เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ม.ค. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ เวลาหลวงตาท่านสอน ธรรมค้ำแผ่นดิน ไม่สูญสิ้นความเป็นไทยนะ เวลาหลวงตาท่านสอนน่ะ ธรรมค้ำแผ่นดินคือความเสมอภาค เสมอกันโดยธรรม คือมีน้ำใจต่อกัน ไม่เอาเปรียบ ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน มีความสามัคคีต่อกัน มีความรักใคร่ต่อกัน มีสิ่งใดเกื้อหนุนเจือจุนกัน มันเป็นประโยชน์ไง นี่คำว่า “เป็นธรรมๆ” ไง

 

กิเลสมีแต่ความแย่งชิง กิเลสมีแต่ความเอารัดเอาเปรียบเขา กิเลสมีแต่จะเหยียบหัวเขา จะให้ทุกคนอยู่ในอำนาจของตน ไอ้นั่นมีใครมันจะยอม ไม่มีใครหรอก ไม่มีใครยิ่งใหญ่ ทุกคนต้องตายหมด แต่เวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเวลาสอน ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี

 

แต่หลวงตาท่านบอกว่าไม่มีศาสนาใดสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ไม่มี ถ้ามันมีมันต้องมีเหตุ มันต้องมีมรรค เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกสุภัททะ เห็นไหม ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล

 

ศาสนาไหนไม่มีมรรค มรรคคืออะไร ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาปัญญาๆ มันเกิดขึ้นมาอย่างไร สิ่งที่เขาศึกษา ศึกษาการท่องจำกันมา ศึกษามันไป เวลาทางโลกเขาเจริญรุ่งเรือง เขาเจริญรุ่งเรืองด้วยการศึกษา ด้วยปัญญาของเขา นั่นมันเจริญรุ่งเรืองทางโลก

 

นี่ก็เหมือนกัน การศึกษา ศึกษาในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเวลาศึกษามา ศึกษามาจำได้ จำได้มันก็เป็นวัฒนธรรม เห็นไหม คนดี คนชั่ว มันเปลี่ยนแปลงได้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการก็เพื่อแก้ไขคนชั่วให้เป็นคนดี แก้ไขคนดีให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป แก้ไขคนดีให้ถึงที่สุดแล้วให้ดีเข้ามาจากภายใน ให้ดีขึ้นมาในหัวใจ ให้ดีขึ้นมาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบอะไร นี่มันมี มันมีความเป็นจริงในหัวใจอันนั้นไง

 

เวลาจิตไม่เคยตายๆ จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย เวลามันเป็นมา แล้วยังไปต่อหน้านะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นพระโสดาบัน เกิดอีก ๗ ชาติ นี่เป็นพระโสดาบันมันยังเกิดอีก ๗ ชาติเลยนะ มันหดสั้นเข้ามาแล้ว เวลาถึงที่สุดแห่งทุกข์มันไม่เกิดอีก

 

จิตนี้ไม่เคยตายๆ เวลามันสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้วมันไปไหน นี่ไง กราบธรรมๆ มันต้องมีองค์คุณธรรมอันนั้นไง มันมีความจริงอยู่ในนั้นไง แล้วความจริงมันอยู่ที่ไหนล่ะ

 

นี่ไง เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ สอนตั้งแต่ธรรมค้ำแผ่นดิน จะไม่สูญสิ้นความเป็นไทย นี่ความเป็นไทยนะ แต่เวลาพระพุทธศาสนาเวลาเผยแผ่ไปทั่วโลกมันก็มีชนชาติอื่นเขานับถือศรัทธาเหมือนกัน ความนับถือศรัทธาเหมือนกัน เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูด ถ้าไม่มีระบบกษัตริย์ พระอรหันต์เกิดขึ้นได้ยาก แต่ถ้ามีระบบกษัตริย์ กษัตริย์ ราชา ราชาโนคุ้มครองดูแลรักษาให้มีการกระทำ

 

ระบบกษัตริย์ กษัตริย์ที่มีทศพิศราชธรรมมันจะมีคุณธรรม เวลาคุณธรรม สังคมเขามีน้ำใจต่อกัน ประชาธิปไตยๆ ใครก็เป็นประธานาธิบดีได้ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ แล้วเสรีภาพนะ มันก็เป็นได้แค่นั้นน่ะ คุณธรรมมันไม่ถึงสุดยอด

 

สุดยอด ดูสิ เวลาการกระทำ เวลาเป็นจักรพรรดิ สมบัติของจักรพรรดินะ ขุนนางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว เวลาขุนคลังแก้วในพระพุทธศาสนา เขาพายเรือพาขุนคลังไปกลางแม่น้ำ เราจะเอาทองๆ กลางแม่น้ำ ขุนคลังจุ่มมือลงไปในน้ำ ขึ้นมาเป็นทองคำหมดเลย เอามาให้จักรพรรดิได้

 

แต่จักรพรรดิก็ต้องสร้างเวรสร้างกรรมมาทั้งนั้นน่ะ ต้องสร้างคุณงามความดีมา เวลาสร้างคุณงามความดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ถ้าได้บวชจะเป็นศาสดา ถ้าไม่ได้บวชจะเป็นจักรพรรดิ นี่การทำนายของพราหมณ์ แต่ในสัจจะในความเป็นจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบารมีเต็มมาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นจักรพรรดิ แต่คำว่า “เป็นจักรพรรดิ” เป็นทางโลก มันเป็นทางโลกเขายืนยันกันอย่างนั้นไง ถ้าได้เป็นจักรพรรดิก็เป็นจักรพรรดิ เพราะว่าเวลาเป็นจักรพรรดิ เวลาจักรมันเคลื่อน เวลาหยุดเคลื่อนแล้วต้องออกบวชๆ นี่ไง เพราะเขาทำของเขามา

 

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญกุศลมามหาศาล มหาศาลมากกว่านั้นน่ะ ใครจะทำนายอย่างไรนั่นเป็นการทำนายไง แต่ความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องไปตรงนั้น ถ้าต้องไปตรงนั้นขึ้นมาแล้วมันเป็นความจริง แต่ตรงนั้นๆ นั่นคืออำนาจวาสนาบารมีนะ

 

แต่เวลาองค์สมเดจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ขึ้นมา ตรัสรู้ขึ้นมาด้วยมรรคญาณ ด้วยสัจจะด้วยความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันต้องมีการกระทำ เพราะมีการกระทำ ดูสิ พระเวสสันดร พระเวสสันดรตายแล้วไปดุสิต แล้วลงมาอุบัติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ นี่มันมีที่มาที่ไป แล้วมันจะเป็นมา พอเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แล้วมีการกระทำอย่างไรล่ะ มันมีมรรคที่ไหนล่ะ มันมีเหตุมีผลที่ไหน มันมีการกระทำให้ตบะธรรมที่ให้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาได้อย่างไร เวลาเทศนาว่าการพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พระอรหันต์เพราะอะไร

 

พระสารีบุตรไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระสารีบุตรเป็นผู้กระทำขึ้นมาเอง แล้วเวลากระทำขึ้นมาเอง สาวก สาวกะได้ยินได้ฟังจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้กระทำขึ้นมาเอง เห็นไหม การกระทำขึ้นมาอันนั้น นี่ไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การกระทำขึ้นมาอันนั้นไง แล้วเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ สาวก สาวกะ เราไม่มีอำนาจวาสนาขนาดนั้น แต่เราได้เกิดเป็นมนุษย์ไง มนุษย์ที่มีศักยภาพ เห็นไหม

 

ธรรมค้ำแผ่นดิน ไม่สูญสิ้นความเป็นไทย ด้วยสิทธิด้วยเสรีภาพ เวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ สังคมร่มเย็นเป็นสุข เรามีกษัตริย์ เรามีในหลวงเป็นผู้คุ้มครองดูแล เรามีการกระทำได้จริงอย่างนั้นหรือไม่ ถ้าเรามีการกระทำอย่างนั้นได้จริง เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีสิทธิเสรีภาพ แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีการกระทำ สิ่งที่เป็นคุณงามความดีไง มันเป็นสิทธิของทุกๆ คนไง มันเป็นสิทธิ์ จะเลือกทางไหนก็ได้ เกิดเป็นมนุษย์จะทำอะไรก็ได้ ประชาธิปไตยๆ ไง

 

แต่ธรรมาธิปไตยสิ ถูกหรือผิด เรารู้ ดีหรือชั่ว เรารู้ คนเรานะ ถ้าจะทำคุณงามความดี ผิดชอบชั่วดี ไม่รู้ว่าชั่วกับดีเป็นอย่างไร เป็นคนได้อย่างไร คนเป็นคนมันต้องรู้ดีและชั่ว ความรู้ดีและชั่ว

 

นี่ไง ถ้าเป็นธรรมๆ นะ ถ้ามันไม่ดีมันก็เป็นอธรรม ถ้าดีมันก็เป็นคุณธรรม ถ้าคุณธรรม พอทำไปแล้ว ทำแล้วมีแต่ความเจ็บปวด มีแต่แรงเสียดสีทั้งนั้นน่ะ ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป มีแต่ทำชั่วแล้วได้ดี แล้วเราก็อ่อนแอ อ่อนแอเพราะอะไรล่ะ อ่อนแอเพราะจิตใจเราอ่อนแอไง

 

ทำดีเพื่อดี ทำดีเพื่อความดี ทำดีทิ้งเหวๆ ทำดีแล้วไม่ติดในความดีนั้น นั่นน่ะดีเลิศ ดีประเสริฐ ทำแล้ว เฮ้อ! สบายใจ

 

“ฉันทำดีๆ เมื่อไหร่คนจะนับหน้าถือตา ฉันทำดีๆ เมื่อไหร่คนจะยกย่องสรรเสริญ ฉันทำดี”...ตาย กิเลสมันพอกเต็มหัวใจนั่นน่ะ ทำด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ทำด้วยความกดดัน ทำด้วยความโดนบังคับจะทำ

 

แต่ครูบาอาจารย์ของเราเวลาปิดทองหลังพระ ปิดทองก้นพระ ทำความดีต้องแอบทำ เวลาเขาทำ หลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติ ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่มไปแล้ว เขานอนไปแล้วลงไปภาวนา เดินจงกรม เวลาเขาเดินจงกรมอยู่ ท่านนั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ท่านจะเร่งความเพียรของท่าน คนนอนหมดแล้วท่านถึงจะลงภาวนา ลงเดินจงกรม แล้วก็แปลก พระนี้ไม่เห็นเดินจงกรมเลย แต่ทางนี่เป็นร่องไปเลยนะ

 

นี่ไง เวลาเดินจงกรมกลางวันก็ต้องเข้าไปอยู่ในป่าไม่ให้ใครเห็นทั้งสิ้น ถ้ามันเห็นขึ้นมาแล้วมันไม่ขลังๆ นี่ไง คนที่มีอุดมการณ์อย่างนั้น ไม่เคยใฝ่ดี ไม่เคยขอดี ไม่เคยต้องการความดีจากใครทั้งสิ้น ทำเพื่อตัวเองทั้งสิ้น ทำเพื่อหัวใจอันนั้น นี่ไง ทำความดีเขาทำกันอย่างนั้น แล้วเวลามันเกิดความจริงๆ ขึ้นมามันต่างกับโลก ปฏิบัติเอาไว้โม้ ปฏิบัติเอาไว้คุย

 

เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ อย่าคลุกคลี ให้แยกออกจากกัน การโม้การคุยกันนั่นแหละทางออกกิเลสทั้งนั้นน่ะ เวลาโม้เวลาคุยไปแล้ว ดูสิ เราทำสมาธิกว่าจะเป็นสมาธิได้ เป็นสมาธิได้ก็มาอวดรู้ คุยโม้กัน แล้วกลับไปเดินจงกรมเดินไม่ลง ไอ้โม้ก็ได้แค่นั้นน่ะ โม้แล้วก็จบ

 

มันเหมือนกับพลังงาน ดูสิ แผ่นดินไหว เวลามันเคลื่อนไหว ปกติมันได้คายพลังงานของมัน มันได้สะสมมาเป็นล้านๆ ปี เวลามันขยับทีหนึ่งก็คายพลังงานนั้นที ไอ้นี่ก็เหมือนกัน อุตส่าห์แสวงหา ตั้งสติพุทโธเกือบตาย ไปคุยโม้ทีนึง พลังงานมันก็ปล่อยหมดเลย แล้วไปเข้าทางจงกรม เดินไม่ได้อีกแล้ว

 

กว่าพลังงานมันจะสะสมมาเป็นล้านๆ ปี นี่พูดถึงเวลาแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด มันต้องสะสมพลังงานของมันขึ้นมา ทำสัมมาสมาธิน่ะ กว่าจะได้กำหนดหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ กว่ามันจะสงบระงับได้ กว่ามันจะจับแนวทางได้ อู้ฮู! มันปลิ้นอยู่อย่างนั้นน่ะ

 

ศีล สมาธิ ปัญญาอยู่ในตำรา ศึกษามาเอาไว้โม้ เวลาภาวนาก็ล้มลุกคลุกคลาน มันจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมา

 

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไง เวลาทำดีๆ ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำ ท่านไม่ให้ใครเห็นเลย เวลาทำขึ้นมา เห็นไหม มันไม่ขลัง ทำไมต้องทำไปอวดเขา นี่ไง เพราะทำดีอยากได้ดีไง ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป

 

ทำดีคือทำดี แล้วความดีในพระพุทธศาสนา ทางโลกมีดีและชั่ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางๆ ไม่ใช่ดีและชั่ว ชั่วก็ไปไม่ได้ ความดีนั้นเป็นทางเดิน แต่ถึงติดดีแล้วมันก็ติดอยู่นั่นน่ะ เวลาลงสู่มัชฌิมาปฏิปทา แล้วมัชฌิมาปฏิปทา ๑ เมตร ๕๐ เซนติเมตร นั่นน่ะมัชฌิมาปฏิปทา...มันก็เป็นความบ้าไปอย่างหนึ่งน่ะ

 

มัชฌิมาปฏิปทาของใคร มัชฌิมาปฏิปทา ถ้า ๑ เมตร พวกช่างมันก็รู้ใช่ไหม แล้วคนไทยเขาใช้ศอก ๒ คืบเป็น ๑ ศอก ๒ ศอกเป็นครึ่งวา แล้วมันเอาเมตรมาจากไหน มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางๆ สายกลางของใคร สายกลางมันเป็นสัจจะเป็นความจริงในใจอันนั้น มันต้องให้เป็นความจริงในใจอันนั้นขึ้นมา ทำความดีเพื่อความดี แล้วทำความดีขึ้นมา

 

สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เวลาจิตมันสงบมันระงับขึ้นมา อื้อหืม! สิ่งที่มีคุณค่าคือหัวใจของมนุษย์ หลวงตาท่านไปไหนท่านบอกไปเอาใจคนๆ ใครมาขนาดไหนนะ มาแล้ว ทำบุญกุศลแล้ว กลับไปแล้วให้เอาพุทโธกลับไปด้วย มาสิ่งใดถ้าไม่มีพุทโธ ให้เอาพุทโธเต็มคันรถไปเลย เต็มหัวใจนั้นไปเลย ขอให้มีพุทโธ

 

พุทโธสะเทือน ๓ โลกธาตุ นี้เป็นคำพูดของพระอรหันต์ พุทโธสะเทือน ๓ โลกธาตุ เวลาเราพุทโธด้วยความเป็นจริงมันสะเทือนหัวใจ สะเทือนขั้วหัวใจ นี่ไง สิ่งที่พุทโธสะเทือน ๓ โลกธาตุ สิ่งที่เป็นสัจจะความจริงอันนั้นน่ะ

 

หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกออกโธ มันทำอะไรกัน เมาหยำเป กว้านไปทั่ว พุทโธๆๆ จนเขาเอามาเสียดสีกันนะ หลวงตาว่าหมาบ้า เวลาธรรมะมาแล้วเรามาเหน็บมาแนม ท่านบอกว่าหมาบ้า พวกหมาบ้ามันกัดไม่เลือก มันกัดแม้แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธๆ ก็พุทโธ่ นี่เขาว่านะ ไอ้พวกพุทโธ่

 

เพราะอะไร เพราะไอ้พวกที่กระทำด้วยความหยำเป ปฏิบัติด้วยความหยำเป ให้เขาดูถูกเหยียดหยาม ปฏิบัติแล้วเหมือนคนบ้า ปฏิบัติแล้วให้เหมือนคนเพ้อเจ้อ แล้วคนที่เขาศึกษาธรรมะเขามีสติไง พวกนักปราชญ์ ใบลานเปล่า เขาอ่านมาก เขารู้มาก เขาสงบเสงี่ยมนะ ไอ้พวกพุทโธ่ อู้ฮู! มันหยำเป เอาไปให้เขาเสียดสี เอาไปให้เขาดูถูก แล้วพอเขาดูถูก ต่อไปก็ไม่กล้าทำนะ เลิกแล้วพุทโธ เป็นสมถะ ไม่ใช่แล้ว ใช้สติปัฏฐาน ๔ ใช้ปัญญาๆ

 

นี่ด้วยวุฒิภาวะที่อ่อนด้อย ด้วยหัวใจที่ไม่มีหลักเกณฑ์ ไม่มีอำนาจวาสนา ไม่มีจุดยืนของใจ ไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีพื้นฐานในการปฏิบัติ อยากจะโม้ อยากจะอวดเขา อยากให้เขานับหน้าถือตา ใครมีชื่อเสียงก็ไปเกาะชายจีวรเขา แล้วก็บอกลูกศิษย์คนนั้นๆ เพื่อไปอ้างกับเขา เพราะอะไร

 

เพราะคนที่สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา คนที่สร้างอำนาจวาสนาบารมีมาแบบหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่ามาประจำ เจ็บไข้ได้ป่วยยิ่งเข้าป่าลึกเข้าไปอีก เขาเจ็บไข้ได้ป่วยเขาไปหาหมอ นี่เจ็บไข้ได้ป่วยเข้าไปป่าลึก แล้วเวลาอุปัฏฐากก็ข้าวต้มกับเกลือ ไอ้เขาเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วแหม! ภิกษุไข้ จะอุปัฏฐากภิกษุไข้ ช่วยกันบำรุงบำเรอ นี่ไง โลกๆ อ้างพระไตรปิฎก จะรักษาภิกษุไข้ จะอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า อุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด แล้วภิกษุไข้มันก็มาออเซาะมันก็ฉอเลาะ นี่ไอ้พวกนักปราชญ์

 

หลวงปู่มั่นเข้าป่า เจ็บไข้ได้ป่วย ข้าวต้มกับเกลือ เห็นไหม กว่าจะมีอำนาจวาสนาบารมี กว่าจะมีคนมาเกาะชายจีวร ท่านทุ่มเทของท่านอย่างใด แล้วท่านไม่ใช่ทุ่มเทแบบเรานะ ทำดีไม่ได้ดี อู๋ย! น้อยเนื้อต่ำใจ

 

ท่านทุ่มเทด้วยความภูมิใจ นี่เศรษฐีธรรมๆ หลวงตาท่านพูดนะ ถ้าพูดถึงทางโลก เศษคน ไม่มีค่าเลยนะ วัดกันทางสุขภาพกาย สุขภาพจิต ทางโลก ทางจิตวิทยา ไม่มีค่าเลย เพราะท่านอยู่อย่างนั้นมันจะมีความสุขได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นทางธรรม นี่แหละเบอร์หนึ่ง เศรษฐีธรรม เทวดา อินทร์ พรหมต้องมาฟังเทศน์นะ เทวดา อินทร์ พรหมจะไปฟังใครบ้าง ในโลกนี้ที่มีเศรษฐี มหาเศรษฐี เทวดา อินทร์ พรหมเคยไปแยแสเขาไหม

 

คนที่เศษคนอยู่ในป่า เทวดา อินทร์ พรหม ไปฟังเทศน์ประจำ เทวดา อินทร์ พรหมมาขอสัจจะขอความจริงในใจของท่าน นั่นเศรษฐีธรรม นี่พูดถึงครูบาอาจารย์ของเรา ท่านทำของท่าน ท่านไม่ได้ปรารถนาอะไรเลย ความจริงเป็นความจริง ธรรมเป็นธรรม ทำดีได้ดี แล้วดีแบบธรรม ดีแบบธรรมมันดีในใจของมัน ดีในหัวใจนั้น ไม่ใช่ดีด้วยการสรรเสริญเยินยอ ไอ้การยอมรับนั่นน่ะโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ นินทากาเลนั่นน่ะชอบ ชอบๆ ชอบๆ ยิ่งเขาสรรเสริญยิ่งชอบ

 

กรรมฐานเขาไม่ทำกันอย่างนั้น ไม่คลุกคลี ไม่โม้ ไม่คอยอวด “อู้ฮู! จิตฉันดี จิตฉันสุดยอด” นั่นแหละมันจะตาย

 

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านทำของท่านด้วยความเป็นจริงของท่าน แล้วรู้กัน กิริยาความประพฤติของเขาน่ะรู้ คนที่จะทำความสงบเขาจะนิ่ง เขาจะไม่วอกแวกวอแว เขาจะหาที่สงบของเขา รักษาใจอันนั้น กว่าที่จะได้มา เราทำหน้าที่การงานกันมา กว่าจะได้เงินได้ทองมามันแสนยากไหม คนที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงที่เขาจะได้มามันแสนยาก การแสนยากนั้น คนที่เห็นคุณค่าของเขา เขาจะคุ้มครองดูแลปกป้องจิตของเขา เขาจะไม่มาบ้าบอคอแตก เปรี้ยงๆๆ ปากเปียกปากแฉะอย่างนี้ไม่มีหรอก นี่คนบ้า ไอ้สมาธิอย่างนี้สมาธิศรีธัญญา ถ้าพระอรหันต์ก็ศรีธัญญานั่นน่ะ

 

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ เราต้องแสวงหา หลวงปู่มั่น เราจะไปหาท่าน เราต้องซื้อทางเข้าไปนะ ถ้าแสวงหาความเป็นจริง เราต้องขวนขวาย ไม่มีหรอก มากลาดเกลื่อนอย่างนี้ไม่มี ไอ้นี่มันเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ

 

นี่ไง เวลาหลวงตาท่านพูดไง ธรรมค้ำแผ่นดิน ไม่สูญสิ้นความเป็นไทย ธรรมค้ำแผ่นดิน

 

ไอ้นี่มันออเซาะฉอเลาะ มันเป็นเหยื่อ มันเป็น ๑๘ มงกุฎ มันมาหาอยู่หากินในพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่เวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนานี่ประเสริฐๆ มันประเสริฐจริงๆ ในเนื้อหาสาระ ในข้อเท็จจริง ไม่ใช่ประเสริฐจากการโฆษณาชวนเชื่อ ไม่ใช่เกิดจากการอยากได้อยากดี ไม่ใช่ มันดีและชั่ว ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางอันประเสริฐ ประเสริฐตรงไหน ประเสริฐในหัวใจอันนั้น

 

เวลามรรคมันเคลื่อน เวลาสัจจะมันเป็นความจริงขึ้นมา ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ในหัวใจใดไม่มีมรรค ในหัวใจไม่มีการกระทำ มันจะเอาผลมาจากไหน ผลความจริงเป็นความจริงอย่างนั้น นี่ฟังธรรม

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมนะ เราจะประพฤติปฏิบัติธรรม เราต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ รู้จักการคุ้มครองดูแล รู้จักการรักษา ไม่ใช่ปล่อยพล่ามๆๆ เหมือนคนบ้า คนบ้ามันมีอยู่ทั่วไปอยู่แล้ว นี่ไง ไอ้พวกบ้า

 

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ เราจะรักษาดูแลใจของเราเพื่อประโยชน์กับใจของเรา นี่สัจธรรม สัจธรรมมันเป็นภายใน แล้วภายในก็มาโม้กันอีก ภายในก็คือดื่มน้ำเข้าไป ไอ้นั่นมันก็ลำไส้ ลำไส้อยู่ข้างนอกนะ ไม่มีในหรอก

 

เวลาใน มันในจิต ในหัวใจ ไม่ใช่ในลำไส้ นั่นน่ะเวลาในก็ในอย่างนั้นน่ะ ในก็กางเกงไง พลิกออกมาใส่อีกข้างหนึ่งก็เป็นใน เป็นนอกไง พลิกปลิ้นออกมามันก็เป็นในไง มันก็คิดกันไปแบบโลกๆ คิดกันไปแบบกิเลส มันไม่เป็นความจริงหรอก คนไม่ป็นก็คือไม่เป็น เอวัง