เทศน์เช้า วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ สัจธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องพึ่งพาอาศัยในหัวใจของเรา สัจธรรมเท่านั้นนะ ที่เราแสวงหาๆ ความจริงไง ที่เราอยู่ เราอยู่กับความจอมปลอม มันเป็นความจอมปลอมทั้งนั้นน่ะ เป็นสมมุติ สมมุติบัญญัติ สมมุติบัญญัติเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้นะ แต่ธรรมะพิสูจน์ยังไม่ได้ ถ้าธรรมะพิสูจน์ยังไม่ได้ ที่เราเกิดมา เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพ เป็นมนุษยที่มีคุณธรรม ถ้าเป็นมนุษย์ที่มีคุณธรรมเขาแสวงหาสัจจะความจริง ศีลธรรมๆ สัจจะความจริงอันนี้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขไง ไม่มีสิ่งใดเผาผลาญในหัวใจนั้น
แต่ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ จิตใจเป็นแค่มนุษย์ไง แค่โลก มนุษย์ที่แสวงหาความสำเร็จทางโลก นั่นก็เป็นแค่เรื่องโลกๆ ไง มนุษย์จิตใจที่ต่ำทราม เกิดมาจะเอาแต่ผลประโยชน์ของตนๆ จะเหยียบย่ำทำลายใครไปทั้งนั้นก็จะเอาแต่ผลประโยชน์ของตนไง เป็นมนุษย์เหมือนกันน่ะ แต่มันอยู่ที่คุณภาพของมนุษย์ไง คุณภาพของมนุษย์มาจากไหน คุณภาพของมนุษย์มาจากพันธุกรรมของจิตๆ เวรกรรมที่สร้างมาๆ นั่นน่ะ ถ้าเวรกรรมสร้างมานะ พระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทศชาติ เกิดมาเพื่อเสียสละทั้งนั้น เกิดมาเพื่อเสียสละ เกิดมาเพื่อสร้างสมบารมี สร้างสมบารมี เขาจะทำลายขนาดไหน เขาทำลาย มันคู่เวรคู่กรรมกับเทวทัตไง
แต่สิ่งต่างๆ เทวทัตทำลายๆ เทวทัตเวลาเขาทำลายของเขา เขาตั้งใจของเขา เขามีกิจกรรมของเขา เวลาเขาเกิดมา เกิดมาเป็นเทวทัต เกิดมาก็ยังทำลายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาเขาระลึกของเขาได้ เขาระลึกของเขาได้เพราะเขาทำฌานโลกีย์เหมือนกัน เวลาเทวทัตได้ฌานสมาบัติ ระลึกได้ จะมาขอขมาองต์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มาขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรณีสูบไป
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ต่อไปในอนาคต เทวทัตจะมาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
คำว่า “พระปัจเจกพุทธเจ้า” มันต้องมีบารมีมา มีการสร้างมา นี่พันธุกรรมของจิตๆ จิตที่มันสร้างสมบารมีมา นั่นน่ะจิตใต้สำนึก มันคิดออกมาอย่างนั้นน่ะ จิตใต้สำนึกมันก็เหมือนพลังงาน พลังงานในโลกนี้ใครมาใช้ประโยชน์ได้มากได้น้อยแค่ไหน คนที่ฉลาดหรือคนโง่เอาพลังงานนั้นมาใช้ เกิดเป็นมนุษย์ก็เหมือนกัน มีหัวใจเหมือนกัน แต่เรามาทำอะไรล่ะ
แล้วถ้ามีสติมีปัญญา ที่เราสวงหาสัจธรรมๆ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แล้วด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ด้วยกิเลสมันปิดหัวใจไง ธรรมะเป็นธรรมชาติ
ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ชีวิตนี้ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง กิเลสก็เป็นธรรมชาติ กิเลสมันก็เกิดดับในหัวใจทั้งนั้นน่ะ สัจธรรมๆ นี้เป็นสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้นเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศนาว่าการมา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ นั่นก็เป็นสมบัติของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ คำว่า “สมบัติๆ” มันเป็นของส่วนตน มันเป็นของในหัวใจนั้น
นี่ก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมะๆ ธรรมะเป็นธรรมชาติ นี่เป็นบัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกต้อง แต่ของเราล่ะ ของเราอยู่ไหน เวลามันสุขมันทุกข์ มันสุขทุกข์ที่นี่นะ เวลามันสุขมันทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ธรรมและวินัย ธรรมชาติ ธรรมและวินัยเป็นกรอบ เป็นกรอบที่เราพยายามประพฤติปฏิบัติมีการกระทำให้อยู่ในกรอบนั้น อย่าให้มันเก่งกว่าครู เก่งกว่าอาจารย์ เก่งกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ออกนอกกรอบนั้น
ถ้าออกนอกกรอบนั้นนะ ออกนอกกรอบนั้นน่ะธรรมะเป็นธรรมชาติ แต่ความจริงๆ เป็นความจริงของเรานะ ถ้าความจริงๆ มีการกระทำที่นี่นะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เห็นไหม ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันเกิดจากไหน แล้วด้วยความโลภ โลภมากอยากใหญ่ ทำไปโดยเหยียบย่ำเขาไปทั่ว แต่ถ้ามันเป็นสัจธรรมๆ นะ มันเป็นวาสนาของคนนะ ทำอย่างไรมันก็ได้ ทำอย่างไรมันก็เป็น ทำอย่างไรก็เป็นไง
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเรามาทำบุญกุศลของเรา ระดับของทาน ระดับของทานนี่ของง่ายๆ นะ ของง่ายๆ คือสิ่งที่เป็นวัตถุทานที่เราหามาด้วยพลังงานของเรา ด้วยหน้าที่การงานของเรา ด้วยการแสวงหาของเรา แต่ด้วยหัวใจที่มันอยากเสียสละ อยากจะทำทานๆ ไง นี่เราว่าของง่ายๆ ของง่ายๆ คนที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันทำไม่ได้ นี่ของง่ายๆ ระดับของทาน
ระดับของทานเพราะเราเสียสละนั้นความตระหนี่ถี่เหนียว ความตระหนี่ถี่เหนียวมันสะเทือนหัวใจไง มันสะเทือนหัวใจ นี่ระดับของทาน ทำบุญกุศล คำว่า “บุญกุศล” แล้วเวลาทำบุญกุศลแล้วเพื่ออะไรล่ะ ทำบุญกุศลมาเพื่อให้จิตใจแข็งแรงไง จิตใจแข็งแรงๆ ถ้าจิตใจแข็งแรงแล้ว ตัวตนของเรา เราก็อยากแสวงหาความจริงๆ ของเราไง ถ้าความจริงของเรามันคืออะไรล่ะ
ร่างกายนี้มันชราภาพไปทั้งนั้นน่ะ ชีวิตเรามีการพลัดพรากเป็นที่สุด นี่สมมุติไง เราอยู่ในวงของสมมุติไง แต่เวลาเกิดใหม่ๆ ดอกไม้แรกแย้ม โอ๋ย! มันสดชื่นดีงามไปทั้งนั้นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน เวลาเกิดมา เด็กๆ มันก็มีความสุขของมันนะ เวลาโตขึ้นมานะ แมลงมันจะมาผสมเกสรแล้วล่ะ นี่ก็เหมือนกัน พอโตขึ้นมาๆ เราจะรักษาดอกไม้ รักษาพันธุ์พืชของเราให้มันคงทนไปอย่างไร มันต้องหลุดจากขั้วแน่นอน มันชราภาพไปแน่นอน นี่ไง สมมุติบัญญัติๆ ไง แต่เวลาเกิดเป็นมนุษย์มีค่ามากๆ เพราะผลของวัฏฏะๆ นะ
จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย ต้องเกิดแน่นอน แต่การเกิด ดูสิ เกิดเป็นมนุษย์ว่ามันทุกข์มันยาก ทุกข์ยากไหม ทุกข์ยากแน่นอน ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ดูสัตว์สิ นรกเวจีสิ เทวดา อินทร์ พรหมสิ แล้วมันไม่มีใช่ไหม เราไม่เคยเป็นใช่ไหม วาระที่มันเป็น มันเป็นแน่นอน ถ้าเราไม่เป็น เราไม่กลัวผี เวลาระลึกถึงผีนี่กลัวเลย ระลึกถึงเทวดานี่นึกได้ นึกถึงนิพพานไม่ได้ ว่างๆ อย่างไรก็ไม่รู้ เพราะมันไม่เคยซับไว้ในหัวใจ ไม่มี จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันไปตามอะไร ตามการกระทำของเรานี่ไง นี่ไง ทำบุญทำกุศลนี่ไง
ถ้าเราไม่ได้ทำผิด เราก็ไม่โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจเขาเอาไปตรวจสอบ ถ้าเราไม่ได้ทำผิด จิตใจก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้ทำชั่ว มันไม่ฝังในใจหรอก ถ้ามันทำคุณงามความดีๆ เห็นไหม วันพ่อแห่งชาติๆ เขาหาพ่อตัวอย่างน่ะ พ่อตัวอย่าง แม่ตัวอย่างนั่นน่ะ เพราะอะไร เพราะเขาเลี้ยงดูลูกเขา เขาดูแลครอบครัวของเขา พ่อตัวอย่าง แม่ตัวอย่างเขาเสาะแสวงหานะ
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจที่มันทำคุณงามความดีๆ ไง กรรมคือการกระทำ บอกว่ากรรมให้ผลๆ
กรรมก็เราทำมา ก็กรรมของเรานี่แหละ ไม่มีกรรมของใครทั้งสิ้น แต่มันทำมาแล้วเราไม่รู้ว่าทำมาเมื่อไหร่ไง พอทำมาแล้วทำไมมันคิดอย่างนี้ล่ะ ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา ศีลธรรมมันก็มากรองตรงนี้ไง คนจะดีจะชั่วต้องเอาศีลเอาธรรมนี้เป็นเครื่องตัดสิน เราจะเอาดีเอาชั่ว เอาแต่อารมณ์ความรู้สึกของเราตัดสินไม่ได้
นี่ไง ไม้นอกกรอบ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เอาธรรมวินัยมาตัดสิน มาคอยกรองความรู้สึกนึกคิดของเรา ถ้ากรองความรู้สึกนึกคิดของเรา เราทำให้มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา เป็นจริงขึ้นมา ถ้าเราทำศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเป็นสมาธิ สมาธิมันเกิดที่ไหน สมาธิมันเกิดในตำราหรือ สมาธิมันเกิดในหนังสือใช่ไหม สมาธิมันเกิดจากอาจารย์สอนได้ด้วยหรือ
สมาธิมันเกิดจากจิตของเราต่างหาก จิตของเราที่มันฟุ้งมันซ่าน ที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ สมาธิมันเกิดจากจิต ไม่มีเกิดจากที่อื่น ถ้ามันเกิดจากจิต แล้วจิตอยู่ไหนล่ะ หัวใจเราอยู่ที่ไหน ถ้าหัวใจเราอยู่ที่ไหน เห็นไหม เรามาวัดมาวา มาฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แต่การกระทำนั้นก็ทำให้หัวใจนี้สูงขึ้นหรือต่ำลง การกระทำให้สูงขึ้นหรือต่ำลง ระดับของทานก็ระดับของทาน ถ้าระดับของเรา เราอยากศึกษา เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญา โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา สุตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา
ปัญญาโลกๆ ปัญญาวิชาชีพ คนที่ฉลาด คนที่มีไหวพริบเขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จของเขา เขามีบุญกุศลของเขา คนที่ฉลาด คนที่มีไหวพริบ แต่ทำสิ่งแล้วขาดตกบกพร่อง อำนาจวาสนาของเขามันไม่สมบูรณ์ของเขา นั่นมันเป็นเรื่องของโลกใช่ไหม แต่คนที่มีสามัญสำนึก นึกถึงชีวิตของเรา นึกถึงตัวของเรา นึกถึงว่าเราเกิดมาจากไหนๆ
วิทยาศาสตร์ก็ว่าเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ แต่ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัพุทธเจ้า เกิดมาจากกรรมของเราทั้งสิ้น เกิดจากการกระทำของเรานี่แหละ เพราะเรามีเวรมีกรรมของเรา กรรมของเรากับพ่อแม่เป็นสายบุญสายกรรมขึ้นมา เราถึงมาเกิดร่วมกัน พอเกิดร่วมกัน อภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ บุตรที่ส่งเสริมพ่อแม่ให้ดีงามขึ้นมา นี่บุตรที่ทำให้พ่อแม่
หลวงตาท่านสอน ลูกลากๆ มันจะลากไปไหน ลากไปคุก ลากไปตะราง เพราะมันติดคุกติดตะราง เราต้องไปเยี่ยมไปดูแลมันไง นี่ลูกมันลากไปๆ นี่ไง กรรมของสัตว์ กรรมของสัตว์ที่มันเกิดขึ้นมาไง กรรมคือการกระทำ เพราะทำมาร่วมกันไง พอทำมาร่วมกัน ทำมาภพชาติใดก็แล้วแต่ แล้วแต่จิตดวงนั้นปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณจุติในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ กำเนิด ๔
เขาบอกไม่ใช่ เกิดในหลอดแก้ว เดี๋ยวนี้ไปทำกิฟต์ เกิดในหลอดแก้ว
หลอดแก้วมันก็ไปยัดในมดลูกนั่นแหละ ตอนนี้เขากำลังวิจัยทำมดลูกเทียมนะ มดลูกเทียมเขาทำแล้วเขาจะเอาสิ่งมีชีวิตไปเลี้ยง นี่เขาทำของเขาไป สิ่งนี้มันเป็นวิทยาศาสตร์ๆ ไง แต่มันมีกรรม กรรมคือการกระทำอันนี้ไง
แต่ถ้ากรรมคือการกระทำอันนี้ ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา ธรรมะเป็นธรรรมชาติมันก็เป็นทฤษฎี เป็นสัจจะ เป็นสาธารณะ แต่เราจะพิสูจน์ ห้องทดลองในใจของเรานี่ เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
ใครทำงานวิจัยสิ่งใดก็แล้วแต่ เขาต้องมีข้อมูลของเขา เขาต้องมีสถานที่ทำงานของเขา เราจะพิสูจน์ชีวิตของเรา เราต้องการพัฒนาชีวิตของเรา พันธุกรรมของจิตๆ เราจะเปลี่ยนแปลงมัน เปลี่ยนแปลงจากที่มันฟุ้งซ่าน เปลี่ยนแปลงจากที่มันควบคุมไม่ได้ เปลี่ยนแปลงในแบบที่มันมีความเหนือกว่า มันชักนำให้เราอยู่ในอาณัติของมัน มันหลอก มันล่อ มันลวง มันปลิ้นมันปล้อน เชื่อ เชื่อไปหมดเลยถ้ากูคิด ถ้าเราคิดมันดีไปหมดเลย เชื่อ
ฉะนั้น มีสติปัญญายับยั้งมัน ยับยั้งมันนี่คือปัญญาอบรมสมาธิ แต่ถ้ามันยับยั้งมาด้วยคำบริกรรม มันทำไม่ได้ ให้บริกรรม บริกรรมไว้ บริกรรมไว้ไม่ให้มันไปคิดตามที่กิเลสมันควบคุม กิเลสมันปลิ้นปล้อน เราพยายามทำให้เป็นอิสระขึ้นมา อิสระในพุทธานุสติไง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ กอดองค์สมเด็จพีระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ไง นี่กรรมฐาน ๔๐ ห้อง พุทธานุสติ สติและจิตของเรา เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันปลอดภัยไง ถ้าอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันปลอดภัย แต่มันทำไม่ได้ มันดีดมันดิ้น มันเก่ง มันเลิศ มันว่ามันมีปัญญา พุทโธๆ มันจืดชืด พุทโธๆ มันไม่มีประโยชน์
เราอยู่กับพ่ออยู่กับแม่ อยู่กับศาสดาของเรา มันไม่มีประโยชน์ตรงไหน
เวลาคนจะเก่งกล้าสามารถขนาดไหนนะ เวลามันโดนตำรวจจับ เวลามันตกทุกข์ได้ยากนะ มันคิดถึงพ่อแม่มันก่อน มันระลึกถึงพ่อแม่มันทันทีเลย ถ้ามีพ่อแม่คุ้มครอง พ่อแม่ดูแล มันจะปลอดภัยไง เพราะอหังการ เพราะทำของเราเองไง มันถึงต้องมาติดคุกติดตารางอยู่นี่ไง มันต้องมาเจ็บไข้ได้ป่วย มาทุกข์ยากอยู่นี่ไง
นี่ก็เหมือนกัน จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันไม่มีใครดูแลมันไง เวลาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงศาสดาของเราไง อยู่กับพุทโธมันปลอดภัย แล้วเวลามันสงบเข้ามา โอ้โฮ! พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์คือรื้อจิตวิญญาณของสัตว์โลก จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่ไม่มีต้นและไม่มีปลาย แล้วไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ไม่สามารถระลึกถึงตนเองได้ แล้วเราพยายามเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พยายามระลึกถึงท่าน อยู่กับท่าน พุทโธๆ ระลึกถึงคำบริกรรม คือเราก็คิดนั่นแหละ แต่พอคิดไปๆ คิดไปโดยศรัทธา คิดไปโดยวาสนา คิดไปโดยความเพียร คิดจนมันเป็นตัวมันเองมันคิดไม่ได้ มันคิดไม่ได้ ตัวมันเองเป็นพุทธะเสียเอง ถ้าเป็นพุทธะเสียเอง นี่ผู้รู้ ที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นนี่ไง ทั้งๆ ที่อยู่กับเราที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามา พยายามคัดกรอง พยายามพัฒนานี่แหละ แต่เราพัฒนาไม่ได้เพราะนี่เป็นธรรม
เราจะอยู่กับกิเลส เราจะอยู่กับความหยำเป อยู่กับความคิด แล้วก็บอกว่าประชาธิปไตยๆ
มันจะตาย ไม่ใช่ไตย มันตาย ประชาธิปตาย มันตายแน่นอน แต่ถ้าเป็นธรรมๆ นะ มันเหนือโลก
โลกก็ต้องหมุนไป เราเกิดกับโลกนะ เราเกิดมามีพ่อมีแม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้รู้จักกตัญญูกตเวทีคนที่มีคุณกับเรา คนที่มีคุณ เห็นไหม พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ครูจารย์ ให้ทั้งชีวิต ให้ทั้งอาหาร ให้ทั้งปัญญา ให้ทั้งสติ ให้ทั้งการชี้นำ
พ่อแม่ก็เลี้ยงได้แต่ร่างกายเท่านั้นน่ะ จิตใจเลี้ยงไม่ได้หรอก จิตใจของเรา เห็นไหม เพราะมันมีเวรมีกรรมกันนี่ไง มันเกิดทิฏฐิมานะต่อกันไง มันเกิดการขัดแย้งกันไง มันไม่ใช่ขัดแย้งแต่ปัจจุบันนี้ไง มันขัดแย้งกันมาแต่ไหนก็ไม่รู้ไง แต่เวลาในปัจจุบันนี้ต้องมาใช้เวรใช้กรรมเพราะเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกันไง มันจะเอาสิ่งใดก็ต้องให้มันไปไง แต่ถ้าเป็นคนอื่น ไม่ให้ ไปฟ้องศาลเอา มันว่านะ แต่ถ้าเป็นลูกนะ เท่าไรก็ต้องควักให้มัน เท่าไรก็ต้องควักให้มันไง นี่ไง แต่มันก็เป็นภาระของเรา เราต้องดูแลรักษาทั้งนั้นน่ะ นี่พูดถึงผลของวัฏฏะๆ ไง
นี่พูดถึงว่าถ้าเรายังไม่รู้จักหัวใจของเราไง เรายังไม่รู้จักจิตของเรา เราจะไปแก้ที่ไหนไง มันก็อวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้จักจิตของตัวเอง ต้องเกิด มีอวิชชาพาเกิด อวิชชาตัวนั้นพาจิตดวงนี้เกิด
แล้วเวลามีสติมีปัญญาขึ้นมา มีวิชชา มีความรู้ รู้เท่าทัน พอรู้เท่าทันนะ จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ภาวนามยปัญญาเท่านั้นที่จะปลดเปลื้องสังโยชน์ความร้อยรัดของกิเลส เปลือกที่มันครอบคลุมหัวใจอันนี้ไม่มีใครสามารถทำให้ได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็เป็นคนแค่ชี้ทาง เป็นคนบอก เป็นแบบอย่าง เห็นไหม เวลาปฏิบัติให้ปฏิบัติตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอโดนโลกธรรม ๘ รุนแรง คือโดนติฉินนินทา โดนทำร้าย เธออย่าเสียใจ ให้ระลึกถึงเรา เพราะเราโดนมากกว่าเธอ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนโลกธรรม ๘ ทำลายมามหาศาล ท่านมีฤทธิ์ด้วยนะ แต่การทำแบบนั้น ทั้งๆ ที่เขาทำลาย แต่ถ้ามีฤทธิ์ มันก็เท่ากับไปทำลายเขาใช่ไหม มันเป็นฤทธิ์เป็นเดช มันไม่ใช่ธรรมไง แต่ท่านมีความเมตตาเท่านั้น มีแต่ความเมตตาพยายามจะให้คนหูตาสว่าง ให้คนมีความเข้าใจได้ ให้คนมีปัญญาขึ้นมาได้ ถ้ามีปัญญาขึ้นมามันจะไปเป็นประโยชน์กับคนคนนั้น
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วถ้ามันเกิดขึ้นมา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตในใจของเรานะ นี่พูดถึงว่าธรรม ถ้าหัวใจมันสูงส่ง หัวใจมันเป็นไปได้ มันจะเป็นไปอย่างนั้น ถ้าหัวใจเราไม่สูงส่ง ไม่เป็นจริง มันก็ไม่เป็นจริง หัวใจเราทั้งนั้น หัวใจเราเท่านั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ เราบริษัท ๔ เป็นเจ้าของศาสนา ชาวพุทธเป็นเจ้าของศาสนา แล้วเราพยายามจะทำขึ้นมาให้เป็นสัจจะเป็นความจริงของเรา
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ “เธอจงให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด”
นี่ก็เหมือนกัน ให้มันเป็นสัจจะความจริงในใจของเราเถิด ถ้าเราทำได้ เราจะไม่สงสัยสิ่งใดๆ เลย เพราะความสงสัยนั้นคือกิเลส ถ้ายังมีความสงสัยอยู่ เกิด
หมดความสงสัย หมดสิ่งใดๆ ในหัวใจทั้งสิ้น นั้นวิมุตติสุข เอวัง