เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ ม.ค. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะ วันนี้วันพระ วันพระ วันโกน เราเข้าวัดเข้าวาเพื่อหาบุญกุศลของเรา วันปกติเราก็แสวงหาเพื่อดำรงชีวิตไง เพื่อปัจจัย ๔ เห็นไหม

 

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เวลาพลัดพรากไปแล้วให้ระลึกถึงกัน เวลาจากกันไปให้คิดแต่สิ่งที่ดีงาม จากกันไปให้ระลึกถึงกันไง ไม่ได้จากกันไปด้วยความไม่อยากมองไม่อยากเห็นหน้ากัน

 

เราทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีเพื่อเรา ชีวิตนี้ เราทำเพื่อชีวิตนี้ไง เช้าขึ้นมาพระออกบิณฑบาต บิณฑบาตมาเลี้ยงชีพไง เราตื่นมา เราหุงข้าวปลา เราตักบาตรใส่บาตรของเรา ใส่บาตรของเราด้วยบุญด้วยกุศล ด้วยความระลึกถึงคุณงามความดีของเรา ระลึกถึงคุณงามความดีของเรานะ มันต้องขวนขวาย

 

เวลาตั้งแต่ตี ๓ ตี ๔ เราตื่นขึ้นมา เรานั่งสมาธิภาวนา จิตใจมันไม่ลง เวลามันใกล้จะถึงเวลาหุงหาอาหาร จิตใจมันจะภาวนาดีๆ กิเลสมันหลอกลวงไปทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา เราก็นั่งสมาธิของเราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจิตใจของเราสงบระงับเข้ามามันก็เป็นบุญกุศลของเรา คำว่า “บุญกุศลของเรา” สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

 

ความที่จิตสงบ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาให้มันเจ็บคนเดียว ให้ร่างกายนี้เจ็บไข้ได้ป่วย หัวใจอย่าเจ็บไข้ได้ป่วยไปกับมัน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เจ็บไข้ได้ป่วยสองคน ร่างกายนี้เจ็บไข้ได้ป่วย หัวใจนี้วิตกกังวล หัวใจวิตกกังวล จะร้ายจะดี วิตกกัลวลไปทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเรามีธรรมะในหัวใจของเรา หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าก็ตาย สิ่งที่ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เห็นไหม เราสร้างคุณงามความดีของเรา สิ่งใดในโลกนี้มันไม่มีสิ่งใดคงที่หรอก มันต้องพลัดพรากจากกันไปแน่นอน จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง แต่การจะพลัดพรากจากไปเพราะด้วยมีสติสัมปชัญญะ เราทำคุณงามความดีของเรา เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาจะเกิดภพชาติใดก็เกิดมาให้มีบุญกุศลพออาศัย แต่ถ้ามีอำนาจวาสนา เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราตั้งใจทำคุณงามความดีของเรา

 

ทำคุณงามความดี สิ่งใดมันจะดีไปกว่าการภาวนา การภาวนา เราตั้งแต่เกิดมา เกิดมาตั้งแต่เด็กเล็กเด็กน้อย พ่อแม่ส่งให้มีการศึกษา ศึกษาแล้วอยากให้มีสติมีปัญญาขึ้นมา ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา เด็กเวลาเรียนหนังสือ เวลาไม่เข้าใจต่างๆ วิตกกังวลไปทั้งนั้นน่ะ เวลามีสติมีปัญญาขึ้นมา มาตั้งสติของเรา แล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาจิตใจมันปลอดโปร่ง เวลามีการศึกษา ศึกษาสิ่งใด อู๋ย! มันทะลุปรุโปร่งไปหมด

 

เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา คนถ้ามีสติปัญญา มีสติปัญญาที่การภาวนา เวลาภาวนาขึ้นมา จิตสงบไปแล้ว สงบแล้ว “นิพพานเป็นเช่นนี้เอง นิพพานเป็นเช่นนี้เอง” คนที่จิตไม่เคยสงบ เขาก็ไม่รู้หรอกว่าความสงบมันจะสงบขนาดไหน แต่เวลามันสงบแล้ว สิ่งที่ไม่มีอำนาจวาสนา ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา เวลามันเสื่อมไป มันร้อน เวลามันเสื่อมไปมันไม่เห็นมีความสุขเหมือนเดิมเลย ถ้ามีความสุขจะทำอย่างไร

 

ชำนาญในวสี เราพยายามภาวนาของเรา ถ้าจิตสงบเข้ามาอีก สงบมีแต่ความชุ่มชื่น มีแต่ความสุขของเรา เวลามันคลายตัวออกมา เราก็พยายามศึกษา พยายามทำความเข้าใจ เราทำความสงบของเราบ่อยครั้งเข้าๆ จิตตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่น ตั้งมั่นแล้วทำอย่างไรต่อไป

 

ถ้าตั้งมั่นขึ้นมาแล้วถ้ามันน้อมไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง โอ้โฮ! มันสะเทือนหัวใจ อ๋อ! มันเป็นอย่างนี้เนาะ มันเป็นอย่างนี้เนาะ มันเป็นอย่างนี้เพราะอะไร มันเป็นอย่างนี้เพราะมันจะขุดคุ้ยยหากิเลสของตนไง

 

เวลากิเลสอวิชชาความไม่รู้ในหัวใจของตน เพราะไม่รู้ขึ้นมา เราไม่รู้ว่าสิ่งใดมีคุณค่า สิ่งใดไม่มีคุณค่าเลย อะไรจะเป็นบุญ อะไรจะเป็นคุณ อะไรจะเป็นโทษ เราแยกแยะไม่ได้เลย เวลาจิตใจของคนที่มันต่ำช้ามันแยกดีแยกชั่วไม่เป็นนะ ความดีความชั่วมันยังไม่รู้เลย อะไรดีอะไรชั่ว

 

สิ่งใดที่เป็นคุณงามความดี เราต้องแสวงหาความดีอันนั้น สิ่งใดที่เป็นความชั่วร้าย สิ่งนั้นเราจะไม่เข้าไปใกล้มัน เราพยายามจะหลีกห่างมันไป แต่ถ้ามันมีขึ้นมาในหัวใจของเราด้วยความไม่รู้ ไม่รู้แล้วเราไปเห็นมัน เราไปรู้ไปเห็นในหัวใจของเรา อวิชชาความไม่รู้ เห็นไหม มันอยู่กับหัวใจของเราไง ถ้าเรามีสติปัญญา เราจับต้องของเราได้ นี่สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ ใช้ปัญญาของเราๆ

 

ฟังธรรม ฟังธรรมสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ตอกย้ำๆ สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แต่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นไง แต่เวลามันรู้มันเห็นขึ้นมา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเข้าใจแล้ว มันสว่างไสว มันแจ่มแจ้งในหัวใจ ถ้ามันแจ่มแจ้งในหัวใจ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ไม่มีเหมือนกัน สิ่งที่ว่าเหมือนกันๆ อ้างว่าเหมือนกันๆ อย่าเอาเปรียบ อย่าเอารัดเอาเปรียบ เหมือนกันๆ มันเหมือนที่ไหน ธรรมะส่วนบุคคลมันเหมือนของใคร

 

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อานนท์ เราไม่ได้เอาธรรมะของใครไปเลย เราไปของเรา เรานิพพานของเรา เราเอาแต่ของเราไป พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะนิพพานก็เอาของท่านไป

 

ใครเอาของใครไป แล้วใครจะไปเหมือนใคร ถ้าเหมือนใครจะมีพุทธวิสัยหรือ ถ้าเหมือนใคร จะมีอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาหรือ แล้วเอตทัคคะ ๘๐ องค์เหมือนกันตรงไหน ไม่เห็นเหมือนตรงไหนเลย อริยสัจมันมีหนึ่งเดียว เวลาหนึ่งเดียว ถ้ามันเข้าใจ เข้าใจอย่างไร ถ้าเป็นความเข้าใจ เข้าใจอันนั้นสุดยอด นั่นน่ะอริยสัจ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตของเรากลั่นออกมาจากอริยสัจ

 

ไอ้นี่จิตก็ไม่เคยเห็น สมาธิก็ไม่รู้จัก จินตนาการไปทั้งนั้น สัญญาอารมณ์ทั้งนั้นน่ะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมากนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยของเรา แก้วสารพัดนึก ทางโลกเขา เขาก็นึกถึงบุญกุศล นึกถึงผลสำเร็จในทางชีวิต นึกถึงบุญกุศลของเขา เขาก็นึกของเขา เขาพยายามขวนขวายของเขา คนมีบุญกุศลเขาถึงทำแล้วประสบความสำเร็จ คนที่ไม่ถึงโอกาสของเขา บุญกุศลของเขาไม่ถึง จับพลัดจับผลู จะได้จะไม่ได้อยู่อย่างนั้นน่ะ นั่นพูดถึงทางโลกเขาเพื่อบุญกุศลของเขา เพื่อความสำเร็จในชีวิตของเขา เวลาสำเร็จในชีวิตของเขาแล้ว ชีวิตเวลาบั้นปลายไปแล้ว แล้วชีวิตจะพึ่งอะไร ทรัพย์สมบัตินี้เป็นของใคร คุณงามความดีของเราในหัวใจมันพอหรือไม่ เรายังสงสัยสิ่งใดอยู่หรือเปล่า

 

เราเข้าวัดเข้าวาแล้วเราก็อยากจะประพฤติพรหมจรรย์ ตบะธรรมๆ จะมาเผากิเลส จะเผากิเลส แสวงหากิเลส ไปวัดไปวาก็ไปตามประเพณีกัน แต่ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา คำว่า “ไปวัดไปวาขึ้นมา” ก็ถือศีล ๘ เวลากลางวันเขาก็ช่วยทำข้อวัตร สุดท้ายแล้วทำข้อวัตรเพื่ออะไร เพื่อบุญกุศลของเราไง เพื่อบุญกุศลของเรา เสร็จแล้วเราอาบน้ำอาบท่าแล้ว สวดมนต์แล้วเราก็ภาวนา

 

เวลาภาวนานี่สำคัญมาก เวลาสำคัญมาก ทำงานสิ่งใดๆ ก็ทำมาแล้ว งานที่มีคุณประโยชน์ งานที่จะค้นคว้าหาจิตใจของตนทำไมเราทำไม่ได้ งานอะไรก็ทำได้ งานอะไรก็ทำได้ แต่งานที่จะเป็นประโยชน์ งานที่จริงจังกับเรา ทำไมเราทำไม่ได้ แล้วทำไม่ได้ขึ้นมา เห็นไหม

 

เวลาทำหน้าที่การงานขึ้นมา เรามีทรัพย์สมบัติขึ้นมา แก้วแหวนเงินทองมีมากน้อยแค่ไหนเขาก็นับจำนวนกัน เวลาจิตกำหนดพุทโธๆ เวลาจิตมันสงบเข้ามา นี่เขาวัดกัน เวลาจิตสงบแล้วมันมีความสุขมากน้อยแค่ไหน มันสว่างขนาดไหน มันครอบโลกจักรวาลได้มากน้อยแค่ใด เวลาจิตมันเกิดปีติขึ้นมา ปีติมันกระเทือนหัวใจขึ้นมา ขนพองสยองเกล้า นี่ทรัพย์สมบัติของตนในหัวใจ ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมาในหัวใจ แล้วเวลามันเกิดปัญญา ปัญญาจะไปรื้อค้นมาจากไหน ปัญญาใครจะมอบให้ ปัญญาที่จะมีขึ้นๆ ปัญญาเกิดจากการภาวนา

 

เด็กๆ เวลาการศึกษาๆ ถ้าไม่ทะลุปรุโปร่ง ศึกษาแล้วไปไม่ได้ เขามาตั้งสติหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เขายังมีสติปัญญาเพิ่มขึ้น เขายังศึกษาทางการเรียนการสอนของเขาได้ประสบความสำเร็จ

 

ไอ้ของเรา ไอ้ของเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาเกิดปัญญา ปัญญามันเป็นอย่างไร ปัญญามันเป็นปัญญาของเราไง ปัญญาของเรามันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนาไง ถ้าการภาวนา ภาวนามาจากไหน ภาวนาจากลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ภาวนามาจากการค้นคว้าในจิตของเรา ในจิตของเราที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

 

วันพระๆ เป็นผู้ประเสริฐ ถ้าผู้ประเสริฐ กรรมฐานเราเวลาจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกออกโธ ถ้าจิตมันเข้าไปสู่พุทธะ เข้าไปสู่หัวใจของเรา มันจะไปเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

คนภาวนาที่มีอำนาจวาสนานะ เวลาจิตเขาสงบขึ้นมาเขาเห็นเป็นพระพุทธรูป บางคนเห็นเป็นแก้ว บางคนเห็นเป็นทองคำใส บางคนเห็น พอเขาเห็นแล้วเขาปลื้มใจ เขามีความสุขนะ โอ้โฮ! ชีวิตนี้มีค่า สิ่งใดทรัพย์สมบัติอะไรเขาไม่อยากได้เลยล่ะ เขาเห็นแล้วเขาปลื้มใจของเขาไง

 

นี่ไง กรรมฐานเรา กรรมฐานนะ อยากจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะค้นคว้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะค้นคว้าพุทธะในใจของเราไง แล้วพุทธะในใจของเรา ตั้งแต่เราเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ปฏิสนธิจิตๆ จิตของเรา เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นไง แล้วสิ่งที่มีคุณค่า มันมีคุณค่าเพราะอะไร มีคุณค่าเพราะมีชีวิตไง

 

ปฏิสนธิจิตในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ เพราะมันกำเนิด มันเป็นสิ่งที่มีชีวิต พอเกิดมาเป็นสิ่งมีชีวิต เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีกฎหมายคุ้มครองไง สิทธิเสรีภาพไง เราแสวงหาสิ่งใด บาปบุญก็เป็นของเราทั้งนั้นน่ะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำดีก็ต้องได้ดี ใครทำชั่วก็ต้องได้ชั่ว ใครแสวงหาสิ่งใดประสบความสำเร็จด้วยอำนาจวาสนาของตนก็เป็นสมบัติของตน

 

สมบัติของตนในโลกนี้ ถ้าผู้ที่ฉลาดเขาเอาสมบัตินั้นมาสร้างประโยชน์อีกต่อ เห็นไหม เราแสวงหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราอยู่แล้ว แล้วเราได้มาเรายังจุนเจือสังคม จุนเจือคนยากไร้ คนที่ไม่มีความสามารถ เราจุนเจือเขาเพื่ออำนาจวาสนาบารมี แล้วถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราฝังดินไว้ ฝังไว้ในหัวใจ เวลาทำทานๆ ฝังดินไว้เลย ฝังไว้เป็นทิพย์สมบัติในหัวใจ นี่อำนาจวาสนามันเกิดตรงนั้น ถ้าคนมีสติมีปัญญา มีสติปัญญามันก็แสวงหาสิ่งนั้นมาเป็นผลประโยชน์ของตน แสวงหามาแล้วสมบัตินั้นยังมาสร้างประโยชน์ของตน

 

แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา สิ่งที่มีค่าๆ ที่สุดคือชีวิตนี้ไง มีค่าที่สุดคือชีวิตนี้ เพราะเกิดมาแล้วได้พบได้เห็น เกิดมาแล้วได้มีอำนาจวาสนาได้ใช้ชีวิตนี้ไง แล้วก็เอาชีวิตนี้กลับมาค้นคว้าตัวมันเอง

 

เขาเกิดมาในโลก เขาตื่นโลก เขาส่งออกไปเพื่อโลก เพื่อประสบความสำเร็จ เพื่อยศถาบรรดาศักดิ์ไง นี่ไง เวลาบวชมาแล้วก็จะเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ อยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ไง

 

กรรมฐานเรา กรรมฐานเราเวลามันจะได้ขึ้นมาก็ค้นคว้าในใจของตนไง ไม่ส่งออกไปให้ใครแต่งตั้งไง จะให้ภาวนามยปัญญา จะให้ธรรมะขององค์ศมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสถาปนาขึ้นมาในหัวใจไง

 

ถ้าหัวใจมันประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เข้าสู่โคนไม้ เข้าสู่เรือนว่าง เข้าสู่ใจของตน หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา คนที่ภาวนาเขาเห็น โอ้โฮ! เป็นพระทองคำเลยนะ โอ้โฮ! มันไม่มีในโลกนี้

 

เวลาคนที่มีฐานะนะ เวลาไปเห็นพระทองคำก็จะมาหล่อกันไง หล่อพระทองคำ กี่ตันก็ได้เอามาหล่อ หล่อแล้วก็ตั้งอยู่นั่นน่ะ มันไม่สวย มันไม่พิสดารเหมือนที่เห็นในหัวใจ มันไม่พิสดาร ไม่สวยงาม ไม่นุ่มนวลเท่ากับเห็นในหัวใจ นั่นน่ะความเป็นจริง ความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น ถ้าเวลาเขาไปรู้ไปเห็นของเขาขึ้นมา

 

แล้วเราฝึกหัดๆ ขึ้นมา เราเกิดมาชีวิตมีกายกับใจๆ ก็เอาหัวใจ เอาความรู้สึกนึกคิด มีปัญญาขึ้นมา พยายามจะหักกลับเข้ามาเพื่อภาวนา เพื่อทำงานของตนไง แต่เรากลับทำไม่ได้ เกิดมาเวลาเราก็ไม่มีอยู่แล้ว อู้ฮู! เวลามีค่ามาก แล้วจะมานั่งใช้เวลาหมดไปวันๆ โดยเปล่าประโยชน์ อู้ฮู! พระที่บวชมาบวชมาทั้งชีวิต น่าเสียดาย ทั้งชีวิตไม่ได้แสวงหา ไม่ได้เที่ยวเตร่เหมือนกับโลกเขาเลย นั่นน่ะความคิดของเขาไง

 

เขาไม่รู้หรอกว่าเวลาจิตมันสงบเข้ามามันจะมีความสุขขนาดไหน เวลาไปเที่ยว ไปเที่ยว ๓ โลกธาตุ พระโมคคัลลานะไปหมดเลย กามภพ รูปภพ อรูปภพ ไปรู้ไปเห็นมาทั้งนั้นน่ะ เวลาเอามาแจ้งที่นครราชคฤห์ต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตระกูลนั้นบ้านนั้นตายแล้วไปเกิดที่นั่น บ้านนั้นตายแล้วไปเกิดที่นั่น ต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ไม่ใช่พูดด้วยตัวเองนะ พูดต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพูดเท็จได้ไหม

 

หนึ่ง พระอรหันต์ไม่กล่าววาจาเท็จอยู่แล้ว ไม่โกหกมดเท็จ ไม่ปลิ้นปล้อนอยู่แล้ว แล้วยังเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายอีกต่างหาก แล้วเวลาพูดขึ้นมาก็พูดต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นศาสดา นี่ไง ถ้ามันเป็นความจริงๆ ถ้าใจมันเป็นจริง เป็นจริงอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น แล้วมันเป็นได้หมดเพราะอะไร

 

เพราะจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเคยเกิดมาแล้วตั้งแต่กามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลายทั้งนั้นน่ะ ถ้าเวลามันรื้อค้นเข้าไป เพราะมันมีข้อมูลของมัน เพราะมันเคยเป็นเคยไป เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนอดีตชาติไป ถ้าคนทำเป็นนะ

 

นี่พูดถึงโลกเขาบอกว่าเขามีความสุขของเขาไง มาบวชทั้งชีวิตไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอะไรเลย โอ้โฮ! ชีวิตแห้งแล้ง...นั่นเวลาโลกเขามองอย่างนั้น แต่ถ้าของเรา เราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธที่ว่าเรามีวาสนา ตั้งแต่ระดับของทาน วัฒนธรรมประเพณีของชาวพุทธเรื่องหนึ่ง ระดับของการประพฤติปฏิบัติจะขวนขวายนั่นอีกเรื่องหนึ่ง ระดับที่เรามีสัจจะความจริงในใจของเราอีกเรื่องหนึ่ง

 

ถ้ามีสัจจะความจริงในใจของเราขึ้นมาแล้วนะ มันมองโลก เวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลามองพวกเรานี่นะ เหมือนมองสัตว์เดรัจฉาน มันไม่รู้ไม่เห็นนะ มันไม่เป็น เหมือนเรามองคนอื่นมันอืม! อืม! นี่เวลาคนมันเป็นจริงขึ้นมา

 

นี่ก็เหมือนกัน เราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ค้นคว้าสัจจะความจริงในใจของเราขึ้นมา ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ให้มันสมกับว่าเราเป็นชาวพุทธไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่อาศัยของเรา แล้วเราก็ขวนขวายกระทำขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเรา ถ้าเป็นสมบัติของเราในใจได้ เราจะกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 

เวลาหลวงตาท่านกราบพระ ใครชื่นชมมากเมื่อก่อนตอนที่ท่านยังแข็งแรงอยู่ ท่านกราบจากหัวใจ คนที่กราบจากหัวใจ กับไอ้พวกเราไปปัดฝุ่นพับๆๆ ต่างกัน ไปกราบพอเป็นพิธีไง ชาวพุทธก็กราบพระ ๓ ทีๆ

 

แต่เวลาท่าน ท่านกราบมาจากหัวใจนะ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงพระธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ กราบพระธรรม ระลึกถึงพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ตั้งแต่พระอัญญาโกณฑัญญะ กราบพระสงฆ์ กราบจากหัวใจ กราบจากความรู้สึกจากภายใน กราบด้วยความเคารพนบนอบ กราบด้วยบุญด้วยคุณ กราบด้วยเห็นบุญเห็นคุณที่ท่านได้สืบทอดศาสนากันมา จนกว่าเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นความจริงในใจของเราขึ้นมา เลยมาเป็นวันพระ วันโกนให้เราได้แสวงหาบุญกุศลของเรานี่ไง เอวัง