เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ มิ.ย. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรมเพราะเราแสวงหาสัจจะหาความจริงในชีวิตความเป็นจริงของเรา ในชีวิตความเป็นจริงนะ ในชีวิต ชีวิตจริงๆ เป็นสมมุติบัญญัติ สมมุติบัญญัติเกิดชั่วคราว ๑๐๐ ปี แต่คนเราเกิดมา เกิดมาเพื่อสร้างคุณงามความดี เกิดมาเพื่อพัฒนาหัวใจของเรา ถ้าพัฒนาหัวใจของเรา หัวใจเราจะเริ่มคิดบวก เริ่มจะมีความสุขขึ้นมา

 

แต่ธรรมดาของคนมันมีคิดบวกคิดลบ ถ้าหัวใจของคนคิดลบๆ นะ คิดแต่ตัดทอนกำลังใจของตน คิดแต่ทำร้ายตัวเองๆ ทำร้ายตัวเองโดยการตัดโอกาส ทำร้ายโดยความไม่มุมานะไง

 

แต่ถ้าความมุมานะ ความขยัน ความหมั่นเพียรขึ้นมา คิดบวกๆ คนคิดบวกมันจะทุกข์มันจะยากในสายตาของคนอื่นนะ แต่มันจะเป็นความสุขของเราๆ ไง ถ้าความสุขของเรา เห็นไหม

 

คนเราเกิดมาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทุกๆ คน ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ไง แต่ความทุกข์ ความทุกข์มันคืออะไร ความทุกข์คือความขัดแย้ง ไม่พอใจก็เป็นความทุกข์ไปทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันพอใจๆ ไง คำว่า “พอใจ” ถ้าพอใจ คิดบวกๆ

 

เวลาไปหาครูบาอารย์ ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย ความขยันหมั่นเพียรอาบเหงื่อต่างน้ำทั้งวันๆ นั่นน่ะสมบัติสาธารณะๆ สมบัติของเรายังไม่มีเลย สมบัติของเรายังไม่มีเลย แล้วเวลาคนคิดบวก คนมีคุณงามความดีมันคิดแล้วมันมีการกระทำนะ มันเพลิดเพลินไปกับงานนั้นไง มันไม่เห็นงานที่ละเอียดกว่านั้น งานที่ละเอียดกว่านั้นไง

 

งานที่ละเอียดกว่านั้น เห็นไหม สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี นี้เป็นการยืนยันขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ นี่เป็นบาลีในธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วจิตคนมันสงบหรือไม่ จิตของคนมันสงบหรือไม่ ที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่มันทุกข์มันยากเพราะอะไร

 

หน้าที่การงานก็เป็นหน้าที่การงานนะ แต่ถ้าเวลาความคิดมันขัดแย้งขึ้นมา มันมีความทุกข์ความยากของมันทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้าคนคิดลบ มันวางแผน มันคิดแต่ผลประโยชน์ของตนนะ แต่ไม่ได้หรอก มโกรรม กรรมไม่มีที่ลับที่แจ้ง เวลามันเกิดในที่ลับ ที่ลับมันก็ปิดหูปิดตาทั้งนั้นน่ะ แต่มันก็มีเวรมีกรรมของมันทั้งนั้นน่ะ

 

เวลาคนทำความผิด ถ้าตำรวจจับไม่ได้ มันก็รอดพ้นของมันไป เวลาคนที่ไม่ได้ทำสิ่งใดเลย เขาสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมา แล้วเอาคนนั้นเข้าไปติดคุก คนไม่ได้ทำความผิดติดคุกก็มี แล้วคนที่เขาคิดบวกนะ เขาคิด บอกว่ามันเป็นกรรมเก่าของเขาๆ แต่ถ้าคนคิดลบอยู่ไม่ได้เลยนะ เราไม่ได้ทำสิ่งใดเลย ไม่ได้ทำสิ่งใดเลย ทำไมเราต้องมาติดคุกติดตะรางๆ นี่มันเป็นเวรกรรมของสัตว์ ถ้าเป็นเวรกรรมของสัตว์ แล้วใครรู้ได้ล่ะ ใครรู้ได้ว่าเขาไม่ได้ทำความชั่วเลย เขาไม่ได้ทำสิ่งใดเลย แต่เขาสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมามัดเขาเข้าคุกเข้าตะรางไป ถ้าคนคิดลบนะ ชอกช้ำ ช้ำใจตายในคุกนั่นน่ะ แต่คนคิดบวกๆ เขารอจนชีวิตของเขาพ้นจากโทษออกมา เขาก็สร้างคุณงามความดีของเขา ชีวิตของเขา

 

เรามองแล้วมันสังเวช เวลาคิดอย่างนั้น คิดทางวิทยาศาสตร์ รับไม่ได้นะ ทุกคนรับไม่ได้ว่า เขาเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง เขาไปติดคุกได้อย่างไร เขาเป็นคนดีๆ เขาติดคุกได้อย่างไร แล้วไอ้คนเลวร้ายที่มันพ้นจากคุกๆ นี่มันกรรมของสัตว์ๆ กรรมเก่า กรรมใหม่

 

เวลากรรมเก่า กรรมใหม่ กรรมที่การกระทำมา การกระทำมันไปเจอสังคมอย่างนั้น เจอสภาวะแวดล้อมอย่างนั้น ไปเจอชุมชนอย่างนั้น มันมีความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาเราเกิดมาแล้วนะ เกิดในประเทศอันสมควร เป็นชุมชุนที่อบอุ่นนะ ในสมัยโบราณ ผักสวนครัวรั้วกินได้ เก็บผักเก็บหญ้ากินตามทางกันทั้งนั้นน่ะ ที่ไหนมันก็กินได้ ถ้าเราไม่เห่อเหิมทะเยอทะยานเกินไป รักษาหน้าของตนว่าจะเป็นเศรษฐีๆ ไง

 

ถ้าจิตใจเรา สุขอื่นใดไม่เท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตมันสงบนระงับเข้ามา มันเก็บผักเก็บหญ้าตามท้องไร่ท้องนากินได้ทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันกินได้ของมัน ชีวิต ความเป็นสุขๆ เราต้องการแสวงหาชีวิตแบบนั้น ถ้าชีวิตแบบนั้นนะ ชีวิตแบบนั้นมันต้องเป็นการคิดบวก การคิดบวกมันคิดจากหัวใจของตน ถ้าคิดจากหัวใจของตนนะ เราได้สร้างคุณงามความดีสิ่งใดมา ถ้าเราได้สร้างความดีสิ่งใดมา อภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ มันก็มีความโต้แย้งในบ้านนะ ในบ้านถ้าลูกคิดบวก ลูกคิดดี พ่อแม่ก็คิดไปอย่างหนึ่ง

 

ถ้าพ่อแม่คิดอย่างนึงนะ ในพระไตรปิฎก เวลาพระกัสสปะกับภรรยาของท่านมีความเห็นเหมือนกันว่าจะออกบวชทั้งคู่ พ่อแม่เป็นเศรษฐีทั้งนั้นเลย พ่อแม่เป็นเศรษฐีนะ ก็อยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ก็เอาลูกทั้งฝ่ายผู้หญิงและฝ่ายผู้ชายมาแต่งงานกัน เวลาแต่งงาน ลูกมันสัญญากันเองนะ เราจะอยู่แบบพรหมจรรย์ เอาดอกไม้นะ ดอกไม้วางไว้บนหัวนอน เราจะไม่ล่วงเกินต่อกัน

 

รอจนพ่อแม่ตายนะ พ่อแม่ทั้งทางฝ่ายผู้ชายก็สิ้นชีวิตไป พ่อแม่ของฝ่ายผู้หญิงก็สิ้นชีวิตไป แล้วสองคนนะ เราแจก แจกสมบัติ แล้วบอกว่า ไป ไปด้วยกัน ออกบวชทั้งคู่ แล้วสำเร็จนะ ผู้หญิงไปบวชเป็นนางภิกษุนี ผู้ชายไปบวชเป็นพระกัสสปะ เห็นไหม รอจนกว่าพ่อแม่สิ้นชีวิตไปนะ สิ้นชีวิตทั้งสองฝ่าย แล้วสมบัติที่พ่อแม่ห่วงนักห่วงหนา ลูกแจกหมดเลย แจกเสร็จแล้วต่างคนต่างแยกกันไป แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาสิ้นสุดแห่งทุกข์ นี่พูดถึงอภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่

 

แต่พ่อแม่คิดไม่ได้ คิดไม่ทันก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าบุตรที่ว่ามีเวรมีกรรมต่อกัน จองล้างจองผลาญนะ เราไปอ่านเจออยู่ใน ท. เลียงพิบูลย์ เวลาเขามีพี่สาว พี่น้องสองคน คนหนึ่งมีครอบครัว คนหนึ่งไม่มีครอบครัว คนที่มีครอบครัวมีลูกอยู่คนหนึ่ง มันล้างมันผลาญจนหมดนะ ตรอมใจตาย พอตรอมใจตายแล้วมาเข้าฝันพี่สาวหรือน้องสาวบอกว่า เฮ้ย! เอ็งเอาเงินอีก ๕๐ สตางค์นะ ไปให้ลูกชายกูที แล้วบอกว่าเป็นของเรานะ มันจะได้หมดเวรหมดกรรม

 

เขารู้ของเขาไง เขาตายไปแล้วเขายังรู้ของเขาว่าลูกของเขามันมีเวรมีกรรมต่อกัน มาล้างมาผลาญจนหมดเลย หมดเลยแล้วยังใช้หนี้มันไม่หมดนะ ตายไปแล้วยังมาเข้าฝันอีกนะ บอกว่า ให้ไปเอาเงินแล้วเอาไปให้ลูกชาย บอกให้มันอีก ๕๐ สตางค์ ยังค้างอยู่อีก ๕๐ สตางค์ ไม่อย่างนั้นชาติหน้ายังมีเวรมีกรรมต่อกันไปอีก นี่พูดถึงเรื่องเวรเรื่องกรรม แต่เราไม่เห็นไง

 

กรรมเป็นอจินไตย ถ้ากรรมเป็นอจินไตย เราย้อนกลับมาในชาติปัจจุบันนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนที่ปัจจุบันนี้ ถ้าใครมีสติสัมปัชชัญญะในปัจจุบันนี้ เราจะสร้างคุณงามความดีของเรา สร้างคุณงามความดี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถึงทำดีแล้วมันไม่ได้ดี ทำดีแล้วไม่มีใครเห็นความดีของเรา ทำดีแล้วมีความขัดแย้งขึ้นมา เราก็พยายามทำคุณงามความดีของเรา

 

ทำคุณงามความดีของเราเพราะเหตุใด เหตุเพราะสภาวะแวดล้อมอย่างนี้ไง สภาวะแวดล้อมแบบโลกๆ ไง ต้องมีการสอพลอ ต้องมีการจ้างวานกัน มันเป็นเรื่องโลกๆ เราทำความดีของเรา เขาจะคิดเรื่องอะไรก็เรื่องของเขา เราสร้างคุณงามความดีของเราๆ แล้วถ้ามันยังไม่ได้ผล กรรมเก่า กรรมใหม่ กรรมเก่าแบบว่าเรามาเจอสภาวะสังคมอย่างนี้ไง

 

ถ้าเราเจอสภาวะสังคมที่ดีนะ มีหลายครอบครัวมาก พ่อแม่ในครอบครัวคุยกันรู้เรื่อง มีความอบอุ่น นั่นน่ะบุญมหาศาล น้อยนักที่จะเป็นครอบครัวแล้วมาวัดพร้อมๆ กัน น้อยนัก จะต้องอบรม ต้องบ่มเพาะ ต้องคุยกัน ต้องชักจูงกัน แล้วความเข้าใจเหมือนกัน ความเข้าใจเหมือนกัน เห็นอันเดียวกันแสนยาก แต่ถ้าเป็นจริงๆ ครอบครัวนั้นน่ะมีบุญกุศล ถ้าบุญกุศล สิ่งนั้นมันมีบุญกุศลนะ เพราะอะไร เพราะความอบอุ่นในครอบครัวไง

 

สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วจิตสงบมันจะสงบได้อย่างไร นี่ไง พูดถึงความเป็นอยู่ขึ้นมาแล้ว ความคิดมันก็แตกต่างกันไปแล้ว พอความคิดแตกต่างกันไปแล้ว มุมมองก็แตกต่างกันไป ถ้ามุมมองแตกต่างกันไป ถ้ามันอยู่ในความดี มุมมองแตกต่างกัน ถ้ามันมีหยาบ กลาง ละเอียด นั่นอีกเรื่องนึงนะ ถ้าหยาบนะ ก็ยังหยาบๆ อยู่ พัฒนาขึ้นมาได้เป็นกลาง ถ้าพัฒนาได้เป็นความละเอียด แต่คนที่ขี้ฉ้อมันบอกว่า มันปล่อยวางหมดเลย ละเอียดที่สุด

 

ไอ้นั่นมันขี้เกียจขี้คร้าน เอาเปรียบคนอื่น คนอื่นเขาทำอยู่ตลอดเวลา คนอื่นเขาขวนขวายอยู่ตลอดเวลา คนอื่นเขาทำเพื่อส่วนรวมอยู่ตลอดเวลา

 

“โอ้โฮ! ไอ้นั่นมันหยาบๆ ไอ้ของฉันมันละเอียด”

 

ละเอียด มึงอย่าใช้สอยไปกับเขาสิ ละเอียด อย่าอยู่ร่วมสังคมเขาสิ ละเอียด เอ็งก็ต้องอยู่คนเดียว ละเอียด เอ็งก็ต้องเป็นฤๅษีชีไพรอยู่ในป่าในเขานั่น แล้วก็หาเก็บผลไม้กินเอาเอง

 

เวลาคนมันขี้ฉ้อ กิเลสมันร้ายกาจนัก มันปลิ้นปล้อน มันหลอกมันลวงไง แต่ถ้าคนฉลาดนะ ธรรมวินัยนี้ ศีลธรรมเขาเอาไว้จับผิดตนเอง ศีลคือศีลของเรา ศีลนี่ศีลของใคร ศีลคือศีลของเรา หลวงตาท่านบอก ขอศีลๆ เหลือศูนย์ ไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของตนเลย เพราะมันไม่ได้ทำ เพราะมันขี้เกียจขี้คร้าน แล้วแอบอ้าง ฉ้อฉล “ปล่อยวาง ไม่ติดข้องสิ่งใดเลย ละเอียดลึกซึ้ง” มันเป็นไปได้อย่างไร

 

คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เศรษฐีธรรมๆ หมายถึงว่า รู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ววางไว้ตามมความเป็นจริง

 

แต่พวกเราไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดเลย ศึกษาแล้วปล่อยวางๆ ปล่อยวางโดยที่ไม่รู้ไม่เห็น เหมือนยาจกเข็ญใจ ไม่มีทรัพย์สมบัติสิ่งใดติดตัวของตนเลย แล้วบอกปล่อยวาง ก็มึงไม่มี แล้วมึงจะเอาอะไรวาง ไม่มีทรัพย์สมบัติสิ่งใดเป็นของตนสักชิ้นนึง แล้วเอาอะไรไปวาง มันตระหนี่ถี่เหนียว มันอยากได้อยากดี อยากอวดอ้างว่ามันมีคุณธรรม แต่มันไม่มีอะไรเป็นสมบัติของตัวแม้แต่ชิ้นเดียว

 

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาท่านเก็บหอมรอมริบ หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านพูดประจำว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอะไร เป็นพระอรหันต์นะ ท่านยังเก็บหอมรอมริบ ทุกกฎสิ่งใดท่านไม่ยอมข้ามแม้แต่เล็กแต่น้อยเลย ทำไว้เพื่ออะไร ทำไว้เพื่อไอ้พวกตาดำๆ ไง ทำไว้เพื่อพวกลูกศิษย์ลูกหาที่คอยเพ่งคอยดูว่าอาจารย์ของเราต้องยอดเยี่ยมไง ถ้าอาจารย์เราไม่ยอดเยี่ยมเป็นอาจารย์ของเราไม่ได้ไง ทั้งๆ ที่ท่านสติวินัย

 

สติวินัยหมายความว่า ธรรมะวินัยนี้มันเป็นสมมุติ หัวใจนั้นมันธรรมเหนือโลก มันเหนือสมมุติบัญญัติแล้ว มันไม่มีสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดเพราะอะไร ไม่มีภวาสวะ ไม่มีภพ ไม่มีภพ ไม่มีฐานที่ตั้งของเจตนา การกระทำสิ่งใดที่ขาดเจตนา ขาดการหวังผล ไม่มีผลหรอก แต่ท่านก็ยังมาเก็บหอมรอมริบมาทำเพื่อเป็นตัวอย่าง ชีวิตแบบอย่าง

 

ชีวิตแบบอย่างนี้หายากมาก ชีวิตแบบอย่างเริ่มต้นคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดา ท่านมีความสุขความสบายในใจของท่าน ท่านมีความพร้อมหมดเลย แต่ท่านมาใช้ชีวิตแบบอย่างให้เป็นแบบอย่างให้เรานะ “ภิกษุทั้งหลาย เวลาเธอโดนโลกธรรมเบียดเบียนหนักหนาสาหัสสากรรจ์นะ ให้ดูเราตถาคตเป็นตัวอย่าง ให้ดูเราตถาคตเป็นตัวอย่าง” ท่านบอกให้ดูท่านเป็นตัวอย่างๆ นี่ไง ท่านไม่บอกเลยว่า ฉันปล่อยวาง แล้วทำอะไรก็ได้ แล้วก็จะบอกว่านี่ละเอียดลึกซึ้ง...ไอ้พวกขี้ครอก

 

แต่ถ้าพวกเศรษฐี หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่าน ท่านทำเป็นตัวอย่าง เห็นไหม หลวงปู่เสาร์ท่านพูดเอง นี่ไง ทำให้มันดูมันยังไม่เอาเลย แล้วจะไปสั่งสอนอะไรมัน สั่งสอนมัน จ้ำจี้จ้ำไช มันจะเอาไหม ทำให้มันเห็นเป็นตัวอย่าง หลวงปู่เสาร์ท่านนั่งทั้งวันทั้งคืนเลยนะ นั่งประพฤติปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่าง นี่ครูบาอารย์ของเราท่านมีดีไปคนละอย่าง เพื่อเป็นประโยชน์ เพื่อเป็นแนวทาง นี่ครูบาอาจารย์ที่ดีๆ ไง

 

คำว่า “เศรษฐีธรรมๆ” ต้องมีคุณธรรม มีศีลคือความปกติของใจ มีสมาธิคือความสงบระงับ มีความสุขในหัวใจ แล้วก็ยังมีปัญญาภาวนามยปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอดในกิเลสตัณหาความทะยานอยากนะ รู้แจ้งเห็นจริง เวลากิเลสมันขาดคือปล่อยวางตามความเป็นจริง

 

ไม่ใช่ว่า “ฉันจะปล่อยวางแล้วนะ ไม่มีใครเห็นฉันปล่อยว่างเลย แหม! ฉันปล่อยวาง ฉันเป็นคนดี แล้วถ้าไม่มีใครเห็นฉันปล่อยวาง ฉันจะไม่ยอมปล่อยวาง จนกว่าใครจะมองฉัน ฉันถึงจะปล่อยวาง”...อีกร้อยชาติ กิเลสทั้งนั้น แอบอ้างไง นี่พวกขี้ฉ้อ พวกขี้ฉ้อ นิสัยขี้ฉ้อมันก็จะขี้ฉ้อตลอดไป

 

ถ้านิสัยคนที่มีคุณธรรม ที่เราทำความดีๆ สิ่งที่ทำความดี ทำความดีเพื่อหัวใจของเรา มันมีมาตรฐานนะ อริยสัจมีมาตรฐานเดียว คนเราจะชำระล้างกิเลสต้องผ่านอริยสัจ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

 

นิโรธะ นิโรธความรู้แจ้ง รู้แจ้งในกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทุกข์กับสมุทัยเป็นฝ่ายกิเลส นิโรธกับมรรคเป็นฝ่ายธรรม ธรรมกับกิเลสชำระล้างกัน เห็นไหม มันประหัตประหารกัน มันรู้ตามความเป็นจริงของมัน

 

เวลาจิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ มันมีมาตรฐานเดียว คนจะขิปปาภิญญา จะพระอรหันต์ประเภทใดก็แล้วแต่ จิตนี้ต้องกลั่นออกมาจากอริยสัจ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาสวักขยญาณในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นเป็นมาตรฐาน ความเป็นมาตรฐานอันนั้นน่ะ เวลาใครผ่านมาตรฐานอันนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเข้าใจได้ จะรู้ได้

 

ถ้าใครไม่ได้ผ่านมาตรฐานอันนั้น มีความเข้าใจ มีพระมีความเห็นผิดจะไปเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไปรายงานตนว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พระไปยืนขวางทางอยู่ บอกให้เข้าป่าช้าไปก่อน จะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับแขกด้วยการให้กันไปพักไว้ที่ป่าช้าก่อน พอเข้าไปในป่าช้า ไปอยู่ในป่าช้า ไปเห็นซากศพ ไปเห็น มันวิเวก มันวังเวง มันกลัวขึ้นมา นี่ไง พระอรหันต์อะไรของเอ็ง

 

นี่มันเข้าใจไอ้พวกขี้ฉ้อ ไม่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มึงจะเอาความเป็นพระอรหันต์มาจากไหน เพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอ็งก็อ้างอิงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอ็งไม่มีสัจจะไม่มีความจริงในใจของเอ็ง ไม่มีสัจจะไม่มีความจริงเลย ถ้ามันหยาบ มันละเอียด ถ้ามันหยาบแล้วมันพยายามอ้างอิงนี่มันขี้ฉ้อ

 

แต่ถ้าเป็นธรรมๆ นะ เขาเก็บหอมรอมริบ เขาพยายามบากบั่นของเขา มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ ทำความดีของเราๆ ใครจะไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วแต่ เราทำความดีของเรา ความดีถ้ามันทำแล้วมันก็เป็นความดีในใจอันนี้ นี่มาตรฐานของใจมันจะยกให้สูงขึ้น ถ้ามาตรฐานของใจมันยกให้สูงขึ้นนะ มันละอายใจนะ เรามีแต่เอารัดเอาเปรียบเขา เรามีแต่เหยียบย่ำทำลายเขา เราเป็นภาระให้คนอื่นเขาคอยแบกรับแบกหามไว้ เรา นี่มันละอายใจ ถ้ามันละอายใจนะ คนประเภทนี้ถ้าไปอยู่ในป่าในเขานะ ไปธุดงค์อยู่คนเดียวนะ เวลาน้ำขาดแคลน ไม่มีน้ำใช้หรอก สมัยครูบาอาจารย์ของเราใช้ไม้กระบอกลงไปสรงน้ำ ใช้ไม้กระบอกตักนะ ลงไปสรงน้ำ กลับขึ้นมาเหงื่อเหมือนเดิม เหมือนไม่ได้อาบน้ำ แต่ก็ต้องทำ เวลาอยู่บนภูเขานะ แล้วเอาน้ำขึ้นมา

 

เรามีครูบาอาจารย์ท่านมาเยี่ยมพระกัน ท่านไปถึงด้วยความเหน็ดเหนื่อย ท่านก็ล้างหน้า บ้วนปาก อาจารย์บอก ที่เอ็งทำนั่นน่ะ กูใช้วันหนึ่งนะน่ะ สะอึกเลยนะ คำว่า “กูใช้วันหนึ่ง” หมายความว่า กูอุตส่าห์หิ้วมา แสวงหามาเพื่อไว้ใช้ในชีวิตประจำวันวันหนึ่ง ไอ้พระมาเยี่ยมนะ มาถึงมาล้างหน้า บ้วนปาก ขันหนึ่ง ท่านบอกนั่นกูใช้วันหนึ่ง

 

นั่นน่ะ ที่ท่านพูดเพื่ออะไร เพื่อให้รู้จักประหยัด รู้จักมัธยัสถ์ รู้จักกาลเทศะ เพราะตัวเองไม่ได้ไปแสวงหาน้ำนั้นมา ตัวเองไม่ได้ไปแบกหามขึ้นมาจากลำธาร ตัวเองไม่ได้ทำมา ตัวเองก็ไม่รู้ใช่ไหม เวลาไปใช้ก็นึกว่าน้ำเปิดก๊อกไง น้ำประปาเปิดก็ออกๆ ในป่าไม่มีหรอก มันต้องทำเองทั้งนั้น แล้วถ้าไม่ทำเองมันไม่มีหรอก มันต้องแสวงหาทั้งนั้น ถ้าเป็นจริงมันต้องเป็นสภาวะแบบนั้น มันถึงจะรู้ว่าเราเอารัดเอาเปรียบเขาหรือไม่ ตัวเองไปอยู่ตัวคนเดียวมันถึงจะรู้ว่าตัวเองมันจะทุกข์ยากขนาดไหน

 

ไอ้นี่ไปอยู่สังคมที่เจริญแล้ว เขาแสวงหาไว้ เขาทำไว้ไง เขาทำไว้ให้เป็นประโยชน์ เวลาข้อวัตรปฏิบัติเขาทำไว้พร้อม ตัวเองก็มาใช้ของเขา มาทำของเขา ไม่มีความละอายใจ ไม่เคยคิดเลย “ฉันปล่อยวาง ไอ้พวกนั้นมันพระใหม่ พระใหม่มันยังไม่รู้จักอะไรเลย อู้ฮู! ขยันหมั่นเพียรนะ เขาอยากจะทำให้ได้มาตรฐานแบบฉัน” นี่ความคิดขี้ฉ้อ

 

ถ้าความคิดที่เป็นจริงนะ เขามีความละอาย มีหิริมีโอตตัปปะ มีความละอาย มีความเกรงกลัว มีความตื่นตัว เศรษฐีธรรมๆ ไง แล้วมีสัจจะมีความจริง แล้ววางได้ตามความเป็นจริงมันถึงจะจิตสงบได้ จิตสงบได้ จิตที่มันจะเป็นจริงได้มันต้องมีของมัน ไม่ใช่ว่ามันไม่มีแล้วปล่อยวาง “นู่นก็ปล่อยวาง นี่ก็ปล่อยวาง จิตฉันสูงส่ง จิตฉันอยู่บนยอดไม้”

 

แต่ในธรรมะของค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะสูงส่งต่ำต้อยแค่ไหนก็อยู่ที่ภวาสวะ อยู่ในภพ อยู่ในหัวใจของเรานี่ หัวใจที่งดงาม หัวใจที่สูงส่ง มันก็อยู่ที่กลางหัวอกเรานี่ หัวใจที่ต่ำต้อย หัวใจที่หยาบช้า มันก็อยู่ที่กลางหัวอกนี่ เพียงแต่ว่ามันคายพิษออกมาเป็นสุขหรือเป็นทุกข์เท่านั้นเอง

 

สิ่งที่เป็นสุขๆ นะ เศรษฐีธรรมไง รู้รอบขอบชิด เราทำทุกอย่าง หมั่นเพียร ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วปล่อยวาง ปล่อยวางคือว่าทำเสร็จแล้วให้คนอื่นร่วมใช้ร่วมสอย เป็นสาธารณะสมบัติ ใครๆ ก็ใช้สอยสิ่งนั้นได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา เราไม่อ้างอิงว่าของเรา แล้วใครใช้แล้ว เราได้บุญได้กุศลของเรา ปล่อยวาง เห็นไหม แต่คนอื่นแล้วมันไม่ปล่อยวาง มันปล่อยวางไม่ได้ ถ้ามันยิ่งไม่ได้ทำเลยมันยิ่งไม่มีอะไรจะปล่อยวาง แล้วจะเอาอะไรไปปล่อยวาง

 

นี่ไง ถ้าเป็นสัจธรรมๆ มันต้องรู้แจ้งเห็นจริงแล้วปล่อยวาง การรู้แจ้งเห็นจริงมีการกระทำ เห็นไหม สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าจิตมันสงบมันระงับได้ มันมีความละลาย มีความละอายของมัน มีความขยัน มีความหมั่นเพียรของมัน ถ้าจิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นกิเลส พอจิตเห็นกิเลส จิตพิจารณาแล้ว ถ้ามันพิจารณาแล้วนะ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ มันสมบูรณ์แบบ ทุกข์ สมุทัย มรรค มรรคญาณ เกิดนิโรธความรู้แจ้ง จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ

 

จิตนี้ไม่ได้กลั่นออกมาจากการศึกษา กลั่นออกมาจากการท่องจำ กลั่นออกมาจากฟังเยอะๆ ฟังแล้วเป็นคติเป็นแบบอย่าง แต่ถ้ามันจะเป็นความจริง จิตนี้ต้องกลั่นออกมาจากอริยสัจ ถ้าจิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตนี้มันจะมีสัจจะมีความจริง แล้วมันจะมีการปล่อยวางได้จริงๆ มันจะเห็นจริง ทำจริง เป็นความสัจจะความจริงในใจอันนั้น มาตรฐานนี้เป็นมาตรฐานของพระพุทธศาสนา ภาวนามยปัญญา ปัญญาชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของสัตว์โลก เอวัง