เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำคุณงามความดีจะได้คุณงามความดีตอบสนอง
ใครทำความชั่ว ทำบาปกรรมแล้วบาปกรรมมันจะให้ผล ให้ผลโดยสัจจะโดยความเป็นจริงนะ ทั้งๆ ที่มีคนช่วยเหลือคนเจือจานตลอดเวลา แต่กรรมก็คือกรรม กรรมวันยังค่ำ เพราะมันปิดหูปิดตาไง มันมืดบอด พอมันมืดบอด มันทำสิ่งใดไปแล้วผลของกรรมอันนั้นน่ะ เพราะอะไร เพราะความมืดบอดของตน
ความมืดบอดของตน ดูสิ คนเราเดินไป ถ้ามันมืดบอดมันก็ไปชนวัตถุข้าวของใช่ไหม เพราะมันมืดบอด มืดบอดที่ตามันไง
นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของคน หัวใจของคนถ้าคนมันมีเวรมีกรรมในหัวใจน่ะ ให้คนจุดไฟสว่างไสวขนาดไหนมันก็มืดบอด มันบอดในหัวใจมันนั่นน่ะ บอดด้วยทิฏฐิมานะ บอดด้วยความรู้ความเห็น บอดว่าตัวเองฉลาด เพราะมันบอดอย่างนั้นไงมันถึงไปเผชิญกับเวรกับกรรม
แต่คนทำคุณงามความดีไง ทำดีต้องได้ดี ทำดีต้องได้ดี เวลาทำดีไปแล้ว ทำดีเราได้ดีอะไร เวลาทำดีไม่เห็นได้ดีสิ่งใดเลย ทำคุณงามความดีมันยังทุกข์มันยังยากอยู่อย่างนี้ ความทุกข์ความยากขึ้นมา ความดีคือความดีของเราไง ความทุกข์ความยากมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ไง
มนุษย์เกิดมามีกายกับใจ ร่างกายมันต้องหิวกระหาย มันหิวโหยมันต้องกระหาย มันต้องหาอาหารใช่ไหม สิ่งที่หาอาหารขึ้นมา อาหารเพื่อประทังโรคความหิวความโหยของเรานี่ไง ถ้าความหิวความโหยของเรา ถ้ามีสติมีปัญญา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มนุษย์มีความสามารถ มีความแสวงหา หาปัจจัยเครื่องอาศัยมาเพื่อดำรงชีพได้ๆ ไม่ให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำไง
ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำ มันต้องการความยิ่งใหญ่ มันต้องการการครองโลกไง แล้วไม่ได้ครอง
คนครองโลก ดูสิ ครองสามโลกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่โคนต้นโพธิ์ อยู่ในป่าในเขาท่านภาวนาของท่าน เวลาท่านสิ้นกิเลสของท่านไป ท่านครองสามโลกธาตุ เทวดา อินทร์ พรหมเป็นผู้ที่มีหูตาสว่างไสวที่รู้เท่าทัน มาฟังเทศน์ มาขอฟังธรรม ฟังธรรมเพื่ออะไร
ฟังธรรมเพื่อจะปลดเปลื้องกิเลสในใจของเทวดา อินทร์ พรหมอันนั้นไง ถ้าเขาปลดเปลื้องกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเขา เขาจะได้ครองโลกแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง
เวลาหลวงตาท่านสิ้นกิเลสของท่าน ท่านบอก หัวใจเปรียบเหมือนพญามังกร มันไปได้สามแดนโลกธาตุ มันยิ่งใหญ่กว่าสามแดนโลกธาตุ สามแดนโลกธาตุนี้อยู่ในอำนาจของคุณธรรมอันนั้นน่ะ อยู่ในอำนาจของคุณธรรมอันนั้น นี่ไง คนเหนือโลกไง
ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ถ้าธรรมชาติก็เป็นฤดูกาลไง เวลาฤดูกาลขึ้นมาแล้วคนมันดัดจริตไง มันก็จะไปเปลี่ยนแปลงฤดูกาลไง มันจะไปครอบงำธรรมชาติไง พอมันเปลี่ยนแปลงครอบงำธรรมชาติก็เลยสร้างสภาพแวดล้อมผลกระทบนี่ไง
แต่ถ้าคนทำคุณงามความดีเขาพยายามปลูกป่า เขาพยายามส่งเสริมสัจจะความจริงสภาวะแวดล้อมนั้น นี่ไง ธรรมชาติอันนั้นเราไปส่งเสริมมัน ส่งเสริมธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นฤดูกาล คนเรามันต้องมีกินมีใช้ตลอดไปใช่ไหม มันไม่ใช่มีกินมีใช้เฉพาะฤดูกาล เวลาฤดูกาลแห้งแล้งขึ้นมา เราไม่มีอยู่ไม่มีกิน มันก็ต้องการถนอมอาหารเก็บไว้เพื่ออยู่กินตลอดชีวิต
นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ แล้วจะไปดัดแปลงแก้ไขมันไง
แต่เวลาความจริงๆ ขึ้นมา คนที่เขามีสติปัญญาเขารู้เท่าความเป็นสัจจะความจริงเขาถึงเขาถนอมอาหารของเขาไว้ เขาสะสมของเขาไว้ เขาเอาไว้อยู่เอาไว้กินของเขา แล้วเขากลับมาดูแลในหัวใจของเขา ถ้าหัวใจของเขา นี่ไง มันพ้นจากธรรมชาติไปไง เพราะอะไร เพราะมันรู้ความจริงในใจของตนไง นี่ความจริงในใจของตน
กิเลสมันท่วมหัว อยากยิ่งใหญ่ อยากครองโลก แต่ไปเอาที่ธรรมชาตินะ ธรรมชาติต้องมาหนุนเรานะ
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้เท่าทันทั้งหมด รู้เท่าทันสัจจะความจริงในโลกนี้ ในธรรมชาตินั้น แล้วรู้เท่าทันความจริงในใจของตนที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กับมีคุณธรรมที่เกิดมาเป็นมรรคเป็นผลอันนั้น
ถ้าเป็นมรรคเป็นผล ทำลายภวาสวะ ทำลายภพนะ ทำลายความรู้จริงเห็นจริงไง เพราะรู้จริงเห็นจริงในสัจจะความจริงอันนั้น แล้วทำลายผู้รู้นั้น ทำลายสิ่งที่มันจะออกมาเป็นดีและชั่ว นี่มันสัจจะความจริงอันนั้น ถ้าความจริงอันนั้น ในหัวใจอันนั้นเหนือธรรมชาติ เพราะรู้ธรรมชาติตามความเป็นจริงแล้วไม่ไปดัดแปลงแก้ไขสิ่งใด
แต่เวลาความจริงๆ มันต้องมีมรรค คำว่า “มีมรรค” ขึ้นมา ถ้าไม่มีมรรคมันจะรู้ธรรมชาติได้อย่างไร มันจะไปรู้ภวาสวะได้อย่างไร มันจะไปรู้ในหัวใจอันนั้นได้อย่างไร ถ้ามันรู้นะ รู้ด้วยมรรคด้วยผล ด้วยมรรคด้วยผลคืออะไร คือศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาเข้าไปรู้ในหัวใจของตน เห็นไหม เข้าไปรู้ในหัวใจของตน นั่นสัจจะความจริงไง
ที่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ธรรมชาติก็เกิดดับๆ มันมีเกิดอยู่ มันมีดับอยู่ มันเป็นอนิจจัง แต่ถ้าตัวตน ตัวตนของเราเป็นอนัตตา
สิ่งที่เกิดดับๆ มันเกิดดับ มันเกิดมันดับๆ พอมันเกิดไง มันมีของมันน่ะมันเกิด พอมันเกิดขึ้นมามันก็มีสสาร มีการกระทบกระทั่งใช่ไหม เพราะมันเกิด
แต่ธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารู้ในใจของตนๆ สัมมาสมาธิรู้ในใจของตน เวลาทำลายสัจจะความจริง ทำลายสัจจะความจริงในใจของตนเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกไง ถ้าเป็นในหัวใจอันนั้นไง นี่มันยิ่งใหญ่ มันยิ่งใหญ่ที่นี่ไง มันยิ่งใหญ่เพราะอะไร
เพราะธรรมชาติมันอยู่ข้างนอก แต่สัจจะความจริงที่ไปรู้ธรรมชาติแล้วเข้าใจมันหมดแล้ว แล้วไม่ไปบิดไปเบือนมัน ไม่ไปทำลายมัน เราอยู่กับเขา เห็นไหม
ดูสิ ดูพวกชาวเขา เขาทำมาหากินของเขา เขาปลูกต้นไม้ของเขา เขาถนอมรักษาของเขา เขาหมุนเวียนของเขา เขาใช้สอยของเขาตลอดไป
ไอ้เรามันอยากรวย อยากมีตังค์ ขวนขวายกระทำขึ้นมา ทำลายไปทั้งสิ้น แล้วรู้ธรรมชาติเสียด้วยนะ รู้สัจจะความจริงเสียด้วย ถ้าไม่รู้มันจะไปฉกฉวยประโยชน์อันนั้นได้อย่างไร
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ สัจจะความจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว แล้วสัจจะ สัจจะคือสัจจะ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ใครจะไปกีดไปขวาง ใครจะไปดัดแปลงเปลี่ยนแปลงอย่างไร มันให้ผลตามความจริงอันนั้น หนีไม่พ้นหรอก
ทำความชั่วแล้วจะไปอยู่สวรรค์ชั้นไหนพรหมชั้นไหนมันก็ไปรบไปราไปฆ่าฟันกันอยู่นั่น นี่มันหนีไม่พ้นหรอก มันหนีกรรมของตนไม่ได้ มันหนีการกระทำของตนไม่ได้ ถ้ามันหนีไม่ได้นะ ยังจะฝืนต่อไปมันก็ทุกข์ยากต่อไปๆ มันไม่ยอมรับความจริงไง
ถ้ายอมรับความจริง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อริยวินัยไง ผู้ใดทำความผิดพลาดแล้วระลึกได้ ระลึกได้นี่อริยวินัย คนที่สำนึกได้ ความสำนึกถึงการกระทำของตนที่ผิดพลาดไป สำนึกถึงการกระทำที่มันชั่วร้าย ระลึกถึงการกระทำ ถ้ามันชั่วร้ายเพราะอะไร
คนเราถ้าจิตใจมันหยาบมันช้านะ การทำความชั่วร้ายแล้วมันว่าเป็นความดี ชั่วร้ายตรงไหน ช่วยเหลือคนทั้งนั้น ชั่วร้ายตรงไหน นี่ไง แต่ถ้าคนมันสำนึกได้ โอ้โฮ! เราทำขนาดนี้เชียวหรือ เราทำขนาดนั้นเชียวหรือ เราทำไปทำไมน่ะ
เราทำไปด้วยความมืดบอดไง เหนือธรรมชาติไง จะควบคุมมันไง โลกนี้ให้ห้าใบก็ไม่พอมันไง นี่ไง มันจะควบคุมให้หมดไง มันเป็นไปไม่ได้หรอก
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วทำดีนะ ทำดีเป็นสัมมาทิฏฐิความถูกต้องดีงามไง มิจฉาทิฏฐิ แล้วความดี ความดีของกิเลสไง ความดีของการแก่งแย่งชิงดี อยากดังอยากใหญ่ อยากครอบงำ ไม่มีสิทธิ์หรอก เพราะมันมีอะไรครอบงำ
ดูสิ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนเราเกิดแล้วต้องตาย เวลาเกิดแล้วต้องตาย ทุกสิ่งต้องเป็นสัจจะความจริงของมัน
แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราเกิดมาแล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา นี่กิเลสมันตาย ด้วยความมุมานะ ด้วยการกระทำของตน เวลากิเลสมันตาย เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันวิสาขบูชา ทำลายอวิชชา สิ่งที่ครอบครัวของมารที่อยู่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นไป อีก ๔๕ ปี เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงขันธนิพพานจะต้องสิ้นชีวิตนี้ไป ต้องสิ้นชีวิตนี้ไป แต่ก่อนจะสิ้นชีวิตนี้ไป พระอานนท์ต้องการให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่สั่งสอนอยู่ไง
“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ตถาคตก็ต้องสิ้นชีวิตในคืนนี้”
คืนนี้ สิ้นชีวิตในคืนนี้ แต่สิ่งที่กิเลสมันตายมาแล้ว ๔๕ ปี เวลากิเลสมันตายไปแล้ว คนเราเกิดแล้วต้องตายๆ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า แต่สัจธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สว่างไสวที่มันงอกงาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบสัจธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ค้นคว้าอันนั้น สิ่งที่ได้มาไง แล้วอยู่อีก ๔๕ ปีโปรดสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์
“มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ไม่ได้ เรายังจะไม่ยอมนิพพาน”
อยู่เผยแผ่ธรรมๆ ขึ้นมาจนมีสัจจะความจริง พระอรหันต์มหาศาลเลย ผู้รู้จริงมหาศาล พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ดูสิ เวลาเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา สิ่งที่เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ถ้ามันเป็นจริง มันเป็นจริงมาตลอด
จนถึงมันมั่นคงแล้วมีความเป็นไปได้ไง นี่ไง เวลามารมันดลใจๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ บอก “อานนท์ ผู้ใดที่มีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้”
บอกเป็นนัย บอกเป็นนัยมาถึง ๑๖ หน พระอานนท์นึกไม่ออกนึกไม่ได้ มารมันดลใจไว้หมดไง เวลาคืนนั้นมารก็มาดลใจอีกน่ะ บัดนี้พอแล้ว คนเขารู้ทั่วหมดแล้ว นิมนต์นิพพานเถิด
สุดท้ายแล้วก็รับอาราธนาของมารเขา โลกธาตุนี้ไหวไปหมดเลย
พระอานนท์อยู่ข้างนอก เห็นความมหัศจรรย์ของการโลกธาตุสั่นไหว เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดอะไรขึ้น” เพราะอะไร นี่พระโสดาบันนะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณรู้แจ้งโลก
“นี่อะไรเกิดขึ้น”
“มันเป็นเช่นนี้เองอานนท์ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าเกิด ตรัสรู้ ปลงอายุสังขาร และปรินิพพาน”
รู้เลยว่าพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารเสียแล้ว ร้องไห้คร่ำครวญเลยล่ะ อู๋ย! ยังอยากเอาไว้ๆ อยู่น่ะ
“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ เราบอกเธอมาแล้วถึง ๑๖ ครั้ง ถ้าเธออาราธนาเราไว้ เราจะปฏิเสธเธอถึง ๓ หน หนที่ ๓ แล้ว หนที่ ๔ เราจะรับอาราธนาของเธอ แต่ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ปลงอายุสังขารแล้ว”
นี่ไง คร่ำครวญร้องไห้ ร้องไห้ก็ร้องไห้ นี่ไง สิ่งนี้มันเป็นสัจจะเป็นความจริงไง นี่ไง คนเราเกิดแล้วต้องตายๆ
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเวลากิเลสมันตาย เวลากิเลสมันตายไปแล้ว เวลากิเลสมันตายไปแล้ว สิ่งใดมันเข้าใจหมดน่ะ
ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ มันต้องแปรสภาพไปเป็นธรมดา โลกนี้มันเกิดดับๆ มันต้องมีของมันเป็นธรรมดา เป็นธรรมดา การเกิดการตายเป็นธรรมดา แต่เวลาเกิดและตายด้วยพญามารไง ขันธมารไง ตายด้วยความผูกพัน ตายด้วยความอาฆาต ตายด้วยความมักมาก ตายด้วยความอยากใหญ่ ตายไป นี่ไง กิเลสไม่ตาย มันตายอย่างนั้นไง
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ พระเจ้าสุทโธทนะก็เป็นพระอรหันต์แล้ว แม่ก็สำเร็จแล้ว เมียก็สำเร็จแล้ว ลูกก็สำเร็จหมดแล้ว ทำสิ่งใดก็ทำเพื่อโลกหมดแล้ว ทุกอย่างก็ได้ทำหมดแล้ว ศาสนาก็ได้วางไว้แล้ว ได้รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อสัตว์ขนสัตว์แล้ว ไปสบายๆ ลาวัฏฏะโดยไม่ต้องมีอะไรผูกพัน ไม่ผูกพันอยู่แล้วเพราะกิเลสมันตาย
นี่พระพุทธศาสนาไง มีใครเป็นเจ้าของอะไร
สิ่งที่เรามาขวนขวาย มีการกระทำกันอยู่นี่ก็สร้างอำนาจวาสนาบารมีไง เวลามีอำนาจวาสนาบารมี คนที่มีการกระทำมา ทำคุณงามความดีมามันคิดแต่เรื่องดีๆ ปรารถนาแต่สิ่งที่ดีงาม
ไอ้คนที่มันเห็นแก่ตัวมันก็มีบุญกุศลของมันมาบ้างเพราะมันได้มาเกิดเป็นมนุษย์ไง แล้วมันมียศถาบรรดาศักดิ์ไง มันถึงได้ขวนขวายของมันกระทำของมันแล้วไม่สิ้นไม่สุดไง เพราะสมบัติมันเป็นเรื่องแร่ธาตุ ไอ้เรื่องคำชมเชยมีชื่อในประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์แล้ว ไอ้คนเขียนประวัติศาสตร์ เราเป็นคนเขียนเอง ตายไปแล้วกลับอ่านประวัติศาสตร์ของเราต่อนั่นน่ะ นี่เกิดแล้วเกิดซ้ำเกิดซาก
แต่ถ้าคุณงามความดี คุณงามความดีมันส่งเสริมให้ดีงามนะ ส่งเสริมให้ดีงาม ทำแต่สิ่งที่ดีงาม
พระโพธิสัตว์ๆ ให้สังคมร่มเย็นเป็นสุขแล้วยังชักนำสังคมให้ทำสิ่งนั้น แต่มันเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันเรื่องของของโลกไง เรื่องของโลก เรื่องการแก่งแย่งชิงดีชิงชั่วมันเป็นเรื่องธรรมชาติของมันไง นี่ไง ธรรมชาติของกิเลสมันก็เยอะไง
ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ธรรมชาติที่ดีงามขึ้นมาก็ต้องขวนขวาย ต้องทำความเพียรชอบ ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะเพื่อสัจจะความจริงขึ้นมาอันนั้น
ดูสิ ทำฝนเทียม ทำฝนเทียมมันต้องมีสารเคมีขึ้นไปปล่อย เลี้ยงเมฆให้อ้วน ถึงเวลาแล้วก็ให้มันรวมตัวมันตกมาเป็นฝน
นี่ไง ทำคุณงามความดี คุณงามความดีก็ต้องทำ ทำขึ้นมา ทำเพื่ออำนาจวาสนาไง ถ้าคนมีอำนาจวาสนาแล้ว ทำแล้วมันชื่นชมพอใจไง แต่คนถ้าไม่มีอำนาจวาสนาทำแล้วมันกีดขวางหัวใจไง ทำสิ่งใดมันก็ขัดแย้งไปในใจทั้งสิ้น
แต่ถ้าคนเป็นคุณงามความดีแล้วทำจนเป็นนิสัย มันทำอะไรก็ทำด้วยความพอใจ ทำเพื่อประโยชน์ไง แค่ให้คนเขาอยู่ร่มเย็นเป็นสุข มันชื่นใจๆ ไง นี่เวลาเป็นธรรมมันมองแล้วมันซาบซึ้งในหัวใจไง
แต่ถ้าคนมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก “เฮ้ย! อันนี้เป็นผลประโยชน์กับเราได้” ที่ไหนเป็นความดีนะ มันไปแล้วมันบอก “อันนี้เป็นประโยชน์กับเราได้เลย เราจะต้องครอบงำให้ได้” นี่มันคิดไม่เหมือนกันน่ะ
คนที่เขาทำความดีๆ ทำแล้วความดีก็เป็นความดีนะ ความดีก็ความดีของมนุษย์ที่นั่น ความดีของคนที่นั่น ความดีของสังคมนั้น แล้วความดีของเรา เราช่วยเหลือเจือจานก็เป็นความดีแล้ว ความดีก็ความดี ก็จบไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไง
แต่ถ้าคนมันมีเลศนัยนะ เห็นอะไรไม่ได้ มันจะยึดครอง มันจะยึดครอง มันจะเข้าไปฉกฉวย มันไปครอบงำ อยากดังอยากใหญ่ไง ชิงดีชิงชั่ว
แต่ถ้าเป็นความดีๆ นะ มันทำเพื่อมัน แล้วความดีคือความดี กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหวนทวนลม กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม
แม้แต่เกสรดอกไม้หอมตามลมมันก็ยังหอมหวนนะ ดอกไม้ที่เหม็น ถึงจะสวยก็ไม่มีใครต้องการ ดอกไม้ที่หอม อัปลักษณ์ขนาดไหนกลิ่นมันก็ยังน่าชื่นใจ กลิ่นของเกสรดอกไม้ ลมพัดขจรขจายไป เราทำคุณงามความดีของเรา กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมยิ่งกว่านั้น
แต่เราอยากให้มันหอมอ่ะ มันเหม็น มันไม่มีหอมหรอก ถ้ามันหอมนะ มันหอมด้วยความรู้สึก รู้สึกของคน ความดีมันขจรขจายไปทั่ว
แต่ธรรมดาของโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ติฉินนินทามันมีของคู่กันทั้งนั้น ทุกคนมีทิฏฐิมานะทั้งนั้น การยอมรับคนอื่นยอมรับได้ยาก แต่ยอมรับได้ทีแรกก็ยอมรับลับหลังเสียก่อน เฮ้ย! เขาว่าดีๆ ก็ยอมรับลับหลังเสียก่อน
แล้วถ้ามันลงใจยอมรับซึ่งๆ หน้าการยอมรับซึ่งๆ หน้า เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ของเราไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณขนาดไหน เวลาเข้าไปเนื้อตัวสั่นหมด เพราะอะไร เพราะท่านไม่ต้อนรับเราหรอก ท่านต้อนรับแต่ในใจของเราไง ไอ้กิเลสไอ้คิดชั่วในใจของเรานั่นน่ะ กับไอ้ความดี เห็นไหม
ดูสิ ท่านบอกไว้นะ “ต่อไปนะ จะมีพระหนุ่มๆ มาองค์หนึ่งมาหาเรา”
เวลาหลวงตาท่านไป เห็นไหม นี่ท่านมองไว้เลย แล้วจะสร้างประโยชน์กับพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา คนที่มีการกระทำ ความดี ความดีที่ไม่ต้องมีสิ่งใดเจือปนเลย ใครจะยอมรับ แล้วความดีอย่างนั้นมันอยู่ที่ไหน มันอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก แล้วหัวใจของสัตว์โลกที่กระทำได้ แล้วคนจะทำได้มันจะมีอำนาจวาสนาขนาดไหน
เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำมาท่านทุกข์ยากมาขนาดไหน ถ้าคนจะทำได้ คนต้องมีอำนาจวาสนาบารมีของท่าน
เวลาท่านบอกเลยนะ หลวงตาพระมหาบัวดีทั้งนอก ดีทั้งใน
ดีทั้งนอก ข้อวัตรปฏิบัติ การดำรงชีพของมนุษย์
ดีทั้งใน ในหัวใจนั่นน่ะ
ในหัวใจที่ไม่ชิงดีชิงชั่วกับใคร ทิ้งความดีไว้กับโลก ทิ้งความดีไว้กับพระพุทธศาสนา ทิ้งความดีเพราะทำดีแล้วได้ดีทิ้งไว้ที่นี่
เพราะสิ่งที่ดีงามที่สุดคือการกระทำของท่านที่ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมท่านมา ท่านสละชีวิตเพื่อการละกิเลสอันนั้นน่ะ งานของตนๆๆ งานของตนที่เอาตัวรอดจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากอันนั้นได้ งานนั้นมันยิ่งใหญ่ งานนั้นมันยิ่งใหญ่
แล้วพองานช่วยโลกก็เป็นอีกงานหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ วัดบ้านตาดอยู่แค่ไหนก็อยู่แค่นั้นน่ะ ไม่มีอะไรเพิ่มขึ้นและไม่มีอะไรลดลง ก่อนออกมาช่วยชาติก็เท่านั้นน่ะ ช่วยชาติจบกลับไปก็เท่านั้นน่ะ ท่านไม่เห็นสร้างอะไรเพิ่มขึ้นมาอีกเลย
คนที่หัวใจมันเหนือโลก เหนือโลกเหนือสงสาร เหนือการสรรเสริญนินทา เหนือทุกอย่าง นี่การเหนือโลก นี่ธรรมะมันเหนือโลก เหนือวัฏฏะ วิวัฏฏะออกจากวัฏฏะนี้ไป ออกจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเป็นวิวัฏฏะ นี่ถ้าความดีอย่างนี้ พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ไง
ไม่ใช่จะไปยึดครองแย่งชิง เห็นที่ไหนเขามีความสุขความสงบก็เข้าไปยึดครองเขา เวลาไอ้ทุกข์ยากไม่เคยไปดูแลเขา นี่ไง จะยึดครองจะดูแลทั้งนั้นน่ะ
แต่เป็นจริงๆ สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นสุขๆ เถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย เป็นสุขๆ เถิด เอวัง