ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

โลกตื่นตูม

๑๙ ม.ค. ๒๕๖๒

โลกตื่นตูม

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : ข้อ ๒๓๑๔. เรื่อง “คำถามพลีชีพค่ะ”

หลวงพ่อ : เขารู้เลยว่าเขาเขียนมาโดยที่ว่าอยากรู้อยากเห็นไง

ถาม : สืบเนื่องจากข้อมูลข่าวสารทางอินเทอร์เน็ต ทำให้ทราบถึงปรากฏการณ์ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในระบบสุริยจักรวาล อันส่งผลกระทบต่อโลก ทำให้เกิดภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆ ขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวถูกคำนวณและกล่าวถึงโดยนักวิทยาศาสตร์ พระ มนุษย์ต่างดาว ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในจิตใจของมนุษย์

ขอนมัสการถามว่า ท่านจะให้ข้อคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไรคะ และควรปฏิบัติตัวอย่างไรถึงจะเหมาะสม

ตอบ : นี่คำถามเนาะ ไอ้นี้เรื่องนี้มันเรื่องโลก เวลาเรื่องโลก เรื่องวิทยาศาสตร์ต่างๆ เวลาสมัยก่อน สมัยก่อนนะ ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ กาลิเลโอ เวลาเขาค้านในเรื่องศาสนา เรื่องโลกกลม โลกแบน มีปัญหามาก สิ่งต่างๆ ในเรื่องนี้มันมีปัญหามา มีปัญหามาใช่ไหม ถ้ามีปัญหามา นั่นมันมีแต่ความเชื่อในสมัยโบราณ แต่ในพระพุทธศาสนาไม่เป็นอย่างนั้นเลย

ในพระพุทธศาสนาพูดล้ำยุค ล้ำยุคกว่าวิทยาศาสตร์ เรื่องการเกิดของมนุษย์ ตั้งแต่น้ำมันใส น้ำมันข้น สวดมนต์กันมาตลอด มนุษย์เกิดอย่างไร มนุษย์มาจากไหน มนุษย์ตายแล้วไปไหน มนุษย์สิ้นกิเลสอย่างไร ในพระพุทธศาสนาสอนไว้หมดสิ้นแล้ว

แต่พูดถึงทางวิทยาศาสตร์ ทางโลก ทางโลกที่ความเจริญ เจริญเพราะการพิสูจน์ พิสูจน์มันเกิดมาทางซีกโลกตะวันตกก่อน ทางซีกโลกตะวันตก เวลาทางวิทยาศาสตร์เจริญขึ้นมา บอกว่า วิทยาศาสตร์กับธรรมะจะมีการขัดแย้งกันมาตลอด

มีการขัดแย้งกันมาตลอด การขัดแย้งกันตลอด เวลาโลกมันเจริญแล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันยิ่งแวววาว ยิ่งชัดเจน ยิ่งเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา ถ้าสัจจะความจริงขึ้นมา

นี่พูดถึงทางวิทยาศาสตร์ๆ ใช่ ทางวิทยาศาสตร์เป็นการพิสูจน์ มันมีการทดสอบในทางวิทยาศาสตร์ชัดเจน แล้วอธิบายได้ ตอบได้ทุกกระทงความ

นี่ก็เหมือนกัน พุทธศาสน์ พุทธศาสน์ตอบได้หมด แต่ตอบได้หมดมันตอบได้ในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ตอบได้ตามความเป็นจริงอันนั้น ถ้าตอบได้ตามความเป็นจริงอันนั้น ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ เวลาท่านเทศน์ ท่านเทศน์เป็นวิทยาศาสตร์ ท่านเทศน์เป็นวิทยาศาสตร์เพื่อให้ความเข้าใจไง ถ้าทางโลก ความเข้าใจ เพราะคนมีการศึกษา ทางวิทยาศาสตร์ พุทธศาสน์

วิทยาศาสตร์ เวลาพูดธรรมะเป็นทางวิทยาศาสตร์ ก็เลยวิทยาศาสตร์เป็นใหญ่

พุทธศาสน์ พุทธศาสน์มันอยู่ในใจของครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงๆ เพราะมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ถ้าออกมาเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นทางโลกมันก็สมมุติไง สมมุติบัญญัติ ถ้าเป็นความจริง ความจริงมันเป็นใจอันนั้น ถ้าเป็นใจอันนั้น

ทางวิทยาศาสตร์เขาพูดกัน ความเจริญ มันก็เจริญจริงๆ นั่นแหละ เวลาเจริญทางโลก สิ่งที่มีความเจริญขึ้นมา แล้วความเจริญนั้นทางวิทยาศาสตร์ เราต้องเวลาใช้ชีวิตหรือทางโลกมันต้องเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เพื่อมันเป็นข้อเท็จจริงๆ แล้วข้อเท็จจริงขึ้นมาแล้ว เวลามันมีความสุขความทุกข์ขึ้นมา นั่นน่ะธรรมะ

สิ่งที่จะเป็นธรรมๆ ขึ้นมา ถ้าความสุขความทุกข์ ธรรมะมันไปแก้สุขแก้ทุกข์ในใจอันนั้น แล้วถ้าแก้สุขแก้ทุกข์ในใจอันนั้น เวลามันพิจารณาไปแล้ว มันประพฤติปฏิบัติไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันพ้นความสงสัยทั้งสิ้นไง มันวางไว้หมด ถ้าเป็นทางโลก รู้แล้วเข้าใจ รู้แล้วเข้าใจ

ทางโลกมันมีความจำเป็นนะ วิทยาศาสตร์นี่จำเป็นมาก อย่างเช่นพายุปาบึก แต่เดิมแหลมตะลุมพุกเข้ามา ตายเป็นพันนะ เพราะอะไร เพราะเราไม่เข้าใจนะ เวลาอุตุฯ เขาเตือนมา เวลาเขาเตือนมา แล้วพูดถึงในความสามัคคี อำนาจรัฐมันบังคับใช้ได้สมบูรณ์แบบ อพยพขึ้นมา

เวลาพายุอื่นขึ้นมา ตายห้าร้อย ตายพันนึง เวลาตาย ตายมหาศาล แต่นี่ขึ้นมา ปาบึก เขาอพยพก่อน นี่วิทยาศาสตร์ไหม มันเป็นวิทยาศาสตร์ แล้วเราบริหารจัดการทางวิทยาศาสตร์ มันมีความปลอดภัย เห็นไหม

ใช่ เวลาพายุมันเข้า พวกวัตถุสิ่งต่างๆ มันต้องมีความเสียหายอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเป็นซีกโลก โลก สิ่งที่มีผลกระทบมาก เวียดนาม อินโดฯ ฟิลิปปินส์ พายุเข้าปีหนึ่งกี่ลูก เพราะอะไร เพราะประเทศของเขา

เราเกิดในประเทศอันสมควร เวลาพายุเข้ามาก็ผ่านเวียดนามก่อน พอจะเข้ามาถึงไทย มันอ่อนแรงลงแล้ว นี่คนเกิดในประเทศอันสมควร นี่ก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มงคล ๓๘ ประการ เกิดในประเทศอันสมควร แล้วเกิดในประเทศอันสมควรมี ๒ รูปแบบ

พอเกิดในประเทศอันสมควร ประเทศที่เป็นภูมิประเทศ เป็นภูมิศาสตร์

เกิดในประเทศอันสมควร เกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นพ่อแม่ที่ดีงาม ลูกเกิดมามีแต่ความสุข ความดีงาม นี่เกิดในประเทศอันสมควร สิ่งที่เกิดในประเทศอันสมควร นี่เป็นธรรมะนะ

นี่พูดถึงทางวิทยาศาสตร์ที่เขามีผลกระทบต่อโลก เกิดภัยพิบัติ มันเกิดมาตั้งแต่เกิดโลกนู่นน่ะ ธรณีวิทยา ทวีปมันแยกปีละ ๑ นิ้ว ในธรณีวิทยา ๔,๐๐๐ ล้านปี ๕,๐๐๐ ล้านปีกว่าโลกจะเย็นลง แล้วในยุคในสมัยมันเป็นของมันอยู่แล้ว นี่พูดถึงระบบสุริยจักรวาล แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็เอามาอธิบาย วิทยาศาสตร์อธิบาย มันต้องอธิบายเป็นทางวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ พระ พวกที่ว่าเวลาเขาอธิบายแล้วมันเป็นเหยื่อ อธิบายแบบหาเหยื่อ โลกจะแตก ภาคใต้ทั้งภาคจะหายไป...อู้ฮู! ทำไมมันกระต่ายตื่นตูมกันขนาดนั้นนะ เวลามันพูด มันพูดให้เป็นเหยื่อนะ

เมื่อวานนี้ก็เกิดแผ่นดินไหวที่เชียงใหม่ เมืองกาญจน์ เชียงใหม่ ๒.๑ เมืองกาญจน์ ๒.๐ โลกมันเคลื่อนไหวตลอด แล้วถ้าเรารู้ทางวิทยาศาสตร์ รู้มาเพื่ออะไร รู้มาเพื่อเราปกครองตัวเอง ดูแลตัวเอง สิ่งใดจะเป็นประโยชน์ เราก็แก้ไขอย่างนั้น เรื่องของโลกมันก็เป็นเรื่องของโลกไง

แต่ถ้าเป็นโลก ถ้าสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เรามีไว้เพื่ออะไร ผู้นำที่ดี ผู้นำที่มีธรรม มีไว้เพื่อปกป้องดูแล คุ้มครองดูแลมวลชนของเรา ชุมชนของเรา ประเทศชาติของเรา เรารู้ไว้เพื่อแก้ไขปัญหาของเรา

แต่ถ้าทางสังคม โลกจะแตก ๒๕๒๕ โอ้โฮ! เราฟังแล้ว “พุทธพจน์ๆ”...เหยื่อทั้งนั้น มันเป็นธุรกิจ มันจะขายที่กัน พอที่ตรงนั้น ใครเวลามันปั่นป่วน มันเหมือนทางอีสาน อีสานมันเป็นวัฒนธรรมของเขานะ เราไม่ได้ไปติเตียนเขา เขาจะบอกเลยนะ ไอ้เรื่องผีปอบ ไอ้เรื่องอย่างนี้ มันเป็นการเมือง ถ้าคนคนนี้เป็นคนที่ขวางโลก คนคนนี้เป็นคนที่มีปัญหานะ เขาจะใส่ไคล้ว่าเป็นผีปอบ เป็นอะไรไป เพื่ออะไร เพื่อไล่ออกจากหมู่บ้านนั้นไป เพื่อยึดทรัพย์ยึดสินนั่นน่ะ นี่มันเอาสิ่งนี้เอามาใส่ไคล้กัน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาวิทยาศาสตร์ว่ามันจะเกิดภัยพิบัติ มันจะเกิด...มันจะเกิด เราก็ป้องกันสิ มันเกิดอยู่แล้ว ชายฝั่งโดนกัดเซาะไป บางขุนเทียนหมดเป็นอำเภอๆ ไปเลยนั่นน่ะ ทุกที่มันเกิดเพราะอะไร มันเกิดเพราะว่าสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มันแปรปรวนตลอด มันมีอะไรคงที่ วิทยาศาสตร์ก็วิทยาศาสตร์สิ

ทางวิทยาศาสตร์นะ เวลาเกิดภัยพิบัติ เกิดต่างๆ สภาวิทยาศาสตร์ นายกสมาคมเขาต้องให้เข้าไปตรวจสอบ เกิดตึกถล่ม นี่เวลาข้าราชการไว้ใจไม่ได้ นายทุนไว้ใจไม่ได้ เจ้าของตึกไว้ใจไม่ได้ ผู้ที่จะเข้ามาตรวจสอบต้องเป็นนายกสภาวิศวกรรม

นี่ไง เวลาทางวิชาการเป็นประโยชน์ไหม เป็น เวลาเกิดภัยพิบัติ เกิดต่างๆ เขาต้องให้นายกสภามหาวิทยาลัย นายกของวิศวะเข้าไปตรวจสอบว่าตึกหลังนี้ยังมีความมั่นคงพออยู่อาศัยได้หรือไม่ ต้องทุบทิ้งหรือไม่ ตึกหลังนี้ นี่เขาเอาไปตรวจสอบกันไง นี่วิทยาศาสตร์

แต่วิทยาศาสตร์ เห็นไหม ตึกเก่าๆ นี่นะ การบำรุงรักษามันแพงกว่าการสร้างตึกใหม่นะ ไอ้ตึกเก่าๆ ที่ดูแลๆ กัน ไอ้ที่สวยงามๆ การซ่อมบำรุงรักษามันแพงกว่า แพงกว่าตึกสร้างใหม่อีก

วิทยาศาสตร์ก็เป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มันเป็นทางวิชาการที่ตรวจสอบได้ แต่ทางโลกขอให้มันพูดเป็นเชิงบวก ถ้ามันจะเกิดภัยพิบัติ มันจะเกิดสิ่งต่างๆ เราก็เตือน แล้วอพยพ แล้วพยายามดูแลรักษา ถ้าอย่างนี้มันจะเป็นประโยชน์กับโลก

แต่ออกมากระทุ้งตลอด ออกมาทิ่มมาตำตลอด ออกมาทำลายสังคมตลอด ออกมาทำให้สังคมตื่นตัวตลอด สังคมมีแต่ความทุกข์ความยาก อันนั้นควรไหม วิทยาศาสตร์ควรหรือ ควรแล้วหรือ ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์มันต้องมีคุณธรรม คุณธรรมนะ

ไอ้เรื่องกรณีนี้ จะบอกว่า ทางวิทยาศาสตร์ ทางพระ พระนี่ตัวร้ายเลย อวดรู้อวดเห็น พระ เวลาบวชพระนะ พระคืออะไร พระผู้ประเสริฐ ประเสริฐที่ไหน ประเสริฐในหัวใจของตน พระมีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ ปรารถนาเพื่อให้โลกมีความสงบร่มเย็น เขาพูดเพื่อความสงบร่มเย็น พูดเพื่อความสามัคคี ไม่ใช่พูดเพื่อทิ่มเพื่อตำ พูดเพื่อตัวเองมีคุณค่า พูดเพื่อตัวเองมีญาณวิเศษ มีความรู้ พระน่ะตัวดีเลยล่ะ

เวลาเมื่อก่อน ๒๕๒๕ บอกโลกจะแตก เขาไปถามหลวงตาว่าหลวงตามีความเห็นอย่างไร หลวงตาบอกว่าหัวใจของคนจะแตก โลกไม่แตกหรอก โลกไม่มีวันแตก

หัวใจของคนหัวใจของคนมันโดนเขายุเขาแหย่ เขาเป่าหูจนมันตื่นตูม พวกเหยื่อ สังคมไทยเป็นสังคมอ่อนแอ สังคมไทยเป็นสังคมให้คนมายุมาแหย่ สังคมไทยสังคมให้คนปั่นหัว มันไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีจุดยืนเลย สังคมไทยนี่ แล้วสังคมไทยบอกว่า นี่สังคมชาวพุทธ พระพุทธศาสนาเป็นพระพุทธศาสนาแห่งปัญญา แล้วปัญญามันอยู่ที่ไหน ปัญญาอะไร มันมีสิ่งใดที่มันจะเป็นอย่างนั้น

สิ่งที่มันจะเป็นความจริง ทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นทางวิทยาศาสตร์ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง แล้วสิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งที่เป็นอนัตตาในพระพุทธศาสนา

ถ้าเป็นพระนะ พระมีหน้าที่อะไร เวลาพระบวช อุปัชฌาย์บวชมาแล้วให้อะไร เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้กรรมฐาน ๕ หน้าที่ของพระ หน้าที่เอาใจของพระให้รอดพ้นจากกิเลส ให้รอดพ้นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง

พูดด้วยความหลงใหล พูดด้วยความเคลิบเคลิ้ม พูดด้วยโทสะ พูดด้วยความอยากให้เขานับหน้าถือตา พูดเพื่ออะไร

ถ้าพูดถึงว่า ทางวิทยาศาสตร์ ทางพระ พูดถึงมนุษย์ต่างดาวทำให้เกิดภัยพิบัติๆ เขาบอกว่า “แล้วท่านมีความเห็นอย่างไร”

สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง โดยธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์เกิดมา อยากเกิดมาพร้อมพระพุทธเจ้า แล้วอยากให้พระพุทธเจ้าเอามือลูบหัวให้เป็นพระอรหันต์หมดเลย มันไม่มีหรอก เกิดมาพร้อมพระพุทธเจ้า เอ็งก็ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าอีก พระพุทธเจ้าสอนให้เอ็งอยู่ในศีลในธรรม เอ็งก็ไม่ยอม พระพุทธเจ้าสอนให้ทำความดี ทำความดีแล้วจะอดตาย ตัวเองจะไม่มีเงินมีทอง

เอ็งเชื่อพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ถ้าเอ็งเกิดมาพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนเอ็ง แล้วเอ็งประพฤติปฏิบัติตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน แล้วพยายามฝึกหัดปฏิบัติของเราขึ้นมา ในหัวใจของเราขึ้นมา เอ็งจะเห็นคุณธรรมเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอ็งเชื่อหรือเปล่า

นี่ไง เวลาว่า ท่านมีความเห็นอย่างไร

เพราะวิทยาศาสตร์ก็เป็นวิทยาศาสตร์นะ เรื่องทางโลกนะ ไอ้คำว่า โลกแตก น้ำจะท่วมโลก” ไร้สาระ แล้ว แหม! เขาทำในคอมพิวเตอร์ โอ๋ย! น่าตื่นเต้นน่าตกใจ

มันเป็นมาก่อนหน้านี้หลายพันปี หลายหมื่นปีมาแล้ว แล้วภัยพิบัติมันมีของมันอยู่แล้ว มันมีของมันอยู่ทุกปี ถ้ามีของมันอยู่ปี เพราะอะไร เพราะมนุษย์สร้าง มนุษย์เป็นผู้ทำ สภาวะแวดล้อมมนุษย์ทำทั้งนั้นน่ะ ถ้าบอกว่าโลกร้อน เราก็เห็นด้วยทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นมาจากของเสีย มาจากการสะสม มาจากคนเห็นแก่ตัว นี่คนเห็นแก่ตัว

ตอนนี้สะใจมาก ไอ้ฝุ่นละอองในกรุงเทพฯ สะใจมาก เวลาไอ้พวกที่เอารัดเอาเปรียบเขาก็ทำของเขา รถติด ๑ สภาวะอากาศ ๑ มันกระทบเหมือนกันหมด เวลามันกระทบ กระทบด้วยกันทั้งสิ้น แต่เวลาคนที่มีกำปั้นใหญ่ เวลาเห็นแก่ตัว มีแต่ทำลายเขาทั้งนั้นน่ะ

ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัวนะ จะทำสิ่งใดนะ ทำเพื่อประโยชน์ ประโยชน์โลกมันจะเป็นประโยชน์ ถ้าทำประโยชน์โลกนะ แล้วไม่ต้องไปหวังให้คนอื่นทำก่อนแล้วเราทำพร้อมเขา เราทำของเราทุกวันทุกเวลาของเรา เราทำของเรา ไอ้เรื่องของเขาเป็นเรื่องของเขา แล้วใครจะว่าเราโง่เราฉลาด มันก็เป็นมุมมองของเขา แต่เราจะทำคุณงามความดีของเรา เพราะหัวใจของเรามันมีคุณค่า หัวใจของเรามีคุณค่าเพราะเราได้ทำคุณงามความดีมา เราได้เกิดเป็นมนุษย์ พอเกิดขึ้นเป็นมนุษย์ ในชาติหนึ่งของเรา เราจะสร้างสมบุญญาธิการให้จิตใจของเรามีคุณค่ามากขึ้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เสียสละมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย จนบารมีเต็มขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงได้มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ถึงได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านสร้างคุณงามความดีของท่านมา พอสร้างคุณงามความดีของท่านมา ท่านมาเกิดในกึ่งพุทธกาล เกิดในสมัยปัจจุบันนี้ ท่านเคยเห็นสังคมเหมือนเราที่เราเห็นนี่แหละ แต่ท่านก็พยายามทำตัวของท่าน ท่านพยายามปลีกวิเวกของท่าน พยายามฝึกหัดในใจของท่านให้ในใจของท่านพ้นไปจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของท่านก่อน พอพ้นจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของท่านไปแล้วมันจะเป็นประโยชน์

ในสมัยพุทธกาลนะ มันมีอยู่เมืองหนึ่งมันเป็นโรคระบาด ตายหมดเลย แล้วมันแก้ไขไม่ได้ สมัยโบราณวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ วัคซีนไม่มี ยาป้องกันไม่มี เป็นสมุนไพรทั้งสิ้น สุดท้ายแล้วเขาไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามา พอพระพุทธเจ้ามา พระพุทธเจ้าส่งพระอานนท์ไปก่อน เวลาไปถึงก็สวดมนต์ไง พอสวดมนต์ ฝนตกมา โอ้โฮ! มันชะล้างพวกซากศพ พวกเชื้อโรคไปนะ หายไปหมดเลย ไอ้นี่มันเป็นบุญ เป็นบุญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่เวลาเราสวดขอฝนกัน เราสวดเพื่อบำบัดความจังไรกันอยู่นี่ มันเกิดมาในสมัยพุทธกาลแล้ว แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ให้สวดบทนั้นๆ แล้วมันมีการกระทำ อันนั้นมันมีการกระทำเพราะบารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะบารมีธรรม เห็นไหม หลวงตาท่านพูดถึง พูดถึงว่าหลวงปู่มั่น เจ้าคุณอุบาลีฯ สมัยที่เชียงใหม่เกิดภัยแล้ง เวลาหลวงปู่มั่นกับหลวงตาท่านสวดขอฝน ฝนตกมา โอ้โฮ! นองไปหมดเลย นี่เวลาคาถาขอฝนๆ นี่พูดถึงว่า คนที่จะขอฝน คนที่มีอำนาจวาสนาบารมี จะทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์กับสังคมโลกๆ นี่พูดถึงเรื่องพระนะ

จะบอกว่า โอ๋ย! ภัยแล้งนี่ก็เอาพระมาสวดเลย เมืองไทยจะไม่มีเกิดภัยแล้งเลย เพราะพระเต็มประเทศไทย ขอฝนมันทั้งปีทั้งชาติ ให้พระไปอยู่กระทรวงเกษตร คอยพิจารณาเรื่องฤดูกาลเลย แล้วถ้าพระเก่งๆ ก็ไปอยู่กระทรวงสาธารณสุขรักษาโรค เมืองไทยจะไม่มีใครเจ็บไข้ได้ป่วยเลย ถ้าพระเก่งๆ ก็ไปอยู่กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวได้ ประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง

นี่ไง ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ มันมีนะ มันมีกรรมของสัตว์ๆ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม สัตว์โลกเห็นแก่ตัว ทำลายทรัพยากร ทำลายทุกๆ อย่าง เอารัดเอาเปรียบเขา แล้วจะให้เป็นคนดีเป็นคนเด่นได้อย่างไร เวลาดีก็ดีด้วยมารยาสาไถยไง ดีด้วยใครได้ผลประโยชน์ร่วมด้วยไง สิ่งที่มีการกระทำ ถ้าเป็นคนดีทำๆ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เขามีเวรมีกรรมของเขา เขาได้ทำสิ่งนั้นของเขา มันเป็นยุคเป็นคราว นี่กรรมของสัตว์ๆ

หลวงตาเวลาท่านมาโครงการช่วยชาติ ท่านบอกเลย ลูกศิษย์ลูกหาที่เห็นด้วยกับท่านนี่สายบุญสายกรรม ไอ้คนที่ไม่เห็น คนที่ต่อต้านเยอะแยะไปหมด ทำไมไม่มีคนเห็นพร้อมไปกับหลวงตามากมายมหาศาล

ไอ้คนที่เห็นพร้อม เห็นพร้อมไป ท่านก็พยายามขวนขวายมีการกระทำของท่าน ท่านบอกว่าท่านทำให้ลูกศิษย์ของท่านบอบช้ำๆ

คำว่า บอบช้ำ” คือเราต้องพยายามขวนขวายของเรา เราต้องมีชีวิตดำรงชีพของเรา เราต้องหาอาหารปัจจัยเครื่องอาศัยของเรา เรายังต้องเจียดกำลังของเราเพื่อไปช่วยสังคม ช่วยคนอื่น ไอ้คนที่มันเห็นแก่ตัว ที่มันไม่ยอมรับสิ่งต่างๆ มันก็กีดมันก็ขวางไปตลอด นี่พูดถึงเวลาถ้ามีผู้นำที่ดีพาทำคุณงามความดี มันยังกีดมันยังขวางเลย

แล้วนี่บอกว่า พระที่ดีแล้วจะขอฝน พระที่ดีแล้วจะทำให้เกษตรรุ่งเรือง

มันจะรุ่งเรืองได้ด้วยชุมชนนั้นในมวลชนนั้นเขาเห็นดีเห็นงามร่วมกัน แล้วเขาทำสิ่งใดทำด้วยต้นทุนที่ต่ำลง เขาหาตลาดของเขาที่ดีงามของเขา แล้วเขาซื่อสัตย์ ตรงนี้สำคัญมาก

สหกรณ์ที่ดีงาม สหกรณ์ที่ดีๆ เขามีคนเข้าไปยุไปแหย่ให้มันเสียหายซะ ชุมชนที่ไหนที่เขาเข้มแข็ง ชุมชนใดที่ดีนะ การเมืองจะไปปั่นหัว ไปยุไปแหย่ให้มันแตกแยกกันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ต่อกัน ความสามัคคี ความร่วมมือกัน สิ่งนั้นจะทำให้สังคมนั้นเข้มแข็ง ที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามๆ ไอ้พวกที่มันยุมันแหย่ มันยุให้รำ ตำให้รั่ว มันเข้าไปทำให้แตกแยก เพื่อมันจะได้เข้ามาบริหารจัดการหาผลประโยชน์ของมัน

นี่พูดถึงว่า เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราทำคุณงามความดีเพื่อตัวของเราไง สิ่งที่เป็นประโยชน์มันก็เป็นประโยชน์อย่างนี้ ถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์นะ ธรณีวิทยาเขารู้หมดแล้ว ไอ้ภูเขาที่สูงที่สุดในโลก ภูเขาเอเวอเรสต์ แต่เดิมมันอยู่ใต้สมุทรนะ ไอ้สูงที่สุดในโลกปัจจุบันนี้ แต่เดิมมันอยู่ในท้องทะเล แล้วตอนนี้จากท้องทะเลมันขึ้นมาสูงที่สุดในโลก นี่มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

นักวิทยาศาสตร์ ทำไม นักวิทยาศาสตร์จะมาพูดอะไรให้ประชาชนชาวไทยเราตื่นเต้น ตอนนี้ทางของเราเกิดพายุ ทางออสเตรเลีย ร้อนที่สุดในรอบปี ในตะวันตก หิมะตกทีหนึ่ง ๓-๔ เมตร นี่มันอะไรล่ะ ทางวิทยาศาสตร์ไง เราก็รู้ เขาก็เตือนประชาชน ประชาชนมันวิปริต โลกมันวิปริต โลกมันมีการเปลี่ยนแปลงไปเพราะพวกมึง เพราะพวกมนุษย์นั่นน่ะ เห็นโทษมันไหมล่ะ ถ้าเห็นโทษของมันก็รู้จักให้ยับยั้งชั่งใจ อย่าบริโภคกันจนเกินกว่าเหตุ อาหารเหลือให้มันเน่า แล้วพยายามจะหากำไร นี่พูดถึงทางโลกนะ ถ้าพูดถึงนักวิทยาศาสตร์

ถ้าพูดถึงพระ พระที่เป็นธรรมนะ พระที่เป็นธรรมท่านรู้เรื่องนี้ ท่านเห็นเรื่องนี้ แล้วภาษาเรา ต้องรักษาหัวใจของมนุษย์ หัวใจของมนุษย์นะ อย่าตื่นกลัวจนกลัวลนลานไปทั้งสิ้น ตั้งใจให้สงบ เพราะมนุษย์ทำทั้งนั้นน่ะ

ถ้ามนุษย์ไม่ทำ มันก็มีความเปลี่ยนแปลงของมัน เห็นไหม โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ มันจะเปลี่ยนแปลงของมันไปตลอด ช้าหรือเร็วมันต้องเปลี่ยนแปลงของมันไปตลอดเวลาอยู่แล้ว ถ้าการเปลี่ยนแปลงไปของโลก แล้วเราก็ดูแลรักษา อย่าใช้ทรัพยากรจนเกินกว่าเหตุ แล้วสิ่งใดจะเกิดขึ้น มันไม่ได้เกิดขึ้นที่เรา

นี่เขาบอกเลย ระบบสุริยจักรวาล ในพระไตรปิฎก ยังไม่ต้องพูดถึง ๗ โลกธาตุนะ นี่เพิ่งจะเห็นดาวฤกษ์ใหม่ ตื่นเต้น เห็นดวงอาทิตย์ใหม่ ตื่นเต้น นี่ในระบบสุริยะ อันนั้นเป็นเรื่องหนึ่งนะ แล้วพูดถึงระบบสุริยะขึ้นมา ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ แล้วตอนนี้บางประเทศเขาจะตั้งกองทัพอวกาศ แล้วถ้ามันรบกันในอวกาศ มันจะตั้งกองทัพอวกาศด้วยความโลภของมนุษย์ไง นี่พูดถึงทางวิทยาศาสตร์ ถ้าทางวิทยาศาสตร์นะ

สิ่งใดจะเกิดขึ้นมันเป็นเวรกรรมของสัตว์ทั้งสิ้น ฉะนั้น เรารักษาใจของเรา เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเรามีอายุขัยของเรา เราต้องตายไป ถ้ามีบุญกุศลจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีก ได้เกิดเป็นมนุษย์อีก โลกมันจะเจริญรุ่งเรืองไปทางไหน

ฉะนั้น ในทางสังคม เขาบอกว่า เราจะส่งต่อโลกของเราให้อนุชนรุ่นหลังด้วยความอุดมสมบูรณ์หรือด้วยความวิบัติ มันอยู่ที่เราจะส่งต่อโลกของเราต่อไป ถ้าส่งต่อโลกของเราต่อไป เราเห็นแก่ตัว หรือเราจะส่งต่อให้ลูกหลานของเรา ให้ระบบความเป็นอยู่ให้มันพออยู่กันได้ นี่พูดถึงทางวิทยาศาสตร์นะ

ถ้าพูดถึงเรื่องพระ แล้วก็พูดถึงเรื่องมนุษย์ต่างดาว จะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในจิตใจของมนุษย์

ก็มนุษย์ของเรา พระพุทธศาสนาสอนอย่างไรล่ะ พระพุทธศาสนานะ เวลาพระพุทธศาสนาสอน เวลาไปวัดไปวาก็ฟังพระ ฟังพระท่านพูด ท่านพูดถึงกาลามสูตร อย่าเพิ่งเชื่อๆ อย่าไปเชื่อใครทั้งสิ้นว่าจะชักจูงไปทางใด

ถ้าเรามีเวลาของเรา พระไตรปิฎกฉบับประชาชน เราก็ค้นอ่านได้ พระไตรปิฎกฉบับประชาชนนี้เป็นที่เขาย่อลงมาให้เหลือภายในเล่มเดียว นั่นคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ่งนั้น นั่นเป็นสัจจะเป็นความจริง

ถ้าเป็นสัจจะความจริง ศึกษาแล้วเรามีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีความเข้าใจหรือมีจุดยืนขึ้นมา เราจะวัดได้เลยว่าพระองค์ไหนพูดถูก พระองค์ไหนพูดผิด พระองค์ไหนเป็นนักแสวงหาผลประโยชน์ พูดเพื่อตัวตน พูดเพื่อสังคมของตน

ถ้าพูดเพื่อประโยชน์ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เราไปวัดไปวา เราเสียสละของเราเพื่อหัวใจของเรา การเสียสละอย่างนี้ เสียสละเพื่อให้จิตใจของเรามั่นคง จิตใจของเรามีจุดยืนของเรา เราศึกษาแล้ว เราได้เสียสละแล้ว ให้เรามีบุญกุศลของเรา ให้มีจุดยืนของเรา จิตใจมันไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่สับสนวุ่นวาย ถ้าไม่สับสนวุ่นวาย สิ่งที่เสียสละไปแล้วเป็นของเล็กน้อย ของเล็กน้อยขึ้นมา เพราะมันต้องมีปฏิกิริยา มันต้องมีการกระทำไง พอใจมีการกระทำไปแล้ว เสียสละไปเป็นทาน เวลาทานขึ้นมา เกิดบุญกุศลขึ้นมาให้จิตใจมันอบอุ่นของมันๆ

แล้วศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงเรื่องอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พูดถึงสัจจะพูดถึงความจริง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพูดถึงนะ ท่านพูดถึงว่าโลกนี้เป็นอจินไตยๆ ถ้าโลกนี้เป็นอจินไตย อจินไตยมันเหนือการคาดหมาย เหนือการต่างๆ มันยังก้าวหน้าไปอีกมากมายมหาศาล แล้วเราตื่นเต้น เราทุกข์ยากไปกับมันด้วยวิทยาศาสตร์ เดี๋ยวทวีปมันจะมารวมกันเป็นมหาทวีปเหมือนเดิม เดี๋ยวมันจะแยกออกไปโดยสัจจะ นี่เวลาธรณีวิทยามันรับรู้ได้เป็นล้านๆๆๆ ปี มันจะไปวุ่นวายอะไรจิตใจของมนุษย์

มันวุ่นวายที่คนเขียนนี่ มันวุ่นวายที่คนถามนี่ คนอื่นเขาไม่เห็นวุ่นวายเลย คนอื่นชีวิตเขารื่นรมย์ ชีวิตของเขา เขาพยายามจะสร้างคุณงามความดีของเขา ไอ้เราจะสร้างคุณงามความดี ความดีคือการสร้าง การกระทำของเราขึ้นมา แล้วถ้าจิตใจมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา มันอบอุ่นของมัน แล้วพออบอุ่นขึ้นมามันจะสับสนที่ไหน มันจะวุ่นวายที่ไหน

ฉะนั้น เขาถามว่า แล้วท่านมีความคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร

มีความคิดเห็นเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องกะล่อนปลิ้นปล้อนของสังคม ถ้าความเห็นของเรานะ ไม่เห็นมีอะไรเลย ไม่เห็นมีอะไร มันกะล่อน ถ้านักวิทยาศาสตร์จะพูดถึงเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เราพูดเตือนสังคมไง

นักวิทยาศาสตร์ที่พูดนะ เขาบอกว่า จะเกิดแผ่นดินไหว จะเกิดสึนามิ

เศรษฐกิจมีปัญหาไปหมด สังคมที่มีความสุข ความสงบของเขา ไปพูดให้เขาตื่นกลัว ความตื่นกลัวขึ้นมา ประกันภัยไม่รับ ประกันภัยมันไม่รับแล้ว แล้วเอ็งพูดไปทำไม พูดอวดเก่งใช่ไหม

เวลาพูดให้พูดทางรัฐบาลสิ รัฐบาลเขาเตือน ให้รัฐบาลเขาเตือน แล้วรัฐบาลจะเตือนไหม รัฐบาลมันเตือน มันกลัวจีดีพีมันตกนะ รัฐบาลไม่กล้าเตือนหรอก รัฐบาลมันจะพูดเป็นการภายใน

นักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์พูดอะไร เวลากรณีอย่างนี้ เวลานักวิทยาศาสตร์เขาพูดเลย ไอ้พูดนี่พูดให้หุ้นตก แล้วมันก็มาช้อนซื้อ แล้วพอหุ้นขึ้นมันก็ขายอีก เราก็เป็นเหยื่อ นักวิทยาศาสตร์ การโฆษณาแอบแฝง การทำร้ายโดยการแอบแฝง มันไม่มีความสะอาดบริสุทธิ์ในใจไง

ถ้ามันมีความสะอาดบริสุทธิ์ในหัวใจนะ เขาเตือน เห็นไหม ปาบึก เราเห็นพายุคราวนี้ชื่นชมมาก รัฐบาลบริหารจัดการได้ดีมาก บริหารจัดการโดยความสูญเสีย สูญเสียโดยบ้านเรือนโดยวัตถุนี่เรื่องธรรมดา แต่สูญเสียด้วยชีวิตน้อยมาก ๓ ศพ ๓ ศพนี้มันไม่ได้เกิดด้วยพายุ มันเกิดด้วยต้นไม้ล้มทับ นี่ไง ด้วยการบริหารจัดการที่ดี

ถ้าการบริหารจัดการที่ดี วิทยาศาสตร์มันมีประโยชน์อย่างนี้ มีประโยชน์เพื่อให้เราบริหารจัดการคุ้มครองดูแลประชาชนด้วยวิทยาศาสตร์ ด้วยอำนาจรัฐ ด้วยการคุ้มครองดูแล อย่างนี้เราชื่นชม

แต่ออกมาเตือน ออกมายุออกมาแหย่ ออกมาทำให้สังคมตื่นกลัว อันนี้เราติเตียน เราเห็นแล้วเรารับไม่ได้ แต่มันก็เป็นความเห็นของสังคม ความเห็นของโลก ความเห็นของนักวิทยาศาสตร์

นักวิทยาศาสตร์ที่ดี เอ็งมีความรู้ เอ็งมีปัญญาของเอ็ง เอ็งทำไมไม่เอาความรู้ปัญญาของเอ็งเพื่อประโยชน์กับชุมชนล่ะ ชุมชนใด สังคมใดที่เขาขาดแคลนแหล่งน้ำ เขาขาดแคลนเรื่องสิ่งใด เอ็งไม่เข้าไปเป็นที่ปรึกษา เข้าไปเพื่อช่วยเหลือสังคมล่ะ ถ้าเอ็งจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดี

นักวิทยาศาสตร์ สิ่งที่การบริหารจัดการ สหกรณ์ ชุมชนใด เขาจะทำเศรษฐกิจของเขา ถ้าเอ็งมีสติปัญญา เอ็งเจียดเวลาเอ็งเพื่อประโยชน์กับสังคมสิ ชุมชนที่เขาพยายามขวนขวายเพื่อความสงบสุขของเขาน่ะ อย่างนี้กูยกย่อง อย่างนี้กูชื่นชม

แต่เอ็งพูดเพื่อหน้าตาของเอ็งไง “จะเกิดแผ่นดินไหว จะเกิดสึนามิ เกิดริมฝั่งมันจะพัดหายไป” พูดไปร้อยแปด พูดให้คนตกใจ นักวิทยาศาสตร์ที่ดีหรือ

นักวิทยาศาสตร์ที่ดี นายกสภาวิศวกรรม เวลาเกิดสิ่งใดขึ้น เขาต้องไปเชิญมาเพื่อสำรวจ เพื่อวิเคราะห์ เราไม่ได้คัดค้านเรื่องวิทยาศาสตร์ ธรรมะ ครูบาอาจารย์ท่านก็เทศน์ให้เป็นวิทยาศาสตร์ ให้พวกโลกเข้าใจได้

แต่ธรรมะมันลึกซึ้งกว่านั้นนะ ธรรมะ สัจธรรม ถ้าคนมีคุณธรรม ใช้วิทยาศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่เป็นจรรโลงโลก วิทยาศาสตร์แก้ไขวิกฤติของโลก ถ้ามีธรรมะในวิทยาศาสตร์นั้น วิทยาศาสตร์นั้นเพื่อให้โลกยั่งยืน เพื่อให้โลกน่าอยู่น่าอาศัย มีภัยพิบัติสิ่งใด เราช่วยกันปกป้องคุ้มครองดูแลจากชุมชนของเรา ถ้านักวิทยาศาสตร์อย่างนี้เราชื่นชม นักวิทยาศาสตร์คิดค้นสิ่งใดขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับโลก เราชื่นชม

นักวิทยาศาสตร์ที่เวลาพูดให้แตกตื่น พูดให้เห็นว่ากูแน่ กูรู้ กูเก่ง ถ้านักวิทยาศาสตร์อย่างนี้เราติเตียน นักวิทยาศาสตร์อย่างนี้ไม่มีประโยชน์กับสังคม ไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น และไม่เป็นประโยชน์กับตัวเขาด้วย เพราะตัวเขาได้สร้างเวรสร้างกรรมไว้ให้โลกนี้แตกตื่น

พระ พระที่ดี ชุมชน พระก็แค่บิณฑบาตเลี้ยงชีพ พระที่ดีรักษาใจของตนให้ชาวพุทธเขามั่นคงในพระพุทธศาสนา ให้เห็นว่า เออ! พระเป็นอย่างนี้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นอย่างนี้ ให้ศาสนามั่นคงอย่างนี้ ถ้าพระอย่างนี้เราชื่นชม

ถ้าพระแบบพระเสี่ย พระอวดดี พระจะไปเที่ยวรอบโลก จะไปเที่ยวดาวอังคาร พระอย่างนี้ไม่สมควรเป็นพระ ถ้าเป็นมนุษย์ต่างดาว มีเมืองลับแลนะ ดูสิ คำชะโนด เขาจ้างหนังไปฉายให้ผีดู ไม่ใช่ไม่มีนะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ในวัฏฏะมันมีของมันอยู่ จิตนี้มันละเอียดอ่อนกว่านั้นเยอะ ฉะนั้น ไอ้เรื่องมนุษย์ต่างดงต่างดาวนั่นมันเรื่องของมนุษย์ต่างดาว

กามภพ รูปภพ อรูปภพ สิ่งนี้มันลึกลับซับซ้อนกว่านั้น แต่ในพระพุทธศาสนากระจ่างแจ้งหมด เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ๓ โลกธาตุ สอนหมด ควบคุมทั้งหมด จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มหัศจรรย์กว่านี้เยอะมาก ความมหัศจรรย์กว่านี้เยอะมาก แต่มันเข้าไปละเข้าไปถอนจนจบสิ้นกระบวนการของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย จบ นี่พูดเรื่องมนุษย์ต่างดาว

มนุษย์ต่างดาว พูดถึงมนุษย์ต่างดาวแล้ววุ่นวาย สวรรค์ ๕ ชั้น สวรรค์ ๖ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น แล้วนรกอเวจีล่ะ แล้วต่างๆ นี่มันสถานที่ของใคร กามภพ รูปภพ อรูปภพ ผลของวัฏฏะ เวลาวัฏฏะ นี่จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วจิตที่พ้นไปจากวัฏฏะ วิทยาศาสตร์ยังรู้ไม่ได้นะ

ไอน์สไตน์บอกเลยว่า ถ้าเลือกได้จะเลือกนับถือศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุแห่งผล แล้วศาสนาที่เข้าไปสู่สัจจะความจริงได้ แห่งเหตุแห่งผลนั้นคือวิธีการ แต่เวลาถึงที่สุดแล้ว เหนือโลก พ้นจากวิธีการ พ้นจากผลอันนั้นไป นี่ไง มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ พ้นออกไปจากวัฏฏะ สิ่งนี้เป็นวิวัฏฏะ เหนือโลกเหนือสงสาร เหนือวิทยาศาสตร์ เหนือพระ เหนือมนุษย์ต่างดาว เหนือความแตกตื่นของสังคม เหนือจักรวาลนี้ ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา แล้วอยู่ที่ไหนล่ะ อยู่ที่ในหัวใจของเรา อยู่ในพุทธะนี้

พุทธะที่อ่อนแอ พุทธะที่หวั่นไหว ก็ให้เขาหลอกกันอยู่อย่างนี้

พุทธะที่มีสติมีปัญญาแล้ว เหนือโลกเหนือสงสาร วางไว้กับโลก เพราะเป็นผลของวัฏฏะไง คนอ่อนแอ คนสร้างเวรสร้างกรรมมา คนที่เหลวไหล มันก็เชื่อกันไป คนที่มาเพื่อผลประโยชน์มันก็เอาสิ่งนั้นมาโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้คนแตกตื่น มันจะได้เก็บผลประโยชน์ของมัน ไร้สาระมาก เราเห็นแล้วเราสังเวช สังเวชมาก แต่มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นผลของคนที่เห็นอย่างนั้น สังเวชนะ สังเวชจริงๆ พวกอ่อนแอ เชื่อเป็นกระต่ายตื่นตูม เป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก เอวัง