เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ วันนี้วันพระนะ วันพระ พระเป็นผู้ประเสริฐ วันพระ พระเป็นผู้ประเสริฐ วันพระ เวลาพระไปบวชต้องไปบวชในโบสถ์ ในโบสถ์มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าวันพระๆ วันพระเป็นสีมา เวลาทำสังฆกรรมขึ้นมา ฆราวาสเข้าไปไม่ได้ สามเณรก็เข้าไม่ได้ อยู่ในหัตถบาส
เวลาอยู่ในหัตถบาส เวลาบวชพระมันบวชด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ไง เวลาสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนเราคลอดลูก เวลาเราคลอดลูก แม่คลอดเราออกมาจากครรภ์ เวลาพระเวลาจะเกิด เกิดในโบสถ์ เวลาเกิดในโบสถ์ขึ้นมา เกิดมาแล้วเป็นสมมุติสงฆ์ ถ้าเป็นสมมุติสงฆ์ ศีล ๒๒๗ เสมอกัน เวลาออกจากโบสถ์มาเป็นพระที่สะอาดบริสุทธิ์ ยังไม่ได้ทำอาบัติสิ่งใดทั้งสิ้น ยังไม่ได้ทำความผิดสิ่งใดเลย เวลาออกจากโบสถ์ขึ้นมา ใครๆ ก็อยากจะไปทำบุญ ทำบุญกับพระที่เพิ่งบวชใหม่ๆ
เวลาบวชมาแล้วนั่นมันบวชร่างกาย เวลาจะบวชจิตใจๆ พระที่มาบวช บวชแล้วบวชมาเพื่อฝึกหัด บวชแล้ว บวชมาเพื่อชำระล้างกิเลสในใจของตน ถ้าผู้ที่มีเป้าหมายนะ เวลาผู้มีเป้าหมาย ครูบาอาจารย์ของเราเวลามีเป้าหมายขึ้นมา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นลูกเศรษฐีๆ เวลามันเบื่อหน่ายในโลกอยากออกบวชๆ จะไปบวชกับใคร ไปบวชกับสัญชัย ไปบวชผิดไง ไปบวชกับสัญชัย อยู่กับสัญชัยพักหนึ่ง นั่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่อยู่อย่างนั้นน่ะ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะสร้างอำนาจวาสนาบารมีมา ถ้าอย่างนั้นแล้วไม่ใช่ทางแล้วล่ะ
ไปเจอพระอัสสชิ เวลาพระอัสสชิมีกิริยาที่นุ่มนวล มีกิริยาที่ว่าออกมาจากใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่แอคชั่น ไม่อวดใครทั้งสิ้น เพราะอะไร เพราะสิ่งอาการโอ้อวดนั้นมันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้นน่ะ เวลาเป็นสัจธรรม สัจธรรมในใจของพระอัสสชิ มันอิ่มเต็มในใจอันนั้นไง มันเหนือโลก เหนือวัฏฏะ เหนือ ๓ โลกธาตุ เหนือทุกอย่าง แล้วมันจะไปอวดใคร ไม่อวดใครหรอก
พระสารีบุตรเห็นอาการอย่างนั้นแล้วมันน่าเลื่อมใสๆ เวลาตามพระอัสสชิไป พระอัสสชิฉันอาหารเสร็จแล้ว ล้างบาตรเสร็จแล้วถึงเข้าไปสนทนาธรรม
“ท่านบวชมาจากใคร”
“โอ๋ย! เราเพิ่งบวชใหม่ บวชมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นผู้บวชใหม่ไม่มีความรู้มาก เทศนาว่าการไม่ได้มากหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นขอท่านแสดงธรรมเถิด ถ้าสิ่งที่แสดงธรรมตลอดนั้นเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าเอง”
เวลาพระอัสสชิแสดงธรรม เห็นไหม “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ไปดับที่เหตุนั้น”
นี่จะบวชใจไง โอ้โฮ! พระสารีบุตรแทงทะลุด้วยปัญญาของพระสารีบุตร เป็นพระโสดาบัน
เราจะไปบวชพระๆ เราต้องบวชในโบสถ์ บวชในโบสถ์ บวชในสีมา ถ้าสีมา ในถ้ำ ในคูหา ในแพที่กลางน้ำก็ได้ เวลาเขาผูกขึ้นมา แล้วเขาญัตติขึ้นมาให้เป็นโบสถ์ไง อุทกสีมา สีมาน้ำ ถ้าบวชด้วยความเรียบง่ายไง อันนี้บวชขึ้นมา บวชมาเพื่อเป็นพระ เป็นพระเพื่อเป็นนักรบ รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน เวลาพระสารีบุตรเวลาจะบวชหัวใจ มาฟังเทศน์ของพระอัสสชิได้เป็นพระโสดาบันขึ้นมา นี่เป็นสัจธรรมในใจของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เวลาได้ฟังธรรมต่อเนื่องกันมา บวชแล้วเขาก็จะมาประพฤติปฏิบัติ บวชแล้วเขาจะมาทำความจริงในใจของตน ถ้าความจริงในใจของตนอันนั้นมันเกิดขึ้นมาตามความเป็นจริงแล้วมันเหนือโลกๆ เหนือวัฏฏะ
วันพระเป็นผู้ประเสริฐ เวลาผู้ประเสริฐขึ้นมา เวลาวันพระ วันพระเป็นวันแสวงหาสัจจะความจริงในใจของเราไง ถ้าเป็นพระ วันพระส่วนใหญ่แล้วถ้าพระปฏิบัตินะ วันพระนี่ถือเนสัชชิกเลย ไม่นอน เอาจริงเอาจังมาก เอาจริงเอาจังในใจของตน บวชมาแล้ว บวชมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ บวชมาแล้วหน้าที่การงานของพระคือเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา
เขาว่าบวชใหม่ๆ บวชมาก็ต้องมีการศึกษา ศึกษามาก็เป็นแนวทาง แนวทางธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แนวทางในการประพฤติปฏิบัติในใจของตนไง ถ้าในใจของตนเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในใจอันนั้น นี่บวชมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ
เราเห็นพระที่มีสมณสารูปที่ดีงาม เราก็อยากได้บุญกุศลของเรา เราเกิดมา เกิดมาในโลกนี้ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากธรรมและวินัยไว้กับบริษัท ๔ เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา นี่เป็นเจ้าของศาสนา ถ้าเจ้าของศาสนา เรามีหน้าที่การงานมากมายมหาศาล เราไม่มีเวล่ำเวลาจะมาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็อาศัยที่เรามีโอกาส เรามีปัจจัย ๔ ที่ดำรงชีพ เราก็สละสิ่งนี้เพื่อทำทานของเรา ทำทานของเรานะ
ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราได้ฟังธรรมๆ แล้วถ้ามันสะกิดใจของเรา มันสะเทือนใจของเรา เราก็หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราก็จะประพฤติปฏิบัติ จะทำความจริงของเราขึ้นมาในใจของเราเหมือนกัน ถ้าในใจของเรา เวลาบวชหัวใจ เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราก็มีโอกาสที่จะประพฤติปฏิบัติ มีโอกาสที่จะแสวงหาสัจจะความจริงในใจของเราเหมือนกัน
คนเราเกิดมาต้องมีอาหาร อาหารแต่ละภูมิภาค อาหารแต่ละชุมชนก็ไม่เหมือนกัน คนเราเกิดมาก็ต้องมีอาหารเพื่อยังชีพ แต่หัวใจที่มันทุกข์มันร้อน หัวใจที่มันทุกข์มันยาก นี่ธรรมโอสถๆ ไง มันก็มีสิทธิเสรีภาพเท่ากับทุกๆ คนน่ะ ทุกๆ คนก็สามารถจะหาสัจธรรมอันนี้เพื่อบรรเทาความทุกข์ในใจของเราๆ
ถ้าระดับของทาน เราทำบุญกุศลของเราก็เพื่อหวังผล หวังผลก็เป็นบุญกุศลไง เป็นอามิสไง แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ความจริงมันลึกซึ้งกว่านั้นไง ถ้ามันลึกซึ้งกว่านั้น เห็นไหม เราก็มีโอกาสเหมือนกันไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ เห็นไหม
หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราก็หายใจได้ทั้งนั้นน่ะ วันพระๆ ก็คือหัวใจของเรา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจเราไง พุทธะๆ ความรู้สึกอันนี้ จิตวิญญาณอันนี้มันถึงมีคุณค่าไง
คนเราเกิดมามีกายกับใจๆ หัวใจนี้มีคุณค่ามาก ดูสิ เวลาเป็นวัตถุๆ ธาตุ ๔ หุ่นยนต์เขาก็ทำได้ ทำเลียนแบบมนุษย์ แต่ทำเลียนแบบมนุษย์ มันเป็นปัญญาประดิษฐ์ก็มนุษย์คิดขึ้นมา ทำได้มากน้อยแค่ไหน มันฉลาดมันโง่แค่ไหนก็อยู่ที่เขาเขียนโปรแกรมแล้วฉลาดหรือโง่ขนาดไหน เวลาถ้ามันบอก โอ๋ย! ตัวนี้มันฉลาด ตัวนั้นมันโง่ ก็มันเขียนไว้มากน้อยแค่ไหนไง นี่พูดถึงวัตถุ ขนาดวัตถุเขายังทำได้ขนาดนั้นนะ แล้วถ้าเป็นหัวใจล่ะ
ถ้าเป็นหัวใจนะ คนที่จิตใจสูงส่ง ผิดชอบชั่วดี มันต้องรู้ว่าความผิดชอบชั่วดีมันเป็นอย่างไร ความชั่ว ความไม่ดี ถ้าเราไม่แสวงหาเข้ามาในใจของเรา เวลามโนกรรมๆ ความรู้สึกนึกคิด เห็นไหม มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง เวลามันคิดขึ้นมานี่พูดออกไปไม่ได้นะ โอ้โฮ! มันเลวร้ายได้ขนาดนี้เนาะ โอ้โฮ! โอ้โฮ! ความคิดของเรามันพูดไม่ได้ เวลาคิดขึ้นมานี่พูดไม่ได้ เวลาทำ ทำอีกอย่างหนึ่งเลย นี่มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง
แต่ศีลธรรมซื่อตรง มโนกรรม การกระทำนะ ย้ำคิดย้ำทำจะเป็นจริตจะเป็นนิสัย ถ้าสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นมาแล้ว เราต้องระงับยับยั้งมัน เราต้องฝึกหัดระงับยับยั้ง การฝึกหัดระงับยับยั้งนั้นเขาเรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิ เพราะเราศึกษามาแล้วนี่ อะไรดีอะไรชั่วใช่ไหม ถ้าสิ่งใดที่มันชั่วมันเกิดขึ้นมาจากใจของเรา เรารู้ว่ามันชั่ว มันไม่ดีหรอก มันไม่ดีแล้วจะคิดทำไมล่ะ แล้วคิด ถ้าย้ำคิดย้ำทำมันจะลึกไปเรื่อยๆ มันจะกว้างไปเรื่อยๆ มันจะบาดลึกในใจเราไปเรื่อยๆ บาดแผลในใจนะ
แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญานะ พยายามกลบมันไง พยายามรักษาไง คิดอย่างนี้มันไม่ดี ไม่ถูกต้องไม่ดีงาม ไม่ดีอย่างไรล่ะ ก็ของของเรา เราได้เปรียบ คิดแล้วเราได้ ก็สมบัติของเรา แล้วมันผิดตรงไหนล่ะ มันก็ดีทั้งนั้นน่ะ นี่เวลามันคิดไปไง
แต่เราคิดสิ ไอ้นี่มันสมบัติของโลกนะ สมบัติของโลกใครมีสติมีปัญญามากน้อยแค่ไหนก็ได้ขนาดนั้นน่ะ คนที่เขาหาเงินมามหาศาล เขาเอามาทำประโยชน์กับโลกเขายังทำได้เลย แล้วเรา เราทำอย่างนี้มันเป็นกุศล อกุศลนะ คือทำดี ทำชั่วไง
ถ้ามันได้มาด้วยความสุจริตยุติธรรม เวลาด้วยความสุจริต สิ่งนั้นมันเป็นธรรมาภิบาล มันได้มาด้วยความถูกต้องดีงาม เขายังเอามาทำประโยชน์เลย เพราะจิตใจของเขาเป็นธรรมๆ จิตใจที่มันสูงส่งไง
ถ้าจิตใจที่มันต่ำต้อย จิตใจที่มันเลวทราม มันไปคดไปโกงมา การกระทำนั้นมันได้เงินได้ทองมาเหมือนกัน แต่ได้มาด้วยการทุจริตไง สิ่งที่ได้มานั่นน่ะ บาปกรรมมันตกกับใจดวงนั้นไง เพราะใจดวงนั้นเป็นคนกระทำ เห็นไหม
คนที่เขาทำคุณงามความดีทำเพื่อประโยชน์ของเขา เขาได้มาด้วยสุจริต ได้มาโดยสุจริตมันชอบธรรมอยู่แล้ว เขายังเสียสละ ยังทำเพื่อประโยชน์กับเขา เพื่อให้หัวใจดวงนั้นมันสูงส่งขึ้นมาไง จิตใจที่มันสูงส่งขึ้นมา มันสูงส่งขึ้นมาในหัวใจ มโนกรรมๆ ไง
แต่จิตใจที่มันต่ำต้อย สิ่งที่ไปแสวงหาสิ่งนั้นมา แสวงหามาด้วยความทุจริตไง สิ่งที่ได้มา ได้มาก็ได้บาปกรรมไง ได้บาปได้กรรม ได้อกุศลไง ได้ความตกต่ำไง ได้ความเหยียบย่ำหัวใจของตนไง เราได้สมบัตินั้นมา มันได้อะไรมา เห็นไหม
เวลาสมบัติๆ สิ่งที่ได้มา ปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้ามันได้มาด้วยความชอบธรรม เขายังเสียสละเพื่อประโยชน์กับหัวใจที่มันสูงส่งขึ้น หัวใจที่มันดีขึ้น แล้วมันใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันจะเป็นประโยชน์ขึ้นมาไง
แต่หัวใจที่มันต่ำต้อยๆ นะ สิ่งที่มันแสวงหามา มันได้มา ได้มาด้วยความทุจริต ได้มาด้วยความคดโกง มันทำให้จิตใจมันต่ำต้อยลงๆ มันเป็นบาปอกุศล สมบัติได้มานะ แล้วมันได้มาทำไมล่ะ นี่ไง ถ้ามันสติมีปัญญามันคิดของมันอย่างนี้ นี่เขาเรียกปัญญาอบรมสมาธิๆ อย่าให้มันลึก อย่าให้มันกว้าง อย่าให้มันบาดหัวใจมันลึกจนเกินไป ทำให้มันดีขึ้น ทำให้มันดีขึ้นมันก็จะพัฒนาของมันขึ้นไง
พัฒนาขึ้นตรงไหนไง ตรงที่ว่าถ้าเราไม่คิดอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนั้น มโนกรรมไม่เกิดอย่างนั้น การกระทำที่ให้เป็นบาปเป็นกรรมขึ้นมามันก็ลดน้อยลง การทำบาปทำกรรมขึ้นมามันก็ไม่มี การทำบาปทำกรรมมันก็ไม่ทำให้จิตใจมันต่ำต้อย อกุศลไง
สุคโตๆ ถ้าหัวใจมันสุขขึ้นมา ถ้ามันสุขที่นี่ไง เวลามันตายเดี๋ยวนี้มันก็ไปเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ถ้าสุคโตมันต้องสุคโตเดี๋ยวนี้ไง ถ้าสุคโตเดี๋ยวนี้ มโนกรรมมันต้องคิดที่ดีไง หัวใจที่มันเป็นประโยชน์ขึ้นมามันต้องคิดอย่างนี้มันถึงจะเป็นธรรมไง นี่เรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิไง วันพระไง ผู้ประเสริฐๆ มันต้องประเสริฐตรงนี้ไง
ถ้าตรงนี้มันประเสริฐนะ ความคิด ความรู้สึกเกิดจากจิต แล้วถ้าจิตมันประเสริฐแล้ว ความรู้สึกนึกคิดที่มันดีขึ้น มันมีค่าตรงนี้ไง สิ่งที่มีค่าๆ หัวใจของมนุษย์ที่มันมีค่า แล้วถ้ามันรู้คุณค่า มันทำคุณค่าให้มันดีขึ้น ทำคุณค่าให้มันพัฒนาขึ้นไง นี่ไง เวลาธรรมเหนือโลกๆ นี่ขนาดว่าแค่ปัญญานะ แค่สื่อจะเข้าไปหาหัวใจของตนเท่านั้นนะ
ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงในใจขึ้นมา เห็นไหม นี่ไง เวลาหลวงตาท่านพูดไง ไม่ลงไปคลุกขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้ทั้งนั้นน่ะ แล้วจิตที่เป็นธรรมที่มันเหนือโลกๆ ต้องมาคลุกขี้ใช่ไหม แต่เพื่อประโยชน์กับสังคม โครงการช่วยชาติ ท่านทำของท่านด้วยความสะอิดสะเอียนนะ
พระอรหันต์ไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น บุญกุศลสิ่งใดที่มันเป็นประโยชน์ไม่มีเพิ่มในใจของพระอรหันต์ทั้งสิ้นเลย แล้วท่านทำไมต้องมาคลุกขี้ล่ะ มาคลุกขี้เพื่อตาดำๆ ไง เพื่อสังคมไง ไม่ใช่ตัวท่าน
พระอรหันต์ไม่มีสิ่งใดจะเติมเข้าไปได้อีกแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะให้ยุบยอบลงจากนั้นไป จะบอกว่า ใช่ มันเป็นประโยชน์ มันไม่เป็นประโยชน์อะไรขึ้นมาอีกหรอก เพราะพระอรหันต์มันสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้ว มันไม่ต้องการบุญกุศล ไม่ต้องการอะไรใดๆ ทั้งสิ้นเลยล่ะ แต่ที่เวลาทำ ทำเพื่อตาดำๆ ทำเพื่อสังคมไง ลงไปคลุกขี้ไง มันน่าสะอิดสะเอียนไง มันน่าสะอิดสะเอียน แต่ทำเพื่อประโยชน์ๆ เอาตัวตนเข้าแลก เอาความดีงามของตนเข้าแลก แต่ถ้ามันไม่ต้องเอาตัวตนเข้าแลก ไปอยู่ที่ไหนมันก็มีความสุข ไปอยู่ที่ไหนนะ รอวันตายเท่านั้นน่ะ ดูสิ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เวลาไปฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ เข้าป่าไปเลยนะ เอาเณรบวชองค์เดียวเท่านั้นน่ะ
เป็นพระอรหันต์นะ เป็นพี่ใหญ่เลยนะ บวชเสร็จแล้วไปอยู่ในป่าเลย อยู่กับสัตว์ป่าเลย นั่นน่ะพระอรหันต์ ไม่ออกมายุ่งกับสังคมเลย นั่นก็วาสนาของท่าน เห็นไหม พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา ก็เป็นผู้ที่เผยแผ่ธรรม เป็นผู้ที่เป็นแขนซ้าย แขนขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ศาสนานี้มั่นคงขึ้นมา แต่สิ่งที่มั่นคงขึ้นมาเพราะสิ่งที่มันเกิดขึ้นมันแสนยาก พระพุทธเจ้าเกิดแต่ละองค์มันแสนยาก ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยนะ กว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่จะมาเกิด เกิดแล้วจะมาค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของศาสดาของเรา ถึงที่สุดแล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ นี่มันเป็นแสนยากๆ ไอ้สิ่งที่มันมีในโลกอยู่แล้ว มันจินตนาการมันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ
นี่เวลาท่านทำ ท่านก็ทำเพื่อประโยชน์อย่างนี้ เพื่อความมั่นคงไง แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มนุษย์มีอายุแค่ ๑๐๐ ปี แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ปรินิพพานไป ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว เราเกิดกี่รอบแล้วล่ะ
เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเป็นจริตเป็นนิสัยที่มุมมองของคนไง คนที่ใกล้ชิด คนที่ได้กระทำมา มันเป็นเม็ดใน มันเป็นจริตฝังอยู่ในหัวใจ มันคิดปรารถนาอยากจะกระทำ ส่งเสริมให้หัวใจมันพัฒนาขึ้น ให้มันดีขึ้น
ถ้าจิตใจของคนที่มันต่ำทราม ดูสิ สมัยพุทธกาล ขนาดที่ว่าท้าประลองกำลังกับพระพุทธเจ้า ท้านู้นท้านี้ แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะน่ะ มันสร้างสมแต่ความชั่ว สร้างสมแต่ทิฏฐิมานะในใจไง เวลาเกิดมาแล้วก็มาอวดดีไงว่ามีดีๆ นะ มันก็ทำอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยพุทธกาลน่ะ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
จิตนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีต้นและไม่มีปลาย มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วมันเป็นตอนไหนล่ะ แล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ นี่ไง กรรมไง อจินไตย ถ้ามันเป็นอจินไตยอย่างนั้น เราก็พยายามศึกษาธรรมะ ศึกษาย้อนมาที่เรา
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนให้แก้ไขกันที่ปัจจุบันนี้ๆ ปัจจุบันนี้มีสติมีปัญญาไหม ปัจจุบันนี้ระลึกได้หรือยัง ปัจจุบันนี้คิดได้ไหม ถ้ามันคิดได้ นั่นน่ะบุญ มันคิดได้นะ คิดได้ว่าสามัญสำนึก ถ้าเรานึกได้จะไม่ทำนะ คนเราจะนึกได้ แต่มันเรื่องเวรเรื่องกรรมบางคนมันมีความจำเป็น บางคนมันสุดวิสัย การสุดวิสัย การจำเป็นนั้น เขาจะต้องใช้สติปัญญาแก้ไขให้มันผ่านพ้นไปเป็นขั้นเป็นตอน
คนเรามีสูงมีต่ำนะ เราเกิดมาแล้วไม่ใช่ว่าเราจะร่ำรวยจะมั่นคงอย่างนี้ตลอดไป หรือเราจะเป็นคนทุกข์คนจน เราจะไม่มีโอกาสจะได้ลืมตาอ้าปาก มันไม่ใช่ทั้งนั้นน่ะ อยู่ที่ความขยันหมั่นเพียร อยู่ที่สัจจะ อยู่ที่ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลของเราไง ด้วยกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมให้ขจรขจายไป เวลามันทุกข์มันยากจะมีคนเกื้อกูลเรา
ถ้ามีสมาธิ ทำสิ่งใดแล้วมันคลอนแคลน ทำสิ่งใดแล้วมันไม่มั่นคง เราก็พยายามทำของเรานะ แล้วปัญญาๆ ก็ฝึกหัด มันจะเกิดขึ้น วิกฤตินั้นมันจะฝึกหัดเป็นหินลับปัญญาเรา ให้เราฉลาดขึ้น ให้เรามีความละเอียดรอบคอบขึ้น แล้วเราทำของเรา
ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากเลย ถ้าเราทำความดีของเรา เราทำความจริงของเรา เราอย่าไปทำตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ละโมบโลภมากว่ามันจะเป็นไปๆ มันอยู่ไม่นานหรอก
แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ นะ ถึงจะเป็นอนิจจังด้วยกัน ดีหรือชั่ว จริงหรือเท็จ มันอยู่ในกรอบของอนิจจังทั้งสิ้น มันชั่วคราวๆ ทั้งสิ้น แต่มันเป็นโอกาสที่เราทำๆ ดูวันพระๆ สิ เดือนละ ๔ หน วันพระๆ ไง “วันพระไม่ได้มีหนเดียว” เอาไว้คอยตลบหลังกัน แต่ความจริงไม่ใช่
วันพระๆ เอาไว้ดัดแปลงกิเลสของเรา เอาไว้ให้ความมั่นคงของเรา เอาไว้ถ้าทำแล้วมันไม่ได้ผล พระหน้าก็จะเอาใหม่ พระหน้าก็จะทำให้ดีกว่านี้ พระหน้าจะทำให้มันดีขึ้นไป เห็นไหม เขาเอาไว้ดัดแปลงตน ไม่ใช่เอาไว้ “วันพระไม่ได้มีหนเดียว” เอาไว้ตลบหลังเขา เอาไว้ทำลายเขา ทำลายเพื่ออะไรล่ะ มันไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ถ้าทำดีๆ ทำดีเพื่อเรานะ
นี่ไง วันพระ เป็นผู้ประเสริฐๆ มันต้องประเสริฐในใจเรานี่ แล้วประเสริฐในใจเรา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตนะ ทำเพื่อประโยชน์กับเรา พระพุทธศาสนาสอนที่นี่
ไอ้ประเพณีวัฒนธรรมมันมีอยู่ทั่วไปหมดแหละ หลวงตาท่านบอกพิธีกรรม ทำตามพิธีกรรมก็แค่พิธี ไอ้ของเราถ้าจิตใจมันมั่นคงแล้วนะ พิธีไว้ข้างหลังเลยนะ เอาความจริง เอาความรู้สึก เอาความทุกข์ความยาก เอาปัญญา เอามรรคเอาผล เอาความจริงที่นี่
แค่นั้นแค่พิธี ทำแค่พิธี พอทำครบแล้ว โอ๋ย! สำเร็จแล้ว ก็ทำพิธีสำเร็จไง หัวใจเอ็งได้อะไร แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ มันจะเป็นจริงในใจดวงนี้นะ เอาจริงเอาจังของเรา ชีวิตนี้มีค่านะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ทุกคนต้องสิ้นชีวิตไป เราจะต้องตายไปข้างหน้าแน่นอน แล้วสมบัติของเรามีอะไรติดหัวใจเราไปบ้าง เอวัง