เทศน์เช้า วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีสติปัญญา คำว่า “มีสติปัญญา” เพราะมันมีประเพณีวัฒนธรรมอยู่แล้ว คำว่า “มีประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธอยู่แล้ว” เวลาเราอยู่กับพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา ท่านก็พาเราไปวัดไปวา
ทำไมต้องไปวัดไปวา อยู่ที่บ้านไม่มีความสุขหรือ
อยู่ที่บ้าน การศึกษาก็พ่อแม่สอนให้ เวลาไปวัดไปวา เพราะวัดเป็นแหล่งศึกษาของสมัยโบราณ ในสมัยปัจจุบันนี้ก็เป็นแหล่งที่ศึกษาของการจะพ้นจากทุกข์ ถ้าพ้นจากทุกข์ พาไปวัดไปวา พาไปวัดไปวาเพื่อพัฒนาหัวใจของเรา
เวลาเราอยู่ทางโลกมีการศึกษา ศึกษาเพื่อสติ เพื่อปัญญา เพื่อวิชาชีพ แต่วิชาชีพ คนดี คนดีกับคนที่ฉลาด คนฉลาดๆ ถ้ามันเป็นคนดีด้วย คนดีไปวัดไปวา ไปวัดไปวาเพื่อพัฒนาหัวใจของเราไง ให้หัวใจของเรามันพัฒนาขึ้นมาด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยความเป็นธรรม ไม่ได้ด้วยความเป็นอธรรม
ความเป็นอธรรมๆ นะ ความเป็นหนี้ เวลาทางโลกเขา เวลากู้หนี้ยืมสินมา เพราะเราอัตคัดขัดสน เรากู้หนี้ยืมสินมา ใครเป็นหนี้เป็นสินมา ทุกข์ด้วยความเป็นหนี้ๆ เวลาคนใช้หนี้หมดแล้วมันโล่งอกโล่งใจ มันสบายมาก มันสบายเพราะมันจะทำมาหากินต่อไป
เพราะเวลาเราอัตคัดขัดสนเราก็ไปกู้หนี้ยืมสินมา เวลาเราทำมาหากินของเรา เรามีสติปัญญาของเรา เราก็ได้ใช้หนี้ใช้สินนั้นไป แล้วมันพ้นจากหนี้แล้วมันมีความสุข
คนเราเกิดมามันมีหนี้เวรหนี้กรรม คนที่มีหนี้เวรหนี้กรรมถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาคนมีบุญกุศลเขาไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เวลาคนที่มีบาปมีกรรมตกนรกอเวจี แล้วคนที่พ้นจากนรกอเวจีขึ้นมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เวลาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานสิ่งที่เป็นอบายภูมิ นี่เวลาเราเป็นหนี้ไง
นี่ไง เวลาจะประพฤติปฏิบัติไง เวลาสำนักหนึ่งเขาบอกว่า ลงอัปปนาสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาเอง
เกิดปัญญาเองนะ ลงอัปปนาสมาธิ สิ่งต่างๆ มันไม่ยอมใช้หนี้อะไรเขาเลยหรือ ชักดาบเขาเลย ลงอัปปนาสมาธิแล้วมันจะเกิดปัญญาเอง
อัปปนาสมาธิ คนที่มันไม่เป็นๆ เห็นไหม การใช้หนี้ทางโลกเขาต้องขวนขวายกันมาเพื่อจะใช้หนี้เขา ถ้าใช้หนี้เขาได้มันก็เป็นประโยชน์กับตน อัปปนาสมาธิแล้วมันจะเกิดปัญญาเอง มันจะเกิดได้อย่างไร นี่ไง มันไปชักดาบเขา พอไปชักดาบเขาแล้ว พอชักดาบ นี่ปฏิบัติแล้วไวไง
นี่เหมือนกัน ดูสิ เวลาปฏิบัติ เวลาเขาว่า “สมาธิหลับตา สมาธิลืมตา” เหมือนกันเลย
สมาธิหลับตา หลับตาเป็นสมาธิหรือ หลับตาก็นั่งหลับอยู่นั่นน่ะ หลับตาก็สัปหงกโงกง่วงอยู่นั่นน่ะ พอมันนั่งไปแล้วมันหลับ แล้วเป็นสมาธิจะหลับได้อย่างไร
สมาธิน่ะ โอ้โฮ! นั่งตัวตรงดิ๊งเลย หัวใจตื่น สว่างโพลงเลย หลับตาสมาธิ
แล้วลืมตาสมาธิ เขาว่าลืมตาสมาธิไม่ต้องทำอะไรเลย ลืมตาสมาธิ สมาธิมันเป็นอยู่แล้วไง สมาธิเป็นอยู่แล้ว สิ่งนี้เวลาอีกจำพวกหนึ่ง กู้หนี้ยืมสินเขามา ไม่มี ไม่จ่าย ไม่หนี ไม่จ่าย ชักดาบเขาเลย แล้วบอกว่าต่อไปมันจะเกิดปัญญา...ปัญญามาจากไหน
คนเรานะ เราทำมาหากิน เรามีเงินมีทองขึ้นมา เราถึงจะมีเงินมีทองไปใช้หนี้เขา เวลาอัตคัดขัดสนขึ้นมา เรากู้หนี้ยืมสินของเรามา เพราะอะไร มันมีความจำเป็นของเรา
นี่ก็เหมือนกัน การทำความสงบของใจๆ ใจถ้ามันจะไม่สงบระงับขึ้นมามันจะเข้าสู่อริยสัจได้อย่างไร นี่มันไม่มีไง คนเราไม่มี คนทำมาหากินมาเขาต้องรู้ คนทำธุรกิจมารู้เลย ทำธุรกิจมามันทุกข์ยากขนาดไหน มันต้องมีสติปัญญาขนาดไหน โลกมันฉ้อฉลหลอกลวงกันขนาดไหน ไอ้โลกฉ้อฉลหลอกลวงนั่นน่ะคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากของคนที่มันอยากได้ดิบได้ดีโดยที่มันไม่ต้องลงทุนทำอะไรเลย แต่มันอาศัยเขา
ไม่มีตลาด มันจะเข้าตลาดได้อย่างไร ไม่มีสังคม ไม่มีมนุษย์ มันจะอยู่กับใคร มันก็อาศัยพระพุทธศาสนาๆ
พระพุทธศาสนาก็มาสอน สอนอย่างไร เพราะสอนเรื่องอริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์
ทั้งอัปปนาสมาธิ ปัญญามันจะเกิดเอง ทั้งสมาธิลืมตามันสว่างโพลง มันจะเกิดปัญญา นี่มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากไหน มันไม่มีที่มาทั้งนั้นน่ะ มันไม่มีที่มาแล้วมันไปไม่ได้ แต่ไปฉ้อโกงเขาในตลาดไง นี่ไง หลอก จะได้ผลประโยชน์ตอบแทน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้ามึงลงทุนกับกู ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย ลงทุนไปเถอะ นี่ก็ภาวนาไปเถอะ หายเกลี้ยง ทั้งต้นทั้งดอกไม่เหลือเลย แล้วบอกทำอย่างไร ก็มึงโง่เองไง พอมึงโง่เองก็ต่อเมื่อมึงรู้ตัวนั่นน่ะ
นี่ก็เหมือนกัน สังคมเรา สังคมเราเวลาไปปฏิบัติแล้วมันได้อะไรขึ้นมา
เราพูดประจำนะ วิทยาศาสตร์แก้กิเลสไม่ได้ วิทยาศาสตร์น่ะ วิทยาศาสตร์เป็นทฤษฎี เป็นข้อเท็จจริงทางโลก เป็นวัตถุ วิทยาศาสตร์ก็เป็นวิทยาศาสตร์ เวลาแสดงธรรมๆ แสดงธรรมเป็นวิทยาศาสตร์ไง ตั้งเหตุและผลไง แต่เหตุและผล มันเหตุและผลไง
แล้วเวลาบอกถึงกิเลสๆ บอกว่ากิเลสเป็นนามธรรม จะรู้ไปได้อย่างไร ไอ้นั่นบอกว่ากิเลสมันไม่มีหรอก เพราะเรามีพุทโธอยู่แล้ว
นี่มันทั้งชักดาบ มันทั้งไม่ใช้หนี้
เราเป็นหนี้เวรหนี้กรรมนะ เพราะกรรมดีกรรมชั่ว เพราะกรรมดีทำให้เราเกิดมา ถ้าเราเกิดมาเราจะใช้หนี้มัน ใช้หนี้อย่างไร
แล้วใช้หนี้ของเรา ทางโลกเวลาเขาใช้หนี้ใช้สินของเขา เขาก็เอาเงินทองไปใช้หนี้ของเขา เวลาหนี้เวรหนี้กรรม เราก็พยายามทำคุณงามความดีของเราๆ แล้วทำคุณงามความดีของเรา เรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เรื่องจิตวิญญาณ
เรื่องจิตวิญญาณ เวลาไปใช้หนี้ เจ้าหนี้มันต้องรับแน่นอน แต่เรื่องจิตวิญญาณเขามีอาฆาตแค้น เขามีความผูกพัน เขาต่อต้าน เขาไม่ยอมรับ เขาไม่ยอมรับก็มี เขาผูกเวรผูกกรรมกันต่อไป นี่การผูกเวรผูกกรรม นี่พูดถึงว่าหนี้เวรหนี้กรรมนะ
แต่ในการประพฤติปฏิบัติของเรา สิ่งที่สัจจะความจริงของเรา สัจจะความจริงในใจของเรา เราจะทำความสงบของใจของเราเข้ามา ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
คนติเตียน ติฉินนินทามาก “อะไรๆ ก็พุทโธๆ”
พุทโธคือพุทธะ พุทธะคือความรอบรู้จริง ถ้ามันไม่มีพุทธะไม่มีความรอบรู้ในใจของเรา มึงจะไปแก้กันที่ไหน นี่แหละต้น นี่แหละเจ้าหนี้ใหญ่เลยล่ะ นี่แหละที่เราจะเข้าไปค้นคว้าเข้าไปหาการใช้หนี้ไง
การใช้หนี้ๆ ขึ้นมา ทำความสงบของใจเข้ามาๆ ถ้าใจไม่สงบ หาเจ้าหนี้ไม่เจอ นี่ไง เราเคยชักดาบเขาไว้ แล้วพอสำนึกได้ เราจะไปหาเจ้าหนี้เรา เจ้าหนี้เขาย้ายบ้านไปแล้ว เจ้าหนี้เขาไปอยู่ที่อื่นแล้ว เราหาเจ้าหนี้เราไม่เจอเราจะไปใช้ใคร ใช้ใคร
เดี๋ยวนี้เขาไปวางศาลไง วางที่ศาลถือว่าใช้แล้ว เพราะเราหาเจ้าหนี้เราไม่ได้
วางศาลมันก็มีเวรมีกรรมกันต่อไปนะ เพราะเจ้าหนี้แท้จริงเขายังไม่ได้รับการบรรเทาของเขา เขาผูกพันของเขาไป นี่ไง พูดถึงหนี้เวรหนี้กรรมไง
ถ้าหนี้เวรหนี้กรรม สิ่งที่เป็นความจริงๆ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราท่านปฏิบัติมา ท่านค้นคว้าหาเจ้าหนี้ ทำความสงบของใจเข้ามาๆ พอใจสงบแล้ว สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ เป็นข้อเท็จจริง สมาธิแก้กิเลสไม่ได้หรอก แต่มึงไม่เจอเจ้าหนี้ มึงจะใช้เจ้าหนี้ใคร มึงก็ต้องหาเจ้าหนี้ให้ได้ก่อน มีเงินไม่มีเงินอีกเรื่องหนึ่งนะ
หาเจ้าหนี้เจอแต่ยังไม่มีปัญญาจะใช้เขา ไม่มีปัญญาจะใช้เขาเพราะเราไม่มีข้าวของเงินทองที่จะไปใช้เขาไง ไม่มี ไม่มี ไม่มีเราก็ยังประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ไง
ถ้าจิตมันสงบระงับ มันเจอเจ้าหนี้ เห็นกิเลส เห็นกิเลสเราก็ต่อรอง การเจรจา การเจรจานั้นคือวิปัสสนา ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ นี่เขาชำระล้างกันอย่างนี้ กิเลส
ไม่ใช่ไปชักดาบ “ลงอัปปนาสมาธินะ แล้วปัญญามันจะเกิดเอง”
แล้วเมื่อไหร่มันจะเกิดล่ะ
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะภาวนานะ พวกเรา เราพยายามฝึกหัดภาวนากัน ถ้าเราจะฝึกหัดภาวนากัน แล้วบอกว่าไอ้มานั่งหลับหูหลับตา นั่งหลับหูหลับตา เราพยายามตามหาเจ้าหนี้เรานะ เจ้าหนี้เราอยู่ไหน
จิตปฏิสนธิจิต จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเป็นผู้ที่แบกรับภาระไว้ทั้งสิ้น หนี้สินมันอยู่ที่ใจดวงนี้ทั้งสิ้น นี่ไง เราเคยทำบาปอกุศลมาแต่เราไม่รู้ตัว มาในชาติปัจจุบันนี้เราเป็นคนดีทั้งสิ้น เราทำคุณงามความดีของเรา แต่ทำอย่างไรมันก็ไม่เจริญก้าวหน้า ทำอย่างไรก็ไม่ได้ไง
นี่ไง เราเป็นหนี้อยู่ แล้วเราก็ไม่เจอเจ้าหนี้ แล้วเราก็ใช้อะไรเขาไม่ได้ พอใช้เขาไม่ได้แล้วก็มาคร่ำครวญ พุทโธๆ แล้วไม่เห็นได้อะไรเลย
ก็มึงหาเจ้าหนี้มึงไม่เจอ มึงจะได้อะไรล่ะ
พุทโธๆ อยู่นั่นแหละ เพราะไม่ได้มันก็สุรุ่ยสุร่าย มันก็ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย “อู๋ย! จิตสงบ นั่งไปพิจารณาไปเป็นพระอรหันต์เลย”
มันยังไม่เจอเจ้าหนี้มันเลยนะน่ะ
นี่ไง อุปาทานต่างๆ มันร้อยแปดทั้งนั้นน่ะ แล้วเวลามาอ้างอิงก็อ้างอิงเข้าไปในสังคม หาตลาด ตลาดไหนที่มีมูลค่าสูง เข้าตลาดนั้น นี่ก็ตลาดพระพุทธศาสนา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพยายามฟื้นฟูขึ้นมา ฟื้นฟูขึ้นมาให้สังคมไทย ให้ชาวพุทธมีที่เหนี่ยวรั้ง ที่ยึดที่มั่นเพื่อประโยชน์กับตน ไอ้นี่จะไปในตลาดก็ไปทำลายตลาดของเขา ไปหาแต่ผลประโยชน์ในตลาดนั้น แต่ไม่เคยรักษา ไม่เคยดูแลตลาดนั้นเลย
แต่เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นคุณงามความดี หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านค้นคว้านะ ตั้งแต่ภาคอีสานทั้งภาคถือผีถือสาง กองทัพธรรม กองทัพธรรมพยายามปราบไง ให้ถือศีล ๕ อย่าไปเชื่อผีเชื่อสาง ผีสางมันยังช่วยตัวมันเองไม่ได้เลย ผีสางก็ต้องมาขอผลบุญจากพวกเรานี่แหละ แต่พวกเราพวกที่อ่อนด้อย เพราะไม่มีสติปัญญา ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมารื้อฟื้นขึ้นมา ให้ถือศีล ๕ ท่านให้ถือศีล ๕ ให้ถือศีลให้บริสุทธิ์เป็นหลักชัย ตั้งแต่นั้นมาประชาชนทางภาคอีสานก็ทำมาหากินด้วยความสุข ด้วยความอุดมสมบูรณ์ดีขึ้น ไม่อย่างนั้นทำสิ่งใดมาก็ต้องกลัวผี จะทำอะไรก็กลัวแต่ผีแต่สางที่จะมาทำร้ายตน กลัวแต่ผีแต่สางมาทำให้พืชผลการผลิตนั้นไม่เจริญงอกงาม ถือผีถือสางแล้วก็เซ่นไหว้กันอยู่อย่างนั้นน่ะ เห็นไหม ไม่มีตลาด
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมารื้อค้น ท่านมาขวนขวายของท่าน ท่านมาเป็นผู้นำ ท่านเป็นการยืนยันให้ถือศีลๆ แล้วครอบครัวไหน ชุมชนไหน ถ้ามันมีแต่โรคภัยไข้เจ็บ พอถือศีลขึ้นมา มีความสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา ทำขึ้นมา ฟื้นฟูขึ้นมาๆ นี่สร้างตลาด สร้างคุณงามความดี สร้างไว้เพื่อประโยชน์กับชาวพุทธ มันเป็นข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงเพราะอะไร เพราะมันรู้จริงไง
สมาธิมีหลับตาลืมตาหรือ
เคมี เคมีสิ่งใดมันก็ให้ผลตามนั้นน่ะ มันมีลืมตาหลับตาที่ไหน สมาธิคือสมาธิ แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ มีมิจฉาสมาธิ คือเป็นสมาธิแล้วมันออกรับรู้สิ่งต่างๆ ภายนอก เป็นมิจฉาแล้วล่ะ คือแบบว่าเด็กมันใช้จ่ายฟุ่มเฟือย มันไม่เคยเก็บออมทรัพย์
แต่ถ้ามันพยายามทำพุทโธๆ ด้วยจิตมันสงบขึ้นมา มันอดออมของมันไว้ แล้วถ้ามันอดออมของมันไว้แล้วพยายามรักษาให้ดี พอตั้งมั่นขึ้นมา นี่ไง ตั้งมั่นขึ้นมา ยังไม่เป็นสัมมาโดยสมบูรณ์นะ
สัมมาสมาธิคือยกขึ้นสู่วิปัสสนาเป็น ยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ นั้นถึงจะเป็นสัมมาสมาธิ สมาธิที่ถูกต้องดีงาม
แล้วลืมตาสมาธิ ลืมตาสมาธิ พวกเราคนที่ไปนั่งปฏิบัติ เราหลับตาลงเพื่อไม่ให้สิ่งใดเป็นสิ่งเร้ากระตุ้นให้จิตของเรามันสงบได้ยาก หลับตาลงเพื่อไม่ให้เห็น ไม่ให้รับรู้สิ่งต่างๆ เพื่อความสงบระงับของเราขึ้นมา
หลับตาสมาธิ ถ้าลืมตาสมาธิ สมาธิก็คือสมาธิ สมาธิมีหลับตาลืมตาตรงไหน
แม้แต่การทำหน้าที่การงานเพื่อหาเงินหาทองมาเพื่อมาใช้หนี้ มันยังไม่รู้จักว่าเงินทองมันหามาได้อย่างไร มีแต่จะไปปล้นเอา จี้เอา โกงเอา ฉ้อฉลเขามา อย่างนั้นหรือถึงเป็นสมาธิที่สมบูรณ์แบบ
เข้าอัปปนาสมาธิมันก็เข้าไม่เป็น มันไม่เคยรู้จักอัปปนาสมาธิเป็นอย่างไร ถ้าคนเข้าสู่อัปปนาสมาธิได้จะไม่กล้าพูดว่า เข้าสู่อัปปสนาสมาธิแล้วปัญญามันจะเกิดเอง หรือเข้าสู่อัปปนาสมาธิแล้วใช้ปัญญาขึ้นมา ไม่ใช่
เพราะอัปปนาสมาธิมันคิดไม่ได้ มันรับรู้ไม่ได้ มันสักแต่รู้ในตัวของมันเอง แล้วสักแต่รู้อย่างไรล่ะ
ถ้าคนเคยรู้เคยเห็นจะไม่พูดคำแบบนี้ออกมา ฉะนั้น คนที่พูดเรื่องอย่างนี้ออกมาแสดงว่าเขาไม่เคยเห็นของจริงไง
โดยศีล สมาธิ ปัญญา แม้แต่สมาธิเขายังไม่เคยเห็น เขายังไม่เคยได้รับประโยชน์จากสมาธินั้น แล้วเขาจะรู้จักภาวนามยปัญญาได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้
นี่ไง เวลาธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลาเจ้าคุณจูม ธรรมเจดีย์ ให้หลวงตาพระมหาบัวคุยกับหลวงปู่ขาว ให้คุยกับหลวงปู่บัว เพราะหลวงตามหาบัวท่านไปสนทนาธรรมกับหลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้นคุยกับหลวงตาพระมหาบัว นี่เวลาครูบาอารย์เขาเจรจา เขาคุยกัน นี่ไง มันมีค่าไง มันรู้ตามความเป็นจริงไง
ไอ้นี่มันไม่มี แม้แต่สมาธิยังไม่รู้จัก โดยพื้นฐานนี่เขาเรียกเป็นอุปาทาน จินตมยปัญญา ปัญญาโลกๆ ไง แล้วปัญญาโลกๆ ก็ยังแบ่งไม่เป็นอีกนะ โลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์ แล้วท่านกอบกู้ ท่านรื้อสัตว์ขนสัตว์ ท่านขวนขวายก็เพื่อประชาชน อันนี้อะไร นี่ไง นี่เรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ โลกๆ เพราะอะไร รื้อสัตว์ขนสัตว์ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็เป็นเรื่องโลก
แต่เวลาโลกุตตรธรรม เห็นไหม ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันวิสาขบูชา นั่นน่ะโลกุตตรธรรม โลกุตตรธรรมคือศีล สมาธิ ปัญญา คือมรรค ๘ มันทำลายอวิชชาในใจดวงนั้น นี้คือโลกุตตรธรรม โลกุตตรธรรมเพราะรู้แจ้งโลก รู้ทะลุโลก รู้สามโลกธาตุ ทิ้งสามโลกธาตุ
เวลาหลวงตาท่านพูดไง พอจิตสงบแล้ว จิตเป็นสัจจะความจริงขึ้นมาแล้ว เหมือนกับพญามังกรน่ะ มันครอบคลุม จิตนี้ใหญ่โตมาก ใส่กามภพ รูปภพ อรูปภพ สามโลกธาตุอยู่ในใจดวงนั้นได้ ใจดวงนั้นครอบสามโลกธาตุ นี่เวลาหลวงตาม่านพูดถึงความจริงของท่าน เห็นไหม ผู้รู้จริงเขามี
สมาธิคือสมาธิ แล้วสมาธิ ถ้าโดยพื้นฐานสมาธิมันไม่ถูกต้องดีงามขึ้นมามันจะเกิดปัญญาได้อย่างไร แล้วถ้าเป็นสมาธิแล้วมันเป็นมิจฉาขึ้นมามันส่งออกทั้งนั้นน่ะ แล้วที่ปฏิบัติกันๆ สำนักปฏิบัติทั่วไปทั้งหมดมันไม่มีสมาธิหรอก มันทำแค่ความสบายใจ มันไม่ใช่สมาธิ
ถ้าเป็นสมาธิ เงิน ค่าของเงิน แร่ธาตุต่างๆ เพชรมันต้องแตกต่างกับหิน หินก็ส่วนหิน เพชรก็ส่วนเพชร
นี่ก็เหมือนกัน ว่างๆ สงบๆ ว่างๆ สงบๆ เพราะว่าด้วยอำนาจวาสนาของเรานะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีวัฒนธรรมประเพณีของชาวพุทธเรา แล้วเราได้พึ่งพา พึ่งพระโพธิสมภาร พึ่งโพธิ์ความร่มเย็นเป็นสุขของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา เราก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกันปากเปียกปากแฉะ “มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นของชั่วคราว เราต้องทำใจของเรา” พูดกันอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่เจ็บแสบอยู่ในหัวใจ นี่ปริยัติ การศึกษา ศึกษามาเพื่อหัวใจของเรา เห็นไหม
แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมา มันจะเป็นความจริงขึ้นมา นั่นน่ะสัจธรรม อันนั้นมันถึงจะเป็นโลกุตตรธรรม โลกุตตรธรรมคือรู้แจ้งโลก รู้แจ้งโลกทัศน์ รู้แจ้งในใจของตน ไม่ใช่ไปจำเขามา
ศึกษามา ศึกษาเป็นปริยัติ ถ้าไม่มีการจำ ไม่มีแนวทาง มันก็ปฏิบัติไม่ได้ใช่ไหม มันต้องมีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติคือการศึกษา การศึกษาคือสุตมยปัญญา สุตยมยปัญญาคือใคร่ครวญ ใคร่ครวญก็เป็นจินตมยปัญญา จินตนาการๆ เพราะความจินตนาการมันถึงไม่เห็นมรรคไม่เห็นผล เพราะความไม่เห็นมรรคไม่เห็นผล มันถึงไม่เห็นศีล ไม่เห็นสมาธิ ไม่เห็นปัญญา
ศีล อธิศีล เวลาศีล เวลาผู้ที่เป็นสติวินัยพ้นจากกิเลสไปแล้ว ศีลเป็นสมมุติ นี่มันเป็นแค่กิริยา คำว่า “กิริยา” กิริยาคือมันไม่มีความผูกพันผูกมัดอันนั้น ธรรมธาตุอันนั้นมันมหาศาล อันนั้นสำหรับผู้ที่สิ้นกิเลสไป
แต่ของเรานี่เป็นความจริง การสร้างเวรสร้างกรรม การทำคุณงามความดี ทำดีทำชั่วมันไปสร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้น มันเป็นมโนกรรม มันผูกมัดในหัวใจนั้น จะปฏิเสธ จะรับรู้อย่างไร มันอยู่ที่จิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกที่เราปฏิเสธไม่ได้ เรารับรู้ไม่ได้ เราไม่รู้ว่าเราเป็นมาอย่างไร เราอนาคตจะเป็นอย่างไร เรารับรู้ของเราไม่ได้ แต่เวลากรรมมันให้ผลๆ เราจะต้องชอกช้ำระกำใจของเราไป
แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ธรรมโอสถ ธรรมโอสถมันจะไปชำระล้างมัน ถ้าชำระล้างมัน แล้วสมาธิไหนหลับตาลืมตา มันมีหลับตาลืมตาตรงไหน ไม่มี
สมาธิคือสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิคือมีมิจฉากับสัมมาเท่านั้น
แต่โดยพื้นฐาน นี่ตรรกะทั้งนั้นน่ะ จินตนาการทั้งสิ้น แล้วเวลาพูด อู้ฮู! โลกุตตระ โลกียะๆ ไอ้คนที่ไม่ถือศีลเป็นโลกียะ
โลกียะ แม้แต่บวชพระก็ยังเป็นโลกียะเลย สมมุติสงฆ์นี่ สมมุติสงฆ์เป็นสงฆ์โดยสมมุติ สมมุติถูกต้องตามกฎหมาย ตามธรรมและวินัย นี่เป็นสมมุติ มันจะเป็นโลกุตตระ อัตตสมบัติในหัวใจดวงนั้น ถ้าอัตตสมบัติในใจดวงนั้นทำสมาธิได้มันก็ได้สมาธิ เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนาเป็น มันมีการกระทำของมัน นี่ไง สิ่งที่ว่าสมาธิมันยกขึ้นสู่วิปัสสนาอย่างไร
แล้ววิปัสสนา เวลาวิปัสสนาไปมีมรรค ๘ มรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ ดำริชอบ สมาธิชอบ มีสมาธิชอบ
แต่พวกที่ภาวนาไม่เป็นมันพยายามจะบอกว่าสมาธิไม่จำเป็นๆ เพราะมันอธิบายสมาธิไม่เป็น เพราะมันไม่รู้จักสมาธิ เพราะมันไม่เคยได้สัมผัส มันถึงพูดถึงสมาธิได้ไม่ถูกต้อง แล้วจะพูดเรื่องสมาธิมันก็เป็นหอกข้างแคร่ เพราะของที่เราไม่รู้มันคอยทิ่มคอยตำเราอยู่ใช่ไหม ก็บอกว่า ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ลืมตาโพลงๆ นี่แหละมันจะเป็นสมาธิ
สมาธิ นักวิทยาศาสตร์ก็เป็นสมาธิ เด็กสมาธิสั้น สมาธิยาว สมาธิของปุถุชน สมาธิของโลก แต่เวลามรรค มัชฌิมาปฏิปทาในที่ต่างจากโลกไง โลกเขามีอัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค แล้วมัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาอย่างไร มัชฌิมาปฏิปทาก็ไม่เป็นอีก พูดเป็นวิทยาศาสตร์ไปเลยนะ เป็นนิวเคลียสเป็นอะไร ไอ้นี่มันก็เป็นอิทัปปัจจยตาไง มันเป็นปฏิจจสมุปบาทไง ไปดูอภิธรรมสิ มันร้อยแปดดวงด้วย มันพูดได้หมดเลย แต่มันไม่รู้เรื่อง มันไม่รู้หรอก
เวลาญาณ โคตรภูญาณ เขามาถามเราประจำ ญาณนั้นญาณนี้ไง แล้วบอกสมถะไม่ต้องทำ นี้ไม่ต้องทำ
ญาณที่ ๘ เป็นสมถะ ญาณ ๑๖ นั่นน่ะก็ท่องกันมา โอ้โฮ! ท่องกันแจ้วๆ เลย ไม่มี ไม่เป็น ไม่เป็นถึงไม่รู้ ไม่รู้ถึงพูดไม่ได้ พูดไม่ได้แต่อยากพูด “ทำอัปปนาสมาธิแล้วปัญญามันจะเกิดเองเลยนะ มันจะเป็นมรรคเป็นผลเลยน่ะ ถึงเป็นพระอรหันต์เลย”...หันลงนรก
“สมาธิลืมตา สมาธิหลับตา สมาธิหลับตาเป็นพวกอภินิหาร เป็นที่ความเสียหาย ต้องลืมตา”...ลืมตาก็หุ่นยนต์ไง
ลืมตาหลับตา เวลาใครเป็นเรื่องตาไปหาจักษุแพทย์นะ จักษุแพทย์มันทำให้ มันไม่เกี่ยวอะไรกับสมาธิหรอก
สมาธิเป็นสมาธิ มันเป็นการเปิดหัวใจ หัวใจที่เปิดขึ้น หัวใจที่หลับใหลเหมือนภาชนะที่คว่ำ สิ่งใดก็แล้วแต่เข้าสู่ใจดวงนั้นไม่ได้ ถ้าทำสมาธิได้มันเปิดตาขึ้นมา เปิดหัวใจขึ้นมา พอเปิดหัวใจขึ้นมาเหมือนหงายภาชนะขึ้นมา มันรับรู้ได้ มันรับรู้ได้ตามความเป็นจริง เห็นไหม ฉะนั้น ไอ้หลับตาลืมตากับไอ้อัปปนาสมาธิ อันเดียวกัน โง่เหมือนกัน ไม่รู้เหมือนกัน แล้วพยายามจะหลอกชาวบ้านเหมือนกัน เอวัง