เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ ก.พ. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ สัจธรรมๆ หลวงปู่ลีท่านได้สร้างบุญกุศลของท่านมา ความสร้างบุญกุศลมาคือท่านประพฤติปฏิบัติมาถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ ถ้าสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้วมันหมดเวรหมดกรรม ท่านไม่มีเวรไม่มีกรรมอะไรทั้งสิ้น คนที่ไม่มีเวรไม่มีกรรมแล้วมันอยู่สุขอยู่สบายอยู่แล้วแหละ แต่ท่านก็ยังเป็นหลักชัยของพวกเราไง ถ้าท่านเป็นหลักชัยของพวกเรา

 

ดูสิ ของเรายังมีเวรมีกรรมต่อกัน เราก็อยากจะสร้างบุญกุศลของเรา ครูบาอาจารย์ที่น่าเลื่อมใส เราก็อยากจะเติมบุญของเราเพื่อประโยชน์กับเราๆ ไง แล้วท่านอยู่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 

พระสงฆ์ สิ่งที่เป็นอริยสงฆ์มันเป็นที่ไว้วางใจได้ คนที่ไว้วางใจได้ ทำสิ่งใดเราก็ทำได้เต็มไม้เต็มมือไง แต่ถ้ามันไว้วางใจกันไม่ได้ ถ้าไว้วางใจกันไม่ได้ เราทำสิ่งใดไปเราก็เคลือบคลางแคลงใจ ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ สิ่งที่เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ สะอาดบริสุทธิ์อย่างนั้นไง

 

นั่นพูดถึงว่าท่านสิ้นเวรสิ้นกรรมแล้ว เราเองยังมีเวรมีกรรมต่อกันอยู่นะ ดูสิ เวลาสัตว์โลก เวลานกมันอพยพ เวลามันจะอพยพไปเพราะอะไร เพราะสถานที่อยู่เดิมของมันไม่มีอาหาร มันต้องอพยพเพื่อหาอาหารมัน ถ้าหาอาหารเพื่อยังชีพ พวกนกที่มันได้แข็งแรง นกที่มันได้เตรียมตัวของมันมา มันก็จะไปหาอาหารตามทางของมัน แล้วไปถึงสิ้นสุดมันไปสร้างครอบครัวของมัน สุดท้ายแล้วถึงเวลามันก็อพยพกลับ

 

นี่พูดถึงว่ามันอพยพเพราะอะไรล่ะ มันอพยพเพราะมันต้องการอาหารของมันไง สิ่งที่เป็นอาหารๆ เห็นไหม เวลาเป็นสัตว์โลก สัตว์โลกต้องมีการขวนขวาย ต้องมีการกระทำ ฉะนั้น ในปัจจุบันนี้โลกเจริญๆ กระทรวงมหาดไทยจะบำบัดทุกข์ บำรุงสุข บำบัดทุกข์ บำรุงสุขของพวกเรานี่ไง

 

นี่ไง เราก็แสวงหาอาหารของเราอยู่ การกระทำ ทำดีเป็นสุจริตธรรม ทำคุณงามความดีขึ้นมาแล้วมันก็ได้อาหารเพื่อดำรงชีพด้วย ได้บุญกุศลของเราด้วย บุญกุศลของเราๆ แล้วถ้าได้มา ได้มาด้วยทุจริต ได้มาดำรงชีพของเราด้วยเป็นการทุจริต มันไม่สะอาดบริสุทธิ์

 

นี่พูดถึงว่า กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน มันก็ทำให้คนเรามีจริตนิสัยของคนจะเหลวไหล จะมั่นคง นี่สิ่งที่เราเกิดมา แล้วเวลาเกิดมา เกิดมาในสังคมๆ เราเกิดในประเทศอันสมควร เกิดจากพ่อแม่ที่ดี พ่อแม่ที่ดียังสอนนะ ไปโรงเรียน เรามีเพื่อน อย่าเอาเปรียบกัน เรามีเพื่อน ตกทุกข์ได้ยากเราจะดูแลเขา สิ่งใดถ้าขาดแคลน เราจะช่วยกันดูแล แต่ถ้าเราอัตคัดขาดแคลน เราไม่มีสิ่งใดดูแลเขา เราก็ให้กำลังใจเขา

 

คนเราบางคนเกิดมามันไม่เท่ากันหรอก คนที่เกิดมาไม่เท่ากันแล้วเราก็ไม่น้อยใจสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่น้อยใจเพราะอะไร เพราะกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การกำเนิดของเรามาจากการกระทำของเราทั้งนั้นน่ะ ทำดีทำชั่วมา ถ้าเขาทำคุณงามความดีของเขามา ทำบุญกุศลของเขามา เห็นไหม

 

เวลาเรามาบวช เวลาเราพูดกับลูกศิษย์ทุกทีว่า เราภูมิใจนะ เราเกิดมาในชาตินี้ เกิดมาก็ยังพบครูบาอาจารย์ของเราที่ดีๆ ไง ครูบาอาจารย์ที่ดีๆ เพราะอะไร เพราะเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่นใช่ไหม ท่านบอกว่าท่านเคารพหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นกับท่านเหมือนกับพ่อกับลูก ถ้าคุยกันด้วยการปกครอง การรับผิดชอบในวัดนะ เหมือนพ่อกับลูก แต่พูดธรรมะไม่ได้เลย พูดธรรมะ หงายท้องทุกทีเลย

 

ท่านบอกเวลาขึ้นไปหงายท้อง คำว่า “หงายท้อง” หมายความว่า เราประพฤติปฏิบัติทุกคน ทุกคนมันต้องได้ประสบใช่ไหม จิตจะเป็นสมาธิหรือจิตไม่เป็นสมาธิ จิตของเราจะเป็นปัญญาหรือไม่เป็นปัญญา เราก็เข้าใจว่ามันเป็นอย่างนั้นไง นี่เขาเรียกว่าของของเรา เราก็มีของเราใช่ไหม ปัจจัตตังของเรา แต่ปัจจัตตังโดยที่กิเลสมันยังมีสมุทัยเจือปนอยู่ ยังมีความเข้าใจของเรา ยังมีความเห็นของเราเจือปนอยู่ เราก็ซาบซึ้ง เราขึ้นไปเราก็อยากจะว่าของเราก็มีอยู่ไง พอมีอยู่ เวลาขึ้นไปหาท่าน นี่ไง เวลาพูดธรรมะกัน พอพูดธรรมะทีไรล้มทุกทีๆ เพราะอะไร เพราะสติปัญญาเราสู้ท่านไม่ได้

 

นี่ก็เหมือนกัน ที่เราบอกว่าเราเกิดมามีบุญๆ เพราะเรามีครูบาอาจารย์ของเราไง เราก็ได้ขึ้นไปสนทนากับท่าน หลวงตา หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะนี่โอ้โฮ! ทั้งคืน มันก็เป็นทิฏฐิของเราเหมือนกันใช่ไหม เราก็รู้เราก็เห็นของเราเหมือนกันน่ะ ที่ว่ามีบุญๆ มีบุญตรงนี้แหละ

 

ถ้าเราไม่มีบุญตรงนี้นะ หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดเลย เวลาพระเพื่อนเราไปเยี่ยมท่าน “ไอ้ขาวๆ ยังอยู่ไหม” เพราะเราไปกับพระบุญส่ง มีขาวกับดำ “ไอ้ขาวๆ เถียงเก่ง” คำว่า “ไอ้ขาวๆ เถียงเก่ง” ท่านฝังใจท่านนะ ไอ้ขาวๆ เถียงเก่งๆ เพราะมันเถียงทุกคืนเลย

 

เราจะบอกว่า ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่มีวุฒิภาวะที่สูงกว่า คำว่า “เถียงเก่ง” เราเถียงชนะนะ เวลาเถียง หลวงปู่สู้ไม่ได้ เถียงนี่แหม! ไปได้เรื่อยเลย

 

คำว่า “เถียง” มันก็มุมมองของเรานั่นแหละ แต่ความจริงมันไม่ใช่ ความจริงสู้ท่านไม่ได้หรอก แต่มันเถียงเก่งๆ มันเถียงไง คำว่า “เถียง”

 

นี่เราใช้คำว่า “บุญ” ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่ฉลาดกว่า ไม่มีครูบาอาจารย์ที่จะมาแก้ไขได้ มันก็ติดอยู่นั่นแหละ แล้วยิ่งเถียงเก่งๆ อย่างนี้ด้วยนะ ยิ่งปากจัดอย่างนี้ ยิ่งปลิ้นไปอย่างนี้ กิเลสมันพาไปอย่างนั้นน่ะ มันก็ไปค้างอยู่นั่นน่ะ มันก็ไปตายอยู่นั่นน่ะ มันไปไม่รอดหรอก

 

เวลากลับมาย้อนถึงประสบการณ์ของเราๆ เราถึงว่าเรามีบุญๆ ไง มีบุญตรงที่มีครูบาอาจารย์คอยมาแก้ไข มีบุญที่มีครูบาอาจารย์คอยมาเปลี่ยนแปลงทัศนคติ มีบุญ มีครูบาอาจารย์คอยชักนำให้เข้าที่ถูกทาง

 

ไอ้เราก็เถียง เถียงทุกคนน่ะ เพราะหลวงตาท่านพูด เวลาท่านขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น เราก็มีของเรา คำว่า “เราก็มีของเรา” คือเราไปภาวนาแล้วเรารู้เราเห็นของเราตามนั้นๆ แต่มันยังมีสมุทัย มีความเห็นของเราเจือปนอยู่ มันยังไม่สะอาดบริสุทธิ์พอ การปฏิบัติมันเป็นมาอย่างนี้ทุกคนน่ะ ไอ้คนที่ปฏิบัติมาๆ ไปรู้อะไรเล็กๆ น้อยๆ ลมพัดใบไม้ไหว โอ้โฮ! ตื่นเต้น มันยังไม่จริงหรอก

 

เวลามันจริงแล้ว นี่ไง เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัตินะ เวลาไปถามปัญหา เราฟังถามตอบปัญหาของหลวงตาประจำ

 

ถามว่า ทำอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่

 

ถูก

 

แล้วทำอย่างไรต่อ

 

ก็ทำซ้ำไง ทำซ้ำ

 

คำว่า “ทำซ้ำๆ” ทุกคนฟังแล้วเบื่อ แต่ความเป็นจริง การที่ใจของเราตรวจสอบซ้ำ ทำซ้ำ พิจารณาซ้ำ ทำซ้ำๆ ถ้าเรามีสติมีปัญญามันจะเห็นความบกพร่อง ถ้ามีสติมีปัญญา มีความรอบคอบ มันจะพัฒนาขึ้น

 

แต่มันเป็นเพราะวุฒิภาวะคนที่อ่อนแอ ก่อนที่จะทำสิ่งใดขึ้นมาได้มันก็แบบว่าสุดความสามารถแล้ว แต่นี่มันจะทำซ้ำๆ “อู้ฮู! งานอย่างนี้ต้องทำซ้ำอีกหรือ อู้ฮู! อู้ฮู! อู้ฮู!” มันทำไม่ไหว แต่ถ้ามันทำซ้ำ ชำนาญในวสี

 

หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดบ่อย ชำนาญในวสี ชำนาญในการเข้า ชำนาญในการออก ชำนาญในการตรวจสอบ ชำนาญ คำว่า “ชำนาญ” ทำเมื่อไหร่มันก็ได้

 

คำว่า “ไม่ชำนาญ” นักกีฬาถ้าร่างกายมันฟิตอยู่นะ ถ้ามันซ้อม ความฟิตนั้นมันจะคงที่ตลอดไป คนที่ทำซ้ำๆ พิจารณาซ้ำๆ แล้วมันจะมีมาตรฐาน มันจะมีสติ มันจะมีสมาธิที่สามารถจะพิจารณาได้ซ้ำๆ เพราะมันมีกำลังพอ แต่นักกีฬาที่มันไม่ซ้อม นักกีฬาไม่ดูแลตัวเอง ปล่อยจนขึ้นอืดเลยอย่างนี้

 

นี่ก็เหมือนกัน ภาวนาได้หนหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ทำไม่ได้อีก แล้วจะให้ทำซ้ำเกือบตาย ส่วนใหญ่ภาวนาเป็นอย่างนี้ ฉะนั้น ถึงว่าส้มหล่นๆ ไง คำว่า “ส้มหล่น” มันได้อยู่หนหนึ่ง ความได้อยู่หนหนึ่ง ใครมันก็ทำได้ ลมพัดใบไม้ไหวไง อารมณ์ชั่ววูบ ภาวนาชั่ววูบ วูบหนึ่งเห็นอย่างนั้น แล้วทำอีกทำไม่ได้ แล้วชั่ววูบๆ ดูสิ ลมพัดใบไม้ไหว ใบไม้เวลามันแก่ มันผลัดใบ แล้วผลัดใบใบหนึ่ง แล้วต้นไม้ต้นหนึ่ง ใบไม้มันมีอีกมากมายเท่าไร ฤดูกาลหน้ามันจะออกอีกเท่าไร

 

เราจะบอกว่า เวลาลมพัดใบไม้ไหวก็เหมือนกับใบไม้ใบหนึ่งหลุดจากขั้วไป พิจารณาไป พอรู้เห็นทีหนึ่ง แล้วความเข้าใจก็ได้ใบไม้ใบหนึ่ง แล้วไอ้ใบไม้อีกเต็มต้นอยู่ไหน ฤดูกาลหน้ามันออกอีก กิเลสมันยังสร้างอยู่ตลอดเวลานั่นน่ะ มึงจะทุกข์อีกขนาดไหน

 

แต่เวลาคนปฏิบัติมาแล้วมันคิดอย่างนั้นไง เพราะอะไร สมุจเฉทปหานหนเดียว ก็หนเดียวก็หนนั้นไง หนที่ใบไม้นั้นมันหลุด มันเข้าข้างตัวมันเองไปตลอดเลยนักภาวนา

 

เราเป็นคนภาวนามาก่อน เรารู้ถึงกิเลส เล่ห์กลของมัน เล่ห์กลของกิเลสแค่ไหน แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ นะ ท่านก็จะคอยชี้คอยแนะ คอยบอกเรา ไอ้ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ เราฟังมาเยอะนะ เวลาพระที่ปฏิบัติแล้วมันไปตัน แล้วเขาก็ไปจับกลุ่มกัน นี่เขามาพูดให้ฟังนะ

 

เวลาหลวงตาท่านเทศนาว่าการ ตทังคปหานคือการประหารชั่วคราว ความรู้ชั่วคราว ความรู้พอเรารู้ได้ชั่วคราวมันไม่ใช่สมุจเฉทปหาน

 

คำว่า “สมุจเฉทปหาน” คือการฆ่ากิเลสตาย ตายจริงๆ ตายตามข้อเท็จจริง สังโยชน์จะขาดไป แล้วมันจะเกิดความมหัศจรรย์ เกิดขณะจิต เหมือนกับฝนตกฟ้าร้อง มันจะเกิดฟ้าผ่า ฟ้าแลบ ความเกิดการเป็นจริงในเวลาสมุจเฉทปหานมันจะมหัศจรรย์ เขาเรียกว่า “ขณะจิต”

 

หลวงตาใช้คำว่า “ขณะเล็ก ขณะใหญ่” ถ้าขณะเล็กมันก็ง่ายๆ เรียบง่าย แต่ไม่มีอะไรมหัศจรรย์ แต่ของท่าน ท่านบอกของท่านนี่ขณะใหญ่โตมาก โลกธาตุนี้ไหวหมดเลย แล้วท่านก็มาเทียบกับของอาจารย์สิงห์ทอง ท่านบอกว่าขณะมันเรียบๆ นี้ถ้ามันเป็นสมุจเฉทปหาน

 

แต่มีพระกลุ่มหนึ่งเขาบอกว่าเขาไปรวมหัวกัน ไอ้พวกภาวนาไม่เป็น “เวลาพวกนั้นบอกว่าต้องขาด ต้องสมุจเฉทปหาน ก็เป็นเรื่องของเขาเนาะ ไอ้พวกเราทำแค่นี้ก็พอ”

 

กิเลสขนาดนั้นนะ ตัวเองหลงผิด ตัวเองไม่มีสัจจะความจริงในใจ มันยังไปเอาความเห็นไปรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้นมาเพื่อให้กิเลสมันพองตัว เพื่อให้กิเลสมันแอบอ้างว่าฉันก็มีคนที่เห็นด้วย ฉันก็ว่ามีคนที่ว่าบรรลุธรรม เห็นธรรม

 

เราฟังมา เราฟังพระที่มันคุยกันนั่นน่ะเวลามาถามปัญหา “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่ต้องขาด ไม่ต้องสมุจเฉทปหานก็ได้ ของเราก็บรรลุธรรมเหมือนกัน” นี่ก็ไปสร้างกลุ่มสร้างก้อนด้วยแก๊ง แก๊งสเตอร์ด้วยความเห็นผิดไง

 

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงมันคืออะไร ความจริงมันเป็นปัจจัตตัง ความจริงมันเป็นสันทิฏฐิโก รู้แจ้งตามความเป็นจริง ถ้าความเป็นจริงแล้วมันต้องรู้จริงเห็นจริงใช่ไหม กิเลสขาด ยถาภูตัง กิเลสมันขาดไป เกิดญาณทัสสนะ เกิดญาณทัสสนะเห็นว่ากิเลสมันตาย มันเหมือนกับการฆาตรกรรม เวลาฆาตรกรรมไปแล้วต้องมีการพลิกศพ คดีอาญาเขาต้องพิจารณาไง มันมีกระบวนการของมัน นี่ก็มีกระบวนการของมัน แต่คนมันไม่เคยเห็น

 

เราฟังแล้วเศร้านะ มีพระมาพูดให้ฟังหลายองค์ บอกว่า “ถ้าหลวงตาท่านบอกต้องขาด คำว่าขาดคือสมุจเฉทปหาน กิเลสขาดออกไปจากใจ ก็เป็นเรื่องของท่านเถอะ ของเราๆๆ พอมันปล่อยวางก็ใช่แล้วแหละ”

 

การพูดอย่างนี้ฟังแล้วมันสะเทือนใจ สะเทือนใจหมายความว่ามันผิดพลาด คือมันไม่สิ้นกระบวนการของมัน พอไม่สิ้นกระบวนการของมัน แล้วก็ไปเชื่อกันว่าเป็นอย่างนั้น แล้วคนวุฒิภาวะมันอ่อนแอใช่ไหม มันก็เป็นอย่างนั้น เหมือนเราเลย โลกปัจจุบันนี้ไอ้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ “บัญชีของท่านไปพัวพันกับการค้ายาเสพติด ต้องส่งบัญชีมาให้ดู” ส่งไปให้หมดเลย แล้วมันก็เบิกเกลี้ยงเลย

 

นี่ก็เหมือนกัน กลุ่มของมันไง เพราะอะไร เพราะมันไม่จริง มันเป็นการหลอกลวง กิเลสมันหลอก แต่น่าเห็นใจนะ เราพยายามตามความรู้สึกของเขา ตามความรู้สึกของเขาคือว่าเขาก็ทำได้แค่นี้ไง คืออำนาจวาสนาบารมีของคนมันมีเท่านี้ พอมีเท่านี้ เคยทำได้ คือใบไม้หลุดไปสักใบหนึ่ง คือเกิดความเห็นชั่วคราว แล้วความเห็นชั่วคราวมันก็มหัศจรรย์นะ พอมหัศจรรย์ขึ้นมาก็บอกว่านี่ใช่ๆ ใช่ของเขาคือเขาทำซ้ำอีกไม่ได้

 

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ ถ้ามันได้อย่างนั้นมานะ เวลาหลวงตาท่านเทศนาว่าการประจำ คนภาวนาเป็น คนภาวนาไม่เป็น ถ้าภาวนาเป็นมันจะมีร่องมีรอยอย่างนี้ นี่ภาวนาเป็นเห็นร่องเห็นรอย เพราะพอภาวนาเป็นแล้วมันจะทำได้ง่ายขึ้น เหมือนกับนักกีฬามันฟิตขึ้น มันทำอะไรขึ้น มันก็ทำความสงบให้มากขึ้น พอมากขึ้น มีสติให้มั่นคงขึ้น ใช้ปัญญาต่อเนื่องไปๆ ทำซ้ำๆ พอทำซ้ำไป กิเลสมันได้พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ กิเลสมันจะไปหลบที่ไหน จะไปซ้อนที่ไหนนะ มรรคญาณมันเข้าไปทำลาย เข้าไปตรวจไปสอบ มันพยายามถากพยายามถาง เวลาเทศน์อย่างนี้ หลวงตาพูดประจำเลย แต่ถ้าองค์อื่นไม่พูดอย่างนี้

 

“โอ๋ย! มันลอยมาจากฟ้า บรรลุธรรมกลางหัวใจ” โอ้โฮ! เราฟังมาแล้วเบื่อแสนเบื่อ แต่มันก็ย้อนกลับไงย้อนกลับที่เราพูดนี่ เราเกิดมาแล้วเราภูมิใจนะ เราเกิดมากึ่งกลางพระพุทธศาสนา เราเกิดไม่ทันหลวงปู่มั่นหรอก แต่เราเกิดมาแล้วเราก็ยังมีครูบาอาจารย์ หลวงปู่จวน หลวงปู่ตา หลวงปู่เจี๊ยะ เลียนแบบหลวงตาเนาะว่าเป่ากระหม่อมมาๆ ถ้าไม่มีอย่างนั้น แล้วคิดดูสิ พ่อแม่ที่สอนลูก ถ้าไม่อย่างนั้นหลวงตาท่านจะคอยสืบเรื่องเราทำไม ทำไมท่านคอยเช็คเราตลอดเวลา

 

โธ่! มาอยู่โพธารามใหม่ๆ นะ เวลามานี่ตรวจหมด ในกุฏิเปิดดูเลย มีอะไรบ้าง เช็คตลอดเลย จะกินจะอยู่อย่างไรนี่เช็คตลอด นั่นเป็นเพราะอะไรล่ะ เป็นเพราะนี่ไง เป็นเพราะพ่อลูกอยู่ด้วยกันมา มันปล้ำกันมาน่ะ ไอ้นั่นมันเรื่องส่วนตัวนะ นี่เราพูดถึงบอกว่า คำว่า “บุญ” ไง เดี๋ยวจะหาว่า “โอ๋ย! หลวงพ่อยกแต่หางตัวเอง อะไรก็ว่าตัวมีบุญๆ”

 

มีบุญของเราไม่ใช่มีบุญอะไรหรอก มีบุญของเราคือเราได้พบอาจารย์ของเรา เรามีครูบาอาจารย์ของเราคอยแก้ไขเรา เรามีครูบาอาจารย์คอยชี้นำเรา เรามีครูบาอาจารย์คอยสับหัวเรา นี่บุญเราเกิดตรงนี้ นี่คือบุญของเรา

 

ฉะนั้น เราย้อนกลับไปนักปฏิบัติทั่วๆ ไป มันไม่กล้าไปหาครูบาอาจารย์ ไม่กล้าไปหาของจริง มันกลัวโดนแฉ มันไม่กล้าเข้าไปพบ เฉียดไปเฉียดมา แล้วมีแต่แอบอ้าง ไม่มีความจริงในใจเลย

 

ถ้ามีความจริงในใจ หลวงปู่ลี ครูบาอาจารย์ของเราท่านเคารพหลวงตาขนาดไหน ถ้ามันเป็นความจริงนะ กตัญญูกตเวทีนะ มันจะโอ้โฮ! ราบเลยล่ะ ไม่ต้องสั่ง รู้ว่าท่านปรารถนาอย่างใดจะทำทันทีเลย ไม่ต้องสั่ง ถ้าสั่งแล้วจ้ำจี้จ้ำไชนั่นยังหยาบมาก ไม่ต้องสั่ง แล้วถึงใจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยของเรารวมเป็นหนึ่งเดียว ที่หลวงตาว่า รวมเป็นหนึ่งเดียวอยู่ท่ามกลางหัวใจของเรา อยู่กลางใจนั้นเป็นความจริงในใจดวงนั้น ของจริงต้องเป็นแบบนี้ เอวัง