เทศน์เช้า วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพราะเรามีสติมีปัญญา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านจะปรินิพพาน
“ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”
เราประมาทเลินเล่อกับชีวิตนะ สายน้ำและเวลาไหลไปแล้วไม่หวนกลับ สายน้ำไหลไปแล้วลงน้ำไป แต่ที่มันยังมีแม่น้ำอยู่นี้เพราะมันมีตาน้ำ เพราะมันมีน้ำแข็งละลายจากภูเขา น้ำจากฟ้า น้ำจากใต้ดิน
สายน้ำและเวลาไหลไปแล้วไม่หวนกลับ ชีวิตเราก็เหมือนกัน วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้ทำอะไรอยู่ ถ้าทำอะไรอยู่นะ ใช่ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราต้องมีศาสนาประจำหัวใจของเรา คนที่มีศาสนาประจำหัวใจของตนมันต้องมีหน้าที่การงานใช่ไหม มันต้องมีอาชีพใช่ไหม คำว่า “มีอาชีพ” ไง
เวลาเขาพูดกันไง ทำงานคือการปฏิบัติธรรม ทำงานคือการปฏิบัติธรรม
มันปฏิบัติธรรมเพื่อความกตัญญูกตเวที มันปฏิบัติธรรมเพื่อความเป็นคน เพื่อรักษาชีวิตไง มันไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อหัวใจไง
จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ จิตนี้มีความสำคัญมาก เพราะเราเกิดมาเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน เวลาตายไปแล้วก็แตกกระสานซ่านเซ็นไป แล้วแต่วันเวลา แล้วต่างคนต่างจากกันไป แล้วแต่เวรกรรมของคนทำได้มากได้น้อยแค่ไหนไง ถ้าเวรกรรมของคนทำได้มากน้อย ทำอะไร
ถ้าเราทำคุณงามความดีของเราในโลกนี้ มันก็เป็นมนุษย์สมบัติ แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีของเราๆ เขาทำหน้าที่การงานอาบเหงื่อต่างน้ำ เหงื่อไหลไคลย้อยเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เหงื่อไหลไคลย้อยเหมือนกัน แล้วมันมีความท้อแท้ มีความกดดันในตัวของตนไง เราจะมีโอกาสหรือไม่ เราจะมีวาสนาหรือไม่ เราจะทำงานของเราประสบความสำเร็จหรือไม่ แล้วถ้ามันประสบความสำเร็จของเรา มันประสบความสำเร็จของเราด้วยเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นสัจจะเป็นความจริงในใจของตน
แต่อำนาจวาสนาของคนมันแตกต่างกัน ไม่เหมือนกัน อำนาจวาสนาของคนที่อ่อนแอไปรู้ไปเห็นสิ่งใดแล้วมันตื่นเต้นตกใจไปกับสิ่งที่รู้ที่เห็นอันนั้นไง สิ่งที่รู้ที่เห็นมันมหัศจรรย์ๆ เพราะอำนาจวาสนาของเรามันอ่อนแอไง
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านประสบการณ์สิ่งใดแล้วท่านไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ถ้าเชื่อต้องพิสูจน์ต้องตรวจสอบไง
ไอ้ของเราแสวงหามาเกือบเป็นเกือบตาย พอเจอสิ่งใดแล้วเราก็จะตระครุบเงาเลย ว่าใช่ๆๆ เลย มันก็ได้แค่เงานั้นไง มันไม่เป็นความจริงไง มันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน เราก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ กลับมาเพิ่มอำนาจวาสนาบารมีของเราต่อเนื่องกันไปไง ให้จิตมันมีกำลัง มีสติปัญญาของเราเพื่อพิสูจน์ตรวจสอบการกระทำนั้นเป็นความจริงหรือไม่ เป็นความจริงหรือไม่
แก่นสารของพระพุทธศาสนา
เวลาไปวัดไปวา วันพระ วันพระเขาไปวัดไปวากันน่ะ ในชุมชนของเรา คนแก่คนเฒ่าไปจำศีลที่วัดๆ จำศีลก็ตอนนี้ไง ไม้ใกล้ฝั่งแล้วเราก็พยายามจะมีเสบียงอาหาร มีเสบียงติดหัวใจเราไปไง
คนเดินทางไกลเขาต้องมีเสบียงอาหารของเขาเพื่อการดำรงชีพของเขา เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีบุญและบาปเท่านั้นที่เป็นเสบียงของเราไปไง ถ้าคนมีเสบียงบาป มันต้องตกนรกอเวจี มันต้องไปทุกข์ไปยากของมันไง เวลามาเกิด ทุกคนก็ไม่อยากเกิดต่ำต้อยๆ คนที่มีเสบียงอำนาจวาสนาดีงามไปเกิดสูงส่ง เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มาเกิด เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยืนยันในภพชาติของท่านเอง ท่านเคยเป็นจักรพรรดิ ท่านเคยเป็นยาจกเข็ญใจ ท่านเคยเป็นกวาง ท่านเคยเป็นหัวหน้าสัตว์ ท่านเคย ท่านเคยทั้งนั้นเลย นี่ไง มันยืนยันการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังเคยเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วเราล่ะ แล้วเราล่ะ
แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง ถ้าพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง เราก็จะทำคุณงามความดีของเรา
ใช่ มันลำบากลำบนไปทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันมีหัวใจนะ หัวใจที่เป็นธรรมๆ มันทำด้วยความภูมิใจไง เราทำคุณงามความดีเพื่ออะไร
เวลาคนทำคุณงามความดีมันทำคุณงามความดีเพื่อหัวใจดวงนี้ เวลามันทำบุญกุศล เราทำทานๆ เราเสียสละ ใครเป็นคนเสียสละ
เริ่มต้นจากเจตนา จากความคิด ความคิดเกิดจากจิต นี่ไง เจตนาออกมาจากจิตทั้งนั้นน่ะ เวลาถ้ามันทำไปแล้ว ทิพย์สมบัติ ทิพย์สมบัติมันเข้าไปสู่ใจดวงนั้นไง ใจดวงใดเป็นผู้ทำๆ ใจดวงใดทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ความลับมันไม่มีในโลก มันเป็นคนทำ มันเป็นคนรู้ มันซับสมไว้ๆ ย้ำคิดย้ำทำ ย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตนิสัย เราทำของเรา ทำของเราจนเป็นจริตนิสัย แล้วทำจนเป็นจริตนิสัย แล้วจะเอาที่ไหนมาทำ
ถ้าจิตใจมันชื่นบาน จิตใจมันรื่นเริง มันหาได้ทั้งสิ้น
เวลาการกระทำนะ หลวงตาท่านสอนประจำ เวลาจะเข้าพรรษานะ ท่านบอกเราคนทุกข์คนจนคนเข็ญใจ เราก็อธิษฐานว่าขอให้ได้ใส่บาตรวันละองค์ก็ยังดี องค์เดียวพอ
เราทำของเราแล้วแต่เล็กน้อยของเรามีกำลังมากน้อยแค่ไหน แต่ด้วยเจตนาของเราไง เราไม่ต้องไปทำแข่งขันกับใครทั้งสิ้น ในการแข่งขันกับใครทั้งสิ้นมันมากดดันหัวใจเราทำไม เราทำเพื่อบุญกุศลของเรา เราทำด้วยเจตนาที่สะอาดบริสุทธิ์ เราทำด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ทำด้วยความรื่นเริงอาจหาญ เห็นไหม มันชัดเจนๆ แต่คนจะเป็นเช่นนี้ได้มันต้องฝึกฝน
กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนมันปิดกั้น เพราะอวิชชาคือความไม่รู้ ไม่รู้ก็อยากไง มันเป็นวัตถุๆ
มีคนบ่นมาก เราเกิดมาคนทุกข์คนจน เราเป็นคนต่ำต้อย เราเป็นคนน้อยเนื้อต่ำใจ นี่เราคิดกันไปไง
ทุคตะเข็ญใจในสมัยพุทธกาลนะ เขาเป็นพระอรหันต์ เขาทำของเขาได้ เพราะอะไร เพราะสิ่งที่ทำของเขาได้นะ บ้านใหญ่ บ้านหลังใหญ่เช็ดถูทำความสะอาดก็ลำบาก บ้านหลังน้อยกระต๊อบห้องหอ เราเอาผ้าปัดๆๆ นอนได้แล้ว
จิตใจของคนที่ต่ำต้อย เราทุกข์จนเข็ญใจ แต่เรามีสติปัญญารักษาหัวใจของเราน่ะ สิ่งที่จะเป็นคุณงามความดีมันเกิดจากสติเกิดจากปัญญาอันนี้เท่านั้น ถ้ามันเกิดจากสติปัญญาอันนี้ มันฝึกหัดในหัวใจของตน มันจะไปเร่าร้อนอะไร เราทำด้วยความอาจหาญ โธ่! ของเราสุดยอด เพราะอะไร เพราะเราหามาได้ด้วยชีวิตจิตใจของเรา แล้วเราทำด้วยความอาจหาญ ความยิ้มแย้มแจ่มใสเลย นี่ถ้ามีสติปัญญาแล้ว โธ่! มันรักษาหัวใจเราได้ เราไม่ต้องไปแข่งขันกับใครทั้งสิ้น แข่งขันกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรานี่แหละ เราแข่งขันกับมัน เรามีสติปัญญารักษามันนะ แล้วเราทำฝึกหัดๆ
เวลาครูบาอาจารย์เราที่เป็นธรรมๆ หลวงปู่มั่น หลวงตา ท่านทำความดี ก้นพระ ก้นพระทั้งนั้นน่ะ ทำไม่ให้ใครรู้ ทำไม่ให้ใครเห็น เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเห็นไม่ได้ ไม่ขลัง
ไอ้ของเราถ้ายังไม่ได้ตั้งกล้องมันไม่เดินแล้วกันแหละ ต้องตั้งกล้องก่อนๆ
มึงจะเดินจงกรมเพื่อกล้องหรือ มึงไม่ได้เดินจงกรมเพื่อหัวใจมึงหรือ ถ้ามึงเดินจงกรมเพื่อกล้อง มึงก็ต้องจัดกิริยาให้สวยงาม เดินแล้วต้องให้อ่อนช้อย
ถ้าภาวนาเพื่อหัวใจ ลุยเข้าไป เวลาจิตที่มันฟู จิตที่มันโดนกระทบมารุนแรง เดินเข้าไป เดินให้มันผ่อนคลาย เวลาจิตใจอ่อนโยน จิตใจนุ่มนวล เดินช้าๆ เดิน เพราะมีสติปัญญาสมบูรณ์
เวลาจิตใจที่มันฟู จิตใจที่มันกระทบรุนแรงนะ เราต้องเดินอย่างเต็มที่เลย เต็มที่เพื่อให้มันทันกันไง
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ
ในเมื่อเหตุมันเป็นอย่างนี้ เหตุมันทุกข์ร้อน เหตุมันเผาลน เราจะมาอ้อยสร้อยอยู่กับมันได้อย่างไร เวลาเหตุมันทุกข์ร้อน เหตุมันเผาลน เราก็ต้องรุนแรงกับมัน เท่ากับมัน แล้วสู้กับมันจนชนะมันได้ เวลาชนะแล้วมันก็อ่อนลงเป็นเรื่องธรรมดา ถ้ามันอ่อนลงแล้ว เราทำไมต้องรุนแรงกับมัน ถ้ามันอ่อนลงแล้วเราก็นุ่มนวลไปกับมัน นุ่มนวลเป็นความดีของมัน
เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เขาทำของเขาเพื่อเหตุนี้ เขาไม่ได้ทำเพื่อกล้อง ไม่ได้ทำเพื่อให้ใครเห็น ไม่ได้ทำเพื่อให้ใครชื่นชม ถ้าทำเพื่อให้ใครชื่นชมมันก็เป็นเรื่องกิเลสไง
นี่เหมือนกัน เวลาคนบ่น คนทุกข์ เราเป็นคนทุกข์คนจน เราเป็นคนยากคนลำบาก
จะยากลำบากนะ เรายิ้มแย้มแจ่มใสตลอด เพราะเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน คนที่เขามั่งมีศรีสุขของเขา เขาได้สร้างบุญกุศลของเขามา เว้นไว้แต่ทุจริต เขาคดเขาโกง นั่นเขาก็สร้างเวรสร้างกรรมของเขาต่อเนื่องไป คนที่เขาทำหน้าที่การงานของเขาโดยสุจริตของเขา สิ่งที่ประสบความสำเร็จของเขาก็บุญกุศลของเขา เขาทำด้วยจังหวะและโอกาสของเขา เขาได้คบมิตรดี เขามีเจ้านายที่ดี เขามีบุคคลที่ดี อันนั้นคือบุญกุศลของเขา
ไอ้เราไอ้คนทุกข์คนยาก เจ้านายของเราก็บีบคั้น หมู่คณะก็คอยทิ่มคอยตำ เราเกิดมาอย่างนี้ เราก็ต้องรักษาตัวเราเอง รักษาตัวเราเองเพราะเราเป็นคนสร้างเวรสร้างกรรมมาอย่างนี้ สภาคกรรมๆ เพราะเราสร้างมาเป็นสังคมมันถึงเป็นสภาคกรรม คือกรรมร่วมกันมา
เวลากรรมของเรานะ เรายิ้มแย้มแจ่มใสนะ สิ่งใดที่มันพบมันเห็น เชิญเลย โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ของมันเป็นดั้งเดิม ของมันมีของมันอยู่แล้ว ของเก่าๆ โลกมนุษย์เป็นอย่างนี้ สังคมเป็นอย่างนี้ ถ้าสังคมเป็นอย่างนี้ เราก็ดูแลรักษาของเรา ดูแลหัวใจของเรา ถ้าดูแลหัวใจของเรานะ เพราะอะไร
เพราะเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัทมพุทธเจ้าไง ยิ้มแย้มแจ่มใส อยู่กับสภาวะแบบนี้ แต่ดูแลหัวใจของเรา ดูแลหัวใจของเรา หัวใจของเราด้วยสติด้วยปัญญา ดูแลไว้ ให้อยู่ท่ามกลางไฟมันก็อยู่ได้ อยู่ท่ามกลางความเย็นขนาดไหนมันก็อยู่ของมันได้ มันอยู่ภายนอกทั้งนั้น ถ้าทำใจของเราได้
แต่ในปัจจุบันนี้ยังไม่ได้ไง เพราะเรากำลังฝึกหัดอยู่นี่ไง ถ้าเราฝึกหัดแล้วเราก็ต้องสำรวมระวังของเราไง
เวลาเขาสำรวมระวังเขาบอก “เคร่ง ทำอย่างนี้เกินกว่าเหตุ มันไม่เป็นธรรมชาติ”
ธรรมชาติจะให้ไปตายใช่ไหม ธรรมชาติไปนอนอยู่กลางมรสุมนั้นหรือ มรสุมมาเราก็ต้องหลบต้องหลีกสิ มรสุมมา เราเป็นมนุษย์มีปัญญา เราก็หาที่หลบหลีกกำบังของเรา ถ้าของเราแข็งแรงแล้ว มรสุมมาเราก็ไปหาผลประโยชน์จากมรสุมอันนั้น พอมรสุมอันนั้นมันพาเอาแร่ธาตุ พาเอาสิ่งใดมาตามนั้น เราก็จะได้ประโยชน์จากนั้น
มันอยู่ที่การฝึกหัด อยู่ที่ฝึกหัดพัฒนาขึ้นมา ถ้ามันยังไม่พัฒนาเราต้องหลบต้องหลีก
ดูสิ เวลาสัตว์ที่มันยังเปลือกอ่อน มันต้องหลบต้องซ่อน มันหลบมันซ่อนของมันนะ เพื่ออะไร เพื่อพัฒนาของมันขึ้นมา สัตว์มันยังรู้จักหลบจักหลีก แล้วพอมันแข็งแรงขึ้นมามันเป็นนักล่า มันล่าอาหารของมัน เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน “เวลาจะภาวนา แหม! ทำหลบทำหลีก ทำสำรวมระวัง มันไม่จริง ไม่ใช่ธรรมชาติ”
ใช่ มันยังไม่เป็นธรรมชาติเพราะกำลังฝึกฝน เรากำลังฝึกหัด เรารู้ถึงสภาวะของเรา เรารู้ถึงสภาวะหัวใจของเรา เราเกิดมาเรายังเป็นเด็กน้อย เราก็อาศัยพ่ออาศัยแม่เลี้ยงดูอุ้มชูมา ถ้าเราเติบโตขึ้นมาด้วยสติปัญญา เราก็จะมีครอบครัวของเราต่อเนื่องกันไป เราก็จะดูแลลูกหลานของเราต่อไป แต่เราจะดูแลลูกหลานของเราต่อไปเราต้องมีสติปัญญาสิ เราต้องรู้จักหลบรู้จักหลีกสิ เรารู้จักหลบรู้จักหลีกจากความเป็นจริงขึ้นมา
โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ แต่เรารักษาของเราให้หัวใจของเรามันมั่นคงขึ้นมา ถ้าหัวใจมั่นคงขึ้นมา เห็นไหม ธรรมะ ธรรมสัจจะความจริงเหนือโลกเหนือสงสาร เหนือวัฏฏะ เหนือสรรพสิ่ง เหนือทุกอย่าง เหนือ มันไม่เหนือมันจะทิ้งได้อย่างไร ธรรมโอสถ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวงๆ มันเหนือหมดล่ะ แต่มันเหนือแบบธรรมไง มันเหนือแบบธรรม เหนือแบบไม่กดขี่ข่มเหง เหนือแบบไม่โอ้อวด เหนือแบบที่ไม่อหังการ
ความอหังการ กิเลสทั้งนั้น มันจะเหนือได้อย่างไร เพราะความอหังการมันปิดตาของเอ็งอยู่น่ะ ความอวดเนื้ออวดตนของตนมันปิดหูปิดตามึงอยู่น่ะ
แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ เราก็ทำมา เห็นไหม แมลงเปลือกมันยังไม่แข็ง เราก็รักษาดูแล เราฟูมฟัก ธรรมทายาท ศาสนทายาทที่มันจะเติบโตขึ้นมา ไม่ต้องไปอวดดีอวดเก่งกับใครทั้งสิ้น
ในเมื่อเปลือกเรายังไม่แข็ง ร่างกายเรายังไม่สมบูรณ์ เราก็ฟูมฟักของเรานะ พยายามฟูมฟักดูแลหัวใจของเราให้มันเข้มแข็งขึ้นมา ให้มันสมบูรณ์แบบขึ้นมา ถ้ามันสมบูรณ์แบบขึ้นมา เปลือกมันแข็ง มันบินได้ มันหาเหยื่อได้ นั่นน่ะมันสมบูรณ์แบบของมัน ถึงเวลาโอกาสแล้ว ถึงเวลาที่มันจะเป็นการใช้งาน ใช้ประโยชน์ มันก็ใช้ประโยชน์ของมันไป ถ้าไม่ใช้ประโยชน์ก็เก็บไว้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าเป็นธรรมๆ เพราะเราฝึกฝนของเราเป็นธรรมแล้วมันเหนือโลก
ไปวัดไปวาๆ ไปวัดไปวาอย่างนี้
ครูบาอาจารย์ของเรา เวลาญาติโยมของเรา ผู้เฒ่าผู้แก่เขาไปวัดไปวาเขาไปจำศีล ถ้าคนจำศีล คนที่ฉลาดเขาก็หลบเขาก็หลีกของเขา ไปหาความสงบสงัดไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ดูสิ เวลาวัดที่มันสงบสงัดมันน่าเลื่อมใส
นี่มีแต่มหรสพสมโภช มีแต่ความคลุกคลีกันน่ะ ไม่ต้องไปก็ได้ ห้างสรรพสินค้าก็มี ในโลกมันมีอยู่แล้ว บ้านเราก็มี ข้างบ้านก็มี ที่ไหนก็มี แต่เราไปวัดไปวาไปเพื่อศีลเพื่อธรรม เพื่อศีลเพื่อธรรมสิ่งนี้มันเข้ากันไม่ได้ พอเข้ากันไม่ได้ก็วางไว้ก่อน เราไม่สนใจมัน เราหาที่ความสงบสงัดของเรา รักษาหัวใจของเรา ให้เปลือกมันแข็งๆ
พอเปลือกมันแข็งแล้ว พอเวลาเราไปเจอสภาพแบบนั้น เฮอะ! ทำไมเขาอยู่กันได้ ทำไมพวกนี้เขาอยู่กันอย่างนี้ เห็นไหม เราเห็นโทษไง แต่เมื่อก่อนเราก็สนุกรื่นเริงอยู่กับเขานั่นแหละ แต่ถ้าจิตใจมันพัฒนาขึ้นดีขึ้น มันจะเห็นโทษของมัน
พอเห็นโทษของมัน มันก็หนึ่ง ไม่เสียทรัพย์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ จิตใจของเราไม่ประมาทเลินเล่อ มันดูแลของมัน เราต้องรีบกลับบ้านกลับเรือนของเรา บ้านเรือนเรายังมีหน้าที่การงานของเราต้องทำ บ้านเรือนของเราต้องเก็บรักษา เราไม่มาเสียเวลากับเรื่องแบบนี้ ถ้าจิตใจมันโตมันทันขึ้นมา นี่เราไปวัดไปวา
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอดมาก ถ้าใครมีอำนาจวาสนานะ ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ไม่ทุกข์เลย ไม่มีสิ่งใดบีบคั้นในใจเลย โปร่งโล่งตลอด ไม่มีสิ่งใดเข้าไปเจือปนสิ่งนั้นได้ ถ้าทำได้จริง ถ้าเป็นแมลงเปลือกแข็ง รักษาหัวใจตนได้
แต่เราเองยังฝึกหัดอยู่ เราเองเราพยายามขวนขวายอยู่ เราก็ต้องขวนขวายของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ
วันนี้วันพระ มาวัดมาวาเพื่อเติมพลัง มาวัดมาวาให้เห็น เราก็พยายามพัฒนาของเราให้มันเป็นธรรมในใจ ธรรมในใจของเรา ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงในใจของเรา
เวลามีศรัทธาความเชื่อ เราพยายามเร่งเครื่อง เวลามันมีแต่ความทุกข์ความยาก มันมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เหยียบเบรก เหยียบเบรก เหยียบเบรก เหยียบเบรกด้วยสติ สติมันเหยียบเบรกได้ แล้วมันยับยั้งได้ ยับยั้งได้ เราก็รักษาหัวใจของเราได้พอผ่อนคลายชีวิตนี้ รักษาชีวิตนี้ไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติธรรม เอวัง