง” เหมือนจะประชดไง คำว่า “จะประชด” เราปล่อยวางขึ้นไป มันจะเลวร้ายไปกว่านั้นนะ เพราะสุดท้ายแล้วถ้าไปแล้วมันจะมีปัญหามากไปกว่านั้น ถ้ามีปัญหามากไปกว่านั้น เราจะแก้ไขตรงนี้ ถ้าแก้ไขตรงนี้ กลับมาที่นี่ไง กลับมาที่ว่า เราจะบริหารด้วยปัญญาของเรา
ถ้าเราจะบริหารด้วยปัญญาของเรานะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะมันจะไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป ถ้ามันจะทุกข์จะยาก มันก็ต้องบอก นี่ไง ชีวิตแท้ ชีวิตความเป็นจริงเป็นอย่างนี้ ชีวิตจริงๆ เป็นอย่างนี้ มันไม่สวยหรูอย่างที่เราคาดหมายหรอก ถ้ามันไม่สวยหรูอย่างที่คาดหมายนะ
เพราะชีวิตนี้เกิดมาให้ประพฤติปฏิบัติ เกิดมาเพื่อให้ศึกษาชีวิต เกิดมาเพื่อให้ศึกษาชีวิตความเป็นจริงของเราน่ะ
ถ้าชีวิตในความเป็นจริงของเรา ถ้าเราตัดสินใจ ตัดสินใจแล้วเราต้องรับผิดชอบในการตัดสินใจของเรา ถ้าการตัดสินใจ สิ่งใดที่จะเกิดขึ้น เราต้องแก้ไขสิ่งนั้น ถ้าเราแก้ไขสิ่งนั้น พยายามทำให้มันดีขึ้น แล้วต้องมีสติปัญญาเผชิญกับความจริงตลอดไป
ถ้าเผชิญกับความจริง คนเรามันไม่กล้าเผชิญกับความจริงไง ถ้าไม่กล้าเผชิญ มีแต่ความหลีกหนีไปนะ กรณีนี้มันมี มันมีเขาว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทิ้งครอบครัวไป มีคนเอามากล่าวโจมตีมากว่าเห็นแก่ตัวๆ
คำว่า “เห็นแก่ตัว” นะ เราเป็นคนดิบๆ เราเป็นคนที่ไม่มีสติปัญญา เราเป็นคนที่ช่วยเหลือสิ่งใดไม่ได้เลย แต่ถึงเวลาแล้วคนที่มีอำนาจวาสนาเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ยังไม่ได้ค้นคว้า ยังไม่มีขึ้นมาจริง เราจะเอามาแก้ไขกันได้อย่างไร
ถ้าอยู่ในราชวังมันก็ได้เป็นกษัตริย์ มันก็ปกครองไป มันก็ความดีที่ยิ่งกว่านี้ ความดีที่จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ ถ้ามันจะเกิดขึ้นมาได้ ได้สละสิ่งนั้น
เพราะทางโลกเขาบอกว่า ทิ้งครอบครัวไป ทิ้งลูก ทิ้งภรรยา ทิ้งพ่อแม่ ทิ้งภาระรับผิดชอบ เห็นแก่ตัวไป
แต่ถ้าเป็นอำนาจวาสนานะ อำนาจวาสนาเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นเจ้าชายสิทธัตถะนี่เป็นกษัตริย์ ความที่เป็นกษัตริย์ เป็นสุภาพบุรุษ ความเป็นสุภาพบุรุษ คนจะทิ้งภาระหน้าที่ไหม ทิ้งภรรยาไว้ ทิ้งลูกไว้โดยที่ความเห็นแก่ตัว มันเป็นไปได้ไหม
มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ด้วยบารมีธรรม บารมีธรรมในใจของท่านไง ท่านเป็นบารมีธรรม ท่านเป็นเอกบุรุษที่จะต้องเป็นผู้ค้นคว้า เพราะมันไม่มีใครได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีมาอย่างนั้น แต่การที่จะได้มามันต้องมีการค้นคว้า มีการกระทำ
แล้วมีการค้นคว้า มีการกระทำ ดูสิ ดูพระเรา ถ้าพระเรานะ พระป่าเขาไม่ให้คลุกคลีกัน ไม่ให้คุยกัน ไม่ให้เล่นกัน ให้ต่างคนต่างหลีกเร้น ต่างคนต่างประพฤติปฏิบัติ พระที่เขาไม่พูดกัน ไม่คุยกันด้วยการคลุกคลี แต่เขาจะปรึกษากัน เขาจะสนทนากัน ถึงเวลาข้อวัตรปฏิบัติ ฉันน้ำร้อนอย่างนี้ เวลาหลวงปู่มั่น เวลาขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นเป็นการส่วนตัว ถ้าใครปฏิบัติ
นั่นเขาเอาจริงๆ ทำจริงๆ จนมีเหตุมีผล แล้วถ้ามีปัญหา เขาจะขึ้นไปหาอาจารย์ของเขาเพื่อให้แก้ไข นั่นเวลาเขาคุย เขาคุยเป็นกิจจะลักษณะ เขาคุยกันเป็นความจริง แต่เขาไม่คลุกคลีกันไง นี่พูดถึงเวลาในสมัยปัจจุบันนะ
นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะออกประพฤติปฏิบัติ ท่านจะเอาครอบครัวไปด้วยหรือ ท่านก็ต้องวางไว้นั่น ถ้าวางไว้นั่น แล้วท่านออกมาด้วยความผูกพันในใจ ว่าอย่างนั้นเลย แล้วเวลาไปประพฤติปฏิบัตินะ เวลาสำเร็จแล้ว เวลาสำเร็จขึ้นมาพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย
พ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายด้วยมรรคผล ด้วยมรรคผล ด้วยการค้นคว้า ด้วยการกระทำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ตรงนี้สำคัญ ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ค้นคว้า เป็นผู้กระทำด้วยตนเอง ไม่มีใครบอกใครสอน นี่วาสนา อำนาจวาสนาที่เป็นจริง แต่เวลาเป็นจริงๆ เป็นจริงเพราะท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยมรรคด้วยผลอันนั้นต่างหาก
พอด้วยมรรคด้วยผลขึ้นมาแล้วไปเทศนาว่าการ พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์ นางพิมพาจบ ลูกชายเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ๆ พระอรหันต์เพราะอะไร พระอรหันต์เพราะการกระทำอันนั้นไง
แล้วเวลาการกระทำอันนั้นมันเป็นอำนาจวาสนาบารมี นี่มันเป็นอำนาจวาสนาบารมีที่การกระทำ มันต้องมีการกระทำ ต้องมีเหตุ เราจะบอกว่า จะทำความดีก็ต้องมีเหตุมีผล ต้องมีการกระทำ ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วจะดีเอง
เราภูมิใจนะ เราเป็นชาวพุทธ พระพุทธศาสนายอดเยี่ยมที่สุด แล้วเรามีอะไรล่ะ อมทุกข์นี่ไง
เราเป็นชาวพุทธ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ขวนขวาย ให้การประพฤติปฏิบัติ เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็เพื่อแก้ไขหัวใจของตน นี่มันจะดี ดีเพราะการกระทำ มันจะดี ดีเพราะการประพฤติปฏิบัติ มันจะดี ดีเพราะเราขวนขวาย มันดีตรงนั้น
ถ้ามันดีตรงนั้น เราจะย้อนกลับมาให้เห็นไง นี่พูดถึงข้อเท็จจริงความเป็นจริงในพระพุทธศาสนา แล้วย้อนกลับมาว่า “หลวงพ่อบอกว่า การกตัญญูกตเวทีเป็นความดีงาม การทดแทนบุญคุณอันดับแรกที่มีค่ายิ่ง”
มีค่ายิ่งจริงๆ มีค่ายิ่งนะ สิ่งที่เขาบอกเขามีหลายบทบาทมาก บทบาทความเป็นลูกของแม่ การเป็นภรรยา แล้วเกิดถ้ามีลูกมีเต้าในบ้าน เราทำกับพ่อแม่แบบนี้ สิ่งนี้มันมีค่ามาก แล้วลูกๆ เห็นน่ะ เราได้อบรมสั่งสอนลูกด้วยภาพการกระทำที่เราแสดงออกกับพ่อแม่ของเรา
เราทำดีกับพ่อแม่ของเรานะ แล้วลูกมันเห็นการกระทำอันนั้นน่ะ มันจะซึมซับเข้าไปในใจของลูก ลูกก็เป็นคนดีขึ้นมาอันหนึ่ง เป็นคนดีขึ้นมาโดยเห็นภาพนั้นน่ะว่าแม่เคยทำอะไรกับย่ากับยาย แม่เคยทำอะไรไว้ แล้วหน้าที่ของเราจะทำอะไรต่อไป
ความเป็นหน้าที่ การกระทำ เห็นไหม เราทำคุณงามความดียังเป็นการสั่งสอนเป็นการอบรมไปในตัว แล้วเวลาต่อไปข้างหน้าถ้าเราทำของเราไว้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
มันมีลูกศิษย์หลายคนนะ เขามาหาเรา เขามาปรับทุกข์ไงว่า ลูกชายเขา เวลาเขาจะเอารถไปเที่ยว พอเขาห้ามลูกเขาบอกว่ามันไม่สมควรไป มันไม่สมควรหรอก เพราะว่าเอาไปแล้วมันจะเกิดอุบัติเหตุ
“ก็จะไป” ก็คำนี้แหละ คำนี้เขามาพูดให้เราฟังว่า ลูกมันพูดคำนี้ออกมาสะเทือนใจเขามาก เพราะเขาก็เคยโดนพ่อของเขาอบรมอย่างนี้ แล้วเขาก็ใช้คำพูดคำนี้กับพ่อของเขา
สุดท้ายแล้วนะ เวลาเขามาสั่งสอนลูก ลูกมันก็เอาคำพูด มันบอกคำเดียวกันเลย คำเดียวกันเลยที่ผมเคยเถียงพ่อ แล้วคราวนี้ลูกผมนะ ไอ้คำที่ผมเถียงพ่อ เดี๋ยวนี้ลูกมันมาใส่ผมเต็มเลย แล้วมันก็เอารถไปเที่ยว แล้วก็ไปมีปัญหา มันก็โทรศัพท์มาบอกว่าต้องโอนเงินมาเดี๋ยวนี้ เขาก็ต้องโอนเงินไปให้มัน ไม่อย่างนั้นมันก็เอารถกลับมาไม่ได้
นี่พูดถึงสิ่งที่มันทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าใครทำคุณงามความดีของเราคือทำคุณงามความดีของเรา เราเห็นใจนะ ว่าพระคุณแม่ๆ พระคุณแม่มีค่ามาก เพราะชีวิตที่เรามีอยู่นี่มาจากแม่ แล้วเวลาเราจะทำกับแม่ของเราขึ้นมามันติดขัดไปหมด มันติดขัดไปหมดเพราะเรามีหน้าที่รับผิดชอบ เพราะเรามีงาน เพราะมีงาน เขาบอกว่าเขาเป็นภรรยาด้วย
แต่สิ่งที่ดีนะ ถ้าสามีมีความเห็นด้วยกันอะไรด้วยกัน ภาษาเรา ถ้าเขาทำคุณงามความดี เขาทำเพื่อประโยชน์ เราก็ควรจะส่งเสริม ถึงมันจะแย่งเวลาเราไปบ้าง เอาความสนใจจากเราไปบ้าง ถ้าถึงเวลาแล้วเราทำคุณงามความดีด้วยกัน ความดีนั้นมันจะให้ผลกลับมา
ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แต่ทำแสนยากไหม
ฝืนกระแสสังคม กระแสสังคมต้องการความสะดวกต้องการความสบาย ต้องการการให้คนนับหน้าถือตา คิดกันแค่นั้นน่ะ แล้วมันทำไม่ได้ ถ้ามันทำไปแล้วนะ ถึงเวลาจะกลบเกลื่อนไว้อย่างไร จะทำอย่างไรก็แล้วแต่ ความลับไม่มีในโลก เขารู้ได้ ถ้าเขารู้ได้ ถึงตอนนั้น เห็นไหม
ฉะนั้น ของเราย้อนกลับมาที่นี่ ย้อนกลับมาเรื่องพระคุณแม่ พระคุณแม่ของเรา เรายังมีสติมีปัญญา เขายังบอก “บางครั้งแนะนำแม่แล้วแม่ไม่เชื่อฟัง ลูกก็กลัวบาปจะติดตัว ต้องขอขมาแม่เป็นประจำ”
เราขอขมาลาโทษ แล้วทำสิ่งใด ทำความดีต้องได้ดี แต่กรณีนี้มันกรณีที่ว่าทิฏฐิระหว่างแม่กับลูกนี่สำคัญ เพราะว่าคนถ้ามีวาสนานะ ถึงจะทำกรณีนี้ได้
เพราะเราดูหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่น แม่ของท่าน ท่านเอามาอยู่ด้วยพักหนึ่ง สุดท้ายแล้วท่านก็เอาแม่ของท่านไปให้ญาติพี่น้องดูแล แล้วพอเวลาแม่ของท่านเสีย ท่านไม่กลับไปเผาด้วย แต่เวลาท่านไปเผา ท่านกลับไปเผาศพของหลวงปู่เสาร์ เวลาแม่ของท่านเสียไปแล้วก็คือจบ
เวลาหลวงตาท่านได้แม่ของท่าน เวลาหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็บอกว่าแม่ของท่านก็ไม่ได้ เพราะว่าแม่ไม่ยอมมาอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะไง
นี่ก็เหมือนกัน คำว่า “มาอยู่” เราเป็นพระ พอเป็นพระ เราก็มีพ่อมีแม่เหมือนกัน พ่อแม่เราก็อยากมาอยู่ด้วย แต่เราเข้าใจของเราได้ เราเข้าใจของเราได้ว่า ทุกคนปรารถนาความดีทั้งนั้นน่ะ แต่มันอยู่ที่วาสนา วาสนาของคนที่จะทำความดีนะ มันต้องเข้มแข็ง
แต่วาสนาของคนที่ไม่มีอำนาจวาสนาไปแล้วมันไปอมทุกข์ ถ้าไปอมทุกข์ เราปล่อยให้เขาอยู่สะดวกสบายดีกว่า
ถ้าเขาตั้งใจจริง คำว่า “อมทุกข์” หมายถึงเวลาถือศีล ศีลเป็นเครื่องขัดเกลาใช่ไหม เวลาธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส แต่เวลาเรามีศีล ต้องถือศีล ต้องถือข้อวัตรปฏิบัติ มันไม่สะดวก มันไม่สะดวกเพราะอะไร เพราะมันไม่ดูดดื่ม
แต่ถ้าคนที่เขามีวาสนานะ ทำอะไรก็ได้ ยิ่งชอบ ยิ่งทำมากขึ้น ใครแนะนำอะไร เอาทั้งนั้นเลย ถ้าคนจริงนะ โอ้โฮ! มันมุมานะบากบั่นได้ทั้งนั้นเลย
แต่ถ้าคนมันไม่จริงมันรู้ได้ เรามองๆ ดูอยู่เหมือนกัน เพราะว่าเขายังไม่เข้มแข็งพอที่จะปฏิบัติได้จริงไง ฉะนั้น จะปล่อยให้อยู่ทางบ้านมันจะสะดวกกว่า
แต่ถ้าเขาตั้งใจเขาจงใจอยากปฏิบัตินะ โอ๋ย! เพราะพร้อมนะ เราพร้อมทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันเอามาแล้วเขาต้องมาทุกข์มายาก เพราะอะไร เพราะว่ามันไม่เข้มแข็งพอ คำว่า “มันจะทุกข์จะยาก” เรามองตรงนี้ เราก็เลยละล้าละลังๆ จนท่านเสียไปแล้ว ท่านเสียไป เราก็พอใจ
เราพอใจว่า เพราะลูกของท่านได้บวชเป็นพระ เลือดเนื้อเชื้อไขมันได้มาค้ำศาสนา อย่างใดก็แล้วแต่ มันมีค่าดีกว่าเราอยู่ทางโลกมาก
เพราะเราเวลาคนเรานี่นะ คนไม่ทุกข์ไม่ยากไม่อดไม่อยาก ไม่ทุกข์มันก็ไม่เห็นถึงความดี ถ้าไม่อด มันไม่เห็นถึงเวลาอุดมสมบูรณ์ นี่ก็เหมือนกัน เวลาคนเราถึงจนตรอกแล้วจะคิดถึงสิ่งที่เรามีคุณค่าที่สุด ฉะนั้น พอมาบวชเป็นพระๆ อย่างไรก็แล้วแต่ ความรู้สึกมันต้องมีของมันอยู่ ถ้ามีของมันอยู่มันต้องเป็นแบบนั้น นี่พูดถึงพ่อถึงแม่นะ
เราพูดเพราะเหตุว่า เที่ยวสอนคนอื่นหมดเลย เวลาปัญหาของตนไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น อะไรก็ปล่อย ปล่อยให้คนอื่น ดีแต่ปากไง ดีแต่ปาก แต่ทำจริงๆ ไม่เห็นทำอะไรเลย
เวลาการกระทำนะ การสอนมันมีมหาศาล สอนลงไป จี้สั่งสอนเขานั่นเป็นเรื่องหนึ่ง สอนโดยไม่ต้องสอนเรื่องหนึ่ง สอนโดยการประพฤติปฏิบัติให้เห็นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วแต่อำนาจวาสนาของเขา เขาสามารถทำได้ไหม
จะไปจ้ำจี้จ้ำไชจะให้ทำอย่างนั้นๆ มันเป็นไปไม่ได้ เราสอน สอนโดยการประพฤติปฏิบัติของเรานี่แหละ สอนด้วยความเป็นอยู่ของเรานี่แหละ
เวลาพระมาบวช เวลาสึกไป เราบอกเลยนะ ถ้าเอ็งสึกไปนะ แล้วเอ็งคิดถึงความเป็นพระ วันหนึ่งฉันข้าวหนเดียว ถ้าเอ็งไปทำงานนะ เอ็งรวยน่าดูเลย
เวลาเป็นพระฉันอาหารมื้อเดียวอยู่ได้นะ เวลาสึกไปแล้วมันสำมะเลเทเมา ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ถ้าลองประหยัดมัธยัสถ์นะ เหมือนตอนชีวิตดำรงเป็นพระ เป็นพระฉันข้าวมื้อเดียวอยู่ได้สบายๆ เลย เวลาสึกไปแล้ว ๓ มื้อ ๔ มื้อ ยังมีมื้อค่ำอีกต่างหาก นี่ถ้าใช้ได้นะ เวลาการกระทำมันไม่มีหลักเกณฑ์ไง ถ้ามีหลักเกณฑ์มันทำได้
การสอนโดยไม่ต้องสอน การสอนโดยการประพฤติปฏิบัติของเรามันเป็นความจริง แต่สำคัญ สำคัญตรงหัวใจนี้
ถ้าเราจะเป็นคนดี เราอยากเป็นคนดี เครื่องหมายของคนดี ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว แต่เราจะมีจุดยืนทำได้แค่ไหน แล้วทำแล้วทำด้วยความสุขความสงบนะ ทำด้วยความชื่นใจนี้เป็นอย่างหนึ่ง
แต่เริ่มต้นของเรา เราต้องทำด้วยความตึงเครียด เพราะผลของการกระทำมันไม่ได้ดั่งใจ แล้วแม่ธรรมดาก็เป็นอย่างนี้ แต่ถ้าแม่ได้ฟังธรรมเสียบ้างนะ
มันมีอยู่ครอบครัวหนึ่งเขามีแม่กับลูกมาอย่างนี้ มาด้วยกัน แล้วลูกก็บอกว่า แม่เอาใจยาก แล้วเวลาทำสิ่งใด แม่ก็จะเอาสดๆ ร้อนๆ ใช่ไหม
ฉะนั้น เวลาเราพูดบอก ไม่ใช่หรอก แม่ต้องการให้เรายอมรับ ให้เราเอาใจเท่านั้น แต่ถ้าได้รับการยอมรับอย่างนั้นแล้วมันก็จะดูแลได้ง่าย
เราพูดปั๊บ เขากลับไปนะ ตอบไปแล้วนะ แม่ดีขึ้นเยอะเลย ทำอะไรก็ได้
เพราะภาษาเรานะ แม่ก็เรียกร้องความสนใจนั่นแหละ แต่เราสนใจอยู่แล้ว แต่ของอย่างนี้เขาบอกว่า เช่น อาหารเวลาให้ทานแล้วมันทานไม่ได้ พอเหลือเอามาให้ใหม่ เขาบอกเป็นของเก่า
มันไม่เก่า มันสดๆ ร้อนๆ ทีนี้แม่ก็ถือสิทธิ์ไง พอสุดท้ายแล้วเราบอกว่า ลูกก็คิดไปอีกมุมหนึ่ง มุมที่ว่าจะเอาอะไรก็ได้ถ้าแม่จะทาน ซื้อให้ได้ทั้งนั้นน่ะ แต่นี่ของมันสดๆ ร้อนๆ แม่ยังไม่ได้ทานเลย แล้วแม่บอกว่ามันของเก่า ก็เป็นทิฏฐิมานะเท่านั้น
พอพูดจบแล้วเขาเข้าใจกัน มาครั้งใหม่บอก โอ๋ย! สุขมาก แม่อะไรก็ได้ เพราะมันเข้าใจกันไง แม่บอกอะไรก็ได้ ลูกก็บอกดีขึ้นมาก แม่กับลูกก็อยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจกัน แต่พอมันไม่เข้าใจกันมันมีปัญหาแบบนี้
นี่พูดถึงว่า เราเห็นใจมากนะ เพราะเขาถามบอกว่า ฟังเทศน์หลวงพ่อเป็นประจำว่า ความกตัญญูต่อพ่อแม่เป็นความดีงาม ทดแทนบุญคุณท่านอันดับแรกที่มีค่ายิ่งนัก นี่เพราะว่าฟังเทศน์หลวงพ่อ
ไม่ใช่หรอก เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราเห็นหลวงตาท่านซาบซึ้ง หลวงตาท่านซาบซึ้งคุณของแม่ท่าน หลวงตาท่านซาบซึ้งถึงสังคม อันชนกชนนีนี้รักเจ้า ที่หลวงตาท่านเขียนไว้ตอน ๑๔ ตุลา
เพราะตอน ๑๔ ตุลามันมีปัญหาระหว่างเรื่องความกตัญญูพ่อแม่กับลูกนี้มาก หลวงตาท่านเขียนโดยเฉพาะเลย หลวงตาท่านเห็นปัญหาสังคมมาก ปัญหาสังคม แล้วเราอยู่กับท่าน คำพูดของท่านที่มีคุณค่า เราจะจำใส่ใจ แล้วเราก็เห็นคุณค่าการที่ว่า พระอรหันต์ของลูก คนที่มีคุณกับเรา
เราเห็นในทางของธรรมะ ในทางของความชอบธรรม ใครที่มีคุณกับเรา คนจีนเขาถือมาก ใครที่เคยให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับเรา อย่าลืมคุณเขานะ อย่าลืมคุณเขา คุณของคนนี่สำคัญมาก เราก็เห็นคุณของเขานะ เราเห็นบุญเห็นคุณของเขา แล้วเห็นบุญเห็นคุณของพ่อของแม่ที่เราเสียสละมาเพื่อครอบครัว เพื่อความจริงของเรา ตรงนี้เราพยายามทำของเรา
แต่ทำดีมันเป็นการทวนกระแส ถ้าปล่อยตามใจของตัวไหลไปมันสะดวก การทำความดีต้องทวนกระแส เราอยากจะมีเวลา เราอยากจะได้พักผ่อน เราอยากได้ทั้งนั้นน่ะ แต่เราต้องขวนขวายเพื่อพ่อเพื่อแม่ เพื่อครอบครัว ทำคุณงามความดีต้องลงทุนไง ทำความดีถึงแสนยาก
เวลาทางโลก ทางโลกทางคับแคบ คับแคบอย่างนี้ ต้องรับผิดชอบมหาศาลเลย พอบวชเป็นพระทางกว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมงนะ พระที่อยู่กับเราภาวนาได้ทั้งวันทั้งคืน ไม่มีงานอะไรเลยแล้วกันแหละ
เพราะเราจำมาจากหลวงตา ฉันเสร็จแล้วได้ตลอดเลย อดอาหาร ๒๔ ชั่วโมง นี่ทางของพระเป็นทางกว้างขวาง กว้างขวางเพราะมีโอกาสประพฤติปฏิบัติ ๒๔ ชั่วโมง ทุกวินาทีปฏิบัติทั้งนั้นเลย
แต่ทางของฆราวาสนี่ทางคับแคบ คับแคบเพราะภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ เราต้องรับผิดชอบ นี่ทางของฆราวาส แล้วจะมาปฏิบัตินิดหนึ่งตอนสวดมนต์เช้าสวดมนต์เย็น ได้นั่งทีหนึ่ง ๕ นาที แล้วก็ไปตรากตรำอีกทั้งวัน นี่คับแคบแบบนี้
ไม่ใช่การดูถูก ไม่ใช่การเห็นแก่ตัว ตามข้อเท็จจริง นี้อยู่ในพระไตรปิฎก เราอ่านมาจากพระไตรปิฎก ศึกษามาจากพระไตรปิฎก แล้วก็จะมาตอกย้ำบ่อยๆ
ทางของคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบ ทางของคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบ ให้เราตื่นตัว ให้เราขวนขวาย
ทางของพระที่กว้างขวางๆ มึงปฏิบัติหรือเปล่า ๒๔ ชั่วโมงได้ภาวนาไหม ถ้าภาวนา พระจะประพฤติปฏิบัติ พระจะดีกว่านี้ขึ้นมาอีกเยอะเลย เพราะเขาขวนขวายประพฤติปฏิบัติในตัวของเขา
นี่พูดถึงว่า ความจะเป็นคนดีทั้งฆราวาสและทางพระ
ถ้าเป็นทางฆราวาส เราก็ขวนขวายอย่างนี้ นี่พูดให้กำลังใจ พูดให้กำลังใจ ให้กำลังใจเพื่อเปลี่ยนทัศนคติ หลวงตาท่านใช้คำว่า “อย่าเสียดายอารมณ์”
เสียดายอารมณ์ที่ว่าความรับรู้ที่ว่าทุกข์ว่ายาก แล้วเราจะสละทิ้งเราก็เสียดายมันไง ถ้าเราสละทิ้งปั๊บ เราทำงานโดยความว่าง ทำงานโดยสติปัญญาของเรา มันจะไม่มีสิ่งใดมากดดัน แล้วต่อไปมันจะทำด้วยความพอใจก่อน แล้วจะบอกว่าจะทำด้วยความสุข
ความสุขเพราะเราได้แทนคุณแม่ เราได้ทดแทนบุญคุณโดยหัวใจนี่นะ มันจะมีความสุข ถ้ามันเป็นความสมดุลต่อกันมันจะมีความสุขนะ
แต่ใหม่ๆ ไม่สุขหรอก ไม่สุขเพราะกิเลส ความเห็นแก่ตัว ความอยากได้ ความอยากใหญ่ ความอยากชนะ ความอยากให้คนยอมรับ มันทุกข์ตรงนี้ เพราะไม่มีใครยอมรับเอ็งหรอก ไม่มีใครเห็นความดีเอ็งหรอก แต่เอ็งอยากให้เขาเห็น อีกร้อยชาติไม่มีใครเห็นหรอก
แต่ถ้าเราทำด้วยความสุขของเรา เห็นไหม ทำแทนคุณแม่ ทำบุญคุณของเรา เราทำเพื่อเรานะ มีความสุข ความสุขจะเกิด เราทำด้วยสติด้วยปัญญา จะเป็นคนดีต้องฝืนกระแส ทำเพื่อชนะกิเลสในใจของเรา เอวัง