เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ก.ย. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ สัจธรรม สัจธรรมเป็นที่ต้องการของหัวใจ เห็นไหม ใจไม่มีวัยๆ นี่เวลาหลวงตาท่านพูดไง เวลาคนเมาจะให้หามไปตีเขา คนเจ็บคนป่วย “กูไม่ตาย กูไม่ตาย” ใจมันไม่มีวัย แต่ใจมันไม่มีวัย ใจมันต้องสม่ำเสมอสมดุลของมัน

ดูสิ ตอนนี้นะ หลายรัฐเลย ประกาศภาวะฉุกเฉินจากภัยของวาตภัย จากสภาวะอากาศน่ะ ประกาศภาวะฉุกเฉินน่ะ ประกาศภาวะฉุกเฉิน ดูเวลาลมมันพัดมารุนแรงมันยกรถเป็นคันๆ เลย นี่มันยกไปได้เลย ดูสิ ดูข่าวนะ รถมันพลิกคว่ำไปเลย นี่ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินกับอะไร กับสภาวะอากาศ

แต่สภาวะอากาศมันเปลี่ยนแปลง ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินแล้วกันล่ะ นั่นเพราะอะไร เพราะเราเห็นมีผลกระทบไง เรามีผลกระทบ เรามีความกระทบรุนแรงใช่ไหม แต่ถ้าฤดูกาลมันสมบูรณ์ของมัน ข้าวปลาอาหารสมบูรณ์นะ ถ้าข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ ประเทศนั้นก็มั่นคงแข็งแรง ถ้ามั่นคงแข็งแรงขึ้นมา นี่เรื่องของสภาวะอากาศ

แล้วถ้าพายุอารมณ์ล่ะ ถ้าอารมณ์มันไม่สม่ำเสมอ เวลาพายุมันมามันเป็นอย่างนั้นน่ะ พายุมันยกรถเป็นคันๆ เลย มันพัดบ้านเรือนนี้ราบเป็นหน้ากลองเลย นี่เวลาพายุอารมณ์เราเกิด เห็นไหม

แล้วถ้าพายุก็คือพายุ เวลาพายุมันเกิดขึ้นมา ใครก็ไปต่อต้านมันไม่ได้เพราะมันเป็นภัยธรรมชาติ เวลาผู้ที่สละเขาเสี่ยงภัยขึ้นไป เขาใช้ทางวิทยาศาสตร์นะ เขาไปใช้สารเคมีให้มันเบาลง ให้มันมีผลกระทบกับประชาชนให้น้อยลง เขาเสียสละชีวิตเขาเลยน่ะ

ผู้ที่เขาเสียสละเขาเห็นภัยของมัน ขนาดเห็นภัยของมันเขาพยายามจะแก้ไข แต่เวลาภัยในหัวใจของเราล่ะ เวลาภัยพาอายุ ธรรมะๆ ที่เราฟังสัจธรรมๆ กันอยู่นี้ไง ถ้าสัจธรรม ใจมันสม่ำเสมอได้ ใจมันมีคุณงามความดีได้ เราก็มีความสุขใช่ไหม แต่เวลามันพัดที่เรารุนแรง พัดที่เรารุนแรง ไอ้ที่พัดรุนแรง ถ้ามันรู้ว่ารุนแรง รู้ว่าสม่ำเสมอ มันจะเป็นคนดีนะ แต่เวลามันพัดรุนแรงแล้วไม่รู้จักว่ารุนแรงน่ะสิ ยิ่งพัดรุนแรงๆ เห็นไหม นี่เวลาทางโลก

สภาวะอากาศมันไม่มีชีวิตนะ มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมันเป็นสภาวะแบบนั้น แต่เพราะอุณหภูมิ เพราะอะไร เพราะความกดของอากาศมันทำให้เกิดอย่างนั้นได้ เวลาหัวใจของคนเวลามันกระทบรุนแรงขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นมาจากอะไร

เวลาอารมณ์รุนแรงๆ นี่เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่นเทศนาว่าการนะ เราก็เหมือนกัน เรานั่งอยู่บนศาลาบ้านตาดน่ะ เวลาท่านเทศน์ เราไม่เคยหลับตา เราลืมตาดูตลอด โอ้โฮ! ไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาหลวงปู่มั่นท่านปัดกระโถนกระเด็นเลย นี่ไง “เทศน์ให้คนฟัง ไม่ได้เทศน์ให้กระโถนฟัง กระโถนกลิ้งไปเลย แล้วใจของคนมันได้สำนึกหรือไม่” นี่เวลาท่านพูด แล้วเขาบอกว่าอารมณ์รุนแรงๆ

แต่ถ้าธรรมะ ดูสิ เราไปฟังธรรมๆ ฟังธรรมที่จืดชืดเราฟังได้ไหม เราฟังแล้วไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันเลย แต่ถ้าเป็นธรรมๆ ความเป็นธรรมๆ ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล มันได้ประโยชน์ขึ้นมาจากสัจจะจากความจริง แต่เวลาคนที่ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ไง ต้องขออนุญาตกิเลสก่อนไง “เจริญพรๆ” กลัวเขาจะติดใจ กลัวเขาจะไม่ชอบใจ กลัวเขาจะบอกว่าอันนี้กิริยารุนแรง

ถ้ารุนแรงโดยธรรมๆ สภาวะอากาศที่มันรุนแรง รุนแรงเป็นอะไร รุนแรงเป็นธรรมมันก็เป็นประโยชน์ มันปราบปรามกิเลสไง มันจะตีหัวกิเลสไง กิเลสที่มันอหังการ มันจองหองพองขนในหัวใจของสัตว์โลกนั่นน่ะ เวลาเทศนาว่าการ เทศนาว่าการว่าใคร ก็ว่ากิเลสในใจของคนนั่นน่ะ ไม่ได้ว่าคนๆ คนก็คือคน ธรรมชาติไง แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของคนต่างหากที่มันรุนแรงไง นี่ไง ธรรมะๆ ถ้าสัจธรรมมันมีอยู่จริง มันตีหัวกิเลสไง

เวลาหลวงตาท่านพูดนะ ท่านเป็นมหา เวลาท่านไปวิเวกกลับมา หลวงปู่มั่นท่านบอกเลย “เฮ้ยใครเป็นมหาเว้ย ตั้งบาลีขึ้นมาตอบเลย แปลบาลีนี้”

เวลาหลวงตาท่านพูดว่า นั่นน่ะหลวงปู่มั่นท่านมีน้ำใจ ท่านอบรมบ่มเพาะหลวงตามา ท่านเป่ากระหม่อมมาๆ มีอะไรที่เป็นคติธรรมเก็บไว้ เวลาธรรมเกิด นิมิตมันมาเลย เป็นภาษาบาลี เวลาพูด พูดบนศาลานะ “นี่บาลีเกิดแล้ว แต่ยังไม่พูด รอมหาก่อน” เวลามหามา “ใครเป็นมหาตอบเว้ย ตั้งบาลีขึ้นมาเลย”

หลวงตาท่านพูด “ถ้าเราตอบนะเราก็ตอบได้ เราเป็นมหา แต่ท่านไม่ตั้งใจให้เราตอบหรอก” เพราะอะไร เพราะมหามันเรียนมาไง นี่ไง สภาวะอากาศ กลัวมันจะผิดคำบาลีไง กลัวแปลแล้วมันจะผิดพลาดไง กลัวไปหมดทุกอย่างไง

ท่านบอกว่า “ใครเป็นมหาตอบเว้ย”

ท่านเฉยเลยนะ

พอท่านตั้งบาลีเสร็จท่านตอบผัวะ! ท่านบอกเลยนะ ถ้าเป็นบาลีมันก็เป็นอย่างหนึ่ง เพราะมันเป็นภาษา มันสมาส มันยังต้องแปลออกมา แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านแปลนะ มันตีหัวกิเลส ท่านบอกว่าแปลดีกว่า ๙ ประโยคร้อยเท่า

นี่ไง เวลามันรุนแรง มันรุนแรงตรงไหน มันรุนแรงตรงกิเลสของมึงไง กิเลสในหัวใจนั่นน่ะเหยียบย่ำมันลงไป แต่ทำไม่ได้ แล้วพระก็ไม่กล้าทำ แล้วก็ไม่มีใครทำ ปล่อยปละละเลย แล้วก็ “ธรรมวินัยๆ พุทธพจน์ๆ”

สาธุพุทธพจน์นะ เราบวชเป็นพระ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าใครไม่ถึงรัตนตรัยจะเป็นสามเณรไม่ได้ อย่าว่าแต่พระเลย เวลาไม่เคารพบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันเป็นไปได้อย่างไร แล้วยิ่งบวชเป็นพระขึ้นมา เป็นพระมันเคารพบูชาอยู่แล้ว แต่เราเคารพบูชาอะไร เราเอาจริงเอาจังแค่ไหน

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ใครทำสมาธิทำได้ คนที่ทำสมาธิได้จะซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา โอ้โฮ! โอ้โฮ! แค่ทำสมาธิได้เท่านั้นแหละ แล้วเกิดปัญญาขึ้นมามันเกิดความมหัศจรรย์ทั้งนั้นเลย

แล้วถ้าเป็นปัญญาที่แท้จริงนะ ไม่ใช่ปัญญาขี้โกง ปัญญา เวลาอะไรเกิดขึ้นมากิเลสมันหลอกทั้งนั้น มันผุดขึ้นมา ความคิด ความคิดมาจากไหน แล้วความคิดมันคิดเรื่องอะไร คิดแต่เรื่องที่เจ็บช้ำน้ำใจทั้งนั้น อะไรที่มันบาดหมาง อะไรที่มันฝังใจ คิดเอามาชโลม เอามาดื่มกินตลอด

หลวงปู่ลีท่านบอก เสลดที่คายทิ้งไปแล้วไปเลียกินมันมา เสลดที่บ้วนทิ้งไป เสลดที่บ้วนทิ้งไปน่ะ อารมณ์ที่ผ่านไปแล้ว อะไรที่มันกระทบไปแล้วมันก็ผ่านไปแล้ว เสลดที่บ้วนทิ้งแล้วไปเลียกินมามันก็น่าขยะแขยง อารมณ์ที่มันเจ็บช้ำน้ำใจขึ้นมาไม่ขยะแขยงบ้างหรือ ที่มันเจ็บปวดน่ะทำไมไม่ขยะแขยงล่ะ เพราะอะไร เพราะกิเลสมันชอบไง กิเลสมันชอบอะไรที่มันทำให้เจ็บปวดเจ็บช้ำนั่นน่ะ

ฤดูกาล รัฐต่างๆ เขาประกาศภาวะฉุกเฉินนะ ประกาศภาวะฉุกเฉินจะได้ตั้งงบประมาณช่วยเหลือได้ ไอ้นี่เรามีสติปัญญาหรือไม่ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีกำมือในเรานะ แบตลอด สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พวกเราได้รู้ชัดตามความเป็นจริง แต่พวกเราทำกันไม่ได้ไง ถ้าพวกเราทำกันไม่ได้ก็ลูบๆ คลำๆ มันก็น่าเห็นใจ น่าเห็นใจตรงไหน

น่าเห็นใจที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย อัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาได้สร้างสมบุญญาธิการมา พระอรหันต์แสนกัป อยู่ในอภิธรรมชัดๆ ถ้าคนมันมีหลักมีเกณฑ์อย่างนั้น

ครูบาอาจารย์ หลวงตาท่านพูดเอง เวลาท่านพูดถึงนิสัยของท่านนะ ท่านบอกท่านเป็นคนดื้อคนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นภาษาโลก ไม่ใช่ ท่านเป็นคนที่มีเหตุผลคนหนึ่ง แล้วเป็นคนที่มีจุดยืนคนหนึ่ง

คนที่มีเหตุผล มีจุดยืน มันจะพิจารณาของมัน มันแยกแยะของมัน หาสัจจะหาความจริงของมัน แต่พวกเราไม่มีจุดยืน ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะแยกแยะได้ถูกหรือผิด

คนที่มีจุดยืน เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านนั่งของท่าน พอนั่งไปแล้วมันเกิดความเจ็บปวด มันเกิดกิเลสมันแหย่ กิเลสมันไม่ต้องการให้นั่งตลอดรุ่งไง “ถ้าอย่างนี้ไม่ลุก” เวลาฉันอาหาร พระหนุ่มๆ มันอยาก มันจะเรื่อย “อย่างนี้ไม่กิน” ถ้ามันมีอะไรที่มันแหย่มา มันมีอะไรที่มันโลภมากมา ตั้งกติกาต่อสู้กับมัน แล้วตั้งกติกาต่อสู้ ลองได้ตั้งกติกาแล้วจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นี่จุดยืน ถ้าตั้งกติกาแล้วจะเป็นอื่นไปไม่ได้ เว้นไว้แต่ตาย

ถ้าตั้งกติกาแล้วนะ นี่คนที่เขามีจุดยืนของเขา เขามีอำนาจวาสนาของเขา คนที่มีอำนาจวาสนา คนที่มีจุดยืนเท่านั้นมีสัจจะถึงจะหัดภาวนาได้ แล้วภาวนาจะได้สัจจะความจริง ไม่ใช่ไม้เลื้อย ไม้เลื้อย เลื้อยไปเรื่อย นี่ปัญญาอะไร ปัญญาเปลี่ยนแปลงตลอด อนิจจังไง

ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง แต่ที่เราทนกันอยู่ได้เพราะอะไร เพราะเราเปลี่ยนอิริยาบถของเรา ลองไม่เปลี่ยนอิริยาบถ นั่งกันอยู่ไม่ได้ นอนก็อยู่ไม่ได้ เดินก็อยู่ไม่ได้ คนนอนตลอดชีวิตไม่ได้ นั่งตลอดไปก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ นี่คืออริยสัจ แต่เพราะความเคยชินของเราไง ไม้เลื้อย เปลี่ยนไปเรื่อย ไม่มีจุดยืน นี่ไง ไม่ได้สร้างอำนาจวาสนามา ถ้ามีการสร้างอำนาจวาสนามา มันจะมีจุดยืน มีเหตุผล มีหลักการ นี่พื้นฐานเฉยๆ นะ นี่แค่พื้นฐานที่สร้างมา กรรมเก่า กรรมใหม่ นี่คือกรรมเก่า แต่ไม่ปฏิบัติก็ไม่สำเร็จ ไม่มีอริยสัจก็บรรลุธรรมไม่ได้

มันจะบรรลุธรรมมันต้องมีอริยสัจ ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะมีภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมาจากจิตดวงนั้น ต้องจิตดวงนั้นเป็นผู้กระทำ จิตดวงนั้นเป็นผู้รื้อค้น จิตดวงนั้นเป็นผู้สำรอก จิตดวงนั้นเป็นผู้คายออก

ถ้ามันทำแทนกันได้ คนอื่นทำแทนกันได้ทั้งนั้นน่ะ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก คำว่า ปัจจัตตัง” รู้เฉพาะใจดวงนั้น สันทิฏฐิโก รู้เฉพาะตนๆ แล้วใครจะรู้แทนเราได้ล่ะ แล้วอย่างเรา เราจะมาสำออยอย่างไรก็ได้ อย่างนั้น อย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนั้น

ก็มันสำออยมันก็กิเลสอยู่แล้ว ถ้าเป็นจริงๆ มันจะสำออยอะไร มันกระจ่างแจ้งกลางหัวใจ มันสว่างโพลงสว่างจ้ากลางหัวใจ มันมีอะไรอีก มันมีอะไรอีก ไม่มี จบแล้ว ถ้ามันจริง

แต่ถ้ามันไม่จริง มันไม่จริงนะ ไม้เลื้อย มันเลื้อยไปเรื่อย นี่ไง มันอยู่ที่อำนาจวาสนาบารมีนะ การกระทำๆ เรียนจบแล้ว ๙ ประโยคมันรู้หมด ธรรมะใครๆ ก็รู้ได้ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าไม่ปฏิบัติขึ้นมา ไม่รู้จริงขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้ เห็นไหม

เวลาพายุมา รัฐต่างๆ ประกาศภาวะฉุกเฉินนะ ให้จบ ๙ ประโยคด้วย สึกไปเยอะแยะเลย สึกไปมีครอบครัวทั้งนั้นน่ะ ในเมื่อศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ธรรมะมันยิ่งใหญ่ ทุกอย่างดีงาม ยิ่งใหญ่ ทิ้งไปทำไม ยิ่งใหญ่ สึกไปทำไม ยิ่งใหญ่ ออกไปมีครอบครัวทำไม นี่ไง เวลาพายุมันมาไง มันยกรถเป็นคันๆ นี่ยกคนออกไปจากศาสนาเลย นี่ไง ถ้ามันไม่มีเหตุมีผล ถ้ามันไม่เป็นความจริงขึ้นมา

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เราทำของเราขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา นี่ฟังธรรมๆ ไง หัวใจมันต้องการสิ่งนี้นะ แต่เวลาฟังแล้ว ฟังจนชินชา แต่หัวใจมันด้าน ฟังไปอวดรู้อวดเห็น กูรู้ๆ กูแน่ แล้วเป็นจริงขึ้นมาหรือเปล่า ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เป็นจริงขึ้นมามันเห็นทางสองแพร่งเลยนะ เวลาปฏิบัติไปถ้าเป็นสมาธิ อ๋อ! ภวังค์เป็นอย่างนี้ สมาธิเป็นอย่างนี้

ถ้ามันไม่เคยเข้าสมาธิมันอยู่ที่ภวังค์นั่นแหละ ว่างๆ ว่างๆ ไร้สาระ แล้วเข้าสมาธิเป็นสมาธิสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเอกเทศ แล้วรู้ได้ด้วย มีสติสัมปชัญญะพร้อม แล้วถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ นี่มันเกิดมรรค มันคิดได้ไง

ไม้เลื้อยพัวพันไปเรื่อย เกาะเกี่ยวไปเรื่อย ยิ่งรู้ธรรมะอย่างนี้ด้วย โอ๋ย! สุดยอด โอ๋ย! ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมาก สุดยอดมาก...ไม่รู้อะไรเลย รู้แต่ของพระพุทธเจ้า รู้แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า หลักไง หลักในพระพุทธศาสนา แล้วกิเลสมันก็เลื้อยเป็นไม้เลื้อยเกาะเกี่ยวอยู่นั่นน่ะ ไม่เอาจริงเอาจังอะไรขึ้นมาทั้งสิ้น

ถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมา เราก็พยายามกระทำของเราขึ้นมาให้มันเป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมา ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา นั่นน่ะภาคปฏิบัติ ถ้าภาคปฏิบัติมันเป็นได้จริงไง ถ้าภาคปฏิบัติเป็นได้จริง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ นี่ปฏิบัติจนรู้แจ้ง

ศึกษารู้แจ้งไม่มี มันแจ้งตอนที่มันเรียนนั่นน่ะ แจ้งตอนที่มันนั่งอยู่ตำรานี่แหละ พอมันลุกจากตำราก็สงสัยแล้ว รู้แจ้งไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ มันมีอวิชชาอยู่ เป็นไปไม่ได้ ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ในการเกิดมาทุกดวงใจมีอวิชชาทั้งนั้น ถ้ามีอวิชชาทั้งนั้น มันมีพญามารครอบคลุมอยู่ทั้งนั้น เวลาศึกษาจะทำสิ่งใดพญามารมันมีเอี่ยวตลอดไป มันมีส่วนของมันตลอด สมุทัยๆ มันมีส่วนผสมไปตลอด จะทำอะไรทั้งสิ้น สมุทัยทั้งนั้น

แต่ทำจริงๆ ขึ้นมา เวลาปฏิบัติขึ้นมา ครูบาอาจารย์เราท่านให้ทำสมาธิก่อนๆ พอทำสมาธิก่อนก็โอดโอยกันนะ “แล้วเมื่อไหร่จะใช้ปัญญา เมื่อไหร่จะใช้ปัญญา”

เมื่อไหร่จะเป็นไม้เลื้อยต่างหากล่ะ ถ้ามันเป็นปัญญาๆ เวลาเป็นปัญญาขึ้นมาให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จำเพาะ รู้แจ้งเลย ไม่ต้องให้ใครบอกด้วย แล้วไอ้คนที่บอกอยู่ข้างนอกต่างหาก ไอ้นี่มันเป็นไม้เลื้อยไง มันไม่จริงไม่จังขึ้นมาไง ถ้ามันจริงมันจังขึ้นมา ให้มีสัจจะ ให้มีจุดยืนขึ้นมา แล้วทำจริงขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเรา ถ้าเป็นสมบัติของเรา เห็นไหม

เรามาวัดมาวากันเพื่อเหตุนี้นะ ที่มันเจริญงอกงามขึ้นมา ดูสิ เขามั่งมีศรีสุข เขาร่ำรวยของเขา ไอ้ของเรานะ ถ้าหัวใจมันมีคุณธรรมในหัวใจขึ้นมานะ ดูสิ หลวงตาท่านชมหลวงปู่ลี เศรษฐีธรรมๆ ท่านเป็นเศรษฐีธรรมแล้วเศรษฐีธรรมอิ่มพอด้วย แล้วเศรษฐีธรรมอิ่มพอนะ ธรรมเหนือโลก ธรรมเหนือโลกคือว่าในโลกนี้ไม่มีคุณค่าใดๆ ทั้งสิ้นเทียบเท่าธรรมน่ะ

แต่ไอ้พวกมีธรรมะๆ มันโฆษณาชวนเชื่อ มันหลอกประชาชน มันบ้าบอคอแตก หา? อย่างนั้นหรือเป็นธรรมะ ธรรมะอยู่ใต้โลกให้เขาย่ำยีอย่างนั้นหรือ ธรรมะยังเที่ยวประจบสอพลอปอกลอกเขาอย่างนั้นหรือ อย่างนั้นเป็นธรรมะหรือ รสชาติอย่างนั้นหรือ รสชาติธรรมะสู้ยศถาบรรดาศักดิ์ สู้เงิน สู้คำเยินยอของคนไม่ได้หรือ ธรรมะเป็นอย่างนั้นหรือ

นี่ไง เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกเศรษฐีธรรม ถ้าเศรษฐีธรรมมันมีคุณภาพในใจอันนั้น มันมีคุณธรรมในใจอันนั้น แล้วธรรมอันนั้นมันเหนือโลก ไม่มีสิ่งใดเทียบได้หรอก ไม่มี

แต่ถ้ามีคุณธรรมยังเป็นไม้เลื้อยกันอยู่นั่น ธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วพวกเราเป็นบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้เหมือนมอบพินัยกรรมไว้ ใครสามารถขุดค้นขึ้นมาเป็นสมบัติของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสาธุ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์

“มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราแก่กล้า สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงคำติฉินนินทาได้ เราจะนิพพานในอีก ๓ เดือนข้างหน้า แต่เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราอ่อนแอ กล่าวแก้สิ่งใดไม่ได้ ให้เขาเหยียดหยามดูหมิ่น”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยมา ๔๕ ปีนะ นี่วางธรรมวินัยไว้ ถ้าเมื่อใดกล่าวแก้คำจาบจ้วง คำติฉิน คำนินทา แต่มันตรงข้ามไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพูด “รุนแรง รุนแรง”

พายุมันพัดไปนะ มันกวาดหมดทั้งเมืองเลย คนตายเป็นร้อย นี่ไม่รุนแรงใช่ไหม เวลารุนแรง รุนแรงเพื่อความฟื้นฟู รุนแรงคือว่าหูตาสว่าง รุนแรงขึ้นมาให้เราสำนึกตน รุนแรงเพื่อให้ดูแลตัวเราได้ รุนแรงเพื่อให้ควบคุมตัวเราได้ มันรุนแรงตรงไหน มันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ แต่เพราะกิเลสไง ไอ้นี่มันอยู่ที่วุฒิภาวะ วุฒิภาวะของคนที่อ่อนแอก็ว่าอย่างนั้น

แต่หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าให้ฟัง อยู่กับหลวงปู่มั่นนะ พอเอะอะขึ้นมาทุกคนวิ่งไปกุฏิหลวงปู่มั่นเลย “ฟ้าร้องเว้ยๆ เดี๋ยวฝนจะตก” ทุกคนเขาวิ่ง ทุกคนเขาแสวงหา คนที่เขาแสวงหาเขาเป็นสุภาพบุรุษแสวงหาสิ่งที่ดีงาม

ไอ้พวกเรานี่พวกอ่อนแอ จะเอาแต่ความเอาอกเอาใจ เอาแต่คนคอยพะเน้าพะนอ มันก็เลยไม่เป็นสัจจะไม่เป็นความจริงขึ้นมาจากใจของเรา เอวัง