เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมๆ นะ ธรรมะคือสัจธรรม สัจธรรมความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราแสวงหาสิ่งนี้ เราต้องการสิ่งนี้ ถ้าต้องการสิ่งนี้ เห็นไหม คนเราเกิดมาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์
ความทุกข์ไม่ต้องการไม่ปรารถนา ต้องการความสุขทั้งนั้น แต่ความสุขเป็นความสุขของใคร ความสุขของใครคือจริตนิสัยของเขา เขาชอบอย่างไรเขาปรารถนาอย่างไรเขาว่าเป็นความสุขของเขา ความสุขของเขาๆ
อย่างนี้สิ่งที่เรามาทำบุญกุศลกันเราก็ปรารถนาความสุขเหมือนกัน ถ้าปรารถนาความสุขเหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนี่เป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสคือวัตถุ เราต้องเสียสละออกไป การเสียสละออกไปมันฝึกหัดหัวใจของเราไม่ให้เกิดความตระหนี่ถี่เหนียว ความตระหนี่ถี่เหนียวคือมันหวงมันแหน
ถ้ามันหวงมันแหน อารมณ์ความรู้สึกความทุกข์ความยากมันก็หวงแหนเหมือนกัน หวงแหนโดยที่เราไม่รู้ตัว เราไม่รู้ตัวหรอกว่าสิ่งสิ่งนี้เราหวงแหนมันอยู่ ถ้าเราไม่รู้ตัวว่าสิ่งนี้หวงแหนมันอยู่ สิ่งที่ว่าเป็นอามิสๆ ฝึกหัดหัวใจของตน พอฝึกหัดหัวใจของตนขึ้นมาแล้ว ไปวัดไปวาขึ้นมานี่ฝึกหัด
สัจจะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราศึกษา ศึกษาแล้วจะมาประพฤติปฏิบัติ เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาไปวัดไปวาขึ้นมามันจะมีประเพณีวัฒนธรรม ถึงที่สุดแล้วเขาจะให้นั่งภาวนา เวลาไปนี่ไปเยอะแยะไปหมดเลย เวลาภาวนาเหลือสองคน มันหนีหมดเลย เห็นไหม
ถ้าสัจจะความจริง สัจจะความจริงอยู่ที่นี่ เพราะสัจจะความจริงอยู่ที่นี่ ดูสิ สัตว์ป่า สัตว์ป่าพวกเต่า พวกสิ่งต่างๆ สัตว์ดึกดำบรรพ์ เส้นทางอพยพของมันมี ดูกวางเรนเดียร์อย่างนี้ วิลเดอบีสต์มันอพยพมาเป็นล้านๆๆ ปี
คำว่า “ล้านๆ ปี” สัตว์มันใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณของมัน ถ้ามันใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณของมันเป็นล้านๆ ปี ล้านๆ ปี แล้วทำไมเดี๋ยวนี้สัตว์มันก็ยังมีของมันอยู่อย่างนั้น ความที่มันมีอยู่อย่างนั้นคือมันเวียนว่ายตายเกิด มันเวียนว่ายตายเกิด
เราก็เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา เพราะเรามีบุญกุศลของเรา เราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ถ้าเรามีบาปอกุศล เวลาเราเกิดเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ผลของวัฏฏะๆ เวลาผลของวัฏฏะ เราเกิดเป็นมนุษย์
ดูสัตว์มันใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณของมัน สัญชาตญาณดิบ เวลาคนคนที่เขาอนุรักษ์นะ เวลาเขาจะไปอนุรักษ์เขาต้องระวังตัวของเขา เราปรารถนาดีกับมันนะ มันขวิดตายเลย มันทำเราเสียชีวิตเลย
สัตว์ ทั้งๆ ที่เราปรารถนาดีกับมันแต่มันไม่รู้หรอกว่าเราปรารถนาดีกับมันหรือไม่ เวลามันไม่รู้ว่าเราปรารถนาดีกับมัน นี่โดยสัญชาตญาณของมัน มันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
แล้วเวลาการดำรงชีพของมัน เวลามันออกหาอาหารนะ สัตว์นักล่า นักล่ามันหาอาหารสัตว์กินหญ้า สัตว์กินพืชเป็นอาหารของสัตว์กินเนื้อ เวลาสัตว์กินเนื้อ ผลของมันๆ พอมันจะหาอยู่หากินของมันแต่ละมื้อแต่ละดำรงชีพของมัน มันเอาชีวิตมาเข้าแลก เอาชีวิตมาเข้าแลกเลย เข้าแลกขึ้นมา เวลาถ้ามันโดนล่าก็เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นอย่างนั้นๆ เห็นไหม เราทำใจได้
เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนาสอน ทาน ศีล ภาวนา เวลาทาน ศีล ภาวนา เวลาเราทำของเรา เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเราๆ
เวลาเราจะแก้ไขของเรา สัญชาตญาณดิบ สัญชาตญาณดิบของคนน่ะมันมี กิเลสตัณหาความทะยานอยากไง ความดีความชั่วข้างนอกมันเป็นกิริยามารยาท เวลากิริยามารยาทเราก็ฝึกหัดกันมา
ในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเวลาสอนไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ ทอดธุระเลย คำว่า “ทอดธุระ” มันจะสอนเป็นไปได้อย่างไร มันจะสอนเป็นไปได้อย่างไร นี่เวลายกขึ้นสู่สัจจะความจริงไง
แต่เวลาวางธรรมวินัยนี้ไว้ๆ เราศึกษาๆ มาน่ะ ศึกษาทำไมจะไม่รู้ ศึกษาจบแล้วมีความรู้ทั้งนั้นน่ะ ความรู้ก็เป็นความรู้ไง ความรู้โลกียปัญญาเป็นความรู้ของโลกไง ความรู้ของโลกเหมือนกับเราเรียนจบไง เวลาใครเรียนหนังสือจบแล้วเวลาประกอบสัมมาอาชีวะขึ้นมาจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนมันอยู่ที่วาสนาของคน อยู่ที่เชาวน์ปัญญาของคน อยู่ที่วาสนา อยู่ที่จังหวะโอกาสของคนแต่ละคนๆ
นี่เวลาศึกษา ศึกษามาเหมือนกัน แต่ความรู้คนไม่เท่ากัน ปฏิภาณไหวพริบของคนไม่เท่ากัน ปฏิภาณไหวพริบของคนนั่นน่ะจริตนิสัย
นี่อำนาจวาสนา เวลาอำนาจวาสนาขึ้นมา เวลาภาวนาๆ ไปวัดไปวาขึ้นมา ไปวัดไปวาเพื่อวัดใจของตน วัดใจของตนนะ ข้อวัตรปฏิบัติคือวัตรแท้ วัตรแท้คือข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรคืออะไร คือเครื่องอยู่ของใจๆ ไง
เวลาคนเราอยากจะประพฤติปฏิบัติ เราอยากไปวัดไปวาตลอดทุกๆ คน อยากได้ปรารถนาความดีๆ แล้วความดีมันอยู่ที่ไหนล่ะ
เวลาไปวัดไปวาขึ้นมาแล้ว โอ้โฮ! นั่งภาวนาก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ความคิดมันฟุ้งไปหมดเลย เวลาอยู่กับทางโลกเราก็อยากสงบระงับ เวลาจะมาตั้งใจสงบระงับเข้ามาก็สงบระงับไม่ได้ สงบระงับไม่ได้นี่มันขับดันในหัวใจ สิ่งที่มันขับดันในหัวใจๆ ไง ถ้าสิ่งที่มันขับดันในหัวใจอย่างนี้มันต้องฝึกหัด
เวลาผู้รู้รู้ทั้งนั้นว่าอะไรเป็นความดีความชั่ว แต่มันห้ามกิเลสมันไม่ได้ มันยับยั้งกิเลสมันไม่ได้ ยับยั้งกิเลสไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันขาดการฝึกหัดไง เวลาเราฝึกหัดๆ อยู่นี่ สัญชาตญาณดิบ เวลาคุมมันไม่อยู่ขึ้นมามันก็มีปัญหา เวลามันมีปัญหาขึ้นมา ในวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวินัยถึงปรับอาบัติๆ พอปรับอาบัติ แก้ไข แก้ไขให้มันดีขึ้นมาๆ
เวลาคนเรา คนเราไม่เคยทำสิ่งใดเลยมันก็ไม่มีความผิดเลย คนทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์กับคุณงามความดีๆ เวลาประโยชน์คุณงามความดี ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก สัมมาทิฏฐิๆ ทำสิ่งใดที่ถูกต้องดีงามๆ แล้วเวลาทำไปแล้วมันดีของเราไง มันดีของเราๆ ของเราก็ตัวตนของเรา ดีของเราก็เป็นความเห็นของเรา ถ้าความเห็นของเราก็กิเลสของเรา
ถ้ามันเป็นความจริงๆ มันไม่กล้าปล่อยวาง ไม่กล้าปล่อย ไม่กล้ามีสติสัมปชัญญะเข้าไป อย่างเช่น เวลาจิตมันสงบขึ้นมามันจะวูบต่างๆ กลัวไปหมดเลย กลัวเป็นกลัวตายทั้งนั้นน่ะ แต่ชีวิตของเรามันต้องตายจริงๆ เราก็แก้ไขไม่ได้ แต่เวลาถ้ามันเป็นประโยชน์ขึ้นมา ถ้าสติปัญญาไม่เท่าทันขึ้นมา มันตกใจ ตกใจถึงช็อกก็ได้ จนเสียสติไปก็ได้ นี่เวลาคนที่วาสนาน้อย
คนที่วาสนาเขาเข้มแข็งนะ เวลาหลวงตาท่านสอน ท่านบอกว่า ไอ้พวกจิตคึกคะนองมันมีอยู่ ๕ เปอร์เซ็นต์ ๕ เปอร์เซ็นต์หาได้น้อยมาก เวลาสงบแล้วมันจะไปรู้ไปเห็นอะไรแปลกประหลาดมหัศจรรย์มาก ถ้าแปลกประหลาดมหัศจรรย์มากต้องมีครูบาอาจารย์ที่เท่าทันจิตอย่างนั้น
ถ้าจิตอย่างนั้นให้เข้ามาสู่ความสงบอันนี้ เพราะมันมีความสงบอันนี้ จิตมันมีวิวัฒนาการอย่างนี้มันถึงได้มีผลที่ให้ไปรู้ไปเห็นข้างนอก นั่นคือผลไง ผลนั้นมันจะเกิดขึ้นได้ เกิดขึ้นได้ต้องจิตที่มันสงบระงับเข้ามา แต่เขาก็จะเห็นเฉพาะจิตของเขาที่มีอำนาจวาสนาของเขา
คำว่า “๕ เปอร์เซ็นต์” แล้วอีก ๙๕ เปอร์เซ็นต์เขาสงบระงับเข้ามาเฉยๆ เขาก็แปลกประหลาดไง “เวลาทำอย่างนั้นแล้วไม่เคยได้อย่างนั้น เราไม่เคยเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนั้นๆๆ”
เวลาเราทานอาหารอร่อยเหมือนกันไหม เวลาเราทำหน้าที่การงานเท่าเทียมกันไหม เวลาทำงานชิ้นเดียวกัน ทำเหมือนกัน แต่เจตนาต่างกัน คนที่ปรารถนาดีต่างกัน นี่มันก็ผลต่างกัน ถ้าผลต่างกันขึ้นมา เวลาถ้ามันไม่เท่าอย่างนั้น ไอ้นั่นก็เป็นวาสนาของคน
ฉะนั้น มันต้องมีครูบาอาจารย์ที่คอยวินิจฉัย คอยวินิจฉัย คอยชี้นำ คอยควบคุมดูแล ถ้าควบคุมดูแล ย้อนเข้ามา ย้อนเข้ามาสู่ความสงบของใจๆ จะเข้าไปอยู่สัญชาตญาณดิบ เวลาจะเข้าไปสู่กิเลส กิเลสมันผลักไสทั้งสิ้น
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราพูดถึงอวิชชาเป็นพญามารๆ เป็นยักษ์เป็นมาร แต่เวลาหลวงตาท่านพิจารณาของท่านเข้าไปแล้ว จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส ความผ่องใส ความเวิ้งว้างนั่นน่ะคือตัวอวิชชา มันแตกต่างกับที่เขียนว่าเป็นยักษ์เป็นมารๆ
คำว่า “เป็นยักษ์เป็นมาร” คือทำให้เราหลงไง คำว่า “เป็นยักษ์เป็นมาร” คือมันควบคุมเราไง แต่เวลาคนเข้าไปเจอแล้ว เราจะไปเจอยักษ์ เราจะเข้าไปหายักษ์ แล้วยักษ์คืออะไรล่ะ
ท่านเปรียบถึงความชั่วร้ายของมัน มันยิ่งกว่ายักษ์ มันทำลายล้างๆ เพราะถ้ามันไม่ทำลายล้าง เรามานั่งกันอยู่นี่เพราะอวิชชา เพราะเราไม่เท่าทันตัวเราเอง เราถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่มีบุญนะ มีบุญหมายความว่าได้เกิดเป็นมนุษย์ไง ถ้าไม่มีบุญก็พลาดไปเกิดเป็นสัตว์ เกิดในนรกอเวจี ใครจะเชื่อไม่เชื่อเรื่องของเขา
แต่ในพุทธภูมิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกท่านเคยเกิดเป็นกวาง เคยเป็นอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนยัน บุพเพนิวาสานุสติญาณของท่าน แต่ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยทำคุณงามความดีของท่านขึ้นมาสร้างสมขึ้นมา จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้ว มันไม่ไปแล้ว ถ้าพยากรณ์แล้วมันต้องสิ้นสุดแห่งทุกข์แน่นอน
แต่ทำไปๆ โดยพุทธวิสัย การกระทำมันแสนทุกข์แสนยาก การสร้างสมบุญญาบารมี พยายามทำจิตใจให้เข้มแข็งๆ เข้มแข็งมีจุดยืนของมัน เวลาบารมีเต็มแล้วเวลามาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ กว่าจะได้ออกบวช พ่อแม่ก็ดูแลรักษาไว้ขนาดนั้น
แต่เวลาออกบวชไปแล้วนะ ออกบวชไปแล้วไปทุกข์ไปยาก ๖ ปี ถ้าไม่มีกำลังใจนะ กลับบ้านดีกว่า กลับราชวังดีกว่า แต่ไม่เป็นอย่างนั้น
ในหญ้าของโสตถิยพราหมณ์ “ถ้าคืนนี้นั่งแล้วถ้าไม่ได้บรรลุธรรมจะนั่งตายอยู่ตรงนี้”
ไม่เหมือนพวกเรา กลับบ้านดีกว่า กลับราชวังดีกว่า
เอาหญ้าปูนะ นั่งลงคืนนี้ ฉันอาหารของนางสุชาดาแล้ว นั่งลงคืนนี้ถ้าไม่ตรัสรู้จะนั่งจนตาย ตายคาที่นั่งนั้น ไม่กลับไปไหนทั้งสิ้น นั่นน่ะสิ้นกิเลส
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ปรารถนา สิ่งที่สุดปรารถนาของเราชาวพุทธ ถ้าสิ่งที่ปรารถนาของเราชาวพุทธ เราก็ฝึกหัดของเรา มีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหนก็สะสมบุญกุศลของเรา ภาวนาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บุญมากที่สุด ปฏิบัติบูชาๆ เราทำทาน ทำศีล ภาวนา
ทาน ศีล ภาวนา มีศีลคือความปกติของใจ ถ้ามีศีลมีรั้วมีรอบของมัน ศีลก็คือข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ถ้าข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ถ้าหัวใจของมันเป็นธรรมนะ มันชุ่มชื่น มันภูมิใจในการกระทำนะ แต่ถ้าจิตใจมันกระด้างมันไม่เห็นคุณประโยชน์ไง
เห็นคุณประโยชน์ เวลาเราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ เราทำสิ่งใดเรานึกถึงพุทโธตลอดเวลา เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ให้จิตเราสงบระงับเข้ามา ผลการกระทำนั้นนั่นเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ผลของการกระทำนั้นเป็นหน้าที่ แต่ผลของมันคือจิตที่สงบ จิตที่มันอบอุ่น จิตที่มันผ่องใส จิตที่มันมีสติสัมปชัญญะควบคุมดูแล แล้วถ้ามันเข้ามา นี่คือการฝึกหัดการกระทำไง
ที่เขาว่านะ “ปฏิบัติ ทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม ทำงานก็คือปฏิบัติธรรม”
ทำงานก็คือทำงาน แต่ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วถ้าละเอียดเข้ามาๆ ละเอียดเข้ามามันจะนั่งลง มันจะรักษาใจของตน แล้วถ้ารักษาใจของตน นั่นน่ะสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
แล้วถ้าจิตใจของคนไม่มีกำลังวาสนานะ “นิพพานเป็นเช่นนั้นเอง นิพพานเป็นเช่นนั้นเอง” แน่นอน เพราะ “นิพพานเป็นเช่นนั้น” อันนั้นมันอยู่ที่วาสนาของคน
แต่ถ้าวาสนาของคน ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ อย่างหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านไม่เชื่อ ท่านไม่เชื่อเพราะอะไร เพราะท่านประพฤติปฏิบัติของท่านแล้วเวลาคลายตัวออกมา เอ๊ะ! ก่อนปฏิบัตินะ เราก็มีความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ เวลาปฏิบัติเสร็จแล้วมันก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย มันไม่ได้เห็นได้ละได้ปล่อยวางอะไรสักชิ้นหนึ่งเลย ไม่เห็นมี ไม่เห็นมี มันไม่ใช่แล้วล่ะ มันต้องมีมากกว่านี้
ถ้ามีมากกว่านี้ เวลาท่านพยายามทำความสงบของใจเข้ามาแล้วพยายามค้นคว้านะ พิจารณากายเหมือนกัน พิจารณากายๆ แล้วมันก็พิจารณากายโดยพิธีกรรมแค่พิธี ทำให้สมบูรณ์แบบเป็นพิธีเพราะมันมีตำราสิ่งที่สอนไว้อย่างนั้นก็ทำแค่นั้น ทำแค่นั้นแล้ววาสนาแค่นั้นไง สุดท้ายแล้วมาระลึกได้ ลาความเป็นพระโพธิ์สัตว์นั้น แล้วเวลาจับได้พิจารณาได้ เวลาพิจารณาไปแล้วมันปล่อยมันวาง ผลของจิตสงบ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แต่จิตสงบระงับแล้วเรายกขึ้นสู่วิปัสสนา
ยกขึ้นสู่วิปัสสนาถ้ามันไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง นั้นจะเป็นวิปัสสนา วิปัสสนาคือปัญญาการรู้แจ้งในสันดานดิบ ในสันดานดิบ ในความพลั้งเผลอ นั่นคือภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้น
ถ้าปัญญาที่มันเกิดขึ้น สิ่งที่มันรู้ขึ้นมาน่ะ นั่นเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ไม่ใช่เกิดจากการจดจำการศึกษาการเล่าเรียนมีความรู้ความสามารถของเราต่างๆ ความรู้ความสามารถของเราต่างๆ นี้มันเป็นปฏิภาณ เป็นไหวพริบ
สันดานดิบเป็นล้านๆ ปีนะ วิลเดอบีสต์มันอพยพแล้วอพยพอีกเป็นล้านๆ ปีมันกี่แสนรุ่นนั่นน่ะ เพราะอายุขัยมันเท่าไร อายุของสัตว์ป่าอายุมันเท่าไร แล้วจนเดี๋ยวนี้มันยังเป็นล้านๆ ตัวอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่ผลของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ผลของสัญชาตญาณของจิต
แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเรามีสันดานดิบ มีความดิบเถื่อน มารยาทภายนอกมันจะสวยงามขนาดไหนก็แล้วแต่ ความดิบเถื่อนในใจ ถ้าความดิบเถื่อนในใจ ถ้าเรามาปฏิบัติบูชาๆ เวลานั่งสมาธิภาวนามันจะสวยงามมันจะนุ่มนวลขนาดไหน มันจะทำอย่างไร ถ้ารักษาใจของตนๆ ใจนี้สำคัญมาก
ใจนี้สำคัญมาก เพราะปฏิสนธิจิตๆ ถ้าใครเห็นปฏิสนธิจิตของตน ถ้าใครชนะตน จิตมันจะลงสู่ความสงบระงับอันนั้น ถ้าลงสู่ความสงบระงับอันนั้น ถ้าไม่มีอำนาจวาสนายกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่เป็น
แล้วในปัจจุบันนี้เวลาภาวนาๆ กัน แม้แต่สมาธิยังทำไม่เป็น แล้วพอสมาธิบอกหินทับหญ้า เป็นสมถะ เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ทำไม่เป็นแล้วก็ยังไปชี้อีกว่ามันเป็นผลร้ายๆ
แล้วคนถ้าเริ่มต้น จุดเริ่มต้นมันยังทำไม่ได้ มันจะต่อเนื่องไปไหน เริ่มต้นเราไม่ได้สัญชาติ เราไม่ได้สัญชาติ เราไม่มีสิทธิในดินแดนที่เราอาศัยอยู่เลย นี่ไง ถ้าเราได้สัญชาติ เราได้จิตของตนนะ พุทธะ สัญชาติพุทธะ สัญชาติผู้รู้ ผู้รู้ที่แจ่มแจ้ง ผู้รู้ที่ชัดเจน ถ้ามันได้สัญชาติของมัน มันได้ผู้รู้ของมัน นี่ยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ผลของการกระทำนั้นน่ะมันจะมีความมหัศจรรย์
นี่จะบอกว่า พระพุทธศาสนาสอนถึงอริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ แล้วในปัจจุบันนี้เราพยายามทำสมาธิๆ ทำสมาธิก็เพื่อคฤหัสถ์ฆราวาสเขา
ถ้าคฤหัสถ์ฆราวาสเขา เขามีความทุกข์ความยากในหัวใจนะ คนเรานี้มีความทุกข์ความยากในหัวใจทุกๆ คน จะมั่งมีศรีสุขยากจนข้นแค้นขนาดไหนมันมีแต่ความทุกข์บีบคั้นๆ ความทุกข์บีบคั้น สิ่งที่หน้าที่การงานของเรา เราหามาเพื่อการเลี้ยงชีพ ถ้าเลี้ยงชีพ แล้วถ้าเรามีสติปัญญานะ เราไม่ต้องไปวิตกกังวลให้กิเลสมันขี่คอไง
“ทำอะไรก็ไม่ได้ มันไม่มีเวลา เราทำแล้ว ขนาดทำขนาดนี้เรายังไม่พออยู่พอกินเลย”
ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะนะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วใครทำหน้าที่การงานมีสติเท่าลมหายใจ ทำงานก็ทำงานไป ทุกอย่างทำไปนะ เวลามันดีขึ้น คำว่า “ดีขึ้น” นะ มันเป็นอิสระขึ้นมา เฮอะ! อันนี้มันดีกว่าอันนู้น หัวใจมันดีกว่าวัตถุ หัวใจดีกว่าทุกๆ อย่าง
แล้วถ้าหัวใจดีนะ ไอ้ที่เจ็บช้ำน้ำใจ ไอ้ที่บีบคั้นในหัวใจ ไอ้ที่มีความเครียดต่างๆ มันวางหมดน่ะ มันวางได้ มันวางได้ ก็ยากจนข้นแค้นอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ความทุกข์เบาบางลงมาก ความเครียดในใจเบาบางลงมาก นี่การทำความสงบของใจมันผลประโยชน์ของคฤหัสถ์ญาติโยมเขา มันผลของเขา
ถ้าเป็นพระๆ ถ้าจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้หรือไม่
ในปัจจุบันนี้เวลาไปติไปเตียนกันว่า “มันเป็นสมถะ มันเป็นหินทับหญ้า เราใช้ปัญญาๆ”
ปัญญาอย่างนั้นส่งออกทั้งนั้นน่ะ หลวงปู่ดุลย์บอกแล้ว สมุทัย คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ผลของความคิดๆ นั่นน่ะเป็นสมุทัย การส่งออกคือความคิดทั้งหมด ความคิดทั้งหมดเป็นสมุทัย ผลของมันเป็นทุกข์
เวลาดูจิตๆ จนจิตเห็นอาการของจิต
จิตเห็นอาการของจิตเป็นมรรค
จิตคือพุทธะ จิตคือผู้รู้ จิตคือสัญชาติของเรา จิตคือจิตของเรา จิตคือความรู้ของเรา จิตเห็นสติปัฏฐาน ๔ จิตเห็นอาการของจิตเป็นมรรค ผลของจิตที่เห็นจิตเป็นนิโรธ
นี่พูดถึงพระพุทธศาสนานะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีคุณค่า คุณค่าที่สมองเราคัดเราเลือก แล้วอย่างว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพูดสอนไว้เลย กาลามสูตร อย่าเชื่อ อย่าเชื่อใครทั้งสิ้น ใครจะพูดสิ่งใด กระทำสิ่งใด เอามาวิเคราะห์
แล้วเวลาเชื่อนะ เชื่อการนั่งสมาธิ เชื่อการที่เราแยกแยะ ถ้าเรานั่งสมาธิได้ ถ้าจิตสงบได้ อ๋อ! สงบเป็นอย่างนี้ แล้วสงบแล้วมันมีสงบมากน้อยขนาดไหน แล้วในมากในน้อยมันยังมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด เพราะอำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน จริตนิสัยของคนแตกต่างกันมาก พันธุกรรมของจิตๆ แตกต่างกันมหาศาล คำว่า “แตกต่างกันมหาศาล” แล้วจะให้เหมือนกันแล้วหลักสูตรสำเร็จอันเดียวกันมันไม่มี
ขั้นของปัญญานะ ขั้นของทำความสงบ ๔๐ วิธีการ ขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขตเลย ถ้าขั้นของปัญญาต้องตามทุกอณู ทุกที่ที่สันดานดิบมันจะหลบมันจะซ่อนได้ ตามทุกอย่าง ภาวนามยปัญญามันพลิกฟ้าคว่ำดิน ภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายชาติ ทำที่ไหน ทำในสัญชาตญาณใช่ไหม ทำในทะเบียนบ้านหรือ...ไม่ใช่
เวลาเห็น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เวลามันเป็นจริงๆ ขึ้นมาในหัวใจอันนั้น นี่พูดถึงว่าสิ่งที่มีคุณค่า คุณค่าที่นี่ แล้วเราแสวงหาที่นี่ แสวงหาที่นี่ เราพยายามแสวงหาที่นี่คือหัวใจของเรา เราแสวงหาที่นี่
แต่เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีชาติมีตระกูล เรามีหน้าที่ เรามีการงาน เรามีชีวิต เราต้องทำหน้าที่การงานเพื่อเลี้ยงชีวิต เอาชีวิตนี้ ถ้าใครมีวาสนามันจะรื้อค้นในชีวิตของมัน ชีวะ สิ่งที่มีค่า มีค่าในชีวิตของเรา แล้วประเพณีวัฒนธรรมที่เราไปวัดไปวาเราไปกระทำก็กระทำเพื่อบ่มเพาะหัวใจอันนี้เท่านั้น บ่มเพาะให้มันมีคุณค่า ให้มันยอมรับ ให้มันยอมฟัง แล้วเอามาแก้ไข
อานิสงส์ของการฟังธรรมนะ สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วก็ตอกย้ำ สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังก็ได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วมันพยายามจะปรับปรุงแก้ไขให้หัวใจของตนดีขึ้น เวลามันเข้าใจแล้วหรือมันพอในใจธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พอใจอารมณ์ของตน
พอใจในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรึกในธรรม ตรึกในธรรมคือคิดแยกแยะในคำสอนในธรรมะอันนั้นน่ะ แล้วถ้ามันเข้าใจมันพอใจ มันผ่องแผ้ว อานิสงส์ของการฟังธรรม เอวัง