เทศน์พระ

รักษาพระ

๑๖ มี.ค. ๒๕๖๑

รักษาพระ

 

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์พระ วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๑

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพราะเราประพฤติปฏิบัติเพื่อแสวงหาสัจธรรม แสวงหาสัจธรรมนะ ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในรัตนตรัยของชาวพุทธ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เราบวชเป็นพระๆ ไง เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะให้มีสัจธรรมเกิดในใจของเรา ถ้าสัจธรรมจะเกิดในใจของเรา เราต้องมีความละเอียดรอบคอบ เราจะปล่อยปละละเลย เราจะสะเพร่า มักง่าย เอาแต่ใจของตนเอง มันเข้าถึงสัจธรรมไม่ได้

การจะเข้าถึงสัจธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องมีศีลที่สะอาดบริสุทธิ์ ถ้าศีลสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา ทำสมาธิขึ้นมา จะได้สัมมาสมาธิ ถ้าได้สัมมาสมาธิขึ้นมา ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา มันจะเป็นภาวนามยปัญญา

แต่ในปัจจุบันนี้สกปรกโสโครก แล้วว่าเกิดปัญญาๆ ปัญญาอะไร ปัญญามหาโจร ปัญญาปล้นธรรมะ ปล้นเอาธรรมะเป็นของตนไง ว่าตัวเองมีดวงตาเห็นธรรมๆ มันจะเอาธรรมมาจากไหน มันไม่มีสัจธรรมความจริงในหัวใจไง

ถ้ามีสัจธรรมความจริงในหัวใจ เราบวชมาเป็นพระ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามาบวชเป็นพระ เราบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว เราพยายามจะฝึกฝนของเรา ถ้าเราฝึกฝนของเรานะ แล้วเราจะรักษาพระในใจของเรา เราจะรักษาธรรมและวินัยของเราเพื่อให้เป็นสัจธรรมในใจของเรา

เวลาครูบาอาจารย์เวลาท่านธุดงค์ไป ไปธุดงค์วัดไหน ไปหมู่บ้านใด เขาก็จะมีวัดมีวาของเขา ถ้ามีวัดมีวาของเขาเพื่ออะไร เพื่อทำกิจกรรมในพระพุทธศาสนาของเขา เวลาเกิดมา ชาวพุทธๆ มันก็ต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถ้าไม่มีสิ่งใดเป็นพึ่ง เขาก็แสวงหา เขาแสวงหาขึ้นมา ปลูกกระต๊อบห้อมหอขึ้นมาก็เป็นวัดเป็นวา เป็นวัดเป็นวา ทางสังคมทางโลกเขาก็พยายามจะรักษาหน้า สร้างวัดให้โอ่อ่า ให้เป็นที่น่านับถือเชิดชูตา เชิดชูศักยภาพของสังคมนั้น นี่พยายามแสวงหากัน

แต่ที่เขาไม่มีเขาก็พยายามทำของเขานะ ทำของเขาขึ้นมา ถึงเวลาแล้วเขาจะรักษาพระของเขา เขาก็ไม่มีพระให้รักษา สุดท้ายแล้วเขาก็เอาไม้แกะกันเอง เอาไม้มาแกะเป็นพระพุทธรูป เห็นไหม ที่ไหนเขามีศักยภาพ เขาก็หล่อขึ้นมาด้วยสำริด ก่อนที่เขาจะรักษาพระของเขา เขาต้องหาพระของเขาขึ้นมาให้ได้ก่อน ถ้าเขาหาพระขึ้นมาได้แล้วเขาถึงรักษาพระของเขา

เราเป็นพระ จะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้ามันเกิดมีพระ มีพระขึ้นมา ทำข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เราก็ทำข้อวัตรของเรา เราก็ต้องเช็ด ต้องรักษาต้องดูแลของเรา ไอ้นี่มันเป็นพระพุทธรูป พระพุทธรูปเป็นวัตถุ

คนที่เขามีการศึกษาของเขา เขาก็ศึกษาของเขาแล้วเขาก็แปลกใจ เขาเคยมาถามปัญหานะ เอ๊ะ! เราไปกราบอะไรกันนั่นนะ หนึ่ง กราบไม้ที่แกะสลักเป็นรูปพระ แกะอิฐหินทรายปูนที่หล่อเป็นพระ เรากลับไปกราบไหว้สิ่งที่สำริดที่หล่อออกมาเป็นพระ เขาบอกว่า ทำไมไม่มีปัญญาหรือ ไปกราบได้ไหม อิฐหินทรายปูนน่ะ ไปกราบเหล็ก กราบทองเหลือง ไปกราบทำไมนั่นน่ะ

นั่นไง คนที่เขามีการศึกษาทางโลกเขาไม่รู้จักพระในใจของเขา ถ้าเขาไม่รู้จักพระ เขาไม่รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม กราบธรรมเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พอตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เพราะมีสัจธรรมในพระพุทธศาสนา มันมีสัจธรรมอันนี้ขึ้นมา มันถึงเป็นพระพุทธศาสนา พุทธะๆ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงได้มีพระพุทธศาสนา แล้วเวลาเทศน์ธัมมจักฯ ไป พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมๆ เกิดสงฆ์องค์แรกของโลก ถ้าเกิดสงฆ์องค์แรกของโลก เห็นไหม

เราบริษัท ๔ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราสามารถเป็นสงฆ์ได้ เป็นสงฆ์แท้ๆ สงฆ์แท้ๆ ขึ้นมาเพื่อให้เป็นในใจของเรา ถ้าเป็นในใจของเรา เป็นสมบัติของเรา ถ้าเป็นสมบัติของเรา เราจะภูมิใจในใจของเรา เราจะรักษาคุณสมบัติอันนี้ๆ นี่พูดถึงถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา

แต่ถ้ามันยังไม่เป็นความจริงของเราขึ้นมา มันหลักลอย คำว่า หลักลอย” มันจับต้นชนปลายไม่ได้เลย จับต้นชนปลายไม่ได้เพราะอะไร เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันยิ่งใหญ่

เวลาบอกพระอานนท์นะ “ธรรมวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ จะเป็นศาสดาของเธอ”

เราก็จะรักษากัน ธรรมวินัยๆ ธรรมวินัยมันก็สมมุติทั้งนั้นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน เวลาเขามีการศึกษาทางโลกๆ “เราก็เกิดเป็นมนุษย์นะ มีการศึกษา มากราบอะไร อิฐหินทรายปูนนั่นน่ะ มากราบอะไรกันน่ะ” นี่เขาคิดด้วยความภูมิใจมีปัญญา “พวกนี้มากราบอะไรกันน่ะ” แต่เขาไม่ได้รู้สึกถึงนามธรรมเลย

คนเราเกิดมามีกายกับใจๆ นะ สิ่งที่ยิ่งใหญ่คือหัวใจของคนไง เขาคิดไม่เป็น คิดไม่ได้ไง เขาคิดไม่เป็น คิดไม่ได้ เขาถึงไม่ปักใจลงเชื่อไง เขาถึงหาหัวใจของเขาไม่เจอไง เขาคิดเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นสูตรสำเร็จไง วิทยาศาสตร์ก็เป็นวิทยาศาสตร์ไง แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธศาสน์ไง พุทธะ เกิดที่ใจๆ นั้นไง ถ้าเกิดที่ใจนั้น เห็นไหม

การรักษา การรักษาทางโลกนะ ก่อนที่เขาจะรักษา เขาต้องแสวงหาสิ่งนั้นมาไว้เพื่อรักษา รักษาไว้ เห็นไหม เจดีย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ควรสร้างเจดีย์ ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ จักรพรรดิ ควรสร้างเจดีย์ไว้กราบไหว้บูชา

กราบไหว้บูชา เพราะทำไมถึงกราบไหว้บูชาล่ะ กราบไหว้บูชาเพราะคุณธรรมในใจอันนั้น คุณงามความดีอันนั้น เวลากราบไหว้บูชานั้นก็เพื่อสัจจะ เพื่อคุณงามความดีอันนั้น ชาติ ชาติจะมั่นคงขึ้นมาได้เพราะจักรพรรดิ จักรพรรดิ สิ่งที่เขาคุ้มครองดูแล ปกป้องคุ้มครองดูแล เพราะเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คุ้มครองดูแล ทำแต่คุณงามความดี ให้ความอบอุ่น ให้ชีวิตนี้มีแต่ความมั่นคง นั่นมันมีบุญมีคุณไง คนที่เขาระลึกถึงบุญถึงคุณของเขา เขาระลึกถึงคุณอันนั้น เขากราบเคารพบูชาอันนั้น

เวลาพระอรหันต์ พระอรหันต์ได้ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนสิ้นกิเลสไป พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นผู้รื้อค้นสิ่งนี้ขึ้นมา แล้วชีวิตทั้งชีวิตของท่านปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากบ่วงจากมาร รื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก บุญคุณอันนั้นมันยิ่งใหญ่ไง ที่เขากราบ เขากราบอันนั้นไง เขากราบสิ่งที่เป็นบุญเป็นคุณไง พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึกในใจของเราไง

ถ้าเราไม่มีความเป็นจริงในใจของเราขึ้นมา เราก็กราบสิ่งที่รูปเคารพ ระลึกถึงอย่างนี้ไป เรากราบนี้เรากราบด้วยคุณธรรม เราไม่ได้กราบอิฐหินทรายปูน เราไม่ได้กราบสิ่งที่แกะสลักขึ้นมา ไอ้คนที่ไม่มีสติปัญญาขึ้นมาก็คิดได้แค่นั้นไง มันถึงไม่รู้จักพระในใจของมันไง

เพราะไม่รู้จักพระในใจของตน ไม่รู้จักความสำคัญในใจของตน ไม่รู้จักชีวิตความสำคัญชีวิตของตนไง ถึงไม่เริ่มต้นจากการค้นคว้าการแสวงหาไง สิ่งที่การค้นคว้าการแสวงหาที่จะเป็นความจริงขึ้นมา เพราะมีการศึกษา มีความเชื่อไง ศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อเป็นหัวรถจักรไง หัวรถจักรขึ้นมาเพื่อศึกษาธรรมะ เพื่อย้อนกลับมาสู่หัวใจของตนไง ธรรมะนี้เกิดจากใจไง สิ่งที่เป็นหัวใจๆ เห็นไหม นี่เขากราบกันอย่างนี้ เขาไม่ได้กราบอิฐหินทรายปูนแบบไม่มีสติปัญญานั้น เขากราบถึงบุญถึงคุณอันยิ่งใหญ่นั่นน่ะ ถ้ากราบถึงบุญถึงคุณอันยิ่งใหญ่

การรักษา โลกเขาจะรักษาพระของเขา เราบวชมาเป็นพระๆ เรามีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ข้อวัตรปฏิบัติคือธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นศาสดาของเราๆ นี่เป็นเครื่องอบรมบ่มเพาะ

เราบวชมาเป็นพระ บวชด้วยศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อ เราปรารถนาสิ้นสุดแห่งทุกข์ ถ้าเราปรารถนาความสิ้นสุดแห่งทุกข์ เราบวชมาแล้วเราจะประพฤติปฏิบัติไง บวชมา บวชมาด้วยธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บริษัท ๔ บวชมาเป็นพระๆ เป็นพระเป็นผู้ที่มีศีลสมบูรณ์ มีศีลสมบูรณ์ขึ้นมา ธรรมและวินัยเป็นศีลสมบูรณ์ เราจะรักษาพระๆ

เวลาฆราวาสเขาต้องหล่อพระขึ้นมาเพื่อเคารพบูชา เพื่อเขาจะถนอมรักษา เพื่อบำรุงรักษา เพื่อทำความสะอาดไง เราบวชมาแล้ว มันมีวัดมีวา อารามิกชนอยู่ในวัดในวา สิ่งที่มีแล้วเราก็ถนอมรักษา เราก็ทำความสะอาด นี่คือข้อวัตร ข้อวัตรของเราขึ้นมา เราทำขึ้นมาเพื่อหัวใจของเรา ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจิตมันมั่นคง จิตมันมีความอบอุ่น มีความชื่นบาน มันทำแล้วมันชื่นบาน แล้วจะเอาความสุข ความสุข “สุขอื่นใดเท่ากับความสงบไม่มี” ก็ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จะภาวนาของเราไง ถ้าภาวนาของเรา เราจะค้นหาพระพระในใจของเรา ถ้าเราค้นหาพระในใจของเรา

การรักษา ถ้าจะรักษาพระๆ เอาอะไรมารักษา มันมีแต่กิเลสไง กิเลสมันแผดเผา ถ้ากิเลสมันแผดเผา ไม่ต้องไปรักษามัน กิเลสนะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครอบครัวของมารมันขับถ่ายแต่ขี้ ขี้ที่รดหัวใจพวกเรา ถ้าขี้รดหัวใจพวกเรา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไง เพราะคนมีเวรมีกรรมขึ้นมามันถึงต้องเกิดไง การเกิดมันเป็นสัจจะ

การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันไม่ต้นไม่มีปลาย มันเป็นสัจจะเป็นความจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงไว้ในบุพเพนิวาสานุสติญาณ วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สัจจะความจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ยืนยันสิ่งสัจจะที่เป็นอย่างนี้ขึ้นมาไง

แล้วสิ่งนี้มันไม่มีต้นไม่มีปลายไม่มีที่สิ้นสุดไง ถ้ามันจะสิ้นสุด สิ้นสุดด้วยอาสวักขยญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เราเชื่อมั่นในสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรายังเชื่อมั่นว่าธรรมะยังสดๆ ร้อนๆ เรายังเชื่อว่าธรรมะยังมีอยู่ อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา ในเมื่อมีสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีกิเลสคลุมหัวมันอยู่ เวลากิเลสควบคุมหัวใจ เราสัมผัสได้ เรารับรู้ได้ ถ้ารับรู้ได้ นี่ไง เราจะเริ่มรักษาพระของเราไง

แต่ตอนนี้พระเรายังไม่มี เรายังดูแลพระเราไม่ได้ เรายังค้นหาพระของเราไม่เจอ พระคือพุทธะ พุทธะคือสัมมาสมาธิ เรายังค้นคว้าหามันไม่เจอ ไม่เจอ ไปทำอะไร ตัวเองจะรักษาพระ แล้วพระรักษาที่ไหน

ชาวบ้านญาติโยมเขายังหล่อขึ้นมา หล่อเป็นพระพุทธรูปขึ้นมาแล้วเขารักษาดูแลของเขา ไอ้เราบวชมา บวชมาด้วยความเชื่อ บวชมาด้วยธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บวชมาได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ไง เป็นสมมุติสงฆ์ๆ ไง สมมุติสงฆ์ เราจะรักษาพระของเรา เราจะดูแลพระของเรานะ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาไง ถ้าเราทำเต็มที่ เราทำตามธรรมวินัยอันนั้นนะ เราเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง การเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นไปโดยสัญชาตญาณของมนุษย์ไง มนุษย์ที่เป็นชาวพุทธๆ น่ะ ชาวพุทธทุกคนก็เคารพ ทุกคนก็บูชา ทุกคนเขาก็ทำบุญกุศลของเขา เขาทำเพื่ออะไรล่ะ เขาทำเพื่ออำนาจวาสนาบารมีของเขาไง

แต่เราเป็นนักรบ เราเป็นพระ เราเป็นนักรบ เราจะรบกับสัจจะความจริงในใจของเรา ถ้าเรารบกับสัจจะความจริงในใจของเรา เราทำข้อวัตรปฏิบัติของเราตามธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราลงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำขึ้นมาให้เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก คือของของเรา ให้มันรู้มันเห็นขึ้นมากลางหัวใจนี้ไง ถ้ามันรู้มันเห็นขึ้นมาในกลางหัวใจนี้

นี่ไง ที่ว่าจะรักษา เอาอะไรไปรักษา ไม่มี จะรักษาอะไร เลื่อนลอยจะรักษาอะไร ก็เพราะเลื่อนลอยไง นี่ไง “ทำไมพวกนี้มันโง่นัก มากราบอิฐหินทรายปูน มากราบไม้แกะสลัก ทำไมมันโง่นัก”

เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องมีรูปเคารพใดๆ เลย เราจะกราบด้วยหัวใจ มันระลึกถึงข้างในหัวใจน่ะ ในหัวใจนั้นน่ะมันเต็มเปี่ยมล้นหัวใจอยู่แล้ว กราบที่ไหนก็กราบได้ การกราบนั้นกราบด้วยความระลึกถึง กราบด้วยความเคารพบูชา กราบจากหัวใจ นี่ไง จากใจสู่ใจไง จากใจถึงใจไง จากใจดวงหนึ่งไปสู่ใจดวงหนึ่งไง จากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ พระอรหันต์เป็นร้อยเป็นพันไง จากใจดวงหนึ่ง จากใจของครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ ไง สิ่งที่เป็นธรรมมันเสมอภาคไง ความเสมอภาค สิทธิเสรีภาพ ทุกคนมีสิทธิเหมือนกันหมดไง

ทุกคนมีสิทธิเหมือนกันหมด แต่ทุกคนก็ต้องภาวนาขึ้นมาให้เป็นพระของตนไง ถ้าเป็นพระของตน มันถึงจะรักษา รักษาธรรมวินัย รักษาธรรมวินัยก็เป็นสมบัติของตน

ใครมีศีลมากเท่าไร มันก็สมบูรณ์ในใจของตน ใครมีสมาธิขึ้นมา มันก็มั่นคงในใจของตน ใครถ้ามีปัญญาขึ้นมา สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา

ส่วนใหญ่แล้วสุตมยปัญญา เพราะเรากลัวเราจะผิดพลาดจากธรรมะ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พยายามจะจดจำให้ได้ๆ ทรงจำธรรมวินัย เราพยายามจดจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจดจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราสาธุ เวลาทำอะไรผิดพลาดขึ้นมามันก็เป็นอาบัติ เป็นความผิดพลาดของตน

แต่เวลาภาวนาขึ้นมา ความรู้สึกนึกคิดของมันน่ะ กิเลสเท่าไร ต้องคุ้ยมันออกมาให้หมดไง ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันรื้อค้นตั้งแต่อดีต ชาตินี้ ชาติหน้า ชาติที่แล้ว อดีตชาตินู่นน่ะ มันจะรื้อค้นขึ้นมาๆ เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เป็นจริตนิสัยนั้นน่ะมันขุดคุ้ยขึ้นมา แล้วขุดคุ้ยขึ้นมา ขุดคุ้ยขึ้นมาจนไม่มีสิ่งใดเป็นความสงสัย นั่นไง ปัญญาอบรมสมาธิๆ

สิ่งที่ขุดคุ้ย สิ่งที่ปัญญา เวลาปัญญามันขุดคุ้ยขึ้นมา ขุดคุ้ยขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อให้เห็นโทษของมันๆ แล้วมันก็ปล่อยๆๆ ไง สิ่งที่มันปล่อยของมันได้ นั่นน่ะปัญญาอบรมสมาธิๆ ปัญญาอบรมสมาธิเพราะอะไร ปัญญาอบรมสมาธิเพราะมันคิดโดยสัญชาตญาณ คิดโดยสถานะของความเป็นมนุษย์ สถานะของความเป็นมนุษย์ นี่มนุษย์สมบัติ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ในสถานะของความเป็นมนุษย์ แล้วในสถานะของความเป็นเทวดา เทวดาเขาไม่มีร่างกายมนุษย์อย่างเรานี้นะ เขามีกายทิพย์นะ แล้วพรหมล่ะ เขามีขันธ์หนึ่ง นี่ผลของวัฏฏะๆ น่ะ นี่ไง สถานะไง สถานะที่มันทำให้คนหลงใหลได้ไง หลงใหลในชาติปัจจุบันนี้ไง นี่สถานะที่หลงใหลไง

นี่ไง แล้วเวลาที่มันเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาจากสถานะของความเป็นมนุษย์ไง มันเกิดมาจากสถานะโดยปัญญาอย่างนี้ไง ปัญญาอย่างนี้โลกียปัญญา ปัญญาของโลกๆ ไง ปัญญาที่ทำให้เรายึดมั่นถือมั่นอยู่นี่ ยิ่งใช้ปัญญามากเท่าไร ยิ่งรู้มากเท่าไร ยิ่งอวดรู้ ยิ่งกลัวจะลืม จดเอาไว้เลยนะ เวลามาถามนี่จดมาเป็นเล่มมาเลย กลัวจะถามไม่ถูก กลัวสิ่งที่จะถามไม่ถูก

มันเป็นอดีตไปแล้ว มันเป็นของเมื่อคืนน่ะ มันเป็นอดีตไปแล้ว สิ่งที่เป็นจริงๆ มันต้องเป็นปัจจุบันนี้ไง ถ้าเป็นปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นปัจจุบันเป็นอย่างไร

นี่ถึงบอกว่า สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา โลกียปัญญาๆ ปัญญาโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ ถ้าปัญญาโลกๆ ขอให้ลงใจในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เป็นมนุษย์สมบูรณ์แล้วแหละ ส่วนใหญ่มันไม่ลง คิดดี คิดปัญญาเยอะกว่า เก่งกว่า ดีกว่าทั้งนั้น ดีกว่าทั้งนั้นนะ นี่ไง มานะ ๙ มันชัดๆ เสมอเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา ต่ำกว่าเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา สูงกว่าเขา สำคัญว่าสูงกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา สำคัญว่าต่ำกว่าเขา สำคัญไหม

ถ้ายังเก่งอยู่ ยังเก่งอยู่ ยังมีทิฏฐิอยู่ มานะ ๙ ร้อยเปอร์เซ็นต์ สังโยชน์ทั้งนั้น แล้วเราเอาปัญญาอะไร เพราะอวดรู้ เลยไม่รู้ไง นี่ไง จะรักษาพระของตนๆ เห็นไหม แม้แต่ทางโลกเขา เขาจะรักษาพระ เขาก็ต้องหล่อ ต้องหาสิ่งวัสดุมาเพื่อทำเป็นรูปเคารพ สิ่งที่เป็นวัสดุนะ หลวงปู่มั่นท่านเอาไม้มาแกะเป็นพระพุทธรูปนะ เพราะสมัยโบราณมันหาได้ยาก มันไม่มี แล้วด้วยความเคารพ ด้วยรูปเคารพที่มันอยาก หัวใจมันระลึกน่ะ เวลาระลึกถึงขึ้นมา หลวงปู่มั่นเอาไม้มาแกะ หลวงปู่มั่นหล่อพระของท่านเอง นั่นสมัยท่านทำเพื่อเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

แต่ของเราไม่ต้อง เดี๋ยวนี้นะ ใครๆ ก็จะถวายพระพุทธรูป เพราะอะไร เพราะชาวพุทธ เมืองไทยเชื่อกันอย่างนั้นไง ชาวพุทธเถรวาทในบริเวณนี้เขาไม่ทำแบบชาวพุทธไทย ชาวพุทธไทยเป็นชาวพุทธทุนนิยม สิ่งใดที่เป็นวัตถุมันหาได้ง่าย เพราะมันเป็นธุรกิจ นี่พุทธพาณิชย์ หามาถวายพระๆ

ฉะนั้น มันมีอยู่แล้ว รูปเคารพจากภายนอก แต่พระของเราล่ะ พระของเราล่ะ ศีล สมาธิ ปัญญาในใจของเราล่ะ ก็เราเป็นพระปฏิบัติน่ะ นักปฏิบัติมันต้องเกิดที่นี่สิ ถ้ามันเกิดที่นี่มันจะสมบูรณ์นะ ศีลจะสมบูรณ์ ศีลจะสมบูรณ์เพราะอะไร เพราะเราเป็นนักปฏิบัติด้วยกันนะ เวลานั่งสมาธิเป็นอย่างไร นั่งสมาธิแล้วลังเลเรื่องอะไร นั่นแหละ นั่นแหละศีล ถ้ามันฟันขาดหมดเลย เราไม่มีอะไรผิดพลาดแม้แต่เล็กน้อย ถ้าสิ่งใดจะผิดก็จะปลงอาบัติ ถ้ามันผิดนะ เพราะเราไม่แน่ใจในตัวเราไง

แต่ถ้ามันแน่ใจของเราแล้ว เราไม่ได้มีสิ่งใดผิดพลาดแม้แต่น้อย ฉะนั้น เราจะนั่งสมาธิของเรา เราจะหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ เราใช้ปัญญาของเรา ผู้ที่ทำสมาธิก็ทำสมาธิ ผู้ที่ใช้ปัญญาอยู่ก็ใช้ปัญญาของเราไป นี่มันเป็นพื้นฐานไง ถ้ามันเป็นพื้นฐาน แล้วเราทำของเราขึ้นมา ถ้าทำของเราขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเกิดสมาธิขึ้นมาได้ มันก็เป็นสมาธิของเรา เราเป็นนักปฏิบัติด้วยกัน เวลานั่งสมาธินี่มันรู้ ลงหรือไม่ลง ใจจริงหรือไม่จริง

จะเทศน์แต่สอนคนอื่นไง จะสอนแต่คนอื่น แต่คนอื่นจะสอนเขาทั่วเลยนะ แต่ตัวไม่ทำ ตัวไม่ทำ ตัวไม่รู้ เอาอะไรไปสอนเขา โธ่! หลวงตาท่านพูดประจำ ปัญญาเท่านี้หรือจะมาสอนเรา แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว พูดออกมา ความจำทั้งนั้น เวลาพูดออกมาไม่มีความจริง มันไม่รู้ความจริงหรอก คนไม่เคยผ่านความจริงมา เอาความจริงมาจากไหน อวดรู้

พระของตนไม่รักษา หาพระของตนไม่เจอ แม้แต่พระของตนยังไม่เห็น ถ้าพระของตนไม่เห็น มันเลยไม่รู้จักพุทธะไง ถ้ามันรู้จักพุทธะนะ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมจะได้สัจจะความจริงตามนั้น ถ้าได้สัจจะความจริงตามนั้น นั่นเขาประพฤติปฏิบัติมา แล้วเขาจะสงวน เขาจะรักษา เขาจะรักษานะ รักษาอะไร มีสติรักษาศีลของตน รักษาความปกติ รักษาพระให้ผ่องแผ้ว

เวลาชาวบ้านเขาจะรักษาพระของเขา เขาต้องหาเงินหาทองไปซื้อไปหา ไปหล่อมาเป็นพระของเขา นี่ไง เราบวชมาแล้ว เรามีข้อวัตรปฏิบัติของเรา เราทำข้อวัตรของเรา เวลาเราทำความสะอาด พระพุทธรูป เราก็ทำความสะอาดของเรา นี่ข้อวัตรปฏิบัติของเรา ธรรมวินัย แต่เวลาจิตเราสงบแล้วล่ะ นี่สิ่งที่รักษา เอาอะไรรักษาเอาอะไรรักษา หายใจเข้าพุท หายใจออกนึกโธ สติปัญญารักษา รักษาพระของเราๆ รักษาพระของเราก็เข้าสมาธิไง

ถ้ารักษาพระของเรา เข้าสมาธิ ชำนาญในวสีไง ชำนาญในการเข้าและชำนาญในการออกไง ถ้าชำนาญในการเข้า เข้าไปทำไม เข้าไปเพื่อพักผ่อน พักใจให้มีกำลัง แล้วฝึกหัดใช้ปัญญา พอใช้ปัญญาแล้วเหนื่อย ใช้ปัญญาแล้วเพลีย วาง วางการใช้ปัญญานั้น ออกมาพุทโธ ออกมาเพื่อรักษาพระของเราให้สะอาดแวววาว รักษาพระของเราให้มั่นคง พอรักษาพระให้มั่นคง พอรักษาพระให้มั่นคงแล้ว เราก็กลับไปใช้ปัญญาอีกๆ นี่ไง เราจะเดินไป ๒ เท้าไง ระหว่างสมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐานไง

วิปัสสนากรรมฐาน ปัญญาการรู้แจ้ง รู้แจ้งในพระของเรา รู้แจ้งในพุทธะของเรา พุทธะ เห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ผ่องใสขนาดไหนมันก็คู่กับความเศร้าหมอง มันจะสะอาดขนาดไหน เดี๋ยวฝุ่นมันก็จับ มันจะแวววาวขนาดไหน เดี๋ยวมันก็เศร้าหมอง แล้วพอมันเศร้าหมองแล้ว อู๋ย! พระของเราไม่สวย พระของเราไม่แวววาว นี่ไง สมาธิมันเบาบางลงแล้ว

ใช้ปัญญาไปเถอะ ใช้อย่างไรก็ไม่ทะลุปรุโปร่ง แล้วมันต้องวางปัญญาอันนั้น แล้วกลับมารักษาพระของเรา ดูแลรักษาพระของเรา นี่ชำนาญในวสี ชำนาญในการรักษา ชำนาญในการดูแล ดูแลอะไร ดูแลหัวใจของตน ดูแลหัวใจของตนที่มั่นคง

ถ้าหัวใจของเราที่หวั่นไหว หัวใจของเราที่คลอนแคลน นั้นคือพระของเราสกปรก พระของเราสกปรกเลอะขึ้นมา พอสกปรกแล้วจิ้งจกตุ๊กแกมันก็จะมาขี้ สิ่งใดมันก็มาขี้ใส่พระของเราๆ พอใส่พระของเราก็โมโหตุ๊กแก จะไปตีตุ๊กแกนะ พอตีตุ๊กแก ฟาดลงไปก็ไปโดนพระของเรา เพราะตุ๊กแกมันเกาะอยู่บนหัวใจของเรา ตุ๊กแกมันเกาะอยู่บนพระของเรา

จะตีตุ๊กแก ไปโดนพระ จะรักษาพระ ไปตีตุ๊กแก...อ้าว! อารมณ์มันเกิดไง มันเป็นอย่างนั้นๆ ไปเรื่อยเฉื่อยเลย เวลาโมโหก็ฟาดมันเลย พอฟาดมันเลย ก็ฟาดโดนพระของเราเอง ไหนว่าจะรักษา จะรักษาหรือจะทำลาย

ถ้าจะรักษาก็รักษาด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยการฝึกหัด ด้วยการวิเคราะห์วิจัย อะไรผิดอะไรถูก นี้คือการรักษา

ด้วยอารมณ์สัญชาตญาณความพอใจของตน ฟาดมันเลย ทำลายมันเลย มันมากวนเรา มันทำลายให้เราทำไม่ได้ประโยชน์ ทุบตีมันเลย ทุบตีมันด้วยอารมณ์อย่างนั้นหรือ นี่ไง เวลากิเลสมันเข้าไปแล้วมันพลิกแพลงได้ทั้งนั้นน่ะ กิเลสมันเข้าไปอยู่ที่ไหนนะ ทำให้เราผิดพลาดทั้งนั้นน่ะ ถ้าเราจะไม่ผิดพลาด เราจะต้องรักษาพระของเราๆ

ถ้าใครรักษาพระของตน คนนั้นฉลาด ใครรักษาพระของตน คนนั้นจะมีกำลัง ใครรักษาพระของตน พระของตนจะแวววาว นี่ไง มันแวววาวขนาดไหน ถ้ามันจะเศร้าหมอง เราก็เช็ด เราก็ล้าง เราก็รักษาของเรา เราต้องเช็ด เราต้องล้าง เราต้องหมั่นรักษา มันไม่มีสิ่งใดหรอกที่ปล่อยไว้แล้วมันจะไม่สกปรก ไม่มีสิ่งหรอกที่มันคงที่ ไม่มี สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา อนิจจังกับอนัตตา

อนิจจังคือวัตถุธาตุ คือสิ่งที่เป็นไปในโลก ในวิทยาศาสตร์ ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ ในจักรวาล ไม่มีสิ่งใดคงที่ แปรปรวนทั้งนั้น แปรปรวนทุกๆ อย่าง สิ่งในโลกนี้ทั้งหมดเป็นอนิจจัง ทั้ง ๓ โลกธาตุ สิ่งใดเป็นอนิจจัง มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ล่ะ มันเป็นสุขไปได้อย่างไร ของของเรา แล้วพลัดพรากจากเราไป มันเป็นสุขได้อย่างไร มันเป็นทุกข์ทั้งนั้นน่ะ นี่ไง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง แล้วจะเป็นอนัตตาอย่างไรล่ะ

มันจะเป็นอนัตตาต่อเมื่อจิตสงบแล้ว จิตสงบ จิตตั้งมั่น นี่พุทธะของเรา รักษาหัวใจของเรา รักษาแล้วมันแวววาวของเรา การแวววาวมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้นคือการเห็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เกิดขึ้นคือเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง แล้วเราพิจารณาแล้วพิจารณาเล่า การพิจารณา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป

ความเป็นอนัตตาๆ เห็นไหม สรรพสิ่งในโลกคนมีการศึกษาๆ นักวิทยาศาสตร์ที่มีการศึกษา เขาศึกษาแล้ว รักษาพระของตนๆ ทำความสะอาดน่ะ แล้วพระนี่ไปกราบทำไม อิฐหินดินทราย ไปกราบทำไมๆ นี่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่สรรพสิ่งนี้เป็นอนิจจังๆ เขาคิดได้แค่นั้นไง มันแปรสภาพของมันได้แค่นั้นน่ะ มันคิดของมันได้แค่นั้นน่ะ แต่มันไม่มีชีวิตไง อิฐหินทรายปูนไม่มีชีวิตไง มันเป็นอนิจจัง มันแปรสภาพของมันอยู่แล้ว มันไม่มีคุณค่า ไปกราบไปไหว้มันทำไม

สิ่งที่เขากราบเขาไหว้เพราะจิตใจเขาสูงส่ง จิตใจเขาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตมันเป็นรูปเคารพ มันเป็นรูปเหมือน มันเป็นสมมุติ สมมุติเป็นธาตุ ๔ ให้เป็นรูปเคารพ เป็นสัญลักษณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ที่มันเป็นอนิจจังๆ อยู่นี่ ถ้าใครมีสติมีปัญญาทางวิทยาศาสตร์ มันคิดกันได้ด้วยความเป็นอนิจจังไง แต่ความเป็นอนัตตามันไม่รู้ ความเป็นอนัตตามันเกิดขึ้นที่ไหนๆ มันเกิดขึ้นจากจิต มันเป็นปัจจัตจัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นเรื่องของพระพุทธศาสนา มันเป็นเรื่องของพุทธะ มันเป็นเรื่องของความเป็นจริง แล้วก็ไปศึกษากันเป็นเรื่องของทฤษฎีไง อนัตตาเกิดขึ้น แล้วตั้งอยู่ แล้วดับไป ธรรมทั้งหลายก็ต้องเป็นอนัตตา...อนัตตาอะไรของมึง

อนัตตา อนัตตาเป็นทฤษฎี อนัตตานั้นเพื่อจะอธิบายต่อกันไง แต่ถ้าความเป็นจริง ความเป็นจริงเป็นอย่างไร อนัตตาคือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เกิดขึ้น อะไรเกิดขึ้น

รักษาพระของเราๆ พระของเราเศร้าหมอง เราพยายามรักษาพระของเราให้แวววาว รักษาพระของเราให้แวววาวขึ้นมา ถ้าพระของเราพุทธะ ถ้ามันไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง เกิดขึ้นๆ เกิดขึ้นคือการค้นคว้า คือการแสวงหาที่มันเป็นความจริงขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นเฉพาะ เป็นเฉพาะจากใจดวงนั้น เป็นเฉพาะจากจิตดวงนั้น ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากจิต ปัญญาเกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากฐีติจิต เกิดจากปฏิสนธิจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ อนัตตามันอนัตตาอย่างนั้น ที่มันเกิดขึ้นๆ เกิดขึ้นด้วยพุทธะ เกิดขึ้นด้วยสติปัญญาที่แวววาว เกิดขึ้นด้วยมหาสติมหาปัญญา เกิดขึ้นด้วยปัญญาญาณ เกิดขึ้นด้วยสติปัญญาอัตโนมัตินั่นน่ะ ถ้ามันไปเห็นสัจจะเห็นความจริงของมัน

ถ้ามันพิจารณาของมันๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ตั้งอยู่แล้วเราก็ถอย พิจารณาแล้วก็สู้ไม่ได้ พิจารณาแล้วก็พลิกแพลงไป มันก็ไม่เป็นอนัตตาโดยสมบูรณ์ไง เวลาเราภาวนากันนะ โอ้โฮ! มันมั่นคง มันแข็งแรง มันมีสติปัญญามากขึ้นไป แต่มันไม่สุดไง มันไปไม่รอดไง เพราะไปไม่รอดเพราะอะไร ไปไม่รอด ครอบครัวของมารไง ครอบครัวของมารมันปัดแข้งปัดขา มันต่อสู้ทั้งนั้นน่ะ

คนที่ยังไม่เคยภาวนา คนที่ยังไม่เคยไปต่อสู้กับกิเลส จะไม่รู้จักกิเลสของตน จะไม่เห็นกิเลสของตน จะไม่เห็นการพลิกแพลงในใจของตน ถ้ามันพิจารณาในใจของตนนะ พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า สิ่งที่มันปัดแข้งปัดขา ถ้ามันปัดแข้งปัดขา เราก็ถอยมา เราถอยมา เห็นไหม ในการรบ ในทางยุทธวิธี ถ้าโจมตีไม่ได้ ถอยออกมา ล่อให้ข้าศึกออกมา ล่อให้ข้าศึกออกมา แล้วตลบหลังต่อสู้ ยุทธวิธีเขามีเยอะแยะในการรบ อันนี้ก็เหมือนกัน ในการวิปัสสนา ในการกระทำของเรา เราทำของเรา เราทำภายในใจของเรานะ ไม่ใช่เรียกร้องให้ใครมาช่วยเหลือ

เวลาเรียกร้องให้ใครมาช่วยเหลือก็เรียกร้องศีล สมาธิ ปัญญา เรียกร้องความเพียรชอบ ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรามาช่วยเหลือ ช่วยเหลืออะไร ช่วยเหลือให้เกิดการกระทำ ให้เกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนาไง

เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ จิตนี้เกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ เวลากำเนิดขึ้นมา กำเนิดด้วยเวรด้วยกรรมทั้งนั้นน่ะ แต่เวลากำเนิดในวัฏฏะก็เกิดจากพ่อจากแม่ เกิดโดยโอปปาติกะ เวลาเกิดกำเนิด ๔ เกิดด้วยเวรด้วยกรรม แต่เวลาจะทำลายล้าง จะทำลายอวิชชา จะทำลายภพทำลายชาติ มันไปทำลายที่ไหน ถ้าไม่ทำลายที่บนภวาสวะ ไม่ทำลายบนฐีติจิต ปฏิสนธิจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าไม่ทำลายที่มัน จะไปทำลายที่ไหน ถ้าไม่ทำลายอวิชชาบนหัวใจของตน มันจะรู้แจ้งได้อย่างไร

ความรู้แจ้งมันต้องทำลายในกลางหัวใจของตน แล้วทำลายกลางหัวใจของตน ธรรมทั้งหลายรวมลงอยู่ที่ใจ ธรรมทั้งหลาย ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายน้อมลงที่ใจทั้งนั้น

แต่ของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์ไง ใจก็ซ่อนไว้ในร่างกายนี้ ใจก็ซ่อนไว้ในขันธ์ ๕ นี้ แล้วก็ส่งออกไปตะครุบเงา แล้วเป็นทฤษฎีทั้งนั้น แล้วสติปัญญาเลอเลิศ วิเคราะห์วิจัยได้มหาศาล...ความรู้ของตนไม่มี ความเป็นจริงในใจไม่มี สัจธรรมไม่ได้เกิดขึ้นกับหัวใจของเรา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเราๆ เราไปศึกษาทรงจำธรรมวินัยนี่ประเสริฐ แต่เขาทรงจำไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าทรงจำไว้แล้ว กิเลสมันพลิกแพลง กิเลสบังเงา เป็นปัญญาเราทั้งนั้น ปัญญาเลอเลิศ ปัญญาประเสริฐ ปัญญานี้รอบรู้ รอบรู้ในธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือแปล แปลธรรมวินัย แปลแล้วมากระจายขยายความ รวบรัดตัดเพื่อเป็นการศึกษาของตน แต่จิตของตนยังโง่เง่าเต่าตุ่นอยู่นั่นน่ะ

หลวงตาบอกว่า กิเลสไม่ได้ปอกเปลือกเลย กิเลสไม่ได้โดนทำลายเลย กิเลสได้รับการส่งเสริมว่าข้านี่รู้มาก ข้านี่เป็นนักปราชญ์ ปราศจากความจริง

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ศึกษามา สาธุ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่เกิดพระพุทธศาสนา ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็จะไม่ได้พบพระพุทธศาสนา สิ่งที่เราได้พบพระพุทธศาสนานี่เป็นบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ให้กับสาวกสาวกะ ผู้ได้ยินได้ฟัง

ได้ยินได้ฟังแล้วมีศรัทธามีความเชื่อของเรา เราออกมาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระแล้วเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาความจริงของเราขึ้นมา ทำแล้วทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา รักษาพระให้ได้ รักษาตัวเราให้ดี รักษาตัวเราคือรักษาศีล ฝึกหัดสมาธิ แล้วพยายามฝึกหัดปัญญา รักษาตัวให้ดี รักษาศีลของเราให้บริบูรณ์ รักษาศีลของเราให้บริสุทธิ์ แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติให้เกิดสมาธิ เกิดสมาธิขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา มันถึงจะเกิดภาวนามยปัญญา มันถึงจะไปเป็นไตรลักษณ์นู่นไง

แต่ถ้าในโลก ใน ๓ โลกธาตุ สิ่งที่เกิดขึ้นมันอยู่ในวังวนของอนิจจัง มันไม่ถึงอนัตตาหรอก ถ้าไปถึงอนัตตา มันจะเป็นยอด ยอดธรรม ยอดธรรมในพระพุทธศาสนา

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายๆ เห็นไหม ธรรมทั้งหลายอยู่ในไตรลักษณ์ๆ แต่สิ่งที่เราใช้สติใช้ปัญญาฝึกฝนของเรามันจะเป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรมพ้นจากไตรลักษณ์ พ้นจากการเปลี่ยนแปลง ถึงจะเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ถึงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงได้เป็นพระอรหันต์สืบทอดกันมาๆ ในพระพุทธศาสนาที่ในวงปฏิบัติ ในวงกรรมฐาน ในวงกรรมฐานที่มีครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงวางธรรมวินัยนี้ไว้

หลวงปู่มั่นส่งเสริมข้อวัตรปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเราพยายามส่งเสริมการประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติเป็นสมบัติของเรา ภัตกิจๆ ใครกินเท่าไรก็กินเข้าไปในกระเพาะของตน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนามากน้อยแค่ไหนก็เข้าสู่จิตของตน จิตของตนคือประสบการณ์ของจิต ประสบการณ์ที่ได้ประพฤติปฏิบัติ ประสบการณ์ที่ได้กระทำจะเป็นประสบการณ์ของจิตดวงนั้น เอวัง