เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o ม.ค. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ฟังธรรมสัจธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแล้วแสวงหาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา

 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ เวลารื้อสัตว์ขนสัตว์มีความเสมอภาค ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนแสงอาทิตย์ เวลาสาดส่องไปแล้วทุกบ้านทุกเรือน ไม่มีลำเอียงบ้านใครทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าบ้านนั้นฉลาดหรือโง่เท่านั้นเอง

 

ถ้าบ้านที่ฉลาด สมัยปัจจุบันเขาติดแผงโซล่าเซลล์ เขาใช้พลังงานนั้นไง ถ้าบ้านที่มืด ถ้าบ้านที่เขาไม่สนใจนะ เขาไม่ได้สิ่งใดเลยไง แต่เวลาไม่ได้สิ่งใดเลย เวลาประชาธิปไตยๆ สิทธิเสรีภาพๆ ทุกคนก็พูดว่าสิทธิเสรีภาพ แต่สิทธิเสรีภาพมันมีหน้าที่ไง คนที่เขามีหน้าที่ เขามีหัวใจที่แสวงหา เขาทำความจริงของเขาขึ้นมา สิ่งนั้นเขาจะได้สัจธรรมไง แต่เสมอภาคๆ แล้วมันไม่มีสิ่งใดเลยไง เวลาไปวัดไปวาขึ้นมาก็เป็นแบบนี้

 

เวลาไปวัดไปวา เวลาไปแล้วต้องถวายทาน ต้องมีพิธีกรรมต่างๆ เราก็ติดรูปแบบนั้นมา พอติดรูปแบบนั้นมา เราไปวัดที่ไม่มีรูปแบบนั้น เราว่าวัดนั้นทำไม่ถูกต้องตามศาสนพิธี ศาสนพิธีมันก็เป็นพิธีกรรมไง

 

พิธีกรรม เห็นไหม ดูสิ เราไปวัดไปวาขึ้นมา คนจะทำบุญกุศล ไปวัด เอ๊ะ! จะทำอย่างไร จะทำอย่างไร เก้อๆ เขินๆ เก้อๆ เขินๆ ทำไม่ถูก แต่นี่มันเป็นพิธีกรรมๆ เราเอาไว้เป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธเรา

 

แต่เวลาครูบาอาจารย์นะ เวลาไปแล้วท่านไปด้วยน้ำใจของท่าน เวลาสมัยโบราณนะ ตั้งแต่เย็นเขาต้องเตรียมอาหารไว้แล้ว พรุ่งนี้เช้าจะทำอาหารสิ่งใด จะทำอาหารสิ่งใดก็คิดก็เตรียมการของเขา เช้าขึ้นมาทำอาหารเสร็จแล้ว พระบิณฑบาตมา แล้วเราได้ใส่บาตรไป หรือถ้าไปวัดไปวา ทั้งคืนเลย เขาคิดแต่เรื่องสิ่งที่เป็นบุญกุศลของเขา

 

แต่ในปัจจุบันนี้อาหารถุง อาหารถุงเขาด้วยความสะดวก สะดวกขึ้นมา ซื้อแล้วก็ได้ใส่บาตรไป มันก็เป็นธุรกิจขึ้นมา พอเป็นธุรกิจขึ้นมา เขาทำจนเคยชิน พอความเคยชิน สิ่งที่ทำอย่างนั้นเป็นความถูกต้อง ไอ้พระที่ไปเดินบิณฑบาตก็เลยกลายเป็นพระที่โง่เง่าเต่าตุ่นเลย แต่ก็ซื่อสัตย์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง สิ่งที่บิณฑบาตมาเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพไว้ทำไม เลี้ยงชีพไว้เพื่อศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาศึกษาขึ้นมามันจะเป็นสัจธรรมในใจของเรา ถ้าเป็นสัจธรรมในใจของเรา

 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม แสดงธรรม ไม่มีกำมือในเรา แบตลอดเลย เราต่างหาก ใครมีความสามารถมากน้อยแค่ไหน เราต่างหากๆ แบไปหมดเลย เหมือนสินค้าที่วางไว้ แบไว้เป็นสาธารณะเลย ใครจะแสวงหาผลประโยชน์ได้มากได้น้อยนั่นเป็นความสามารถของคนๆ

 

แต่พอเราไปเห็นสภาวะแบบนั้นแล้วนะ เราก็บอกว่า กึ่งกลางพระพุทธศาสนาแล้วล่ะ มรรคผลไม่มีแล้วล่ะ กระทำไปแล้วมันก็จะไม่ได้ความปรารถนา ทำไปแล้วไม่ได้ผลของเราไง

 

เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย เรายังไม่ลองเลยว่าเราจะทำได้หรือทำไม่ได้เลย แต่ถ้าเราได้ลองก่อน ได้กระทำก่อน นี่ไง เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า มีสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา เวลาปัญญาที่มันจะเกิดขึ้น ภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากจิตของตน ถ้าเกิดขึ้นจากจิตของตนมันจะเป็นสัจธรรมความจริงในใจของตน ถ้าเป็นสัจธรรมความจริงในใจของตน จะไม่สงสัยธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

 

แต่ในสมัยปัจจุบันนี้นะ ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนา ชีวิตนี้เกิดมาทำไม ชีวิตนี้ ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้มีแค่นี้ใช่ไหม ชีวิตนี้เกิดมาทั้งชีวิตนี้แล้วก็ตายกันไปใช่ไหม ถ้าชีวิตมันมีมากกว่านี้ มันมีมากกว่านี้ ทำอย่างไร

 

ชีวิตมันมีมากกว่านี้ มากกว่านี้แน่นนอน ดูสิ โดยธรรมชาติของเรา เราเกิดมาเราก็ทำหน้าที่การงานของเรา ใครประสบความสำเร็จในชีวิตก็บอกเรามีบุญกุศล ใครขาดแคลน ใครขาดตกบกพร่องก็ว่าเป็นเวรเป็นกรรมของเรา เป็นทุกข์เป็นยากของเรา นี่ไง จริตนิสัย เวลาจริตนิสัย เวลาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จทางโลกมันก็ประสบความสำเร็จทางโลก ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด มันก็คิดได้แค่นั้นน่ะ

 

แต่เวลาคนมีสติมีปัญญาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาศึกษาแล้ว พอเริ่มจะประพฤติปฏิบัติ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษาไปด้วยใจที่เป็นธรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเน้นย้ำเลย “อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสเลย”

 

สิ่งที่เป็นอามิส อามิสมันก็เป็นประโยชน์ มันเป็นความสามารถของคนที่ได้มากน้อยแค่ไหน เขาทำได้มากน้อยแค่นั้น แต่ถ้าปฏิบัติบูชา มันเป็นการสงเคราะห์ เป็นการวิเคราะห์ เป็นการที่เขาแสวงหา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา อันนั้นจะเป็นสมบัติของเขาเลย ถ้าเป็นสมบัติของเขาเลย ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เราก็อยากจะฝึกหัดแล้ว ถ้าอยากจะฝึกหัด เห็นไหม อยู่ที่ไหนก็ได้ เวลาจะฝึกหัด เขาถามว่าจะต้องไปวัดๆ หรือ ไปวัด

 

ไปวัดต่อเมื่อคนเราเจ็บไข้ได้ป่วย คนเราเจ็บไข้ได้ป่วย ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาต้องไปวัด ต้องไปโรงพยาบาลนะ เพราะโรงพยาบาลจะรักษาเขาได้ แต่ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อนนะ เขาใช้ยาสมุนไพรพื้นบ้านก็ได้ เขาพักผ่อนร่างกายเดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นมา

 

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา คำว่า “ไปวัดๆ” เวลาไปวัด เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันจะมียากอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น คือเริ่มต้นไม่ได้ จับแพะชนแกะอยู่นี่ วนอยู่นั่นน่ะ คราวที่การปฏิบัติมันยาก ยากตอนเริ่มต้น แล้วก็ยากอีกคราวหนึ่งก็คราวถึงที่สุด เวลาจับแพะชนแกะ มันเลยไม่ได้ทั้งแพะ ไม่ได้ทั้งแกะเลย แล้วก็ไม่ได้อะไรเลย

 

นี่ไง ไปวัดไปวาขึ้นมา ไปวัดไปวามีครูบาอาจารย์คอยชี้นำไง ท่านเป็นหลักชัยของเรา ชีวิตของท่านทำไมทำของท่านได้ล่ะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบวชมาตั้งแต่เป็นสามเณรน้อย ต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ เวลาท่านนิพพานของท่านไปแล้วท่านมีความสุขอย่างไรๆ

 

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านมีความสุขของท่านนะ ความสุขที่รู้เท่าทันกิเลสในใจของตน รู้เท่าทันมารยาสาไถยของโลก รู้เท่าทัน ๓ แดนโลกธาตุ ๓ แดนโลกธาตุนะ เทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์ เทวดา อินทร์ พรหมเขาเอาเรื่องประสบการณ์ชีวิตของเขามาปรับทุกข์ เอาประสบการณ์ชีวิตในพรหม ในเทวดามาปรับทุกข์ มันยังเป็นทุกข์ๆ เห็นไหม มันรู้เท่าทันหมดไง

 

นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับพระอรหันต์ที่จะออกไปเผยแผ่ธรรม “ภิกษุทั้งหลาย เธอกับเราทั้ง ๖๑ องค์ไม่ติดบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์”

 

บ่วงที่เป็นโลก รู้เท่าทันปัญหาสังคม รู้เท่าทันกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา รู้เท่าทันกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเขา รู้เท่าทันหมด รู้เท่าทันเรื่องเทวดา อินทร์ พรหม ที่ทิพย์ๆ ถ้ามันรู้เท่าทันทั้งหมดแล้ว ที่มันมีความสุขมันเป็นความสุขอย่างนั้นไง ความสุขในใจของผู้ที่รู้เท่าทันทั้งหมด ถ้ารู้เท่าทันทั้งหมด เราก็อยากจะเป็นอย่างนั้นใช่ไหม เราก็มาวัดมาวา เราก็จะมาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติกัน

 

เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ “อานนท์ มันไม่มีกำมือในเรานะ” ไม่มีกำมือในเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปิดเผยทั้งหมดเลย แต่คนที่มีอำนาจวาสนาหรือไม่

 

คนที่ไม่มีอำนาจวาสนา “หมดยุคหมดกาลแล้ว” เวลาคนไม่มีอำนาจวาสนานะ “เขาประพฤติปฏิบัติอย่างนั้นมันจะได้ผลไปได้อย่างไร” เวลาปฏิบัติเป็นอย่างนี้นะ นี่ไง เวลาจะประพฤติปฏิบัติเขาให้มีศรัทธามีความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อนี้เป็นหัวรถจักร หัวรถจักรคือชักนำให้เราเข้ามาค้นคว้า ให้เรามาศึกษา แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วอย่าเชื่อ

 

อย่าเชื่อแม้แต่อาจารย์ของตนบอกนะ อย่าเชื่อ เพราะอาจารย์ของเราผิดก็ได้ อาจารย์ของเราปฏิบัติมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ยังจับแพะชนแกะ ยังไม่ได้ทั้งแพะทั้งแกะก็ได้ แต่ถ้าเราปฏิบัติของเราไป เราได้ของเราก็ได้ ถ้าเราได้ของเรานะ การประพฤติปฏิบัติ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีการขัดการแย้ง การขัดแย้งกันในสัจจะในความเป็นจริงในการประพฤติปฏิบัตินั้น จะเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันจะต่อเนื่องๆ ไป ไม่มีการขัดและไม่มีการแย้ง แต่พวกเราทั้งขัดทั้งแย้ง ทำไมทำซ้ำๆ ซากๆ ทำไมทำอยู่อย่างนั้นล่ะ

 

มรรค ๔ ผล ๔ เวลามันเป็นชั้นเป็นตอนของมันขึ้นไป นี่ไง ถ้ามันเป็นสมบัติ สมบัติสัจจะความจริง สัจจะความจริงที่นี่ ที่นี่คือที่นี่ไหน ที่นี่คือที่หัวใจไง ที่นี่คือที่ที่สงสัยไง ที่นี่คือที่ทุกข์ที่ยากไง ที่นี่คือที่เกิดมาแล้วไม่รู้จักตัวเองไง ที่นี่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่ไม่รู้ผลของการเกิดและการตายไง ที่นี่ๆ ไง ที่นี่ก็ที่หัวใจไง ถ้าที่หัวใจมันเป็นความจริง ความจริงตรงนั้นไง ความจริงตรงนั้นขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่มีค่าที่สุดคือชีวิตของเราไง ชีวิตนะ จิตวิญญาณมีค่าที่สุด

 

สมบัติพัสถานนะ ดูสิ พอทำโครงการแล้วกู้ธนาคารเป็นหมื่นๆ ล้านเลย เงินธนาคารหมื่นล้านมันยังเอาออกมาใช้ได้นะ นี่สมบัติ แต่ธรรมะไม่มีใครมาฉกชิงวิ่งราวได้ ไม่มีใคร เพราะอะไร เพราะผู้ที่ประพฤติปฏิบัติพยายามจะทำให้เหมือน ก็อบปี้เหมือนเลยนะ ครูบาอาจารย์ท่านแสดงกิริยาอย่างไรจะทำอย่างนั้น

 

เวลาครูบาอาจารย์องค์ใดที่มีชื่อเสียงขึ้นมา จะมีพระหรือมีผู้ปฏิบัติทำตามนั้นเลย เวลาครูบาอาจารย์นั้นเวลาท่านนิพพานไปแล้ว แล้วพอเวลาล่วงเลยไปนะ มีครูบาอาจารย์องค์ใหม่ที่มีชื่อเสียงขึ้นมา ไปเลียนแบบองค์ใหม่แล้ว ไปเรื่อยเลย มันไม่ใช่เป็นของมัน

 

ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงมันเป็นในใจอันนี้ ถ้าเป็นในใจอันนี้ มันเป็นความจริงอย่างนี้ ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงมันเกิดจากการกระทำของเราไง นี่ไง ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ ใจมันปกติไหม ถ้าใจมันปกติแล้วมันตั้งมั่นของมัน มันทำสมาธิก็ทำง่าย ทำสมาธิไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีไง สิ่งที่ว่ามีค่าๆ คือหัวใจนี้ไง ถ้ามันสงบเข้ามา สิ่งที่สงบมาเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องดีงามไง

 

แต่เวลาทางโลกเคลิบเคลิ้ม หลงใหลกันไปไง ว่างๆ ว่างๆ นั่นน่ะอารมณ์ทั้งนั้นน่ะ มันสร้างอารมณ์ขึ้นมาใหม่ไง อารมณ์ของเรา ดูความโง่ของจิตสิ เวลามันคิดขึ้นมามันไปไขว่คว้าขึ้นมามีแต่ความทุกข์ความยาก มีแต่มารทั้งนั้นไง มีแต่สารพิษทั้งนั้นน่ะ แต่เวลามันคิดขึ้นมา มันศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาด้วยจินตมยปัญญา ก็ว่างๆ ว่างๆ คิดให้ว่างไง มันเป็นอารมณ์ มันไม่เป็นสมาธิไง

 

ถ้ามันเป็นสมาธิ จิตตั้งมั่นๆ จิตไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ใช่อารมณ์ เป็นธาตุรู้ เป็นสันตติ สัจจะความจริงของจิต สัจจะความจริงของจิตมันจะเป็นอย่างนั้นได้มันต้องมีสติใช่ไหม มันต้องรู้จักตัวมันเองใช่ไหม ถ้ามันรู้จักตัวเองขึ้นมา เวลามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาโดยตัวตนของจิต โดยตัวตนของจิตที่มันปฏิสนธิที่มันไม่รู้จักตัวมันเอง ที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลามันเข้ามาทำความสงบของใจ ถ้ามันรู้จักตัวตนของมันไง พอมันรู้จักตัวตนของมันโดยอำนาจวาสนา คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาก็ว่า “นิพพานเป็นเช่นนี้เอง” ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ “นิพพานเป็นเช่นนี้เอง นิพพานเป็นความว่าง ว่างนี้มันลึกซึ้ง มันมีความสุขมาก มีความสุขมาก” ก็มันสุขจริงๆ คนที่ไม่มีวุฒิภาวะ ที่อำนาจวาสนาอ่อนแอ เพราะมันมหัศจรรย์จริงๆ มันมหัศจรรย์จริงๆ มันถึงเข้ากับชีวิตเรานี่ไง กายกับใจๆ นี่ไง

 

เราไม่เคยเห็นหัวใจของเราเลย เราเห็นแต่ความคิด ความคิดเกิดจากจิต อารมณ์เกิดจากจิต เพราะมีจิตถึงมีอารมณ์ แต่อารมณ์ไม่ใช่จิต จิตเป็นจิต จิตเป็นธาตุรู้เฉยๆ แต่มันแสดงตัวอย่างไร มันแสดงตัวด้วยอารมณ์ความรู้สึกไง เดี๋ยวโลภ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหลงไง เดี๋ยวคิด ความคิดก็เกิดดับนี่ไง เราอยู่แค่นั้นไง แล้วมันคิดว่างไง คิดอารมณ์ว่างๆ ไง ถ้าคิดอย่างนั้น แล้วก็บังเงาไง กิเลสบังเงา เห็นไหม “สมาธิเป็นแบบนี้ ทำสมาธิแล้วไม่เห็นได้ผลอะไรเลย ทำสมาธิแล้วสมาธิก็ไม่ทำให้เราดีขึ้นเลย การทำสมาธิ คำสอนนี้เลยไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าเชื่อถือเพราะมันเป็นสมถะ มันไม่ใช่ปัญญา มันเกิดปัญญาไม่ได้” นี่เวลากิเลสมันหลอก มันหลอกอย่างนั้นน่ะ นี่กาลามสูตรๆ เราทำให้มันจริงมันจังขึ้นมาสิ ถ้ามันจริงมันจังขึ้นมา

 

เราบอกว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีกำมือในเรา เพราะธรรมะเป็นธรรมชาติ เรายอมรับครึ่งหนึ่งว่าธรรมะเป็นสัจธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยฝากไว้กับบริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับเรา เราก็ได้มาเหมือนตุ๊กแก เฝ้ามันอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรเลย

 

แต่ถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นมา หนึ่ง จะดับทุกข์ในใจของตน ความวิตกกังวลในหัวใจจะเบาลง สิ่งที่ตึงเครียดในใจที่มันบีบคั้นมันจะเบาบางลง เบาบางลงในการศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงมันต้องเป็นจริงในใจของเรา

 

ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามาเป็นสัมมาสมาธิ จิตที่ตั้งมั่น จิตที่ตั้งมั่นแล้วถ้าฝึกหัดใช้ปัญญานะ มันจะเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนามันจะเป็นธรรมจักร เป็นมรรค เป็นเหตุ เป็นเหตุเป็นผล ถ้ามันมีเหตุแล้ว สร้างเหตุนั้นแล้วพยายามค้นคว้าวิจัยของตน ทำให้มันเป็นจริงเป็นจังมันจะเกิดผล ผลที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติใช่ไหม มันจะมีเหตุมันจะมีผล ธรรมทั้งหลายมันมาแต่เหตุ แต่ธรรมทั้งหลาย เราสร้างคุณธรรมสร้างสัจจะความจริงในฝ่ายเหตุมากหรือน้อยแค่ไหน ถ้าเราสร้างได้แบบปุถุชนคนหนา เราก็ได้ระดับของทาน ระดับของวัฒนธรรมประเพณี

 

ถ้าเราทำของเราขึ้นมาได้ มันจะเป็นบุคคล ๔ คู่ไง บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ถ้ามันยกขึ้นสู่บุคคล ๔ คู่ในสังฆรัตนะ เราจะเป็นอย่างนั้นนะ เราถึงบอกว่าชีวิตนี้มันมีค่า สิ่งที่มีค่าคือจิตวิญญาณของเรามันมีคุณค่ามาก ถ้าคนมาประพฤติปฏิบัติแล้วค้นคว้า แล้วมีการกระทำขึ้นมา มันจะมีคุณค่ามาเป็นอัตตสมบัติ เป็นสมบัติแท้ๆ กับหัวใจดวงนี้ไง หัวใจดวงนี้ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเป็นไปโดยแรงกรรมไง ด้วยแรงบุญแรงกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไง แล้วพอมันมีคุณธรรมขึ้นมา มันติดกับจิตดวงนี้ไปไง เพราะจิตดวงนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะพระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติไง แต่ถ้ามันประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถึงความจริงแล้ว ถ้าสมบูรณ์แบบแล้วมันจะไปไหนล่ะ มันมีค่าแบบนี้ มันมีค่าที่เรานั่งกันอยู่นี่ นั่งตัวเป็นๆ กันอยู่นี่ มันมีค่ามากหัวใจเรานี่ แต่เรามองข้ามไป

 

หลวงตาท่านพูดนะ หัวใจของสัตว์โลกเรียกร้องความช่วยเหลือ เรียกร้องคนดูแล แต่คนไม่เคยสนใจมัน ไม่เคยดูแลใจของตน อยากแต่จะไปดูแลคนอื่น ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นญาติพี่น้อง นี่กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี แต่จริงๆ แล้วหัวใจของเราเรียกร้องต้องการสัจธรรม ต้องการธรรมโอสถ ต้องการเหตุ การบำบัด การรักษา แต่ไม่มีคนดูแลมัน มองข้ามไปเรื่องข้างนอก มองข้ามไปเรื่องของคนอื่น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงพยายามสอนตรงนั้นให้เราทวนกระแสกลับมาสู่ใจของเราๆ แต่ทำได้ไหม ทำไม่ได้เพราะอะไร เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันขับดัน มันส่งออกหมด

 

ถ้ามันเป็นไปได้ เรามาทำบุญกุศลทำเพื่อหัวใจนะ สิ่งที่จะทำนี้เพราะมีเจตนา มีความเชื่อ เราถึงได้มาทำ ทำแล้วเป็นทิพย์สมบัติ สิ่งที่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันตกอยู่ที่ใจนั้นน่ะ ใจนั้นเป็นต้นเหตุทำให้เรามีความคิด ความคิดนั้นเราถึงมีการกระทำ การกระทำนั้นมันก็ตกไปอยู่ที่ต้นเหตุ ต้นเหตุคือหัวใจ ทำดีต้องได้ดี ถ้าทำร้ายใคร ทำชั่ว ความชั่วอันนั้นก็ตกอยู่ที่ต้นเหตุของความคิดอันนั้น มันก็ตกอยู่ที่จิตนั้นไง นี่ไง กรรมดีกรรมชั่วมันตกลงอยู่ที่ใจดวงนั้นไง ถึงว่าเป็นผู้กระทำ เห็นไหม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แต่ถ้าเป็นการภาวนา เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมามันจะเป็นอัตตสมบัติของใจดวงนั้น เอวัง