เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรมเป็นความจริง ธรรมโอสถๆ คนเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาต้องการยารักษาโรค นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาเรามีความทุกข์ในหัวใจไง ทุกคนมีความวิตกกังวลไปทั้งนั้นน่ะ มันมีสิ่งใดฝังหัวใจอยู่ ถ้าฝังในหัวใจอยู่นะ เพราะมันมีสิ่งนี้ไง มันถึงทำให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ไม่มีอวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้ เห็นไหม ความไม่รู้ทำให้เรากังวล ทำให้เราวิตกกังวลไปทุกๆ เรื่อง
ในชีวิตของเรา เราอยากให้สมความปรารถนาทั้งนั้นน่ะ ถ้าสมความปรารถนานะ แต่ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกโลกนี้เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจังเพราะมันแปรสภาพของมันตลอดเวลา มันไม่มีสิ่งใดคงที่ได้เลย มันแปรสภาพของมันไปตลอด แต่ด้วยความปรารถนาของมนุษย์ คนที่มีอำนาจวาสนาเขาก็ปรารถนาสิ่งที่ดีงามในใจของเขา แต่คนที่ไม่มีอำนาจวาสนานะ มันก็คิดได้แค่นั้นไง คิดว่าสิ่งที่เราปรารถนาเราต้องการจะเป็นความสุขของเรา จะเป็นความปรารถนาของเรา
แต่ความปรารถนา หามาได้มากน้อยขนาดไหนแล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไม่เคยพอ มันไม่เคยพอหรอก มันจะแสวงหาของมันต่อไปเรื่อยๆ ตัณหาล้นฝั่งๆ หลวงตาท่านสอนประจำ ดูสิ แม่น้ำลำคลองมันยังมีตลิ่ง มีขอบของมัน ตัณหาความทะยานอยากในใจของคนไม่มีขอบไม่มีเขต มันจินตนาการของมันไปตลอด มันต้องการธรรมโอสถไง ให้ธรรมโอสถมายับยั้ง เริ่มต้นจากทาน การเสียสละ เสียสละของเราเสียสละเพื่ออะไร เสียสละเพื่อจะให้มันยอมรับฟังเหตุผลคนอื่นบ้างไง
ถ้าไม่เสียสละขึ้นมา ของกูๆ เพราะของกูๆ ถึงไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของกูสักอย่างหนึ่ง มาวัดมาวาขึ้นมาเสียสละของเรา นั่นน่ะของกูแท้ๆ ของกูแท้ๆ คือได้เสียสละสิ่งนั้นออกไปไง ถ้าเสียสละออกไป ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้นะว่า เราหาเงินมาได้หนึ่งบาท เราจะทำธุรกิจของเราหนึ่งสลึง เลี้ยงครอบครัวหนึ่งสลึง เราจะใช้สอยหนึ่งสลึง อีกหนึ่งสลึงฝังดินไว้ไง หาเงินสิ่งใดได้ให้แยกเป็น ๔ ส่วน ส่วนหนึ่งเราต้องใช้ต้องสอย ส่วนหนึ่งเราใช้ในครอบครัว ส่วนหนึ่งเราต้องลงทุนทำกิจการต่อไป อีกส่วนหนึ่งที่เราเหลือแล้วเราถึงฝังดินไว้ไง นี่เรามาเสียสละทานของเรา เสียสละทานของเราก็ฝังดินไว้ไง ฝังไว้ที่ไหน เวลาโยมจะมาวัดมาวา โยมคิดไหม โยมตั้งใจไหม นั่นล่ะมันฝังลงที่หัวใจนั้น
นี่ไง ที่ว่าเป็นสมบัติของเราว่าของกูๆ ไม่ได้อะไรของกูเลย แต่ถ้าเราเสียสละออกไปนั่นน่ะของกูจริงๆ ของกูมันเป็นทิพย์สมบัติไง สิ่งใดที่เราทำแล้วเราระลึกได้ทั้งนั้นน่ะ สิ่งใดที่เราระลึกได้ นี่ทิพย์สมบัติๆ เวลาตายไปแล้ว ถ้าเกิดเป็นเทวดา วิญญาณาหาร ในเทวดาไม่มีตลาดนะ ไม่มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายนะ ของใครของมันนะ ถ้าของใครของมัน มันก็ไปจากทานนี่ จากบุญกุศลของตนนี่ บุญกุศลมันฝังลงที่ใจ เป็นทิพย์สมบัติ ที่ว่าของกูๆ ไม่ใช่ของกูเลย ไอ้ที่เสียสละไปนี่ของกูแท้ๆ นี่ระดับของทาน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้
วันพระ วันพระขึ้นมา ระดับของทานเราก็ได้เสียสละของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าเพื่อประโยชน์กับเราแล้ว ถ้าเราจะมีธรรมโอสถ ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน เราซื้อยามามันต้องมีฉลากกำกับมาใช่ไหม ว่ายานี้จะใช้ประโยชน์สิ่งใด ใช้อย่างใด
นี่ก็เหมือนกัน ธรรมโอสถขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทฤษฎีเราศึกษามาๆ นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ มันเสมอภาคกันทั้งนั้นน่ะ แต่ของเรายังไม่มีไง ถ้าของเรามันมีขึ้นมา โรคภัยไข้เจ็บในใจเราต้องหายไป โรคภัยไข้เจ็บ ความลังเลสงสัย กิเลสฝังอยู่ในหัวใจนั่นน่ะ ถ้ามันโดนธรรมโอสถ ดูสิ ดูมรรคญาณ ดูธรรมจักรที่มันถอดมันถอนไง ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ผู้ใดประพฤติปฏิบัติขึ้นมาไม่มีมรรคขึ้นมาในหัวใจ ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ปัญญาของตนไม่เกิดขึ้นมา มันไม่มีสัจธรรม ไม่มีความจริง มันจะถอดถอนกิเลสไปได้อย่างไร
การถอดถอนกิเลสก็คือถอดถอนความสงสัย ถอดถอนความไม่รู้ ถอดถอนต่างๆ มันถอดไปเรื่อยๆ ของมัน มันตทังคปหานชั่วคราว ชั่วคราวไป ทำจนถึงที่สุดเวลามันสมุจเฉทปหาน เวลากิเลสมันขาด นี่ไง เวลากิเลสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขาดในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป ท่านเป็นศาสดาของเรา เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถอดถอนกิเลสในใจของท่านขึ้นมา นี่สมบัติส่วนตนไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน “อานนท์ เราไม่ได้เอาสมบัติของใครไปเลยนะ เราเอาเฉพาะของเราไปเท่านั้นเอง” สมบัติเฉพาะของเราก็คือสมบัติในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมหาศาล ถึงเป็นศาสดาของเราปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยมรรคด้วยผลไง ด้วยมรรคด้วยผล ด้วยการเทศนาว่าการ เทศนาว่าการ เราได้ศึกษา ได้ร่ำเรียนมา เรียนมาแล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงของเรา อย่างเช่นที่มาวัด เราก็ต้องตั้งใจของเรามา เวลามีสติสัมปชัญญะ เราก็จะหยุดความคิดที่มันล้นฝั่งๆ พอหยุดความคิดจนมันเอกัคคตารมณ์ จิตมันตั้งมั่น จิตมันมีกำลังของมัน เราก็ฝึกหัดของเราๆ
ถ้าเราฝึกหัดของเรา วิปัสสนา การรู้แจ้งในใจของเรา การรู้แจ้งในกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา ความรู้แจ้งในความผิดพลาดของเรา ในความไม่รู้เท่าทันความรู้สึกของเราไง ที่มันทุกข์ๆ อยู่นี่ ทุกข์เพราะว่ากิเลสมันฉุดกระชากลากไปไง
หัวใจของสัตว์โลกเปรียบเหมือนช้างสารที่ตกมัน ช้างตกมันนะ เอาไม่อยู่หรอก มันไปตามฤทธิ์ตามเดชของมันไง นี่ไง เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเกลี้ยกล่อมแล้ว กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันขึ้นขี่คอหัวใจแล้ว มันเหมือนช้างสารตกมัน เวลาโกรธ ไม่มีเหตุมีผล เวลาโลภ โลภไม่มีที่สิ้นสุด เวลาหลง ไม่ต้องให้ใครมาหลอก มันไปกับเขาแล้ว นี่ไง มันไปหมดล่ะ นี่เหมือนช้างสารตกมัน แล้วเราจะเอาใจเราไว้ได้อย่างไรล่ะ
มันก็เริ่มต้น เริ่มต้นจากเราเสียสละทานของเรา เราเสียสละ เสียสละอารมณ์ความรู้สึกของเรา เราเสียสละความยึดมั่นถือมั่นในใจของเรา ถ้าเราเสียสละไม่ได้ เราก็มาบริกรรมพุทโธๆ ของเรา ใจดวงนี้ไม่ให้ไปเสวยอารมณ์ ไม่ให้ไปเสวยสิ่งที่กิเลสมันป้อนให้ไง นี่พุทธานุสติ เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกออกโธ มันมีคุณค่าไง
หลวงตาบอกว่า พุทโธสะเทือน ๓ โลกธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันสะเทือนเลื่อนลั่น สะเทือนหวั่นไหวไปหมดเลย มันมีคุณค่าขนาดนั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเห็นผลของมันแล้วไง
แต่ของเราพุทโธแล้วจืดชืด พุทโธแล้วมันไม่เห็นได้อะไรเลย พุทโธแล้วมันมีแต่ความบีบคั้น พุทโธมีแต่ความเคร่งเครียด เคร่งเครียดเพราะกิเลสมันพลิกแพลงไง มันบอกทำอย่างนี้ไม่ดี ถ้าเชื่อตามมันดี ถ้าไปตามที่มันหลอกน่ะดี จะดี ดีที่มันหลอกเรานี่ไง นี่ช้างสารตกมันที่เอาไปไง มันลากไปหมดแล้ว
แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เรารักษาของเราอย่างนี้ ถ้าเราทำความสงบของใจเราเข้ามา ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สงบระงับเข้ามามันก็มีความสุข เห็นไหม สิ่งที่เราเกิดมา ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แต่เรายังเข้าใจความสุขที่ไม่ตรงกันไง เวลาเข้าใจความสุข ถ้าเราทำสิ่งใดสมความปรารถนาจะได้เป็นความสุข มันชั่วคราวๆ ทั้งนั้นน่ะ ทำสิ่งใดแล้วมันต้องทำให้มากขึ้น เพราะถ้าทำเท่าเดิมมันก็ไม่สุขเหมือนเดิมแล้วแหละ มันจะมากขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้ามันสงบระงับเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี น้ำเต็มแก้ว เราเทน้ำเข้าแก้ว แก้วมันล้นไปทั้งนั้นน่ะ นี่ไง ถ้าหัวใจมันอิ่มเต็มของมันแล้ว มันไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีไง
ถ้ามีความสุข ทุกคนปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ แต่เราไปหาความสุขจากข้างนอก หาความสุขที่กิเลสมันป้อนให้ หาความสุขจากตัณหาความทะยานอยากที่คาดหมายว่าอย่างนั้นเป็นประโยชน์ เขาเรียกว่าอามิส ไปเที่ยวมารอบโลกเลย กลับมาก็ยังทุกข์อยู่ในหัวใจนั่นน่ะ แต่ถ้ามันพุทโธๆ จนจิตมันสงบขึ้นมา มันมีความสุขของมันไง
คนเราปรารถนาความสุขๆ แต่หาความสุขกันไม่เป็น หาความสุขกันไม่ได้ ถ้าหาความสุขเป็นนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาหัวใจอิ่มเต็มแล้ว หัวใจที่เป็นธรรมขึ้นมาแล้วไม่ต้องการสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติแล้ว ถ้ามันมีความสุข หลวงตาท่านพูดประจำ ถ้าได้อยู่องค์เดียวมีความสุขมาก ถ้าอยู่องค์เดียวมีความสุขมาก แต่ในเมื่อเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราบวชมาเป็นพระ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา กว่าจะเชื่อในพระพุทธศาสนา คนที่ไม่เชื่อพระพุทธศาสนา ไม่เชื่อมรรคไม่เชื่อผล ไม่เชื่อนรกสวรรค์ ไม่เชื่อสิ่งใดเลย เขาก็ใช้ชีวิตของเขาตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กว่าเขาจะเชื่อได้ พอเขาเชื่อได้ขึ้นมาแล้ว แล้วจะกระทำขึ้นมา โอ้โฮ! มันแสนยาก
เวลามันแสนยากขึ้นมา เวลาทำขึ้นมาให้เป็นความจริงในใจ เห็นไหม ตั้งแต่ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ บุคคล ๔ คู่ หัวใจมันพลิกแพลง มันพัฒนาของมันขึ้นไป เป็นศากยบุตร บุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้ มีคุณธรรมในหัวใจ นี่ไง สิ่งนี้มันเป็นหน้าที่ไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรม สัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ธรรมอันนั้นประเสริฐมาก
เขาบอกว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้มารื้อค้นขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันมีอยู่โดยดั้งเดิม แล้วใครเป็นคนทำล่ะ แล้วเวลามีอยู่โดยดั้งเดิม ทำไมมันเป็นไปไม่ได้ล่ะ แล้วเวลาบอกว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ไม่ต้องทำอะไรเลย ไปเจอมันเอง จะไปชนมันเอง เดินไปแล้วจะเป็นไปเอง ปฏิบัติแล้วเดี๋ยวมันก็จะเป็นเอง...คิดกันไปอย่างนั้นนะ ถ้ามันเป็นเองๆ พวกเราไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอย่างนี้หรอก
ในสมัยพุทธกาลก็มี มีลัทธิหนึ่งเขาเชื่อไงว่า คนเราเกิดมา ๕๐๐ ชาติ เสวยสุขไป ๕๐๐ ชาติก็จบ มีความเชื่ออย่างนี้มาเยอะแยะไปหมด แล้วความเชื่อที่พอเชื่อแล้วเขาก็มีหมู่มีคณะของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เวลาเราเกิด เราเกิดจากพ่อจากแม่ คนที่เกิดจากพ่อแม่ที่ดี เกิดมาแล้วก็ซาบซึ้งในบุญคุณพ่อแม่ เวลาคนที่เกิดมา ดูสิ ที่ว่าเขาไม่พร้อม เขาไปทิ้งถังขยะกัน แล้วมันไม่ใช่มีแต่ในสมัยปัจจุบันนี้ พูดถึงหมอชีวกโกมารภัจจ์ นี่เขาก็ไปทิ้งขยะเหมือนกัน แล้วคนก็ไปเก็บมาเลี้ยง พระเจ้าพิมพิสารเก็บไปเลี้ยง
นี่เวลาคนเกิดมา สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมาจากไหนล่ะ มันมาจากเวรจากกรรมของคนทั้งสิ้น ถ้ามาจากเวรจากกรรมของคนทั้งสิ้น ใครทำสิ่งใดมามันก็ได้อย่างนั้นน่ะ แล้วกรรมนี้เป็นอจินไตย คือมันซับซ้อนมหาศาลใช่ไหม ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราศึกษาของเราแล้ว เราเกิดเป็นมนุษย์มันมีคุณค่าตรงนี้ไง ถ้ามีคุณค่าตรงนี้ มีคุณค่าที่มีสติมีปัญญา ถ้ามีสติปัญญามันรู้เท่าทันกิเลสของตน รู้เท่าทันในใจของตน ถ้าเท่าทันในใจของตน ความคิดมันจะมาหลอกเราไม่ได้ไง ถ้าหลอกไม่ได้
มันจะสมบูรณ์แบบ มันจะขาดตกบกพร่องสิ่งใดบ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่กิเลสมันไปกระตุ้นไง กระตุ้นให้คนคิดมาก กระตุ้นให้คนร้อนมาก กระตุ้นให้คนเสียใจมาก มันเป็นอย่างนั้นไง
แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาขึ้นมาแล้ว มันก็ธรรมดา ขาดไป เราไปตักมันก็เต็ม ถ้ามันเกินไป เราแจกคนอื่นไปมันก็จบ นี่ถ้ามันคิดได้ มันทำได้นะ มันทำได้ทั้งนั้นน่ะ พอทำได้แล้วมีความสุขทั้งนั้นน่ะ งานก็เป็นงาน คนเกิดมามีปากมีท้อง คนเราก็ต้องใช้จ่ายใช้สอยเป็นธรรมดา ชีวิตนี้ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็แสวงหาของเรา มีหน้าที่การงานของเรา แล้วสิ่งที่ทำๆ มันก็เป็นการพิสูจน์บุญกุศลของเรานี่แหละ พิสูจน์ความจริงในหัวใจของเรานี่แหละ ถ้าหัวใจเรามีมากน้อยแค่ไหน มันจะคิดได้ดีมากน้อยแค่ไหน
คนจะคิดดี ดีมากๆ เพราะเขามีบุญกุศลของเขามา เวลาเขาทำสิ่งใดที่เป็นธรรมๆ เขามีอำนาจวาสนาบารมี บารมีเพราะอะไร เพราะเขาได้เจือจานบุคคล เขาได้ช่วยเหลือบุคคล เขาได้ทำทั่วไปในสังคม ทุกคนก็ยกย่องสรรเสริญเขา ทุกคนที่ว่าตัวเองมาหาแต่ผลประโยชน์นะ ทุกคนก็สาปแช่งเขา แล้วเราจะเป็นอย่างไรล่ะ เราจะทำอย่างไรล่ะ ถ้าทำอย่างไรนะ สุดท้ายแล้วจะดีจะชั่วขนาดไหน สุดท้ายแล้วต้องมาประพฤติปฏิบัติไง ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาจริงเอาจังกับเรา เราจะเอาชนะเรา
วันพระ ผู้ประเสริฐ ประเสริฐ ประเสริฐที่นี่ ประเสริฐ เวลาข้าศึก ดูสิ กองทัพที่เขารบราฆ่าฟันกัน จะคูณด้วยล้าน สร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้น ชนะตนประเสริฐที่สุด ชนะเราประเสริฐที่สุด ชนะใจประเสริฐที่สุด
คนเรานะ เวลาอยู่กับเพื่อนอยู่กับฝูงอยู่ได้ตลอด พออยู่คนเดียวว้าเหว่ เหงาเต็มที่เลย นี่ก็เหมือนกัน อยู่กับใครก็อยู่ได้ทั้งนั้นน่ะ เวลาจะกลับมาดูใจของตนดูไม่ได้ ดูใจของตนทำความสงบไม่ได้ ทำไม่ได้ทั้งสิ้น ไอ้ชนะตนนี่แสนยาก แล้วชนะตนแสนยาก ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์เราท่านประพฤติปฏิบัติในกุฏิในป่าในเขา ท่านอยู่องค์เดียว เวลาอยู่คนเดียวให้ระวังความคิด
เวลาอยู่กับพรรคพวก โอ๋ย! เราทำอะไรก็ได้ ศึกษาธรรมะเดี๋ยวไปปฏิบัติตอนตาย แล้วตายมันจะปฏิบัติได้อย่างไร เวลาตายมันวิตกกังวล มันกลัวตาย มันจะปฏิบัติอะไรกัน แต่ถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมา ถ้าเราคิดของเราได้ เราพิจารณาของเราได้ เราทำของเรา นี่ชนะหัวใจของเรา ถ้าชนะหัวใจของเรา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบแล้ว เราชนะตัวเราแล้วนะ ใครก็มาหลอกไม่ได้ เพราะเรามีสติปัญญาเท่าทันเขา ไอ้ที่เราอยู่ของเรา เราอยู่เพราะเรารู้เท่าทันโลก เราอยู่เหนือโลกไง เราไม่เป็นเหยื่อของโลกไง เราไม่ให้ใครมาหลอกไง จะให้ ๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่สนไง ไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น ธรรมะมีคุณค่าขนาดนั้นน่ะ ธรรมะในใจนี้มีคุณค่ามาก แล้วมีความสุขอย่างนี้ เทวดาเท่านั้นที่รู้ที่เห็น
เพราะเทวดา อินทร์ พรหม จะมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดา อินทร์ พรหม จะมาฟังเทศน์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ทำไมทำอย่างนี้ได้ ทำไมทำใจของตัวเองได้ ทำไมชนะใจของตัวเองได้ ทำอย่างไรถึงชนะใจของตัวเอง เพราะเทวดา อินทร์ พรหมก็ยังแพ้ใจของตัวเอง เขาเสวยสุขของเขาด้วยบุญกุศลของเขาจนหมดอายุขัยของเขา เขาก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเหมือนกัน
มันไม่มีใครเอาชนะใจของตนได้ เว้นไว้แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เว้นไว้แต่ชาวพุทธเรา ถ้าศึกษาธรรมะแล้วถ้ามีความเชื่อแล้วพยายามฝึกฝนกระทำ เวลาทำเข้าไปแล้วยิ่งกว่ายาขมนะ หวานเป็นลม ขมเป็นยา กิเลสมันหลอกนี่ขนมหวานทั้งนั้นน่ะ ปฏิบัติแล้วจะได้อย่างนั้นๆ ขนมหวานทั้งนั้นน่ะ
เวลาธรรมะนี่ขม หวานเป็นลม ขมเป็นยา แต่ขมนั้นน่ะมันจะสำรอก มันจะคายกิเลสออกไป เวลามันประพฤติปฏิบัติขึ้นไป นี่มันถึงต้องลงทุนลงแรงไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อยู่ฟากตายๆ เพราะอะไร เพราะคนเรามันกลัวตาย เวลาทำอะไรมันก็ผัดวันประกันพรุ่ง ยังไม่ตายๆๆ เวลามาปฏิบัติจะตายๆๆ มันเอาตายเข้าแลกกันไง แล้วตายจริง ตายปลอม ตายโดยกิเลส ตายโดยความเพียร ตายโดยความเจ็บไข้ได้ป่วย
ครูบาอาจารย์เราอดอาหารจนเสียชีวิต มีนะ ทุกข์ยาก ปฏิบัติจนเป็นไข้ เป็นมาลาเรียตายอยู่ในป่า เราประพฤติปฏิบัติกันด้วยความเข้มแข็งเพื่อจะเอาชนะตนน่ะ เวลาตายอยู่ฟากตายๆ เราทำกันมาแล้ว ครูบาอาจารย์ของเราทำกันมาแล้ว แล้วเราเห็นกันมาแล้วไง เราถึงได้เชื่อในอุดมการณ์ของท่าน เชื่อในความจริงใจของท่าน แล้วเรามีครูบาอาจารย์เป็นแบบอย่างไง เราถึงทำของเรา เห็นไหม
วันพระ ผู้ประเสริฐคือหัวใจของเรา แต่ตอนนี้มันทุกข์มาก ตอนนี้กิเลสมันเหยียบย่ำ ผู้ประเสริฐคือพุทธะในใจของสัตว์โลก ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา สำรอกคายกิเลสออกไปแล้วเป็นอิสรภาพ ภารดรภาพ ไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันเป็นอย่างไร แต่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแล้วงง ไม่รู้ ไม่เห็น แต่ผู้ที่รู้ชัดรู้แจ้งแล้ว ไม่ไปอีกแล้ว แล้วอยู่ด้วยความสุขด้วยความเสมอภาค ด้วยความที่ไม่เบียดเบียนใคร ไม่สูง ไม่ต่ำ ไม่เหนือใคร ไม่ต่ำกว่าใคร เป็นสัจจะเป็นความจริงอยู่ท่ามกลางหัวใจดวงนั้น เอวัง