เทศน์บนศาลา

เรื่องในตน

๓ ธ.ค. ๒๕๕o

 

เรื่องในตน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โยมนั่งภาวนาเลย นั่งฟังเทศน์กรรมฐานไม่เสียการเคารพ นั่งตามสบาย เพราะเราต้องการเอาจิต นั่งตามสบายเลย แล้วไม่ต้องกำหนดใดๆ ทั้งสิ้น ตั้งสติไว้เฉยๆ เสียง จะพาเอง เอาจิตนี่เกาะเสียงนี้ไว้ แล้วเสียงจะพาไป มันสงบเอง

แต่ถ้าเราภาวนาโดยส่วนตัว เราต้องตั้งสติ แล้วเรากำหนดพุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ขณะที่เราทำโดยส่วนตัวที่บ้านคนเดียว เราจะทิ้งอะไรไม่ได้

แต่ขณะในปัจจุบันที่ฟังเทศน์ เราปล่อยทั้งหมดเลย ตั้งสติไว้เฉยๆ เสียงจะมาเอง แล้วเกาะเสียงนี้ไป นี่กรรมฐานเขาปฏิบัติกัน การฟังธรรมในเทศน์กรรมฐานสำคัญที่สุด

เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศนาว่าการทีนะ เทวดา อินทร์ พรหม สำเร็จเป็นแสนเป็นล้านเลย เพราะอะไร? เพราะการฟังมันกล่อมใจไป แล้วใจมันจะตามไปตลอด ตั้งใจไว้เฉยๆ นะ แล้วฟังเทศน์กรรมฐาน กรรมฐานเทศน์เรื่องในตัว

แต่ในวงการธรรมปัจจุบันนี้ เขาบอก นรก สวรรค์เป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องโลกหน้า แต่ถ้าเป็นการกระทำของเขา ในเรื่องปัจจุบันของเขา คือ การตลาด ถ้าเป็นเรื่องของการตลาด เป็นเรื่องการหาเงิน เป็นเรื่องปัจจุบัน เป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องใกล้กระเป๋า แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงนะ มันเป็นเรื่องในตัว เรื่องในตัวนะ นรก สวรรค์นี่เรื่องในตัวของเรา ในตัวเลย เพราะจิตนี้มันไปเกิด นรก สวรรค์

ในปัจจุบันที่ว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ ถ้าสวรรค์ในอก นรกในใจ เพราะมันเป็นชาติปัจจุบัน เราเกิดมา ชาติปิ ทุกฺขา ทุกข์ สิ่งที่ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เรื่องของทุกข์ เรื่องของอริยสัจ ในเมื่อมีการเกิด มันต้องมีความทุกข์

สิ่งที่เป็นความทุกข์ ในปัจจุบันมันทุกข์ ถ้าทุกข์ในปัจจุบัน ถ้ามันทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ แต่เราไม่เข้าใจกัน เราเข้าใจว่าเราจะเกลื่อนไว้ เราจะไม่เห็นทุกข์ของเรา เราจะพยายามผลักไส แล้วจะไปหาเอาเรื่องตื่นเงา เรื่องการตลาด ถ้าธรรมะการตลาด ธรรมะในปัจจุบัน ดูสิ! เป็นเรื่องของทาน เป็นเรื่องของธรรมะเด็กๆ เรานะ

ในแก่นของศาสนา เรื่องของศาสนาต้องมีแก่น แก่นของศาสนาอยู่ที่ไหน? แก่นของศาสนา อยู่ที่หัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมที่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระเทวทัตเวลาอยากปกครองสงฆ์ จะปกครองสงฆ์แล้วขอพร ๕ อย่าง ขอให้อยู่โคนไม้ประจำ ขอให้อยู่โคนไม้เป็นวัตร ขอให้ไม่ฉันเนื้อสัตว์เป็นวัตร การขอต่างๆ อย่างนี้ มันเป็นการขอโดยเล่ห์ มันไม่เป็นการขอโดยสัมมา

สัมมาทิฏฐิ คือความถูกต้อง คนเราจริตนิสัยไม่เหมือนกัน ใครจะมีจริตอย่างไรแล้วแต่ ใครมีความพอใจ ใครจะทำก็ทำ ทำขึ้นมาเพื่อความสงบของใจ เพื่อเป็นประโยชน์ของใจ สิ่งที่เป็นความสงบของใจ สิ่งต่างๆ ที่ใครจะกระทำอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่สามารถจะเข้าไปทำ หรือทำสิ่งต่างๆ ให้เข้าถึงใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะธรรมนี้มันเป็นแก่นของศาสนา

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมนี้มาจากไหน? ธรรมนี้ลอยมาจากฟ้าหรือ? แต่ในปัจจุบันเราไปศึกษาธรรมนะ ศึกษาโดยภาคปริยัติ ศึกษาธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เขามีสิทธิทางปัญญานะ เราจะไปก๊อปปี้เขามา เขาเรียกลิขสิทธิ์นะ

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เมตตามาก วางธรรมไว้ให้เราก้าวเดินนะ แต่เราก้าวเดินโดยธรรมหรือก้าวเดินโดยกิเลสล่ะ? ถ้าก้าวเดินโดยกิเลสนะ สิ่งนี้เราแปรเป็นสินค้าหมดเลย สิ่งต่างๆ นี่เราแปรเป็นผลประโยชน์ได้หมดเลย ถ้ามันมาแปรเป็นผลประโยชน์มันจะเข้าอะไรกับเรื่องการกำจัดกิเลส

สิ่งที่จะกำจัดกิเลส คือ ข้อวัตรปฏิบัติ คือ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ ข้อวัตรปฏิบัติ รถต้องวิ่งไปบนถนนนะ นี่รัฐบาล สิ่งที่อำนาจรัฐ เขาจะอำนวยความสะดวก สาธารณูปโภคให้กับประชาชนนะ ได้การคมนาคมสะดวก นี่ก็เหมือนกัน ในศาสนา ครูบาอาจารย์ของเราวางธรรมวินัยไว้ให้เราก้าวเดินนะ

การทำข้อวัตรปฏิบัติ การทำข้อวัตรนะ เราจะทำตามแต่ใจของเราเอง เราทำความสะดวกสบายตามแต่ใจของเรา ถ้าสิ่งใดมันสะดวกมันพอใจ สิ่งนั้นว่ามันเป็นความถูกใจเรา เราจะพอใจ นั่นแหละมันพอใจกิเลส

เพราะสิ่งต่างๆ ในศาสนา บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เวลามารจะพยายามอาราธนาให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานนะ

“มารเอย บัดใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมปรินิพพาน”

จนถึงวันมาฆบูชา มารดลใจอีก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“มารเอย บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน”

กล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ กล่าวแก้ๆ การกล่าวแก้ กล่าวแก้อะไร? กล่าวแก้ในสิ่งที่เป็นมิจฉาหรือเป็นสัมมาล่ะ? ถ้าเป็นสัมมานะ เราทำขึ้นไป มันจะเข้าไปดัดแปลงใจของเราว่าเป็นสัมมา ความเป็นสัมมามันจะย้อนกลับเข้ามาเรื่องในตัวของเราทั้งนั้น นรก สวรรค์ ไม่มี สิ่งใดก็ไม่มี มีแต่เรื่องปัจจุบัน มีแต่เรื่องสิ่งที่เป็นผลประโยชน์กับเรา ที่เป็นผลประโยชน์นะ

นี่มันเป็นศีลธรรม จริยธรรม ดูสิ! ในลัทธิศาสนาต่างๆ เขาก็สอนกัน เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เป็นคนดีนะ แม้แต่สัตว์มันก็รู้จัก มันรู้จักของมันนะ สัตว์ที่กตัญญูมันจะดูแลพ่อแม่ของมัน มันจะทำความดี สัตว์มันก็ทำได้ ศีลธรรม จริยธรรมมันเป็นเรื่องโดยธรรมชาติ โดยสามัญสำนึก

แต่อริยสัจมันเกิดมาจากไหน? ถ้าอริยสัจมันเกิดมาจากใจ นี่ใจ เรื่องในใจแท้ๆ เลยนะ บอกว่า นรก สวรรค์ เป็นเรื่องไกลตัว เรื่องไกลตัวนะ แล้วถ้ามันเป็นเรื่องการตลาดทำไมมันไม่ไกลตัวล่ะ? สิ่งที่ไกลตัวมันไกลที่ไหน? เวลามันสุข เวลามันทุกข์ ทุกข์ที่ไหน? เวลาเจ็บปวดแสบร้อนมันเจ็บปวดที่ไหน? มันเจ็บปวดแสบร้อนในใจทั้งนั้นนะ เรื่องในหัวใจเลย

ถ้าคนยังไม่เคยประพฤติปฏิบัติ คนยังไม่เข้าใจเรื่องสัจจะความจริงในหัวใจนะ มันจะเห็นสิ่งนี้มันเป็นเรื่องสุดเอื้อม สุดคว้านะ ในศาสนาของเรา ให้ถึงที่สุดคือ พระนิพพาน เป้าหมายของศาสนานี่ถึงพระนิพพานนะ เพราะพระนิพพานมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในเป้าหมาย อธิษฐานบารมี บารมี ๑o ทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันบารมี ๑o ทัศ

แล้วเวลาเราตั้งเป้าหมายกันว่า เราอยากจะสิ้นสุดแห่งทุกข์ ทุกคนไม่กล้าตั้งเป้าหมาย แล้วเวลาปรารถนาขึ้นมา พระที่เป็นการตลาด พระที่ไม่เข้าใจเรื่องความหมายในหัวใจ จะบอกว่าสิ่งนี้เป็นการค้ากำไรเกินควร แต่เวลาเขาค้าอยู่ เขาหาผลประโยชน์อยู่ เขาไม่บอกเขาค้าเลยนะ เวลาหาผลประโยชน์ใส่กระเป๋า เห็นเป็นธรรมะการตลาด เขาไม่เคยพูดว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมะการตลาด

แต่เวลาเราตั้งเป้าเป็นอธิษฐานบารมี ว่าเราตักบาตร ๑ ทัพพี เราอยากปรารถนาพระนิพพาน มันทำไมจะปรารถนาไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของนามธรรม เป็นเรื่องของเป้าหมาย ที่เราจะปรารถนาถึงที่สุดแห่งทุกข์ ที่สุดแห่งทุกข์เพราะอะไร? เพราะเราตักบาตร เราเสียสละทาน พอสละทานขึ้นไปนะ เราอธิษฐานให้หัวใจเรามีหลักมีเกณฑ์ เพราะเรามีเป้าหมายแล้ว เราจะทำใจเราให้ถึงเป้าหมายนั้น มันจะค้ากำไรที่ไหน มันไม่ได้ค้ากำไรเลย มันเป็นอธิษฐานบารมี

เหมือนทางโลกนะ เขาจะทำสิ่งใด เขาต้องมีเป้าหมายของเขา ถ้ามีเป้าหมายของเขาแล้วเขาพยายามจะทำให้ถึงเป้าหมายของเขา สิ่งที่ทำให้ถึงเป้าหมายนั้นผิดไหม? มันไม่ผิดสักนิดหนึ่งเลย แต่เพราะอะไร? เพราะเห็นว่าข้างในหัวใจของเรามันไม่มีสิ่งใดเป็นหลักค้ำประกัน มันไม่เข้าใจว่าคนเราที่เกิดมา มีจิตนะ มีวิญญาณนะ จิตวิญญาณเป็นภาชนะที่รับธรรม

พระไตรปิฎกมันเป็นกระดาษที่พิมพ์ออกมาเป็นตัวอักษร มันเป็นหมึกมันไม่มีชีวิตนะ แต่หัวใจของเรา ความรู้สึก..สมาธิก็รู้สึกว่าสมาธิ ปัญญาเกิดขึ้น โลกียปัญญา ปัญญาแบบโลกๆ ปัญญาแบบก๊อปปี้มา ปัญญาแบบจำมาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็รู้ เพราะอะไร? เพราะมันทำให้เราชำระกิเลสไม่ได้

แต่เมื่อใดถ้าเราประพฤติปฏิบัติเข้าไป พอจิตของเราละเอียดเข้าไป ปัญญาที่เราเกิดขึ้นมาจากภาวนามยปัญญา ถ้าเกิดจากภาวนามยปัญญามันชำระกิเลสของเรา มันทำให้กิเลสของเราอยู่ในการควบคุมของเรา การควบคุมนะ นี่ไง ความสุขมันเกิดที่นี่

ถ้าความสุขมันเกิดมาจากจิตของเรา แล้วทำไมเวลาเราจะภาวนากัน เราจะตั้งใจกล่อมเลี้ยงหัวใจของเรา แล้วสิ่งนี้มันบอกทำไม่ได้ เป็นการค้ากำไรเกินควร อ้อ! เราเป็นมนุษย์ อยากจะตั้งเป้าหมายถึงนิพพานมันไม่คิดเกินเลยไปหรือ? เพราะอะไร? เพราะมันไปคิดแต่เรื่องของโลกๆ เพราะไปคิดเรื่องของโลก มันก็เป็นเรื่องของโลกๆ ถ้าคิดเป็นเรื่องธรรม เรื่องของธรรมะนะ

ในสมัยพุทธกาลมีสามเณรเป็นพระอรหันต์ แล้วมีพระภิกษุเข้าไปลูบหัวเล่น “สามเณรไม่อยากสึกหรือ?” สามเณรเห็นไหม มีพระอรหันต์สมัยพุทธกาลได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แต่ด้วยนิสัยนะ เวลาเจอคฤหัสถ์ชอบพูดว่า ไอ้ถ่อยไปไหน ไอ้ถ่อยๆ ถ้าภาษาเราเดี๋ยวนี้เขาเรียก... แล้วไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า สิ่งนี้มันเป็นมาได้อย่างไร? คำพูดเขามันเป็นกิริยา แต่ใจเป็นพระอรหันต์นะ

ไอ้ถ่อยไปไหน คนนั้นเขามีอาชีพจะไปค้าดีปลี เอาไปขาย ก็เลยบอกไอ้ถ่อยจะไปที่นั่น ก็โต้ตอบไง กรรมมันเกิดทันที ดีปลีกลายเป็นขี้หนูเลย ไปถึง พอไปส่งบอกว่าดีปลีกลายเป็นขี้หนู ก็คนที่..เขาว่าตอนมาเจออะไร เจอพระอรหันต์ แล้วพูดอย่างนี้ไป ให้กลับไปขอขมา ขี้หนูกลับมาเป็นดีปลีได้นะ

สิ่งที่มหัศจรรย์ในศาสนามีมากนะ แต่มันจะเป็นประสบการณ์ตรงของจิตดวงนั้น จิตดวงไหนก็แล้วแต่ ถ้ามันมีเหตุการณ์กระทบ มันจะย้อนกลับมา มันเป็นปัจจัตตังของใจดวงนั้น

สิ่งที่ใจดวงนั้น มันอยู่ข้างในหัวใจเรานะ แล้วเวลามันทุกข์นะ เวลามันทุกข์มันยาก สิ่งนี้นรกในใจ แล้วเวลาเกิดนรกในใจ เก็บไว้ในใจนะ ปั้นหน้าใส่กันว่ามีความสุข สุขดีไหม? สุข! ที่ไหนสุข? มันไม่มีสุขหรอก อย่าโกหก คนเกิดมาในโลกนี้ไม่มีความสุขเลย ทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์ทุกดวงใจ แต่ด้วยมารยาทสังคม สบายดีๆ มีความสุข มันไม่มีหรอก เพียงแต่เราจะยอมรับความจริงไหม

อริยสัจเป็นความจริง แม้แต่การขับเคลื่อนความเป็นอยู่เรานี่ทุกข์ทั้งนั้น ให้นอนอยู่เฉยๆ ไม่กระดุกกระดิกเลยมันก็ทุกข์ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้เลย

โดยสรรพสิ่งคนเกิดมาโดยกิเลส มีความทุกข์ทุกดวงใจ แล้วความทุกข์อันนี้ในศาสนาเราให้แก้ไขตรงนี้ ถ้าให้แก้ไขตรงนี้ ย้อนกลับมา ทุกข์ขึ้นมาเพราะอะไร? เพราะเราเป็นอวิชชา เราไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ ใดๆ ทั้งสิ้น แล้วโดนอวิชชาปิดบังตาไว้

เวลามันเวียนตายเวียนเกิดก็ไม่เข้าใจ แล้วเวียนตายเวียนเกิดมากี่รอบ บอกว่า นรก สวรรค์ เป็นเรื่องไกลตัว ทั้งๆ ที่ตัวเองเกิดตาย ทั้งๆ ที่เราเกิดมา

ถ้าคนเราไม่เคยเกิดไม่เคยตายนะ พอไม่พูดถึงผีทุกคนไม่เสียวสยองหรอก ทุกคนจะเสียวสยองเลย แล้วเข้าไปในที่มืดทุกคนจะกลัวมาก กลัวสิ่งที่เป็นความมืด กลัวหมดเลย เพราะมีสัญชาตญาณ ทั้งๆ ที่ไอ้ผีตัวนี้ ไอ้ผีตัวที่ไปหาเขา มันทำไมไม่กลัว ถ้ามันกลัว กลัวตัวนี้ เพราะกลัวมันจะคิดทำอย่างอื่นไม่ได้

คนเราถ้ากลัว ถ้ามีสติสัมปชัญญะ ความคิดจะอยู่กับเรา สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เพราะความคิด เราคิดมาก พอโลกเกิดเราบริหารจัดการ การบริหารจัดการด้วยอะไร? ด้วยความคิด นี่ส่งออกหมดเลย ส่งออกไปเอาอะไรเข้ามา? เอาแต่เรื่องตัณหาความทะยานอยาก สมุทัยทั้งนั้น

แล้วเวลาศึกษาธรรมขึ้นมาก็ศึกษาโดยสมุทัยทั้งนั้น ในเมื่อสมุทัยซ้อนด้วยสมุทัย มันจะเป็นมรรคขึ้นมาได้อย่างไร? แต่ในเมื่อเราตั้งสติไว้ ยังเป็นสมุทัยก็ให้เป็นสมุทัยไปก่อน สิ่งที่เป็นสมุทัย สมุทัยเกิดจากอะไร? ตัณหาความทะยานอยาก

ในเมื่อเราปรารถนาถึงที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ ในเมื่อคนปรารถนาที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ มันควรทำการงานได้ขนาดไหน? ควรทำงานจากภายใน งานภายในกิจญาณ ในธรรมจักร กิจญาณ สัจญาณ ถ้ากิจญาณไม่เกิดขึ้นมา คนๆ นั้นจะไม่รู้ความจริง มันเป็นสิ่งที่เราศึกษามาจากข้างนอกทั้งหมด แล้วเวลาสัจญาณอย่างนี้ สัจจะ กิจจะ มันเกิดจากไหน? มันเกิดจากการกระทำ

การกระทำอย่างนี้มันไปทำอะไร? มันไปทำให้ใจสะอาด สิ่งที่สะอาดแล้วมันทำอะไรต่อไป? สิ่งที่สะอาดแล้ว มันก็ไม่ไปเกิดใน นรก สวรรค์ ใจดวงนี้มันต้องไปเกิดใน นรก สวรรค์ แน่นอน ถ้ามันตายไป มันเป็นเรื่องในใจนะ เรื่องในตัวเลย แต่บอกว่าเรื่องไกลตัว สิ่งนี้เป็นเรื่องไกลตัวมาก

ถ้าเป็นเรื่องสัพเพเหระ สัพเพเหระคือ การชักนำกันไป ในสิ่งที่ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์กับใจเราเลยนะ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับใจ ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ หนึ่ง อะไรที่เราจะทำขึ้นมาเพื่อตอบสนองกับตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่ตอบสนองตัณหาความทะยานอยากโดยมารยาทสังคม ทุกอย่างเป็นมารยาทสังคม แล้วมารยาทสังคมก็ดึงกันไป สิ่งที่ดึงกันไปมันมีอะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง สิ่งที่ได้มา ได้เสียพลังงาน เสียทรัพย์ เสียทุกๆ อย่างเลย

แต่ถ้าเป็นของเราจะเสียทรัพย์ มันก็เสียขึ้นมาเพื่อสละความตระหนี่ มันตระหนี่ ถี่เหนียวขนาดไหน เราจะเสียสละนี้ออกไป เสียสละออกไปเพื่ออะไร? เพื่อที่จิตมันมั่นคง

เราต้องการความสงบ ต้องการสิ่งต่างๆ ในหัวใจ มันเกิดมาจากไหน? ถ้าว่าอยากได้ความสงบ เราจะไปพิมพ์หนังสือนะ สงบๆๆ เป็นล้านๆ ตัวเลย แต่มันก็ไม่สงบ มันไม่เกี่ยวกันเลย มันจะสงบ มันสงบที่ในหัวใจ

ถ้าใจมันสงบเข้ามานะ มันจะเห็นคุณค่า คนจะเห็นคุณค่าตรงนี้ ทำไมเราเสียสละกันได้ ดูสิ! คนมีฐานะขนาดไหน ทำไมเสียสละ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้เป็นกษัตริย์อยู่แล้ว ทิ้งมาได้อย่างไร?

แล้วกษัตริย์ในสมัยโบราณออกบวช เป็นพระอรหันต์ สุขหนอ สุขหนอ จนพระเขาว่าคิดถึงฐานะกษัตริย์ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกมาถามว่า “เธอกล่าวอย่างนั้นจริงหรือ? ” “จริงครับ” เพราะอะไร? เพราะสมัยที่เป็นกษัตริย์นะ โอ้โฮ! ทุกข์มาก นอนอยู่ จะทำอะไรอยู่ มันมีแต่ความทุกข์ เพราะอะไร? เพราะอำนาจ อำนาจถ้ารักษาไม่ดี อำนาจจะกลับมาทำลายเรา

แต่ขณะที่เสียสละออกมาบวชเป็นพระ แล้วออกอยู่โคนไม้ ประพฤติปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ นอนอยู่โคนไม้มันสบาย มันปลอดภัย มันไม่มีใครมาแย่งชิง เพราะไม่มีใครแย่งชิงอยู่โคนไม้หรอก โคนไม้ใครๆ ก็อยู่ได้ แล้วใจมันสงบขึ้นมา นี่บัลลังก์กษัตริย์นะกับโคนต้นไม้ อันไหนมีความสุขกว่ากัน?

สิ่งที่มีความสุขมันความสุขอยู่ที่นี่ ถ้าความสุขอยู่ที่นี่ ศาสนาเราเรียบง่ายมาก สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาจากภายใน ถ้าสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาจากภายใน ภายในนะ ถ้าภายในโดยสัจจะความจริง มันจะเป็นภายในอย่างนี้

แต่ถ้าเป็นภายในโดยเล่ห์ ดูสิ! เวลาประพฤติปฏิบัติกัน ก็ประพฤติปฏิบัติโดยประเพณี เราไปเที่ยวป่าช้ากัน เราไปเที่ยวป่าช้าไปกรรมฐานกัน ไปเพื่ออะไร? คนเรานะมันมีสิ่งที่ยอกใจอยู่ สิ่งที่ยอกในหัวใจอยู่ใครๆ ก็รื้อค้นไม่ได้ พระเราออกธุดงค์เพื่ออะไร? ธุดงค์ไป ถ้าพูดถึงทางวิทยาศาสตร์นะ ได้แต่ความทุกข์ความลำบาก ได้แต่เหงื่อ ได้สิ่งต่างๆ

แต่ถ้าโดยหัวใจนะ เพราะอะไร? เพราะมันลังเลสงสัย เพราะมันยึดมั่นถือมั่น เหมือนกับสิ่งที่เป็นสกรู สิ่งที่เป็นนอต ที่มันไขไว้แน่นจนมันมีสนิมมากเลยเกาะ เขาจึงหยอดน้ำมันแล้วเขาค่อยเคาะมัน เคาะมันเพื่ออะไร? แล้วค่อยคลายมันออกมา

จิตก็เหมือนกัน มันยึดมั่นถือมั่น มันถือว่าตัวเองรู้ ตัวเองเก่ง รู้ไปหมดเลย แล้วเวลาออกไปธุดงค์ มันลำบากมาก มันจะเสี่ยงกับการดำรงชีวิตนะ การไปบิณฑบาต ไปเช้าเขาก็ไม่ทัน ไปสายเขาก็เก็บแล้ว ไปสถานที่ต่างๆ การดำรงชีวิตของเราไม่มีอะไรแน่นอนเลย เราอยู่ ชีวิตของเรามันจะไม่มีอะไรแน่นอน

แล้วเข้าไปในป่าช้า ไปอะไรต่างๆ ไปเที่ยวป่าเที่ยวเขาเพื่ออะไร? เพื่อดึงความวิตกกังวลนี้ออกมา ถ้าเห็นความวิตกกังวล เราพิจารณาด้วยปัญญา ในเมื่อเรามีบริขาร ๘ การดำรงชีวิตอย่างนี้ ถ้าเราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เราบวชมาได้บริขาร ๘ จะดำรงชีวิตได้ แล้วถ้าดำรงชีวิตอย่างนี้ไม่ได้ เราจะเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงหรือไม่จริง ถ้ามันไม่จริงเราก็โลเล

การประพฤติปฏิบัติ การออกธุดงค์ เพื่อจะขัดเกลา ดึงกิเลสออกมา ฆ่ากิเลสนี่เป็นความดีนะ แต่เราไม่เคยเห็นกิเลสกัน เราจะฆ่าอย่างไร ?

แต่ถ้าเป็นประพฤติปฏิบัติโดยพิธีกรรมนะ เดี๋ยวนี้เวลาไปธุดงค์ เวลาไปป่าช้า เขาไปปิกนิกกัน เขาไปกันเป็นขบวนการ ขบวนการผีมันกลัว ผีมันหนีหมด แล้วไปอย่างนั้นไปทำไม? เวลาไปนะจัดขบวนไปเลย เอาอาหารไปวางไว้หน้าก่อน มีรถเสบียงไปจอดไว้ข้างหน้า แล้วพระก็ตามไป แล้วก็ไปสนุกครึกครื้นกัน นี่ไง! นรก สวรรค์ มันเป็นเรื่องภายนอก มันเป็นเรื่องไกลตัว ก็เรื่องไกลตัว เพราะตัวมันกลัว ตัวเองไม่กล้าทำสิ่งใดๆ เลย ก็เอาสิ่งนี้มาเป็นธุรกิจการค้า

แต่ถ้ามันเป็นธรรมนะ ไปคนเดียว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ไปแบบหน่อแรด ให้ไปหนึ่งเดียว เพราะไปแบบหน่อแรด มันเข้าไปไม่มีใครจะช่วยเราหรอก สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมา พระกรรมฐานเราอยู่ในป่าในเขานะ เวลาจะเจอสิ่งต่างๆ เจอสัตว์ร้าย เจออะไรนี่มันจะเจอ ถ้าเจอขึ้นมา มันอยู่ที่กรรมของแต่ละบุคคลนะ เราถ้าไม่ได้สร้างกรรมมา จะเจอสิ่งใดไม่มีปัญหาหรอก เวลาเสือนะ นรก สวรรค์ มีหรือไม่มี ถ้าเสือมันตัวใหญ่ผิดปกติมันจะเป็นเสือเทพ แต่ถ้าเป็นเสือโดยธรรมชาติ มันก็เป็นสัตว์มีความสัมพันธ์กันมา

เวลาพระนาคิตะเป็นผู้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดินจงกรมอยู่นะ เดินจงกรมอยู่ในป่า แล้วคฤหัสถ์เขาไปเที่ยวเล่นกัน เขาขับรำทำเพลงไปนะ พระนาคิตะเดินจงกรมอยู่ แล้วเศร้าใจ ทำไมโลกเขามีความสุขครึกครื้นกัน เราเป็นสัตว์ไร้เจ้าของ เราเป็นสัตว์ไม่มีเจ้าของ เราเป็นผู้ทุกข์ผู้ยาก เดินจงกรมอยู่ในป่านะ

เทวดามากลางอากาศ ยับยั้งอยู่กลางอากาศ แล้วบอกเลยว่า ที่เขาไปสนุกครึกครื้นกัน เขาไปอยู่ในวัฏสงสาร เขายังเวียนตายเวียนเกิดอยู่นะ คนที่มีประโยชน์นั่นคือท่านต่างหาก เพราะท่านหลีกเร้นมาอยู่ในป่าในเขา เพราะท่านหลีกเร้นมาเพื่อหาตนเอง ท่านต่างหากเป็นผู้ประเสริฐนะ

คืนนั้นพระนาคิตะดึงจิตกลับมา เพราะถ้ามันน้อยเนื้อต่ำใจ มันจะคิดถึง ส่งออกใช่ไหม? ดูสิ ผู้คฤหัสถ์ญาติโยมเขามีความสุข เขามีความครึกครื้นในชีวิต ชีวิตเขามีความร่มเย็น ชีวิตเรามีแต่ความเศร้าหมอง ชีวิตเราอยู่อย่างอับเฉา ถ้ามันคิดอย่างนี้ไป จิตส่งออก เหมือนพระอานนท์ พระอานนท์นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ว่า อานนท์ถ้าเราตายไปแล้วจะมีการสังคายนา เธอจะสำเร็จในวันสังคายนา

พระอานนท์ก็ผูกใจกับคำนี้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเราจะสำเร็จวันสังคายนา เราจะสำเร็จกับจิตมันคนละอันกัน จิตเป็นจิตแต่ไปผูก ส่งออกไง พระนาคิตะก็เหมือนกัน เวลาย้อนกลับมาถึงจิตของตัวเอง คืนนั้นพระนาคิตะเป็นพระอรหันต์ คืนวันสังคายนาพระอานนท์ก็เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์เพราะจิตมันย้อนกลับมา เพราะปัญญาธรรมจักรมันย้อนกลับมาที่จิต

ถ้าย้อนกลับมาที่จิต มันทำลายที่จิต ทำลายกิเลสที่จิต แล้วพอทำลายที่จิตมันไม่ไปเกิดอีก มันไม่ไปเกิด มันก็ไม่ไป นรก สวรรค์ นรก สวรรค์เป็นวัฏฏะ เป็นที่พักของใจ รถวิ่งมาต้องมีสถานีนะ สถานีที่ให้รถจอด มันมีสถานี จิตเวลาเวียนตายเวียนเกิดมันมีที่พักของมัน มันมีสถานีของมัน

ก็เรานี่แหละไปเกิดในนรก ในสวรรค์ เกิดทั้งนั้น แล้วถ้ามันจะไปเกิดเพราะอะไร? มันไปเกิดเพราะสวรรค์ในอกนรกในใจ ทำดีมันไปเกิดบนสวรรค์ ทำชั่วไปเกิดในนรก มันเป็นสถานที่จอดพักของรถเมล์

จิตนี้มันเป็นรถเมล์ มันต้องรับส่ง รับส่งกรรมมัน กรรมมันจะขับเคลื่อนจิตนี้ไป แล้วบอกว่าเป็นเรื่องไกลตัว เรื่องในตัวเลย เรื่องในใจทั้งนั้นเลย เพียงแต่มันเป็นเรื่อง ของนรกสวรรค์ มันเป็นวัฏฏะใช่ไหม? แต่นี่มันมีจริง

มันมีจริงต่อเมื่อเราวิปัสสนาเข้าไป เราจะเห็นจริง เราจะเห็นแต่ความเป็นจริง เพราะสิ่งนี้มันเป็นข้อมูลของใจ ถ้าข้อมูลของใจ เราลบข้อมูลของใจไม่ได้นะ เราจะชำระกิเลสได้อย่างไร? กิเลสมันอยู่ในใจ ถ้ามันอยู่ในใจ จิตมันต้องสงบเข้ามาก่อน ถ้าจิตไม่สงบเข้ามา เราเข้าถึงข้อมูลไม่ได้

ดูสิ! เวลาคอมพิวเตอร์เราเสีย เราจะไปแก้กันที่ไหน? มันเสีย เสียเพราะอะไร? เพราะมันขัดข้อง เครื่องยนต์กลไกมันจะขัดข้องหรือข้อมูลมันขัดข้อง นี่ก็เหมือนกัน ร่างกายของเราเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ข้อมูล คือ หัวใจ แล้วเราจะแก้ไขกันอย่างไร? คอมพิวเตอร์มันเป็นเครื่อง มันเป็นวัตถุ มันอยู่คงที่ให้เราแก้ แต่ใจเรามันเคลื่อนตลอด ร่างกายชีวิตเราเคลื่อนไปตลอด เขาให้โอกาสให้เราแก้ชั่วชีวิตนี้ ถ้าหมดชีวิตนี้ไปแล้วไม่มีโอกาสแก้ คอมพิวเตอร์อยู่อย่างนั้นแก้เมื่อไรก็ได้

ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะ มันจะเห็นคุณค่า วันเวลาของเรามีคุณค่ามาก นี่ยักษ์นะ ยักษ์กลืนกินเรา กลางวันกลางคืนๆ ยักษ์สองตาจะกินตลอด วันเวลากินเราตลอดไปนะ ชีวิต อายุที่ได้มาคือโอกาสที่เราเสียไป เราเสียไปขนาดนี้แล้ว

ถ้าเราตั้งสติขึ้นมา เวลาเราประพฤติปฏิบัติ ขณะที่ร่างกายยังแข็งแรง ขณะที่จิตใจยังเข้มแข็งอยู่ เราจะประพฤติปฏิบัติในสิ่งนี้ ในเมื่อมันเป็นอธิษฐานบารมี เราตั้งเป้า ถ้าเราตั้งเป้า เราอาศัยร่างกายที่แข็งแรงนี้ดำเนินการไป ถ้าเราตั้งเป้าแล้วเราไม่ทำ เพราะอะไร? เพราะเราทำไม่ได้ ทำไม่ไหว การทำไม่ได้ทำไม่ไหวเพราะอะไร?

อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา ให้คบบัณฑิตอย่าคบคนพาล บัณฑิตจะพาไปไหน บัณฑิตจะพาไปในสิ่งที่ดีๆ คนพาลจะทำให้เราสำมะเลเทเมา ทำให้เราหยำเปไปกับโลก บอกนรกสวรรค์เป็นเรื่องนอกตัว มันจะนอกไปไหน มันอยู่ในนี้ ถ้าอยู่ในนี้ เราจะแก้ไขในนี้ ถ้าแก้ในนี้ คบบัณฑิต บัณฑิตจะพาเข้ามาข้างใน พาเข้ามาทำสิ่งที่ดีๆ

แล้วถ้าความคิดที่ชั่ว ความคิดที่ไม่ดี ที่พาล พาลนอกพาลใน พาลโดยมนุษย์ พาลโดยความคิด ความคิดที่ดี ที่ว่าสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพชอบ เราก็ว่าการประกอบอาชีพเป็นสัมมาอาชีวะ อันนั้นมันเป็นมรรคของคฤหัสถ์ มรรคของในศาสนาเรา มันเป็นมรรคจากข้างใน เลี้ยงชีพชอบ คบคนพาลเลี้ยงชีพผิด คิดผิดคิดในสิ่งไม่ดี คิดสิ่งที่มันเห็นแก่ตัว เลี้ยงชีพผิด

ถ้าคิดแต่สิ่งที่ดี เพราะอะไร? เพราะวิญญาณความรู้สึกมันเป็นอารมณ์ จิตกินอารมณ์เป็นอาหาร จิตถ้าไม่มีอารมณ์จะเหมือนน้ำ น้ำถ้าไม่มีสี อยู่ในภาชนะเราจะไม่เห็นน้ำเลย ถ้าเราเติมสีเขียวสีแดงลงไป เราจะได้น้ำสีเขียวน้ำสีแดง ความคิดไม่มี เราไม่ได้คิดขึ้นมา ใจอยู่ไหน?

แต่เวลาคิดขึ้นมา ใจมีแล้ว ทุกข์ละ! คายพิษออกมาละ! คิดทีไรคายพิษออกมาแล้ว สิ่งที่คายพิษออกมา สิ่งนี้มันเกิดมาจากใจทั้งนั้น ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นมาจากใจ มันเวียนไปเวียนมา มันเหยียบย่ำเราในหัวใจ กิเลสมันเหยียบย่ำในหัวใจ

แล้วเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังบอกว่าสิ่งนั้นไม่มี สิ่งนี้ไม่มี ความเป็นไปมันไม่มีเพราะมันยอกใจ ยอกใจเพราะอะไร? เพราะมือเราสกปรก มือเราเป็นบาดแผล มือเราไม่กล้าจะไปหยิบ ไม่กล้าจะไปลงในน้ำเกลือ มือเรามีบาดแผล มือเราจะไม่กล้าหยิบภาชนะที่เป็นสารพิษเลย

แต่ถ้ามือเราปกติ มือเราไม่มีบาดแผล เราจะทำสิ่งใดก็ได้ ถ้าเราทำสิ่งใด สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับชีวิต สิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา เพราะเราซื่อตรงกับศาสนา เราถือศีล ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล กลิ่นของศีลจะหอมทวนลม กลิ่นของศีลนะ ! กลิ่นของดอกไม้มันไปตามลม กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรม ดูสิ! ในครอบครัวของเรา เด็กคนไหน ครอบครัวไหน ลูกดีอะไรดี พ่อแม่ปู่ย่าตายายเขาจะชมเชยลูกของเขา ผู้เฒ่าผู้แก่เขาเห็นเด็กคนนี้ดี เขาจะพูดแต่เด็กคนนี้ดี

นี่ไง คุณธรรม มันหอมทวนลม กลิ่นของศีลมันหอมทวนลม กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรม กลิ่นของศีลหอมทวนลมจนขนาดที่ว่า เทวดายังมายับยั้งอยู่กลางอากาศ เตือนพระนาคิตะ เพราะอะไร? เพราะสิ่งที่มันจะเป็นประโยชน์ ทุกคนนะ เทวดานะมันก็เหมือนเรา เทวดาเป็นมิจฉาทิฏฐิก็มี สัมมาทิฏฐิก็มี เทวดามากลั่นมาแกล้งมาทำลายก็มี เทวดามาส่งเสริมก็มี มันอยู่ที่เวรที่กรรมของแต่ละบุคคล

เวรกรรมของแต่ละบุคคล มันเกิดมาจากไหน? เกิดมาจากกระทำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว “สิ่งใดทำแล้วนึกได้ทีหลังเสียใจร้องไห้ สิ่งนั้นไม่ดีเลย” แล้วสิ่งที่ไม่ดี ทำไมไม่มีสติสัมปชัญญะยับยั้งมันล่ะ? เห็นไหม นี่กรรมฐาน

กรรมฐานนี่ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันธรรมมันต้องปัจจุบันในสมาธิ ปัจจุบันที่เราคิดกันนี่มันเคลื่อนแล้ว มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ขณะที่พูดอยู่ใครเป็นคนสั่งให้พูด จิตมันสั่งให้พูด จิตมันหมุนออกไป มันสั่งให้พูด แล้วสั่งออกมา ขณะพูดออกมานี่มันก็เป็นอดีตอนาคตแล้ว มันถึงต้องย้อนกลับๆ

การย้อนกลับ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่ไง กรรมฐานนะ สิ่งที่เป็นกรรมฐานเพราะอะไร? เพราะฐานที่ตั้งแห่งการงาน ฐานที่ตั้งแห่งการงานแล้วมันอยู่ที่ไหน? มันอยู่ที่จิต ถ้าเราไม่เข้าไปถึงที่จิต เราจะไปทำงานกันที่ไหน?

ถ้าเราเข้าถึงที่จิต ถ้ามันทำสมาธิได้ มันจะเข้ามาที่จิต ถ้าเข้ามาที่จิต กำหนดอย่างไรก็ได้ขอให้เรามีความตั้งใจ ให้มันเป็นความเพียรชอบ ความเพียรความอุตสาหะเป็นมรรคนะ แต่เราจะเอาชุบมือเปิบ ชุบมือเปิบว่าอะไรก็ให้มันลอยมาจากฟ้า ถือศาสนาก็อ้อนวอนเอา ทำดีๆ กว่าขอพรนะ สิ่งที่ให้พรจากผู้ใหญ่ให้พรเด็ก ผู้ใหญ่เขาจะให้พรเด็ก เด็กได้สิ่งนั้นมา มันเป็นมงคลชีวิต

แต่ครูบาอาจารย์ของเรา เราก็ว่าให้พร พรอย่างนั้นเราก็พอใจ พรอย่างนั้นแต่มันเป็นมรรคไหม? อาหารเขาให้มาอย่างไรมันอยู่ข้างนอก กับอาหารในกระเพาะเรามันให้ค่าต่างกันนะ คือว่าสิ่งที่การกระทำในการนั่งสมาธิภาวนา ในการเดินจงกรม มันเกิดจากการกระทำของเรา กิจญาณ กิจจากข้างนอกแล้วเป็นกิจจากข้างใน ถ้ากิจจากข้างในมันเกิด มันเป็นสัมมาสมาธิ แล้วมันเคลื่อนออกไป กิจญาณมันเกิดอย่างนี้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระปัญจวัคคีย์ เธอได้ยินไหมเราไม่เคยพูดเลยนะเราอยู่ด้วยมา ๖ ปี ไม่ใช่พระอรหันต์ก็บอกว่าไม่ใช่ แต่บัดนี้เราเป็นพระอรหันต์ จงเงี่ยหูลงฟัง เพราะมันมีวงรอบของกิจญาณ สัจญาณ สัจญาณตัวนี้ถ้าไม่มีวงรอบของการกระทำของจิต ไม่มีกิจกรรมในหัวใจ เราจะไม่ปฏิญาณตนว่าเราเป็นพระอรหันต์เลย

ในเมื่อมันมีแล้วให้เงี่ยหูลงฟัง พอเงี่ยหูลงฟัง จิตมันพร้อม พระอัญญาโกณฑัญญะอุปัฏฐากอยู่ ๖ ปี พออยู่ ๖ ปี ทำสมาธิพร้อมแล้ว แล้วบอกว่าเราใช้ปัญญากัน เดี๋ยวนี้ศึกษาต้องใช้ปัญญา ดูสิ! เวลาเทศน์สอนปัญจวัคคีย์ก็ไม่เห็นสอนสมาธิเลย ก็ของเขามี คนนะเขามีเงินในกระเป๋าแล้ว เขาเตรียมตัวที่จะซื้อสินค้า เราไปบอกให้เขาไปหาเงินก่อน คนสอนบ้าหรือคนฟังบ้า

ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดานะ รู้เรื่องจิต เรื่องวาระของจิต เรื่องความเป็นไปของจิต ในเมื่อเขามีพร้อมของเขา ก็ให้ออกทำงานเลย สิ่งที่ออกมรรค มรรค ๘ อาโลโก อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ ความสว่างเกิดขึ้น ปัญญาเกิดขึ้น สิ่งการกระทำของใจเกิดขึ้น

สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ความคิดมันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันก็ดับไปเป็นธรรมดา ธรรมดาของใคร? ธรรมดาของเรานะ สิ่งที่เกิดธรรมดา ธรรมดาของเรานะ ธรรมดาของเรามันธรรมดาที่ว่ามันเกิดแล้วดับไปแล้ว มันถ่ายทุกข์ไว้อยู่บนหัวใจเรา เรายังไม่เห็นเลย แล้วบอกว่างๆ ว่างๆ เป็นธรรมดาอย่างนั้น มันเห็นการกระทำ เห็นความเป็นไป มันเป็นธรรมดา มันธรรมดา สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วดับหมด แล้วเหลืออะไร? มันมีสิ่งเหลือนะ

ถ้าไม่มีสิ่งเหลือ จิตมันจะเคลื่อนไหว มันไปอย่างไร? เพราะอะไร? เพราะพระโสดาบันยังเกิดอีก ๗ ชาติ สิ่งที่เกิด ๗ ชาตินะ เกิดโดยอะไร? เพราะเป็นเทวดา เทวดาอริยบุคคลก็มี เทวดาปุถุชนก็มี เทวดามิจฉาทิฏฐิก็มี เทวดาสัมมาทิฏฐิก็มี สิ่งที่มีเพราะอะไร? เพราะจิตมันเคลื่อนไป มันเวียนไปนะ คนเราตายจากมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์ก็ได้

ตายนี่ ในลัทธิของพราหมณ์ บอกว่าสิ่งนี้เป็นอัตตา อัตตาเกิดคงที่ตลอดไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปฏิเสธ ในลัทธิบางศาสนาบอกว่าตายแล้วสูญ ไม่มีๆ ตายแล้วสูญไม่มี แล้วสิ่งใดที่เกิดขึ้นทำไมมันมี ทิฐิ ๒ ฝ่ายนี้พระพุทธเจ้าปฏิเสธมาตลอดเลย ปฏิเสธสิ่งนี้มาแล้ว

จิตนี้มีแต่ไม่คงที่ จิตนี้มีเวียนไปตามบุญตามกรรม ถ้าสร้างบุญไว้ บุญก็ทำให้เกิดในสิ่งที่ดี ถ้าสร้างทำบาป ไปเกิดในสิ่งที่ชั่ว แต่ถ้าสร้างไว้ปรารถนาเป็นมนุษย์ นักภาวนาของเรา เวลาว่าไปเกิดเป็นเทวดาคอตก เพราะวันเวลาเขายาวไกล เราต้องการให้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ขณะที่ศาสนายังรุ่งเรืองอยู่ ศาสนากำลังรุ่งเรือง รุ่งเรืองที่ไหน? รุ่งเรืองที่นี่ ศาสนาอยู่ที่นี่

ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัตถุ ศาสนาไม่ได้อยู่ที่ดินฟ้าอากาศ ศาสนาไม่ได้อยู่ที่ใดๆ เลย ศาสนา คือ ศาสนธรรม คือ อริยสัจ คือ ความจริง คือ การกระทำ ศาสนาอยู่ที่นี่ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เพราะธรรมในหัวใจเป็นธรรมขึ้นมา ถึงปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา

แล้วครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติในป่าในเขา ปฏิบัติขึ้นมาด้วยหัวใจ ถ้าหัวใจมันปฏิบัติขึ้นมา นี่ไง ศาสนามันเจริญที่นี่ แล้วเจริญที่นี่ สิ่งต่างๆ นี้เป็นเครื่องประกอบ เพียงแต่ศาสนา วัตถุโบราณของเราเขาทำมา เพราะกษัตริย์ในเมื่อมีความศรัทธา มีความเชื่อ ทำไว้มันเป็นอำนาจ เพราะเกิดมาจากสิ่งที่ว่าเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ชาติ คือ มนุษย์รวมกันขึ้นมานี้เป็นชาติ ศาสนาหลอมรวมขึ้นมา แล้วเอาสิ่งนี้มาเพื่อเป็นจุดหลอมรวม เป็นถึงกษัตริย์ เพื่อประโยชน์ มันเป็นเรื่องของการนำของสังคม

แต่ถ้าการนำของพระมันอยู่ที่นี่ อยู่ที่การกระทำของเรา ถ้าการกระทำของเราเกิดขึ้นมา มันจะย้อนกลับ มันจะเห็น สิ่งที่เป็นโสดาบันมันเป็นอย่างไร? สิ่งที่เป็นพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบันนะ เราพูดถึงอริยภูมิ เราไม่กล้าพูดกัน แล้วไม่กล้าหยิบ ไม่กล้าปรารถนา ว่ามันจะสุดเอื้อม แล้วเวลาเรากินข้าวกันทุกวัน เรากินทำไม? เราดำรงชีวิตทำไม? ดำรงชีวิตไว้นะ

ใจก็เหมือนกัน ต้องการธรรมะเป็นอาหาร แล้วธรรมะมันเป็นนามธรรม มันเกิดขึ้นมา การกระทำของเราเกิดขึ้นมา สมาธิเราก็เป็นสมาธิใช่ไหม? ปัญญามันก็เกิดกับเรา มันเกิดได้

ดูสิ! เมล็ดพันธุ์พืช เราลงดินไปเพาะปลูกมันยังงอกงามเจริญขึ้นมาได้ แล้วใจของเราถ้าเราทำขึ้นมา มันทำไมไม่เจริญงอกงามขึ้นมา ถ้ามันเจริญงอกงามขึ้นมานะ เราทำไมไม่กล้าทำ? เราไม่กล้าทำเราดูถูกตัวเราเองขนาดนี้เชียวหรือ? เราดูถูกจิตของเราเอง เราไม่กล้ากระทำอะไร เพราะผู้นำไม่กล้าทำ เพราะผู้นำบอกเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องสุดเอื้อม เป็นเรื่องหมดกาลหมดเวลา

ถ้าหมดกาลหมดเวลานะ อกาลิโก ไม่ใช่กาลไม่ใช่เวลา ไม่มีกาลไม่มีเวลา เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูหัวใจของเรา ถ้าหมดกาลเวลาปิดกั้นมรรคผล แล้วศาสนาของเราในพระไตรปิฎกบอกว่าจะอยู่ถึง ๕,ooo ปีจึงหมดศาสนานี้ พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้เป็นพระอรหันต์อีกต่อไปข้างหน้า เป็นศาสดา ถ้ากาลเวลามันปิดกั้นนะ ๒,๕oo ปีมีไม่ได้ แล้ว ๕,ooo ปีมันจะมีได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย กาลเวลาไม่เกี่ยว

ทุกข์ในสมัยพุทธกาล กับ ทุกข์ในปัจจุบันนี้ต่างกันตรงไหน? มันต่างกันแต่ความเจริญในเทคโนโลยีเท่านั้นเอง แต่ทุกข์เหมือนกัน ยังทุกข์มากกว่าอีกด้วย แล้วทุกข์มากกว่า แล้วมรรคมันอยู่ไหน? มรรค เวลาเราทุกข์เราไข้กัน เราจะหายามาเป็นเครื่องรักษา แต่นี่ไงมรรคญาณ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ นิโรธดับทุกข์ วิธีการดับทุกข์ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ นี่ไง วิธีการดับทุกข์จะไปหาที่ไหน? จะไปหาในตู้พระไตรปิฎกหรือ? จะไปหาในทางวิชาการทางไหน? วิชาการเขาบอกมาให้เป็นแผนที่ บอกมาเป็นแปลนแล้วให้เราสร้างเอา ทางโลกนะเขาจะทำการก่อสร้าง มีพิมพ์เขียวนะเขาสั่งวัสดุก่อสร้างได้ทุกชนิดเลย

ทางธรรมนะ สติก็ซื้อไม่ได้ สมาธิก็สั่งไม่มี ไม่มีใครขาย แล้วครูบาอาจารย์ทำให้ไม่ได้ สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรา ถ้าการกระทำของเรา เรามีการกระทำของเรา งานมันเกิดตรงนี้ ถ้างานเกิดที่นี่มันก็จะไปชำระในใจของเรา เห็นหมดนะ ขณะที่เป็นโสดาบัน สกิทา อนาคาขึ้นไป แต่ละชั้นแต่ละตอน มันมีการพัฒนาของใจ

แล้วใจที่พัฒนานะ ถ้าเราปฏิบัติแล้ว ธรรมของเราในหัวใจมีขนาดไหน? เวลาไปเจอครูบาอาจารย์ เราจะถามธรรมะกัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง ไม่ใช่สนทนาธรรมกันด้วยการเบียดเบียนกัน การทำลายกัน อย่างนั้นมันเป็นกิเลส สนทนาโดยกิเลส

ถ้าสนทนาโดยธรรม เพราะอะไร? เพราะสิ่งที่เราทำงานด้วยกันใช่ไหม? แล้วการขัดข้องทางวิชาการ เราสามารถสื่อกัน เราสามารถหาเทคนิคของแต่ละบุคคลมาหลอมรวมเป็นวิชาการของเราได้

การสนทนาธรรม สิ่งที่เราไม่เคยเป็น ไม่เคยมี ครูบาอาจารย์ท่านเคยผ่านมา สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา การสนทนาธรรมเป็นมงคลในชีวิต แล้วมงคลชีวิตของเราจะเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา มันจะเป็นประโยชน์จากการชำระกิเลส สิ่งนี้มันเป็นสังคม

คบบัณฑิต บัณฑิตจะไปหาแต่สิ่งที่ดีๆ แล้วสิ่งที่ดีๆ แก้วแหวนเงินทองสมบัติภายนอก มันเป็นเรื่องของแร่ธาตุ ถ้าใจที่ดีมันได้สมบัติสิ่งนี้มา แล้วเอาสมบัติสิ่งนี้ไปทำประโยชน์ จิตจะเป็นประโยชน์ ถ้าเป็นกิเลส มันจะไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งนั้นมา แล้วมันไม่เอามาทำเป็นประโยชน์ ถ้ามันไม่เอามาทำเป็นประโยชน์ แล้วยังไปติดมัน

โตเทยยพราหมณ์ เธอเป็นพราหมณ์ เธอเป็นมนุษย์เธอก็ตระหนี่ ตายไปเกิดเป็นสุนัข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าโตเทยยพราหมณ์ เธอเป็นพราหมณ์เธอก็ตระหนี่ ตายไปเกิดเป็นสุนัขเธอก็ตระหนี่อีก นี่เพราะความผูกพัน สมบัติมันควรจะเป็นประโยชน์กับเรา แต่สมบัติทำไมให้เป็นโทษกับเราล่ะ? เพราะใคร? ใครทำร้ายเรา? กิเลสทั้งนั้น กิเลสในหัวใจทำร้ายเรา

ขณะที่เรามีสติสัมปชัญญะอย่างนี้ ทำไมเราไม่ต่อต้าน ถ้าต่อต้าน เราต่อต้านเป็นงานของเรา การชำระกิเลสเป็นหน้าที่ของเรา การกระทำมันเป็นความเห็นของเรา มีศรัทธาความเชื่อ ถ้ามีศรัทธา มีความเชื่อ การกระทำนั้นจะเป็นประโยชน์ แล้วเป็นสัมมา สัมมา คือ การกระทำแล้วมันปล่อยวาง มันมีกำลังใจ

ในการประพฤติปฏิบัติ มันทุกข์มันยาก เพราะทำแล้วมันอั้นตู้ มันไปไม่รอด สิ่งที่ไปไม่รอด เราคาดเราหมาย เราต้องการของเรา ประสาเรา แต่ถ้าตามความเป็นจริง สิ่งที่เป็นจริงในหัวใจมันจะเกิดกับเรา แล้วทำของเราไปเรื่อยๆ ทำบ่อย มันจะเลาะออกไป นรกสวรรค์เห็นชัดๆ ถ้าเรามีกรรมอยู่ มีเหตุอยู่ เหตุมันต้องขับไสให้เป็นไปตามนั้น

แต่ถ้าเราทำลายเหตุนี้หมด ในเมื่อมือเราสะอาด จิตเราสะอาด มันจะไปได้อย่างไร? ในเมื่อสิ่งที่มันสะอาดบริสุทธิ์ มันจะไปได้อย่างไร? สิ่งนี้มันไม่มีการลังเลสงสัย สวรรค์ในอกนรกในใจมีจริงๆ แต่ถึงเวลาการกระทำมันจะเกิดจากภายใน

ถ้าเราไปนรกสวรรค์ แล้วเราไม่เชื่อสิ่งนั้น เหมือนกับเราไม่เชื่อในวัฏฏะ ไม่เชื่อกับผล วิบากกรรมนะมันเป็นผลของการกระทำ สิ่งที่ไปตกในสถานที่ใดมันเป็นผลของการกระทำ สิ่งที่การกระทำนี่ทำให้เราทำดีขึ้นมา สิ่งที่ทำดีขึ้นมา ผลตอบรับเพราะเรายังไม่ถึงที่สุด

แม้แต่พระอนาคายังต้องไปเกิดบนพรหม แต่ถ้าถึงที่สุดแล้วมันจะไม่เกิด ก็ต้องไม่เกิดตามความเป็นจริง ถ้ามันจะเกิด มันก็ต้องเกิดตามความเป็นจริง ในเมื่อมันเกิดมันจะมีของมันเข้าไป เราอยู่ที่เข็มทิศ อยู่ที่เครื่องดำเนินของเรา เราจะดำรงชีวิตอย่างไร? ถ้าเราจะไม่อยากให้ไปเกิดอีก เราก็ต้องพยายามรักษาของเราที่นี่ให้ได้ หรือจะไม่ไปเกิดอีก จากมนุษย์เกิดเป็นมนุษย์

ดูสิ! ทำไมพระเวสสันดรทำไมเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดเป็นมนุษย์ๆๆๆ ก็ได้ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ๆ ต่อไป มันสร้างสมบุญญาธิการตลอดไป สิ่งที่เกิดเป็นมนุษย์ๆ ก็ได้ เกิดอะไรก็ได้ มันไม่มีอะไรคงที่หรอก มันอยู่ที่เราจะบริหารจัดการใจของเรา ถ้าเราบริหารจัดการของเรา เราควบคุมใจของเราเองได้ อยู่ที่นี่ถ้าเราควบคุมใจของเราได้ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา จัดการของเราเอง เรื่องในหัวใจ มันหลอกกันไม่ได้หรอก ความลับไม่มีในโลก

เวลาเราทำความเพียรกัน พอจิตมันปล่อยวาง เราว่าเราได้มรรคได้ผล แล้วเดี๋ยวพอมันเสื่อมไปนะ มรรคผลมันอยู่ไหน? แล้วใครมาหลอก? มันคายออกมา กิเลสมันเป็นตทังคปหาน มันสงบลงชั่วคราว สิ่งที่มันสงบลงชั่วคราว เพราะเรามีกำลังขนาดนั้น ถ้ากำลังเรามีขนาดนั้นมันทำไม่ได้ เราก็ต้องกลับมาเพิ่มกำลัง

ในสมถะกับวิปัสสนามันต้องก้าวเดินไปพร้อมกัน การก้าวเดิน คนที่บริหารจัดการมันจะรู้จักจังหวะ เรามีเท้าซ้ายและเท้าขวา สิ่งที่เราเดินนะเท้าซ้ายเท้าขวา มันจะก้าวเดินของมันไป ถ้ากำลังมันไปไม่ได้ก็ย้อนกลับมาทำกำลังของเรา ถ้าเรามีกำลังแล้ว เราก็ย้อนออกไปวิปัสสนา นี่ก้าวเดินไปอย่างนี้ หมั่นคราดหมั่นไถ หมั่นการกระทำ คนที่ชำนาญการ เขาฝึกฝนเขามาขนาดไหน เขาถึงชำนาญของเขา ถ้าชำนาญของเขาแล้ว นี่งานจากใจ

ดูสิ! ถนนหนทาง เราไปมันยังหลงทางเลย มีแผนที่กางไว้อย่างนี้ มันยังเดินหลงทางเลย แล้วเวลาเราเดินไปในใจ ใจมันจะก้าวเดินไป มันไม่หลงหรือ? มันหลงทางของมัน หลงทางโดยเราไม่เข้าใจนะ นี่กิเลสมันอยู่ในใจ เราจะไปชำระกิเลส เราจะไปฆ่ามัน มันยิ่งต้องสร้างกลอุบายวิธีการหลอกล่อเรา หลอกล่อเราให้ออกนอกลู่นอกทาง

การภาวนาที่มันทุกข์มันยากเพราะกิเลส ดูสิ! อาหารมันให้โทษใคร อาหารเราใช้เป็นประโยชน์ เรากินอาหาร มันเป็นประโยชน์เราทั้งนั้น แต่เพราะว่าเราไม่เข้าใจเอง นี่เหมือนกัน สิ่งที่เป็นกิเลส เราว่าเราปฏิบัติไป แล้วมันเป็นกิเลส เราปฏิบัติแล้วมันทุกข์มันยาก เพราะกิเลสมันมาขวาง ธรรมไม่เคยขวาง ธรรมอยากด้วยนะ

ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่จะเป็นภาชนะไปสัมผัสมัน คือความรู้สึก คือหัวใจ ทุกข์ก็เป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นทุกข์ ทุกคนต้องยอมรับความจริง ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง แล้วทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ทุกข์จะไปกำหนดมันตรงไหน? ทุกข์มันจะละได้อย่างไร? ทุกข์ควรกำหนด

เวลากำหนด ทุกข์มันเกิดมาจากไหน? ทุกข์มันเกิด เกิดในปัจจุบันนั้น เกิดจากเหตุปัจจัย เกิดจากความเป็นไป เกิดจากกิเลสที่มันต่อต้าน กิเลสที่มันรวมตัวเข้ามาแล้วมันหลอกลวง แต่ถ้าปัญญาเข้าไปมันไปคลี่คลายออก คลี่คลายออกมาจากภายใน คลี่คลายอย่างไร? ถ้าคลี่คลายถูกต้อง ครูบาอาจารย์จะถูกต้อง ถ้าคลี่คลายไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องเราว่ามันก็คลี่คลายเพราะมันมีตำรา มันมีหลักวิชาการ ว่ามันคลี่คลาย พอคลี่คลายแล้ว มันไม่เป็นผลประโยชน์ ไม่มรรคสามัคคี

มรรคสามัคคี กรรมฐานเรา กายนอกกายใน กายในกายนะ เขาบอกมันเป็นโวหาร มันไม่เป็นโวหารหรอก มันเป็นความจริง จริงๆ กายนอกเห็นไหม กายนอก คือ กายอยู่ในป่าช้า กายต่างๆ กายนอก กายในก็คือกายเรา แล้วกายในกายเพราะอะไร เพราะเวลามันสละกายไปชั้นหนึ่งเห็นไหม มันไม่มีวิจิกิจฉา มันไม่มีสักกายทิฏฐิ

สักกายทิฏฐิในอะไร? ทิฏฐิในกาย ทิฏฐิผิดในเรื่องของกาย แต่เราพิจารณาเป็นชั้นๆ เข้าไป มันจะเห็นความเป็นไป มันจะปล่อยหมด กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส มันกระจกใสอย่างไร? มันทำอย่างไรมันถึงกระจกใส? แล้วมันก็จะติดของมันว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ แล้วย้อนกลับมา

สิ่งที่เป็นธรรม มันมีอะไรฝังอยู่ในหัวใจ มันยังไม่ได้ถอนศรในใจ มันมีศรปักอยู่กลางหัวใจ ถ้ามันมีศรปักอยู่กลางหัวใจ เราจะไปเห็นศรอยู่ที่ไหนในกลางหัวใจ มันเป็นนามธรรมทั้งหมด เวลาละเอียดเข้าไป ยิ่งละเอียดเข้าไปยิ่งเป็นนามธรรมเข้าไป สติปัญญาจะตามเข้าไป ตามเข้าไปๆ ตามต้อนเข้าไปจนต่อสู้กับความเป็นไป

เวลาธรรม งานที่เขาทำกันทางวิทยาศาสตร์ เวลาเขาทดลองวิทยาศาสตร์ เวลาส่วนผสมของเขา เขายังต้องมีความสะอาดบริสุทธิ์ขนาดนั้น เขามีห้องทดลอง แล้วเวลางานของจิตมันละเอียดเข้าไป มันสะอาดเข้าไป มันละเอียดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป แล้วปัญญาที่ละเอียดเข้าไป

มรรค ๔ ผล ๔ มรรคที่มันละเอียดเข้าไป มันจะละเอียดเข้าไป แล้วมันจะไล่ต้อนเข้าไป ไล่ต้อนกิเลสที่ละเอียดเข้าไป กิเลสที่ละเอียดมันอยู่ในใจเยอะ ต้อนเข้าไปจนกว่ามันจะหลบเข้าไปในเหลือบในมุมในหัวใจ นี่ไง! กิเลสบังเงา

ในการประพฤติปฏิบัติเวลากิเลสบังเงา มันหลอกว่าเป็นมรรคเป็นผล หลอกว่าที่นี่เป็นถึงเป้าหมาย แล้วเราไม่มีสติสัมปชัญญะ เราไม่มีครูบาอาจารย์คอยเตือน มันจะเข้าไปจมกับตรงนั้น พอจมอยู่ในนั้น ถึงเวลามันคลายตัวออกมา เสื่อมอีกแล้ว จิตเสื่อมอีกแล้ว พอจิตเสื่อมก็ต้องก้าวเดินใหม่ ในการประพฤติปฏิบัติมันจะมีประสบการณ์กันอย่างนี้

ครูบาอาจารย์ที่เคยผ่านมาอย่างนี้ ท่านจะคอยเตือน คอยอบรม คอยสั่งสอน จากใจดวงหนึ่งให้กับใจดวงหนึ่ง ใจดวงที่จะให้จากใจดวงหนึ่งต้องเป็นใจที่สะอาด ใจที่ผ่องใส ใจที่เข้าใจในกิจญาณ ถ้าใจมันมืดบอด มันจะเอาความสว่างที่ไหนมาให้ใจอีกดวงหนึ่ง มันก็เอาการตลาด เอาความเป็นไปของใจดวงนั้น มาให้เป็นปัจจุบัน

สิ่งที่เป็นปัจจุบัน โลกปัจจุบัน คือ โลกปัจจุบันนี้ โลกหน้า นรก สวรรค์ ไม่มี แล้วนิพพานจะมีได้อย่างไร? ถ้าเพราะ นรก สวรรค์ มันเป็นสถานที่ แล้วถ้าเราไม่สามารถหักลบล้าง นรก สวรรค์ แล้วเราจะไปนิพพานได้อย่างไร?

แม้แต่ นรก สวรรค์ ก็ไม่ใช่ความปรารถนาของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติหรอก แต่มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่รองรับสถานะที่จิตยังต้องไปอาศัยอยู่ สิ่งที่ไปอาศัยอยู่นะ การปฏิบัติเราก็ไม่ต้องการไปตกอยู่ที่ตรงนั้น แต่ของที่มันมีอยู่ มันเป็นสถานที่ ที่เราจะต้องฟันฝ่าให้ผ่านพ้นจากสถานะอย่างนี้ออกไป พ้นสถานะนี้ออกไปเพื่ออะไร? เพื่อให้มันได้คุณธรรมที่สูงกว่านั้น

สิ่งที่มีอยู่ไม่ใช่ว่ามีอยู่แล้วไปเคารพนบนอบเขา แต่มันมีอยู่ต้องบอกว่ามีอยู่ ถ้าไม่บอกว่ามีอยู่ สิ่งที่มีอยู่แล้วเราทำลายมัน เราชำระมัน เราไม่ได้ชำระสิ่งที่มีอยู่ เราจะสะอาดขึ้นมาได้อย่างไร? สิ่งที่มีอยู่ เราชำระสิ่งที่มีอยู่ออกไปๆ มันสะอาดขึ้นมา มันถึงจะเป็นความสะอาด สิ่งที่มีอยู่ก็บอกว่าไม่มี สิ่งที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ก็บอกว่า มันพ้นกาลพ้นเวลา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ พระอานนท์ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่ามรรคผลในศาสนาพุทธมันจะหมดเมื่อไร

“อานนท์ ถ้าเมื่อใดมีผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควร ! สมควร ! สมควรแก่ธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย”

แล้วมันสมควรไหม? มันสมควรแก่กิเลส มันไปสมยอมกัน กิเลสของเราแล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไปสมยอมกัน มันไปก้มกราบกิเลสในหัวใจ

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ทำความสงบเข้ามา มีกำลังเข้ามา แล้วก็ไปยอมจำนนกับมัน ไปคุกเข่ายอมเคารพนบนอบกับกิเลส แล้วว่านี่เป็นธรรมๆ เวลาเป็นธรรมขึ้นมา วิธีการมันถึงว่าแห่กันไป ทำไหนไปไหนก็แห่กันไป เป็นขบวนการ เป็นคาราวาน กิเลสมันหัวเราะเยาะนะ

ถ้าไปแบบหน่อแรด ไปแบบความจริง ไปแบบสัจธรรม ไปแบบความเป็นจริง เวลาเกิดเวลาตายไปเป็นขบวนไหม? เว้นไว้แต่ไปตายพร้อมกันบนเครื่องบินตกนั่นล่ะ มันเป็นทั้งลำ มันเป็นขบวน

แต่เวลาเกิดตายของเรา โดยส่วนตัวตายเกิดโดยธรรมชาติของเรา เราเกิดตายมันก็ไปเกิดไปตายโดยธรรมชาติของมัน มันเป็นขบวนอย่างนั้นไหม? เรามันสังเวช สังเวชว่าในเมื่อความจริงมันมีอยู่ ทำไมไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับความจริง ปฏิเสธความจริง แล้วเราจะเผชิญกับความจริงกันอย่างไร?

พุทธศาสนา ศาสนาของคนที่มีปัญญา คนที่มีปัญญาในเมื่อความจริงมันมีอยู่ เราต้องเผชิญกับความจริง กิเลสก็มีอยู่กับเรา ทุกข์ก็มีอยู่กับเรา ถ้าเราไม่เผชิญกับทุกข์ เราเบี่ยงหน้าออกหนีทุกข์ เราจะแก้ทุกข์ไม่ได้

ถ้ามันมีทุกข์ แล้วเราเผชิญหน้ากับทุกข์ เราพยายามต่อสู้กับทุกข์ ต่อสู้ด้วยมรรค ต่อสู้ด้วยนะ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เราต่อสู้ด้วยวิธีการ ต่อสู้ด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อสู้มา สะสมมาเป็นพระโพธิสัตว์

ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น ถึงจะตรัสรู้เองโดยชอบ พวกเราโดยไม่ชอบ ว่าตัวเองรู้ธรรม โดยบิดเบือน โดยสมยอมกับกิเลส โดยไม่ยอมรับความจริง

ถ้ายอมรับความจริง ลมพัดมา ลมก็คือลม ใครจะปฏิเสธได้ว่าลมเวลาพัดมาคือลม พายุเกิดคือพายุ อริยสัจก็อันเดียวกัน ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ จะวิธีการ จะแนวทางไหนก็แล้วแต่ มันคืออริยสัจ วิธีการต่างกัน ดูสิ! เวลาลม ลมฤดูกาลนะมันลมพัดต่างกัน ดูการเคลื่อนไป แต่เวลาให้เกิดฝนขึ้นมามันก็ฝนตกแดดออกเหมือนกัน

เวลาประพฤติปฏิบัติ ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ จะทำอย่างไรก็แล้วแต่ผลต้องเหมือนกัน เพราะอริยสัจมีอันเดียว พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้อย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาอย่างนี้ แล้วครูบาอาจารย์เรา ตามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ค้นคว้าขึ้นมา มันก็เหมือนกัน เหมือนกันเพราะอะไร? เพราะมันเห็นจริงตั้งแต่สัจธรรมภายในนะ ถึงที่สุดแล้วเวลาดับขันธ์นิพพานไป

พระอรหันต์เท่านั้น ที่เผาแล้วกระดูกเป็นพระธาตุ กระดูกของคนมันเป็นธาตุขึ้นมา มันเป็นแก้วขึ้นมาได้อย่างไร? แล้วมันมหัศจรรย์ด้วย เพราะมันเหมือนสิ่งที่มีชีวิต มันเคลื่อนไหว มันเพิ่มจำนวน มันลดจำนวนของมันได้ นี่ธาตุไง เป็นสิ่งมหัศจรรย์ มหัศจรรย์โดยธาตุ

แล้วมหัศจรรย์ในใจมันมหัศจรรย์กว่านี้อีกหลายร้อยเท่า อีกหลายร้อยเท่าพันทวีเลย หลายร้อยเท่าพันทวีเพราะอะไร? เพราะมันเป็นความรู้จากภายใน มันเป็นนามธรรม มันสื่อความหมายกันได้ทั้งนั้น มันสื่อความหมายกับใคร มันสื่อความหมายกับโลกของความรู้ โลกของจิตวิญญาณมันมีความรู้ ความรู้สึกอันนี้แล้วความรู้สึกอย่างนี้ มันมืดบอด

ดูสิ! เวลาเทวดา อินทร์ พรหม ฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์เราอยากมาฟังเทศน์ เพราะอะไร? เทศน์เขาเทศน์กันเรื่องอะไร? เทศน์ก็เทศน์เรื่องอริยสัจ เทศน์เรื่องความจริงที่เหนือโลก ความจริงที่เหนือโลก ไม่ใช่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเหนือโลกแต่เอามาเป็นการตลาดกัน เอามาเป็นผลประโยชน์กัน แล้วปฏิเสธผลว่านรกสวรรค์ไม่มี มรรคผลนิพพานไม่มี เพราะคนสื่อตาบอด

ถ้าคนสื่อเป็นความจริง เพราะสิ่งนี้มีอยู่ ถ้าเหตุมันมีอยู่ ดูสิ! ในเมื่ออากาศมันร้อน ความร้อนมันมี มันต้องทำให้ร้อนแน่นอน ในเมื่อใจมันยังมีอยู่ ใจมันยังร้อนอยู่ มันต้องร้อน แล้วเราทำไมไม่แก้ไข ในเมื่อสิ่งที่มันร้อนอยู่ภายใน มันสัมผัสได้ ความสัมผัสของใจอันนี้ สิ่งที่สัมผัสกับใจของเรา เราจะต้องยอมรับความจริง สิ่งที่รับความจริงมันถึงปฏิบัติจริงๆ

ครูบาอาจารย์ของเราพาประพฤติปฏิบัติมา อาบเหงื่อต่างน้ำ เก็บหอมรอมริบ เพราะครูบาอาจารย์ผ่านจากหลวงปู่มั่นบอกเก็บหอมรอมริบ เก็บหอมรอมริบนะ ไม่ทำสิ่งที่ผิด แล้วยังวางวิธีการ ตรงวางวิธีการนี้สำคัญมาก เพราะขณะที่เราทำงานเป็น แต่เราเอางานของเรามาทำเป็นเชิงวิชาการ ให้ลูกศิษย์ลูกหาทำ สิ่งนี้สำคัญมาก หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ถึงสำคัญมาก

รู้นะในเรื่องเราคิดสิ เวลาเราทุกข์ เราจะบอกพ่อบอกแม่เราได้ไหม? ว่าเราทุกข์อย่างนี้ ให้พ่อแม่เข้าใจความทุกข์ของเรา เราพูดได้ไหม? อย่างขนาดเราทุกข์ในหัวใจแล้วไปฟ้องแม่ ออดอ้อนอย่างไร มีแต่น้ำตาไปอวด เราจะบอกว่าทุกข์ไม่ได้เลยเพราะมันเป็นความรู้สึก

แล้วครูบาอาจารย์ของเราสุขขนาดไหน ทุกข์ขนาดไหน ผิดพลาดขนาดไหน มีการกระทำขนาดไหน เอามาทำเป็นเชิงวิชาการ แล้วสอนกันในวงกรรมฐาน เพราะสิ่งนี้พูดออกมามันเป็นธรรมเหนือโลก ถ้าธรรมเหนือโลก เหมือนกับว่ามันเป็นสุดวิสัย สุดวิสัยของเรา สุดวิสัยของผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติ

แต่มันไม่สุดวิสัย ถ้าจิตใจ ความมุมานะมันมี ถ้าเรามีความมุมานะ มีการกระทำนะ สิ่งนี้มันสุดวิสัยที่ไหน มันเป็นงานของใจ ดูสิ! เราเป็นนักบริหาร เวลารับผิดชอบขึ้นมา เราแบกรับภาระหนักมาก ดูสิ! ลูกน้องเราอาบเหงื่อต่างน้ำ มันทำงานมันบอกหนักมาก อาบเหงื่อต่างน้ำ แบกของหนัก แต่คนที่นั่งบริหารอยู่ เครียดมากเลย

งานหยาบงานละเอียด ใจก็เหมือนกัน มีหยาบมีละเอียดเข้ามา ในเมื่อจิตถ้ามันพัฒนา มันละเอียดเข้ามา ละเอียดเข้ามา แล้วเราจะไม่กล้ากล่าวตู่ กล่าวตู่สิ่งที่ว่านั่นก็ไม่มี นี่ก็ไม่เป็น เพราะอะไร? เพราะคนกล่าวตู่เหมือนคนตาบอด คนตาบอดมันไม่เห็นสิ่งใด มันเถียงเก่ง เพราะมันเถียงด้วยความเห็น เถียงด้วยจินตนาการ แต่ถ้าเราตาดี เราไปเห็นของโต้งๆ เรากล้าเถียงไหม เราอายนะ ของนี่ที่วางอยู่

ดูสิ! หนามนะ เราผ่านไป เราเหยียบไปหนามมันทิ่มเรา มันตำเท้าเรา มันมีไหม? ถ้ามันไม่มี มันตำเราได้อย่างไร? แต่ถ้าเราตาดี เราเจอหนาม เราจะเดินหลบหนามนั้นไป เราจะไม่เหยียบหนามนั้น นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มีอยู่ต้องบอกว่ามีอยู่ จะบอกว่าไม่มี สิ่งนี้เป็นเรื่องไกลตัวๆ ไกลตัวจนศาสนานี่มันเป็นเหตุเป็นผล มันเป็นวิบาก มันเป็นผล มันเป็นความเป็นไป แล้วความเป็นไปไม่ใช่ใครทำให้เลย ใจเราทำทั้งนั้น

นั่งกันอยู่เฉยๆ ถ้ามันคิดชั่วนะ มโนกรรม ขนาดนั่งกันอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ความคิดมันให้กรรมเราไหม? ถ้าคิดชั่วมโนกรรม มันเผาใจ ถ้าคิดดี กรรมดี ฟังเทศน์แล้วชื่นใจ ฟังเทศน์แล้วกลมกล่อม เห็นไหมคิดดี นั่งอยู่เฉยๆ มันยังสร้างบุญสร้างกรรมเลย แล้วบอกว่าไม่มี มันจะไม่มีได้อย่างไร? มีทั้งนั้นล่ะ มีอยู่กลางหัวใจ ถ้ามีแล้วเราแก้ไข มีแล้วเราประพฤติปฏิบัติ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง

 

เพิ่มเติมท้ายกัณฑ์

เรื่องเวทนามันเป็นเรื่องทุกคนจะต้องประสบ แม้แต่เราโตขึ้นมา เวลาในกระเพาะเราขาดอาหารมันก็หิว เวทนาเราไปบอกว่าเวทนา คือ การเจ็บปวดนี้ เวทนา มี สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา เวทนามี ๓ แต่ขณะที่เราไปทุกขเวทนา แล้วเวทนานี้เราไปฝังใจกับมัน เราไปฝังใจกับเวทนา

สิ่งใด บางคนเกิดเวทนาแล้ว เราจะเปรียบเทียบ เหมือนเราเดินไปในที่รกชัฏ เราไปโดนหนามเกี่ยว เลือดออกเลยแต่เราไม่รู้สึกตัวมันยังไม่เจ็บ พอเรามาเห็นเลือด โอ้โฮ! เจ็บมากๆ เพราะมันอยู่ที่ว่าเราไปฝังใจกับเวทนา ฉะนั้นฝังใจกับเวทนา เวทนามันจะเกิดกับเราแล้วรุนแรงมาก

ทีนี้ถ้าเป็นเวทนาอย่างนี้ ทำไมมันถึงเจ็บมันถึงปวด มันจะเจ็บมันจะปวด นี่พูดถึงจริตนิสัยก่อน แล้วจะพูดถึงวิธีการที่จะแก้ไข ถ้าเวทนามันเจ็บมันปวด เพราะอะไร? เพราะการปฏิบัติเราอ่อนด้อย ถ้าปฏิบัติเราอ่อนด้อย อะไรมันเกิดขึ้นมา มันก็จะเห็นภาพชัดเจน

ดูสิ! ดูอย่างนักกีฬาที่เขาชำนาญการ เขาจะทำอะไรด้วยกำลังของเขา เขาทำด้วยความธรรมดาเลย คนแก่คนเฒ่าเดินแทบไม่ไหวเลย จิตมันอ่อนด้อย ถ้าจิตมันอ่อนด้อย มันควรจะฝึกมัน เวทนาก็คือเวทนานี่แหละ

ดูสิ! เวลาเรากินอาหารอร่อย เวลามีความร่มเย็นเราก็พอใจ ก็สุขเวทนา สุขดับไปก็เป็นทุกข์ ทุกข์กับสุขมันก็อันเดียวกัน เพียงแต่จิตมันชอบกับไม่ชอบ จิตมันชอบมันก็เป็นสุขเวทนาใช่ไหม? จิตมันไม่ชอบมันก็เป็นทุกขเวทนาใช่ไหม?

เวทนามันสักแต่ว่าเวทนา เวทนาคืออาการของความรู้สึก เวทนามันเป็นอาการความรู้สึก แล้วที่จิตมันไปชอบ เวลาจิตมันรวมมันร่มเย็น สุขเวทนาชอบไหม แล้วเวลาทุกขเวทนาทำไมไม่สู้มัน เราเป็นสุภาพบุรุษสิ เวลาสุขก็ชอบ เวลาทุกข์ก็ปฏิเสธ เวลาปฏิบัติทุกข์ควรกำหนด มันจะทุกข์ไปเรื่อยๆ แต่เวลามันสงบตัวลง ทุกข์มันสงบตัวลงมันเป็นสุขล้วนๆ เลย สุขต้องกำหนดไหม สุขมันเป็นที่พัก

เราก้าวเดินไป เราจะมีที่ร่มเย็นให้เราได้พักผ่อนอยู่บ้าง เขาสร้างศาลาริมทาง เขาสร้างโอ่งน้ำอ่างน้ำไว้ให้เราได้ดื่มกันเวลาเราเดินทาง เราจะได้พักผ่อน สุขก็เหมือนกัน เรามีความสุขอยู่บ้าง ถ้าเวทนามันสงบตัวลง จะบอกว่าให้พยายาม ให้พยายามฝึกฝน พยายามฝึกขึ้นมา แล้วถ้าจิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมา มันจะแบ่งแยกได้

กลางวันพูดไปแล้วว่า จริงๆ เวทนามันไม่มีหรอก ถ้าเวทนามันมี ตอนนี้มันไปไหน? ตอนนี้เวทนามันไปไหน? ไม่มี! มันไม่มี มันมีเพราะใจไปยึด ขณะที่ใจไปยึดมันถึงเกิดเวทนาแล้วทุกข์มาก แต่ถ้าเราใช้ปัญญาเข้าไป เวลามันปล่อย มันรวมหมดเลย เวทนาสักแต่ว่าเวทนา เวทนาเป็นเวทนา ขันธ์ ๕ เป็นขันธ์ ๕ จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์

ขณะที่พระโสดาบันพิจารณาเวทนาผ่านทางเวทนา เวทนามันเป็นสักแต่ว่าเวทนา ต่างอันต่างจริง เวทนาก็จริงของเวทนา ทุกข์ก็จริงของทุกข์ จิตก็เป็นของจิต แล้วจิตที่รวมลง จิตก็จริงของจิต แล้วเวลาสงบตัวลงยังมีจิตอีกตัวหนึ่งรับรู้ขึ้นมาอีก ละเอียดขึ้นมา นี่โสดาบัน ขณะที่ผ่านเวทนา แล้วเวทนามันไปไหน? เวทนานี่จิตมันไปยึด แต่มันเป็นความจริง เพราะเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ สัญชาตญาณของเทวดา สัญชาตญาณของพรหม

สัญชาตญาณของมนุษย์มันมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มันมีขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สัญชาตญาณของความคิด ถ้าความคิดไม่เป็นรูปขึ้นมา ความคิดมันเป็นรูป เวทนา สัญญา... ความคิดมันเป็นอารมณ์ความรู้สึก แล้วในความคิดนั้นมันต้องมีเวทนา มันต้องมีความดี ความชอบและไม่ชอบ มันต้องมีข้อมูลคือสัญญา มันต้อง มีสังขาร มันต้องมีวิญญาณ นี่ไง! มันหมุนของมันไปโดยสัญชาตญาณของมนุษย์ มันต้องมี

แล้วเวลาเราใช้ปัญญาของเราเข้าไป มันถึงที่สุดแล้วมันปล่อยหมด ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ สักกายทิฏฐิ ๒o เวลามันผ่านมันผ่านได้ ถ้าพระอริยบุคคลผ่านทางเวทนา กาย เวทนา จิต ธรรม ถึงจะบอกว่าต้อง มันจะผ่านพ้นไปได้เหมือนนักกีฬา ถ้าฝึกฝนจนแข็งแรง ทักษะดีแล้วนะ เดี๋ยวจะได้เหรียญทอง ทางอื่นไม่มี มีแต่สู้กับสู้ สู้เท่านั้นจะไปได้ ถอยมีแต่แพ้กับแพ้ ให้กิเลสมันเหยียบหัว เกิดซ้ำเกิดซาก มีแต่สู้กับสู้

เพียงแต่ว่าจะพลิกแพลงว่าสู้ทางเวทนา ถ้าเวทนาไม่ได้จะมาสู้ทางกาย ถ้าเวลาพิจารณา คนพิจารณากายไม่กล้า พิจารณากายจะกลัวผี ไม่ใช่ ผีกับกายไม่เหมือนกัน ผีคือจิตวิญญาณ กายคือสิ่งที่เราเห็นโครงสร้างของกาย ไม่ใช่ผี แต่โดยสามัญสำนึก เราคิดว่ากายที่มันย่อยสลาย กายที่เน่าเปื่อยคือผี ไม่ใช่นะ

ใครเห็นกายคือเห็นอริยสัจ ทุกคนเลยคิดว่าเห็นกายคือเห็นผี เห็นผีก็โดนผีหลอก ไม่ใช่เห็นกาย เห็นกายเป็นอริยสัจ เห็นผีคือเห็นจิตวิญญาณ คนละเรื่องกัน แต่พอจิตมันไปเห็นกาย มันไปกลัวก่อน แต่คนถ้าไปเห็นจริงๆ นะมันจะไม่กลัวหรอก มันจะสะเทือนกิเลส สะเทือนหัวใจมาก

จะบอกว่าถ้ามันผ่านเวทนามันผ่านทางเวทนา มันทุกข์มันยาก เราก็ไปผ่านทางอื่น กาย เวทนา จิต ธรรม จิตเห็นจิตเราจะอธิบายอีกทีหนึ่ง

ถาม : การเห็นเปลวเทียนแวบหนึ่งแล้วหายไป อย่างนี้ทำอย่างไรเทียนถึงจะสว่างนาน

หลวงพ่อ : การเห็นเทียนแล้วแวบหายไป การเห็นนะ ถ้าจิตมันไม่สงบ มันเห็นไม่ได้ รถที่จอดตาย ล้อมันไม่หมุนนะ เข็มไมล์จะขึ้นไม่ได้ เข็มไมล์มันจะเริ่มกระดิกตัวต่อเมื่อล้อรถมันหมุน จิตโดยสามัญสำนึกมันจะเห็นอะไรไม่ได้ มันจะเห็นโดยสามัญสำนึก เห็นก็เห็นด้วยตานี่ รับรู้ด้วยอายตนะ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติแล้วจิตมันสงบเข้ามา มันจะเห็นแวบ (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)