เทศน์เช้า วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมๆ กินข้าวทุกวัน เรายังต้องกินอยู่ตลอดไปเพราะดำรงชีวิต นี่ไง ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเตือนสติของเรา ฟังธรรมให้เราตื่นตัวของเรานะ ไม่ให้กิเลสมันครอบงำ
ถ้ากิเลสมันครอบงำ เวลากิเลสมันครอบงำ นู่นก็สบาย นี่ก็สบาย นั่นก็สะดวกสบายทั้งนั้นน่ะ แต่เวลามันแก่มันเฒ่าขึ้นมา เห็นไหม เวลาไม้ใกล้ฝั่งๆ เวลาคนใกล้จะตาย เขาให้นึกถึงพระๆ เพราะนึกถึงพระ พุทธะ นึกถึงพระ นึกถึงพระพุทธรูป พระพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้นึกถึงพระ ให้เราใกล้ชิดศีลธรรม
ถ้าเราใกล้ชิดศีลธรรม เวลาคนไปดี สุคโตๆ คนจะสุคโต เวลามันอยู่ปัจจุบันนี้สุคโต มันก็จะไปสุคโต เวลาคนที่มันทุกข์มันยาก เวลาไปมันทุกข์มันยากกันทั้งนั้นน่ะ เวลาคนจะตาย ตายด้วยความทุกข์ความยาก ถ้าตายด้วยความทุกข์ความยาก บอกว่า คนเราเกิดมาชาติเดียวเท่านั้นน่ะ ตายแล้วก็จบ ตายแล้วก็จบนะ
ตายแล้วก็จบ มาเข้าฝันทำไม ตายแล้วจบมันเป็นความเชื่อนะ ถ้าคน ความเชื่อที่เขาไม่เชื่อเลยมันก็อีกเรื่องหนึ่งนะ เวลาความเชื่อ ความเชื่อเราก็ต้องการให้ญาติของเรามาเข้าฝันของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อความสื่อสาร แต่ความจริงแล้วการจะไปการจะมา ผลของวัฏฏะๆ เวลาผลของวัฏฏะ ใครไปเกิดภพใดชาติใดก็ต้องอยู่ภพใดชาตินั้น เวลาภพใดชาตินั้น นี่อาหาร ๔ ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ อาหาร ๔ นะ เกิดภพชาติใดก็กินอาหารอย่างนั้น ดำรงชีพอย่างนั้น เวลาหมดอายุขัยก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นี่สัจจะความจริง ผลของวัฏฏะ ผลของการเวียนว่ายตายเกิด แต่ที่เขาไม่เชื่อ เขาก็ไม่เชื่อของเขาไป
เวลาเราไปวัดไปวา เราก็ไปสร้างบุญกุศลอย่างนี้ไง พันธุกรรมของจิตๆ ทำคุณงามความดีไว้ เวลาทำคุณงามความดีไว้ ทำคุณงามความดีทิ้งเหวๆ ทิ้งเหวก็ทิ้งในหัวใจนี้ไง ให้หัวใจนี้มันมั่งคงในสัจจะในความจริงในใจของเรา
แต่คนมันรวนเร คนมันรวนเรเพราะคนมันทำแล้วไม่จริงไม่จัง ดูสิ คนเราจะดีก็ไม่ใช่ จะชั่วก็ไม่เชิง ครึ่งๆ กลางๆ ครึ่งๆ กลางๆ อย่างนั้นน่ะ โดยความเชื่อไง โดยกำลังของหัวใจไง กำลังของจิตๆ
แต่คนที่มีอำนาจวาสนา คนที่มีกำลังของเขานะ เขาเกิดมาเขาทำคุณงามความดีตั้งแต่เล็กตั้งแต่น้อย เขาจะมีความภูมิใจในความเกิดเป็นมนุษย์นะ เขาจะมีความภูมิใจในการเกิดในชาติ ในตระกูล ในพ่อในแม่ เขาจะเป็นคนดีของพ่อของแม่ นี่ถ้าเคยสร้างบุญสร้างกุศลมามันคิดอย่างนั้น นี่บุญกุศล
เวลาไปวัดๆ เราไปวัดป่าๆ วัดป่าคือป่าในการประพฤติปฏิบัติ เวลาวัดบ้าน วัดบ้านบวชขึ้นมาแล้วมีการศึกษา ศึกษามา ศึกธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงจำธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้เผยแผ่ธรรมๆ เผยเผ่ธรรมคือว่า เวลาพระ พระก็ต้องเข้าใจในธรรมและวินัย เวลาจะสั่งสอน อบรมสั่งสอนญาติโยม เห็นไหม
เวลาไปวัดป่าๆ วัดป่า พระวัดป่า ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่จะรื้อค้นความจริงในใจของตนขึ้นมา เวลาเขาติเตียนวัดป่า เวลาวัดป่าเทศนาว่าการไม่พูดถึงศีล ไม่พูดถึงศีลเลย สมาธิ ปัญญาไปเลย
สมาธิ ปัญญาไปเลย เพราะศีลมันเป็นพื้นฐาน ศีลเป็นพื้นฐานของชาวพุทธนะ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูด เวลาขอศีลๆ แล้วมันได้ศูนย์ ขอไปแล้วมันไม่ทำไง เวลาขอศีล พวกเราพูดเล่น พูดเหน็บพูดแนมกัน เขาขอแค่ศีล ๔ ศีล ๕ ไม่รับ ด้วยความชอบใจ ด้วยความพอใจของตนไง
ด้วยความชอบใจ ด้วยความพอใจของตน ก็กิเลสเป็นใหญ่ไง ตัวตนของเราเป็นใหญ่ พอตัวตนของเราเป็นใหญ่มันก็ควบคุมชีวิตของเรา แต่ฟังธรรมๆ ตอกย้ำตรงนี้ ตอกย้ำว่า คนจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนนะ ไม่ใหญ่เกินโลงศพ คนจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนนะ มันต้องตายทั้งนั้น
เวลาคนมันจะตายไปแล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐตรงนี้ไง มันจะยิ่งแค่ไหนนะ มันมีคุณธรรมนะ มันยิ่งใหญ่ด้วยคุณธรรม ยิ่งใหญ่ด้วยศีลด้วยธรรม ยิ่งใหญ่ด้วยคุณงามความดี ยิ่งใหญ่ด้วยความเมตตา ยิ่งใหญ่ด้วยบารมีธรรม ด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ทุกคนยอมรับบูชา
คนยิ่งใหญ่โดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากจะไปเหยียบย่ำเขา มันจะยิ่งใหญ่ไปไหน มันยิ่งใหญ่มันมีแต่กิเลสท่วมหัว ถ้ามันท่วมหัว มันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนมันไม่พ้นจากโลงศพนั้นไง ถ้าโลงศพอันนั้น นี่ไง กรรมเหนือโลกไง กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไง กรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ใครย้ำคิดย้ำทำจนเกิดเป็นจริตเป็นนิสัย ถ้ามันย้ำคิดย้ำทำสิ่งที่ดีงาม ย้ำคิดย้ำทำสิ่งที่ดีงาม
นี่ไง ศีล พระป่าเวลาพูดไม่พูดถึงศีลเลย ศีล กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม ศีลคือความปกติของใจ แล้วศีลคือความปกติของใจแล้วมันทำคุณงามความดีหรือไม่ ถ้าทำคุณงามความดี กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมหอมทวนลมนะ
กลิ่นของพุทธะ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา อนาถบิณฑิกเศรษฐีไปเยี่ยมญาติไง เห็นเขากำลังเตรียมข้าวปลาอาหารเพื่อถวายทานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “นี่มีงานอะไรกัน”
“โอ๋ย! ไม่รู้หรือว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พุทธะ”
โอ๋ย! ตื่นเต้นนะ นอนไม่หลับเลย จะต้องขวนขวายไปหาองค์สมเด็จพรสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้
นี่ก็เหมือนกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละราชวังมาจะประพฤติปฏิบัติ ที่ไหนก็มีศาสดา ที่ไหนก็มีพระอรหันต์ๆ เวลาไปศึกษากับเขาแล้วไม่มีหันสักหันหนึ่ง มันมีแต่หันซ้ายหันขวาไง มันไม่อรหันต์
คือไม่เหลวไหล ไม่หันเข้าไปหากิเลสตัณหาความทะยานอยาก อะ ไม่เปลี่ยนแปลง อรหันต์ คือไม่เหลวไหล ไม่โลเล นั่นความเป็นจริงอย่างนั้น แล้วมันไปหาแล้วมันไม่มี มันไม่มีตรงไหน ไม่มีนะ
เราไปศึกษากับใครก็แล้วแต่ ความรู้ของเขามีเท่าไร เราศึกษาแล้วจนจบกระบวนการความรู้แล้ว เราก็ทำได้หมดเลย แต่เรายังมีความสงสัยอยู่ เรายังมีความทุกข์อยู่ หันไหม ถ้าหัน มันต้องแก้กิเลสในใจเราสิ มันไม่หันสักหันหนึ่งเลย
แต่สุดท้ายแล้วเวลาท่านมารื้อค้นของท่านเอง นี่ไง ถ้ามันจะเกิด มันจะเกิดอย่างนี้ มันเกิดด้วยเหตุด้วยผล เกิดด้วยการกระทำ เกิดด้วยมรรคญาณ เกิดด้วยสติปัญญา มันเกิดสัจจะความจริงขึ้นมา ไม่ใช่เกิดจากความจำ เกิดจากการท่องจำ เกิดจากพรรคพวกที่ดี
ครูบาอาจารย์ที่ดีนี้สำคัญมาก สัปปายะ ๔ ครูบาอาจารย์อันดับหนึ่ง ครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้นำ แล้วโดยธรรมชาติของกิเลส ทุกคนรักตัวเอง ทุกคนเข้าข้างตัวเอง ทุกคนมีมุมมองของตน นี่กิเลสทั้งนั้น ไม่มีความจริง
ถ้าความจริงๆ ขึ้นมา ตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกๆ ตรวจสอบอีกก็ยังเข้าข้างตัวเองอยู่วันยังค่ำ แล้วคนที่อำนาจวาสนาอ่อนด้อย แค่ทำความสงบของใจ ใจมันสงบ “โอ๋ย! นิพพานเป็นเช่นนี้เอง”...ไร้สาระ ไร้สาระมาก
นี่ไง สิ่งนั้น ถ้านิพพานเป็นเช่นนั้นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลยนะ วิสัญญีแพทย์นะ แค่วางยาสลบมันก็สลบแล้ว “โอ๋ย! เป็นเช่นนี้เอง หลับใหลเป็นเช่นนี้เอง” เป็นอย่างนั้นหรือ
โอ้โฮ! กว่าจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา ปัญญาญาณ ปัญญาโดยอัตโนมัติ โอ๋ย! มันรู้พร้อม รู้เท่าทันไปหมดเลยในใจของตน มันเห็น มันรู้ มันเท่าทันนะ มันละเอียดลึกซึ้งขนาดนั้นน่ะ แล้วมันจะบอกว่า “โอ๋ย! ว่างๆ ว่างๆ”
ว่างๆ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยหรือ มันต้องมีแก่นมีสาร มีเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา ถ้าเป็นชิ้นเป็นก็เป็นวัตถุ อู๋ย! นี่มันก็เป็นเรื่องสมมุติอีกแหละ...ไอ้นั่นมันความคิดของโลก
ถ้าความคิดความจริง นี่ไง สัปปายะ ๔ ครูบาอาจารย์สำคัญตรงนี้ แล้วเวลาสถานที่เป็นสัปปายะ ที่ไหนเป็นที่อากาศปลอดโปร่ง เวลาหลวงตาท่านบอกท่านไปดอยธรรมเจดีย์ๆ ท่านบอกบนภูเขานั้น โอ้โฮ! อากาศมันเบาบาง อากาศมันสะอาดบริสุทธิ์
เราไปเขาใหญ่ๆ กัน เราไปที่อากาศที่บริสุทธิ์ นี่ก็เหมือนกันนะ สถานที่เป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ เพื่อนฝูงผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เขาสนใจในการปฏิบัติ เพื่อนฝูงผู้ปฏิบัติไม่ได้ชักจูงกันไปทางที่อื่น
เวลาคุยกันนะ ไม่คุยการปฏิบัติตรงนี้เลย “โอ้โฮ! ที่นู่นก็ดี ที่นี่ก็ดี” มันคุยไปอดีตนู่นไง “ไป เราไปที่นู่นกัน เราไปที่นู่นกัน” แล้วที่นี่ล่ะ มันไปที่นู่นๆ กัน แล้วปัจจุบันนี้ล่ะ
สุคโต โดยปัจจุบันมันสุคโตไง เราขวนขวายที่นี่ไง ถ้าหมู่คณะเป็นสิ่งดีนะ หมู่คณะเขาขวนขวาย หมู่คณะเป็นการกระทำ พระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติได้ธุดงค์ไปเรื่อยๆ ได้เห็นมา ได้คบมา มิตรแท้หาได้ยาก มิตรแท้ แล้วครูบาอาจารย์ที่คุ้มครองดูแลยิ่งหาได้ยากเข้าไปใหญ่
อาหารเป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะนะ อะไรที่ฉันแล้วง่วงเหงาหาวนอน ไม่ใช่อาหารเป็นสัปปายะนะ โอ้โฮ! ถ้ามันถูกทางวิทยาศาสตร์ กินคลีนเป็นสัปปายะ หนอนมันก็กิน พวกหนอนมันชอบด้วยฃ
สิ่งที่เป็นสัปปายะๆ กินแล้วมันง่วงเหงาหาวนอนหรือไม่ กินแล้วมันเป็นความจริงหรือไม่ ดูสิ กินลม อดนอนผ่อนอาหาร เขาไม่ฉันข้าวเลย ไม่ฉัน ไม่กินเลย ไม่ให้ธาตุขันธ์ทับจิต
นี่ไง เวลากินอาหาร ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาจิตเสวยอารมณ์ จิตมันกิน เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติ จิตมันกินกิเลสมันมีแต่ความแสบร้อน จิตมันกินธรรมมีแต่ความอบอุ่นนะ วันไหนมีความขัดแย้ง แล้วเราแก้ไขได้ ปล่อยวางได้ โอ้โฮ! มันโล่งโถงนะ นี่ไง มันกินธรรม ถ้ามันกินธรรม มันเสวย ถ้ามันอยู่กับธรรมนะ มันจะมีความสุข มีความสงบ มีความระงับ
ถ้ามันกินกิเลสนะ กิเลสนะ ตัณหาความทะยานอยากนะ โอ๋ย! มันแผดมันเผา มันมีแต่ความเร่าร้อน เลือดฉีดไปทั้งร่างกายเลย
นี่ไง เวลากิน เวลาร่างกายต้องการอาหาร หัวใจก็ต้องการอาหาร อาหารของธรรมๆ ไง กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมไง ถ้าของศีล ถ้าศีลที่ดี ถ้ามีศีล มีศีลแล้วต้องมีธรรม มีธรรม มีความเมตตา มีน้ำใจต่อกัน พอมีน้ำใจต่อกัน เวลาประพฤติปฏิบัติ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันต้องเกิดขึ้นจากสัจจะความจริง จะพูดขนาดไหน จะอธิบายขนาดไหน รู้ไม่ได้ จะพูดขนาดไหน จะอธิบายขนาดไหน จะอธิบายให้รู้ เป็นไปไม่ได้
เวลาคนที่ไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตใจต่ำต้อย เวลาฟังสิ่งใดฟังชั้นเดียว เวลาคนที่ปฏิบัติไปมันฟัง ๔ ชั้น ๕ ชั้นนะ ถ้ามันเป็นชั้นเปลือกๆ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค มันชั้นเป็นตอนเข้าไป ถ้าเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เราได้ปอกชั้นแรกหรือไม่
เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาเปรียบหัวใจของเขาเป็นเหมือนหัวหอม หัวหอมมันปอกเป็นชั้นๆ เข้าไป เวลาเทศนาว่าการ เราจะเปรียบหัวใจของคนเหมือนลูกมะพร้าว ลูกมะพร้าว เราปอกเปลือก สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ปอกเปลือก นี่โสดาบัน
แต่ถ้าเราปอกเข้าไป จากเปลือกมันก็จะไปเจอกะลา ถ้าเจอกะลา ถ้าเรากะเทาะกะลาออกได้ นั่นน่ะจะเป็นสกิทาคามี ถ้าเนื้อมะพร้าว เราทำลายมันได้ เนื้อมะพร้าวมันมีคุณค่าที่สุดเลย นี่กามราคะ แล้วใจของมันล่ะ ใจของมัน น้ำของมัน ภวาสวะ ภพ ถ้ามันทำเป็นชั้นๆๆ เข้าไป นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการแก้ปัญญาขึ้นมา มันซับซ้อนเข้าไป
ไอ้พวกที่จิตใจมันต่ำต้อย “อู๋ย! เหมือนกันเลย เหมือนกันเลย” เป็นวิทยาศาสตร์ไง ไม่มีการซับซ้อน ไม่มีกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ไม่มีเจ้าวัฏจักร
เจ้าวัฏจักรเป็นอวิชชา เจ้าวัฏจักรมันมีลูก นางตัณหา นางอรดี ความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นลูกของวิชา มันมีหลาน มันมีหลานของมัน หลานของมัน การยึดมั่นถือมั่นในใจของตน มันมีเหลน เหลนของมันเที่ยวไประรานชาวบ้านเขาทั่ว เที่ยวไปหาเรื่องมาให้ตัวมันเอง แล้วมันปล่อยวางอย่างไร มันเป็นชิ้นเป็นอันอย่างไร
นี่พูดถึงว่า ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นชั้นเป็นตอน มันซับซ้อน ซับซ้อนเพราะอะไร ซับซ้อนเพราะครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ท่านเห็นของท่านมาแล้ว แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติแต่ละครั้งแต่ละตอนมันไม่ใช่เป็นชั้นๆ อย่างนี้ มันเป็นเกม เกมเกมหนึ่งเราต้องแข่งขันเกมเกมนั้นจนสิ้นไป เกมเกมนั้น จะจบเกมกระทำอันนั้น
นี่ก็เหมือนกัน การกระทำ ในการรู้สติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ในขณะกระทำมันต้อง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่มากั๊กไว้ก่อน “เราทำแค่นี้เนาะ เราจะแบ่งไว้ไปข้างหน้า”...ตาย
เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทองบริสุทธิ์ยัง ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ ไม่มีสิ่งใดสะอาดบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เว้นไว้แต่มรรคญาณ เว้นไว้แต่มัชฌิมาปฏิปทา ความเป็นจริงในสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปแล้วได้ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ เหลืออีก ๑ เปอร์เซ็นต์ เหมือนไข้ เวลาคนไปหาหมอนะ รักษาไข้ ถ้าไข้ รักษา บรรเทาลง แต่ไม่หาย เชื้อยังมีอยู่ เดี๋ยวมันทุกข์อีก
นี่ก็เหมือนกัน กิเลสมันจะหลบมันจะซ่อน มันจะพลิกมันจะแพลง อู๋ย! มันเล่ห์หลี่ยม ปลิ้นปล้อนของกิเลสร้ายกาจนัก เวลาประพฤติปฏิบัติมันต้องทุ่มเทกันเต็มที่ ความสะอาดบริสุทธิ์เวลามันเป็นจริง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เวลามัชฌิมาปฏิปทา ชำระล้างกิเลส นั่นน่ะ อกุปปธรรมๆ มันต้องเข้าไปถึงก้นบึ้ง ไม่มีเหลือบ ไม่มีที่ซ่อนของมันเลย แต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นไป
ฉะนั้น เวลามันทุ่มเท ทุ่มเทขนาดนั้น แล้วทุ่มเทขนาดนั้น มันทุ่มเทไปแล้ว แล้วต่อเนื่องไป นี่ไง กายนอก กายใน กายในกายไง พระป่าเวลาเขาพูดกัน เขาพูดกันอย่างนี้ไง
แต่เวลาปริยัติเขาบอกว่า อันนั้นเป็นโวหาร ไม่มีการศึกษา ไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจ ไปเอาความจริงมาจากไหน นี่กลิ่นของธรรม
ถ้ามันเป็นเรื่องโลกๆ มันท่องจำกันมา วิทยาศาสตร์ไง คนที่มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์นะ ทฤษฎีเขารู้เป๊ะเลย ได้ทดสอบ ได้ทำหรือไม่ แล้วจริงหรือเปล่า ทางวิทยาศาสตร์ถ้าทดสอบแล้ว ๒๕ เปอร์เซ็นต์ก็ใช้ได้แล้ว แต่ธรรมะไม่มีสิทธิ์ แล้วเป็นไปไม่ได้ แล้วถ้าคนไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอย่างนี้นะ ไม่รู้หรอก ไม่รู้ถึงเล่ห์เหลี่ยม ไม่รู้ถึงความพลิกแพลงของมันในใจ ร้ายกาจนัก
กิเลสในใจของสัตว์โลก หลวงตา ครูบาอาจารย์ของเราท่านไม่กลัวโยม ไม่กลัวใครทั้งสิ้น แต่กลัวกิเลสในใจของเขา เขามีเจตนาดี เขาหวังดี แต่ถ้ากิเลสมันครอบงำ กิเลสมันฟูขึ้นมาแล้วนะ เขาไม่รู้ตัวหรอก เขาจะจำตัวเขาเองไม่ได้ กิเลสมันสั่ง
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือกิเลสในใจของสัตว์โลก คนดีๆ นี่แหละ เวลาไปตกอยู่ในอำนาจของมันนะ มันพลิกแพลงนะ อยู่ในอำนาจมันหมดเลย แล้วไปหมดนะ นี่เพราะอะไร เพราะขาดการปฏิบัติไง ลุ่มๆ ดอนๆ ไง
แต่ถ้าเป็นจริงๆ ถ้ามัน อะ คืออรหันต์ ไม่หันอีกแล้ว ไม่มีสิทธิ์ เกิดอีกไม่ได้ “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดอีกไม่ได้อีกเลย”
เกิดจากความดำริ ก่อนความคิดอีก เราไม่คิด ความไม่มีความคิดต่างๆ มันอยู่กับธรรมๆ จบ แต่ถ้ามันจะคิด มันต้องคิด ต้องคิดเพราะอะไร ต้องคิดเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมๆ เวลาสิ้นกิเลสแล้ว สิ่งที่ท่านเผยแผ่ธรรมนั่นคืออะไร ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับไปเทศน์โปรดพระพุทธเจ้าสุทโธทนะ ทำไมไปให้สมบัติกับสามเณรราหุล นั่นอะไร นั่นสัญญาทั้งนั้น ความจำทั้งนั้น สิ่งที่ขาดไปๆ กิเลสมันขาดไป
แต่ขันธ์ ขันธ์ของเรานี่ขันธมาร ความคิดก็เป็นมาร ความพอใจก็เป็นมาร ทุกอย่างเป็นมารหมดเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา เป็นภาระหน้าที่ สะอาดบริสุทธิ์ ขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ เวลาพูดไปแล้ว มันต้องผู้ที่ปฏิบัติจริงๆ แล้วมันจะอธิบายได้ชัดเจน
ถ้าไม่จริงแล้ว ขันธ์อะไรมันสะอาดบริสุทธิ์ ความคิดคนสะอาดบริสุทธิ์ตรงไหน แต่ความคิดที่ไม่มีอวิชชา ตั้งแต่ก๊อกน้ำ ก๊อกน้ำที่ไม่มีเชื้อโรค น้ำนั้นจะสะอาดออกมาทั้งสายน้ำนั้น ถ้าก๊อกน้ำไหนมันเต็มไปด้วยเชื้อโรค เต็มไปด้วยต่างๆ มันออกมา น้ำก็จะไหลออกมา แต่ก็มีเชื้อโรคปนมา
นี่ก็เหมือนกัน ขันธมาร ขันธมารมันมีเชื้อโรคของมัน แต่ถ้าเป็น ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเทศนาว่าการอยู่ ๔๕ ปี นั่นอะไรเทศน์ เวลาพระบิดา พ่อของท่าน สิ่งต่างๆ ท่านจำได้หมด ความจำๆ แต่ความจำ จำอะไร จำไว้ไปออดอ้อนออเซาะไง จำแต่เพื่อจะไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ไง จะไปเพื่อเทศนาว่าการ เพื่อเปิดหูเปิดตาไง เพื่อให้พ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาไง นั่นน่ะ พ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว พ่อไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไง ไม่ต้องไปห่วงอีกเลย ไม่มีการสืบต่ออีกแล้ว จบสิ้นกระบวนการแล้ว นี่ถ้ามันเป็นจริง มันเป็นจริงอย่างนี้ นี่กลิ่นของธรรม
กลิ่นของศีลนะ ดอกไม้หอม ใครๆ ก็ปรารถนา ดอกไม้หอมที่สวยงาม ยิ่งคนปรารถนาใหญ่ ดอกไม้กลิ่นเหม็น คนไม่ปรารถนา ดอกไม้กลิ่นเหม็นที่อัปลักษณ์ ทุกคนไม่ต้องการ ในสมัยปัจจุบันนี้นะ เขาต้องการคนสวยที่หัวใจ สวยจากความคิด สวยจากน้ำใจ สวยจากสติปัญญา ไม่ต้องการสวยที่รูปลักษณ์ รูปลักษณ์มันแปรสภาพทั้งนั้นน่ะ แล้วสิ่งที่จะทำได้คือศีลธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ
ในพระไตรปิฎกมีนางภิกษุณีอยู่องค์หนึ่งสวยมาก แล้วมันมีผู้ชายมาหลงใหล จะเฝ้าติดตามตลอด แล้วก็ถามว่า มาบวชทำไม ควรจะมาบวชเมื่อแก่เมื่อเฒ่า โอ้โฮ! สวยงามขนาดนี้บวชทำไม
ภิกษุณีถามบุรุษคนนั้นว่า อะไรสวย
โอ้โฮ! ตานี่สวยมาก
ภิกษุณีนี้เอามือควักดวงตา แล้วยื่นให้กับบุรุษนั้นไปเลย
บุรุษนั้นช็อกเลยนะ พอบุรุษคนนั้นเดินออกจากภิกษุณีนั้นไป ธรณีสูบ สูบทันทีเลย
นี่ไง ไปติดที่รูปลักษณ์ไง ไม่รู้ว่านั่นพระอรหันต์นะ ภิกษุณีนั้นเป็นพระอรหันต์ หัวใจท่านเป็นพระอรหันต์ หัวใจท่านสิ้นกิเลส มันยอดเยี่ยม มันสวยจากภายใน มันสวยจากธรรม กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม เห็นไหม
แต่ความเห็นของบุรุษนั้นเห็นแค่รูปลักษณ์ไง สวยมากๆ อะไรสวย โอ้โฮ! ตาสวยมาก เอามือควักลูกตาแล้วยื่นให้เขาไปเลยนะ ถ้าสวย ให้ ช็อกเลยนะ
นี่พูดถึงจิตใจของคนมันระดับต่ำชั้นกัน มันถึงกันไม่ได้หรอก ถ้าจิตใจคนที่สูงส่ง สิ่งที่สูงส่งนั้นมีค่า แล้วมีค่าด้วยอะไร มีค่าด้วยศีล มีค่าด้วยธรรม พัฒนาการของหัวใจมันจะพัฒนาการขึ้น ถ้าเรามีสติปัญญานะ
แต่ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราปล่อยให้หัวใจเราเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ หัวใจมันพัฒนาขึ้น มาตรฐานมันสูงขึ้น มาตรฐานของมันต้องสูงขึ้น เราชาวพุทธต้องสูงขึ้นด้วยศีลด้วยธรรม เราชาวพุทธต้องสูงขึ้นด้วยการประพฤติปฏิบัติ
การประพฤติปฏิบัติมันเข้าไปต่อสู้กับกิเลสตรงๆ นะ เข้าไปต่อสู้กับเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเท่านั้นจะรื้อค้นพุทธะขึ้นมาจากใจ ตนเท่านั้นที่จะรื้อสัจจะความจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เอวัง