เทศน์บนศาลา

คนโง่

๒๓ ก.ค. ๒๕๔๑

 

คนโง่
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ศึกษาเล่าเรียนเพราะเตรียมตัวเป็นกษัตริย์ ความรู้ปัญญาของพระพุทธเจ้าตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ความรู้ความความสามารถมหาศาลพอสมควรในบุคคลที่เตรียมตัวเป็นกษัตริย์ แต่ในเมื่อมีเหตุฉุกให้คิดก็ยังออกมาแสวงหาโมกขธรรม คนที่มีปัญญาระดับนั้น ระดับปัญญาที่ว่าเตรียมตัวตนเองไว้เป็นกษัตริย์ปกครองประชาชน เป็นผู้ฉลาดไหม

แล้วพวกเราเป็นมนุษย์ที่เกิดมาภายหลัง ๒,๕๐๐ กว่าปี ๕๐๐ กว่านะ ในศาสนธรรมมันมีเครื่องดำเนินบอกอยู่แล้ว มันยิ่งทำให้เราคิด เรามีการศึกษาเล่าเรียน วิชาการสมัยปัจจุบันนี้เจริญรุ่งเรืองกว่าสมัยพุทธกาลสมัยเก่ามาก เราก็ว่าเรามีปัญญากันมาก พวกเรานี่มีปัญญา มีปัญญาเพื่อที่จะให้ว่าตัวเองเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม สามารถเอาตัวเองให้มีความเจริญรุ่งเรือง แต่ความเจริญรุ่งเรืองนั้นทำให้เรามีความสุข ทำให้เรามีความพอใจในความเป็นอยู่ของเราขนาดไหน

เวลามีความสุข ปัจจุบันนี้เรามีความพอใจเราก็มีความสุข พอ เห็นไหม ความสุขของโลก ความสุขความเป็นไปนี้ให้พอเยียวยาชีวิตนี้ให้เป็นไปเท่านั้น เวลาทุกข์แสนทุกข์ก็ปล่อยให้มีความสุขพักหนึ่ง เรามีความพอใจ เห็นไหม ช่วงที่ว่าคนเกิดมา ลูกหลานเกิดมาจะดีใจ แต่พอมันจะเริ่มเติบโตขึ้นมา จะเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ลำบากใจน่าดูเลย ทำไมมันไม่ตามใจ ทำไมมันไม่เป็นคนดีอย่างที่เราหวัง ความสุขที่มันเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะหนึ่งกลับแบกความทุกข์ไปตลอด จนชั่วชีวิตขัยของบุคคลหนึ่ง

เราเองก็เหมือนกัน อย่ามองแต่ชีวิตที่มีการเจริญเกิดขึ้นแล้ว เห็นเกิดขึ้นมาแล้วเราดีใจ อันนั้นว่าเป็นนะ ในชีวิตเราก็เหมือนกัน มองกลับมาในชีวิต ในความคิดของเราสิ ความคิดว่าตัวเองฉลาดหลักแหลม เป็นผู้ที่ว่าเอาตัวเองรอดได้ ฉลาดหลักแหลมขนาดไหนก็แล้วแต่ วิชาการที่เรียนมาขนาดไหนก็แล้วแต่ มันมีกิเลสอยู่เบื้องหลัง กิเลสเป็นเจ้าวัฏจักรอยู่เบื้องหลังความฉลาดหลักแหลมของเราทั้งนั้น จะฉลาดขนาดไหนก็กว้านแต่ความทุกข์มาใส่ตัว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะตรัสรู้ เตรียมตนเองเป็นถึงกษัตริย์ ความฉลาดขนาดไหนน่ะ แล้วมันพ้นจากพญามัจจุราชไหม คนฉลาดคนหลักแหลมคนหาสมบัติพัสถานขนาดไหนก็ต้องตายไปทุกคน สมบัตินี้ความเป็นอยู่โลกนี้เป็นของชั่วคราว เป็นของชั่วคราวเท่านั้น เป็นการอาศัยไป พระพุทธเจ้าถึงสละออกไง ความสุขที่ให้เราแค่ชั่วคราว เรามองข้ามไป เราจะต้องการความสุขจริง ต้องการความสุขที่มันเป็นจริงที่จะต้องไม่ให้กลับมาทุกข์อีก

ความสุขของโลกเขา ความสุขนะ แต่ความจริงแล้วไม่มี แต่ความสุขของโลกเขา เขาว่ามี มีความสุขมีความพอใจไง ความพอใจของตัว บำรุงบำเรอความคิดจนมันอิ่มนำสำราญในความจิตนาการของมันอารมณ์หนึ่งๆ อันนั้นคือความสุข

ความสุขทางโลก พระพุทธเจ้าบอกไม่มี มันเป็นเพราะทุกข์ดับลงเท่านั้นเอง ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับลง ทุกข์เคลื่อนไป เห็นไหม มันเป็นอนิจจัง ความเป็นอนิจจัง อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย มีเท่านั้น มีความทุกข์กับมีความสมุทัย ความสุขนี้เพียงแต่เวลาขึ้นมาเป็นบัญญัติเป็นธรรมเท่านั้น พระพุทธเจ้าถึงบัญญัติว่าสุขเวทนาและทุกขเวทนา...สุขเวทนา ทุกขเวทนา แบ่งให้เป็นอารมณ์ อารมณ์ที่ไม่พอใจและพอใจ ถึงว่าอันนี้เป็นความสุข

แต่ตามหลักแล้วพระพุทธเจ้าบอกว่า ทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ก็ดับไปชั่วคราว พอเราผ่อนหายใจ ที่ว่าผ่อนหายใจแล้วเรามีความสุขชั่วคราว ชั่วคราวเท่านั้น นั่นน่ะความสุขของโลก ถึงว่ามันเป็นของที่ว่าอาศัยกาลไปเท่านั้นเอง แต่เราต้องการสิ่งนี้เป็นความจริง เราต้องการยึดไว้เป็นความจริงกับเราตลอดไป เราเกิดมาเราว่าเป็นคนฉลาดไง ทำไมเราหาความจริงไม่พบ

ฉลาดขนาดไหน กว้านมาขนาดไหน สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จินตนาการขึ้นมาอยู่ใต้อำนาจของกิเลสทั้งหมด ความคิดอันนี้มันความคิด เพราะเป็นความคิด เป็นนามธรรม มันจะคิด มันจะจินตนาการได้สุดๆ ความคิดนี้ถ้าเป็นวัตถุเอามาตั้งเรียงกัน โลกนี้ไม่มีที่เก็บ ถ้าออกมาเป็นวัตถุ ไม่มีที่จะเก็บความคิดของคนคนหนึ่งได้นะ อย่าว่าแต่มนุษย์ทั้งหมด คนคนเดียวเวลามันจินตนาการนี่ร้อยแปด รถยนต์มีกันเป็นพันๆ เป็นแสนๆ คัน เอามากองไว้ที่ไหน กองไม่หมด ถ้าความคิดนี้เป็นวัตถุ

ถึงความจินตนาการอันนั้น จินตนาการจนเป็นความพอใจของอารมณ์อารมณ์หนึ่ง มันจะพอใจตัวเอง อันนั้นมันถึงว่าเป็นความสุขไง เป็นอามิส อามิสคืออารมณ์ที่เราปรุงแต่งขึ้นมา เห็นไหม ความที่เราปรุงแต่งขึ้นมามันก็ย้อนกลับไปเป็นความคิดเดิมซ้อนเข้าไป ซ้อนเข้าไป จนมันพอใจของมัน...นั่นว่าตนเองฉลาดเหรอ

ไม่ฉลาด ไม่ฉลาดเลย ฉลาดขนาดไหนก็แล้วแต่ จงทำความรู้จักว่าอันนั้นคือความโง่ของเรา ความโง่อันนี้มันจินตนาการว่าตัวเองฉลาด ถ้าความฉลาดทำไมมันเอาตัวรอดไม่ได้ ทำไมมันไม่เอาความคิดที่เวลาทุกข์ร้อนให้อยู่ในอำนาจของตัวได้ ทำไมมันมีความสุข ความสุขที่มันเกิดขึ้น ทำไมเราไม่ให้มันคงที่อยู่กับเราตลอดไป ทำไมเราไม่บังคับให้ความเป็นไปของร่างกาย ความทุกข์ความเป็นไปของร่างกาย คือว่ามันเสื่อมสภาพไป ทำไมไม่ยับยั้งไว้ให้มันอยู่ถ้ามันฉลาดจริง

มันไม่จริง ความไม่จริงอันนี้เราไม่เห็น เราไม่เห็นความคิดที่ว่ามันเป็นความไม่จริง เห็นไหม เรายังภูมิใจตัวเองว่าเป็นคนฉลาด คนฉลาดอย่างนี้คนฉลาดเอาไฟมาสุมใส่ใจของตัวเอง มันฉลาดจริงหรือ คนฉลาดจริงต้องเอาไฟออกจากตัวใช่ไหม ไม่ใช่เอาไฟมาสุมตัว เหมือนเราไปติดกับอยู่ที่ไหน เราพยายามจะแก้ให้เราออกจากหล่มนั้น แต่ทำไมเราทรุดลงๆ อยู่ในหล่มนั้น ไม่ขึ้นจากหล่มนั้นได้ล่ะ

ความคิดจินตนาการในหัวใจที่ว่าฉลาดๆ นั้นมันก็เหมือนติดหล่มกิเลสไง ติดหล่มเพราะความพอใจของตัว ความพอใจของตัวในหัวใจนั้นมันติดหล่มแล้วมันก็ไปซ้ำเข้าไป ซ้ำเข้าไป หาว่าตัวเองเป็นคนที่ฉลาด เป็นคนกว้านเอาความดีเข้ามา เป็นคนกว้านเอาแต่ความเร่าร้อน ทำให้ตัวเองตกไปลึกลงไปในหล่มลึกของกิเลสตัณหาในหัวใจของตัวเท่านั้นเลย อันนั้นหรือคือความฉลาด...เป็นความโง่ชัดๆ ความโง่เพราะตัวเองไม่ยอมรับความโง่ของตัว ตัวเองไม่ยอมรับความโง่ของตัวจึงไม่สามารถกลับความโง่นี้ให้เป็นความฉลาดแท้ เป็นปัญญาจริงได้ไง เพราะตัวเองโง่แต่เข้าใจว่าฉลาด

ถ้าฉลาดจริงทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ฉลาดจริงทำไมตัวเองยังทุกข์ร้อน ถามตัวเองนี่ไม่ต้องถามใครเลย ถามตัวเองว่าเราหายจากความเร่าร้อนในหัวใจแล้วหรือยัง เราสามารถเก็บไฟที่มันเผาหัวใจให้ไปอยู่ในไฟในเตา แค่ไฟในเตาที่มันใช้เป็นประโยชน์ในเตาเวลาหุงหาอาหารกินนั้นเป็นประโยชน์นั้นหรือยัง ถ้าเราสามารถควบคุมไฟที่มันเผาเร่าร้อนในใจนี้ให้มันอยู่ในจำเพาะเจาะจงที่มันเป็นไป เพราะมันเป็นกิเลส มันเป็นพลังงานในหัวใจ มันต้องมีโดยธรรมชาติของมัน ความคิดเราดับมันไม่ได้ ธาตุขันธ์ความเป็นจริงเราปฏิเสธความจริงไม่ได้

แต่ต้องใช้ความจริงให้เป็นประโยชน์ เพราะเราเกิดท่ามกลางพระพุทธศาสนา

ศาสนธรรมคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ตามหลักความเป็นจริง เพราะเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว เราเป็นคนที่มีบุญกุศล เกิดมาเพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว พระพุทธเจ้าผู้เป็นองค์แรก เกิดมาปัญญามหาศาล เพราะเตรียมตัวจะเป็นกษัตริย์ เตรียมตัวจะให้ปกครองผู้คน ปกครองนักปราชญ์ ต้องรู้เกินนักปราชญ์ถึงจะปกครองนักปราชญ์ได้ ก็ยังเห็นว่าเป็นความคิดที่เป็นความฉลาดที่ทำให้ตัวเองไม่พ้นจากพญามัจจุราช

ฉลาดขนาดไหน ดีขนาดไหน สร้างถาวรวัตถุไว้เป็นประวัติศาสตร์ขนาดไหน ไม่มีคนไหนเลยพ้นจากพญามัจจุราช ไม่มี มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่ตามพระองค์ไปนั้นที่พ้นจากพญามัจจุราช พญามัจจุราชตามไม่เห็นไง

นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ สุขแบบว่าพ้นจากพญามาร พ้นจากเจ้าวัฏจักร พ้นจากมัจจุราชทั้งหมด ตามไม่เห็น ตามไม่ได้ แต่ถ้าเป็นความฉลาดที่เรากว้านมานี้มันเป็นความฉลาดเพราะเราจินตนาการความคิดที่มีการกระทบกระทั่งมันเป็นกรรม กรรมสิ่งนั้นสะสมลงที่ใจ กิเลสนั้นเป็นตัวกว้านมาสะสมไฟเผาลงที่ใจ แล้วมันจะพ้นจากพญามัจจุราชไปที่ไหน ในเมื่อมันมีเหตุมีผลอยู่ที่กลางหัวใจนั้น

นั่นน่ะ มันไม่เป็นความฉลาดจริง มันเป็นความฉลาดเพราะกิเลสมันเสี้ยมสอน กิเลสมันปั้นแต่ง กิเลสมันเจ้าเล่ห์ กิเลสมันบังคับบัญชาว่าให้สำคัญตนว่าเป็นผู้ฉลาดไง เห็นไหม เป็นคนโง่ชัดๆ เป็นคนโง่อยู่ใต้กิเลสชัดๆ แต่มันสำคัญตนว่ามันเป็นผู้ฉลาด เห็นไหม กิเลสมันหลอกใช้ ๒ ชั้น ๓ ชั้นนะ มันหลอกใช้ กิเลสมันอยู่บนหัวใจของมนุษย์ มันเหยียบย่ำย่ำยีหัวใจของมนุษย์ เพราะหัวใจนี้เป็นที่สิงสถิตของกิเลส เป็นบ้าน เป็นเรือนของกิเลส เป็นเจ้าวัฏจักรที่ว่าบังคับไสให้จิตนี้เกิดดับ เกิดดับในวัฏวนแล้วมันก็ขี่หัวไปเป็นเจ้าเรือน แล้วมันก็เสี้ยมไป เสี้ยมไป แล้วก็ปรุงแต่งว่าตัวเองฉลาด เพราะมันกลัวเราจะพ้นออกจากอำนาจของมัน มันเลยหลอกว่าเราฉลาด เราก็เป็นขี้ข้าของกิเลส เป็นความโง่เพราะโดนกิเลสขับไสออกมา ยังสำคัญตนว่าเป็นผู้ฉลาด ผู้ฉลาดอย่างนี้หรือว่าเป็นผู้ฉลาด

ผู้ฉลาดเริ่มจากความเข้าใจตน เข้าใจว่าอะไรเป็นทุกข์ เข้าใจว่าต้องถามตนเองว่าเรานี่มีความสุขสมบูรณ์เต็มเปี่ยมโดยที่ไม่ต้องบังคับตนเองแล้วหรือ ถ้ายังต้องบังคับตนเอง ต้องบังคับตนให้เข้าในแนวของศีลของธรรมเพื่อเป็นมรรค เข้าหามรรคอริยสัจจัง อันนั้นต่างหากเป็นผู้เริ่ม เริ่มนะ เริ่มฉงนสนใจมองย้อนกลับในความคิดของตัว ไอ้อยู่เบื้องหลังความคิด หลังฉากความคิดที่ว่าฉลาดๆ นั้นน่ะมันคืออะไร เห็นไหม นี่คนเริ่มได้สติยับยั้งความคิดของตัวเท่านั้นนะ

ศาสนาสอนอย่างนั้น ธรรมะพระพุทธเจ้าวางไว้อย่างนั้น วางไว้ให้ที่ว่าให้ผู้ฉลาดๆ นั้นมันได้หยุดความฉลาดไว้ก่อน ไอ้ที่ว่าฉลาดๆ ไอ้ที่ว่าคนที่มีปัญญา เป็นคนที่เอาตัวรอดได้ เป็นคนที่ประเสริฐเลิศโลก ให้หยุดความคิดอันนี้ไว้ก่อน ให้เข้ามาทำความสงบของใจ ไอ้ความสุขเร่าร้อนที่ว่าเราเป็นคนฉลาด เราเป็นคนหามาสมความปรารถนาที่มีความสุข ความสุขที่ว่ามันเผาตัวเองโดยไม่รู้สึกตัวนั้นน่ะมันเป็นความสุขขนาดไหน วางไว้ เพราะมันมีทุกข์เจือไปตลอด แล้วมีศีล มีทาน มีศีล แล้วมีภาวนา มีศีลทำใจให้สงบ พระพุทธเจ้าสอนถึงความสงบ ความสงบ ความสงบนี้เป็นความสุขอย่างยิ่ง

เราทำงาน คนทำงานแสนเหนื่อยอยู่ท่ามกลางของการงาน แค่พักงานมันก็ยังมีความสงบ มันมีความสุขขึ้นมาเกิดขึ้นมาจากการปล่อยวางในเรื่องของการขับเคลื่อนของสรีระของเรื่องการใช้พลังงานของกาย กายขับเคลื่อนไปตลอด จนกายพักนี่กายก็มีความสุขขึ้นมาโดยที่ว่า เฮ้อ! ผ่อนคลายแล้ว ๑ ชั้น เห็นไหม แล้วจิตที่มันสะสมมาที่ว่ามันเป็นฉลาดๆ ถ้ามันเข้าใจผิดว่าฉลาดมันก็กว้านไฟเข้ามา

เป็นไฟยังไม่รู้ว่าไฟ เข้าใจว่ามันเป็นพลังงานที่จะเข้ามาเสริมให้ตัวเองมีพลังงาน เป็นพลังงานที่ทำให้ตัวเองมีแสง มีสี มีความชุ่มชื่น พอมันมาเผา เผาเข้าจนถึงว่าเผาจนตัวเองหมดความรู้สึก มันยังไม่รู้ตัวนะ พระพุทธเจ้าถึงได้เผดียงไงว่า อันนั้นมันเป็นความทุกข์ อันนั้นมันเป็นอามิสสินจ้างของกิเลส มันหลอกใช้มาเท่านั้น ไอ้ฉลาดๆ ฉลาดไหนๆ มันก็ไม่เท่ากับความฉลาดรู้เท่าทันตน ความฉลาดเห็นไอ้กิเลสที่ออกไปจากหัวใจตนนี้

ยับยั้งด้วยศีล เห็นไหม ศีลกำหนดความปกติของใจ เรานั่งปกติอยู่ เรานั่งอยู่นี่ ปัจจุบันนี้เราไม่ผิดศีล ๕ เด็ดขาด เพราะร่างกายนี้ไม่ได้ขยับไปไหนเลย แต่ความคิดนี้โพลงเลย ลุกโพลงอยู่ตลอดเวลา เห็นไหม บังคับความคิด บังคับคือความปกติของใจ ใจปกติไหม กายนี้ปกติแล้ว แล้วใจมันปกติไหม ทำไมใจมันคิดจินตนาการ ผิดศีลผิดทำนองคลองธรรม ถูกศีล เอาเปรียบเอารัดเอาเปรียบ เห็นไหม นั่นล่ะ ผิดศีลภายใน

ศีลคือความปกติของใจ รู้ว่าการคิดเบียดเบียนเขานั้นผิดศีลแล้ว มโนกรรมเกิดขึ้น ความเกิดขึ้น มโนกรรมที่ว่า ความคิดถ้าเป็นวัตถุแล้วไม่มีที่จะเก็บเลย นี่ความคิดที่มันเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่มีที่จะเก็บเลย ถึงถ้าภาวนาอยู่ ให้กำหนดพุทโธ พุทโธ เพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องมีการแปรไปตามหลักธรรมดา เกิดดับๆ ของจิตนี้มันเป็นปกติของมัน แล้วอารมณ์ความคิดนี้ก็อาศัยตามความคิดนี้ กับกระแสเกิดดับนี้ตลอดเวลา

การเกิดดับนี้คือการหายใจทิ้งเปล่าๆ ไง การหายใจเข้าและการหายใจออกแต่ละครั้งนี่ทำให้ชีวิตนี้สั้นเข้า สั้นเข้า เพราะพลังงานนี้โดนใช้ไปตลอด ความคิดที่เกิดขึ้นจากใจก็เหมือนกัน เหมือนกับลมหายใจเข้าและลมหายใจออก มันเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับตลอดเวลา แล้วมันไม่สืบต่อ มันไม่ต่อเนื่อง มันไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิขึ้นมาได้ไง ถึงต้องมีศีลเข้าไปควบคุมให้เป็นความปกติ ถึงจะเป็นความคิดที่ต่อเนื่องก็ให้ต่อเนื่องอยู่ในพุทโธ พุทธานุสติ

จากการคิด จากการใช้จินตนาการของตัวเป็นอิสรเสรีที่จะทำอะไรก็ตามแต่กิเลส ตามแต่ความลุ่มหลง ตามแต่ความจินตนาการ ตามแต่กรรมของตน ไม่ทำเพราะเราเป็นคนที่พึ่งตนเองไม่ได้ ใจของเราไม่เป็นอิสระพอที่จะพึ่งตนเองได้ เราต้องพึ่งพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ กรรมฐาน ๔๐ ห้อง กรรมฐาน ฐานที่มั่นของใจ ทำใจให้สงบ ทำใจให้เป็นที่มั่น ทำใจให้มีฐาน เห็นไหม ทำใจให้มีฐาน ทำใจให้ตั้งมั่นขึ้นมาเพื่อจากที่ว่าฉลาดๆ นั้นน่ะ เราต้องหันกลับมาสิ หันกลับมาว่าความฉลาดทำไมเอาตัวรอดไม่ได้ ผู้ที่ฉลาดต้องเอาตัวรอดได้ ผู้ที่ฉลาดต้องเป็นผู้นำได้ ผู้ที่ฉลาดต้องเป็นผู้ที่ขึ้นจากหล่มลึกได้ แล้วพึ่งตนเองได้ ถึงให้ผู้อื่นได้พึ่งพาอาศัย เห็นไหม ความสุขเกิดขึ้นจากผู้ที่พึ่งตนเองได้ก่อน

คนที่ต้องอาศัยผู้อื่นหายใจตลอดเวลา คนที่ต้องไหว้วานคนอื่นตลอดเวลา คนคนนั้นไม่เป็นอิสระเลย อยู่แต่เขาจะเอื้อประโยชน์ให้เราขนาดไหน เราก็ได้ประโยชน์จากที่ความเอื้อของเขาเพราะเราต้องพึ่งพาอาศัยเขา หัวใจที่มีกิเลสปิดกั้นอยู่ หัวใจที่กิเลสมันบีบบี้สีไฟอยู่มันเปิดให้เรามีความสุขได้ขนาดไหน เห็นไหม เราต้องพึ่งพาอาศัย เราต้องขอร้องให้กิเลสอย่าพึ่งบีบเรานักเลย ขอให้ได้หายใจทีหนึ่งเถอะ

นั่นน่ะ ความสุขมันเพราะว่ามันเกิดจากการปล่อยให้อิสระชั่วคราว กับจิตตั้งมั่นให้มีฐาน ให้เราพ้นจากอำนาจควบคุมของกิเลสเป็นการชั่วคราวขณะที่จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นนั้นกิเลสยุบยอบลงเพราะว่าจิตนี้เป็นอิสระของตัว ไม่เกี่ยวข้องกับกิเลสเป็นการชั่วคราว กิเลสนี้จะเบาบางลงแต่ไม่ได้ชำระสะสางเลย แต่มันเบาบางลงให้หัวใจนี้เป็นอิสระ มันตั้งมั่นเป็นอิสระของมัน นั้นคือจิตสงบ สงบจากปรุงแต่ง สงบจากรูป รส กลิ่น เสียง สงบจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มันกวนใจ ที่มันกว้านออกไปให้เราเป็นความทุกข์ตลอดเวลา

พอจิตมันสงบเข้าถึงบอก โอ้! เห็นไหม เห็นคุณค่าของคำสั่งสอน เห็นคุณค่าของธรรมไง คุณค่าของธรรมให้จิตนี้เป็นผู้ที่สงบ ให้จิตนี้ตั้งมั่น ให้จิตนี้ไม่เป็นขี้ข้าของกิเลส จากที่ว่าฉลาดๆ ที่กิเลสมันจูงจมูกไสไปตลอดเวลา จะเห็นคุณค่าของความสงบ เห็นคุณค่าของความเป็นอิสระ อันนี้ต่างหากถึงจะเป็นผู้ที่ฉลาดจริง

ผู้ที่เริ่มจะฉลาดจริง ฉลาดเอาตัวเองไว้ในอำนาจของตัวเท่านั้นนะ เอาความคิดของตัวเองอยู่ในอำนาจของตัว มันไม่ไปเกาะเกี่ยว มันจะไปจิตตั้งมั่นทำความสงบจนมีความชำนาญ มันแว็บออก สติมันตามออก ตามออก ตามออกดึงกลับมาให้เป็นอิสระอยู่ตลอดเวลา นี่เห็นคุณค่า แต่พอทำไป ธรรมดากระแสน้ำอยู่ในแม่น้ำ สวะที่อยู่ในน้ำ น้ำลงก็ลงตาม น้ำขึ้นก็ขึ้นตาม ขณะที่ว่าจิตสงบๆ ใหม่ๆ ตั้งมั่น สุดท้ายแล้วถ้าเราปล่อยไว้อย่างนั้น สวะขึ้นลง ขึ้นลง กิเลสที่อยู่ในหัวใจมันจะต้องหาวิธีการพลิกแพลง

เราว่าเราฉลาดๆ เราจะโดนกิเลสหลอกอีกล่ะ ฉลาดขนาดไหนมันจะพลิกแพลงให้จิตนี้เสื่อมไปบ้าง เห็นไหม ให้จิตนี้เสื่อมไป ฟังสิ ทำไมถึงให้จิตนี้เสื่อมไป เพราะถ้าจิตนี้เสื่อมไป จิตนี้เสวยอารมณ์ไง จิตนี้กวน จิตนี้กว้านความคิด ธรรมชาติของจิตมันเป็นธรรมชาติที่ผู้รู้ส่งออก เป็นพลังงานดูดเข้ามา เป็นไอ้ตัวดูด ดูดแต่อารมณ์ ดูดทุกอย่างที่มันกระทบรูป กระทบตา กระทบเสียง กระทบ ไม่กระทบมันก็จินตนาการขึ้นมา มันดูดผ่านอายตนะ มันเป็นตัวดูดถึง ๖ ข้อ ดูดความคิดปรุงแต่งเข้ามาตลอด แล้วมันเคยสงบเข้าไป เคยสงบเข้าไป ยิ่งสงบเข้าไปเท่าไร เวลามันย้อนออกมาเหมือนมีพลังงานดูดได้แนบแน่นกว่า ทำให้จิตนี้เสื่อมไป

สมาธิเกิดขึ้น ความตั้งมั่นเกิดขึ้น มันเป็นอนิจจัง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันเป็นกิริยาของธรรมน่ะ ความแปรปรวนต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เห็นไหม จะตั้งมั่น จะต้องเกิด มันต้องแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะมันเป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นความจริงแท้ของมัน เราจะยับยั้งไว้ขนาดไหนมันก็ขนาดนั้น เพราะมันเป็นความสงบ มันเป็นสมาธิ สมาธินี้มันถึงเป็นฐานไง มันเต็มฐาน เต็มฐานแต่เราไม่ยกขึ้นนี่ เราไม่ยกขึ้นให้เกิดวิปัสสนาญาณ

ความที่ว่าเป็นอนิจจังๆ ความฉลาดที่มันว่ามันฉลาดๆ จิตมันสงบ ความสงบมันเห็นความเป็นไปน่ะ เวลาจิตมันเคลื่อนออกมา เห็นไหม ว่ามันเป็นอนิจจัง มันเสื่อมไป ก็ถึงว่าตัวเองรู้อนิจจัง ตัวเองรู้กฎตามความเป็นจริงไง...ความฉลาดที่เป็นโทษ ความฉลาดที่หลงตัวเอง ความฉลาดที่เป็นการจินตนาการ เห็นไหม ความฉลาดที่เอาตัวรอดไม่ได้จากการไม่รู้จากศีลจากธรรมอันหนึ่ง อันนั้นเป็นความโง่สุดๆ

ความฉลาดในการประพฤติปฏิบัติเอาใจขึ้นมาจนเป็นฐานตั้งมั่น แล้วเห็นความเป็นไป เห็นความเป็นไป จากจินตนาการ จากที่จิตสงบนั้น ก็เข้าใจว่ามันเป็นอนิจจัง แต่จริงๆ แล้วมันคือความเสื่อมสภาพ มันกินตัวมันเอง ความที่เป็นจินตนาการ เห็นไหม เราเห็นสิ่งใดๆ ที่มันเกิดขึ้นที่มันจบเรื่องไปกระบวนการหนึ่งแล้ว แล้วเราตามรู้ เราได้ประโยชน์อะไร เราก็มีความเห็นเฉยๆ แต่มันไม่สะเทือนใจใช่ไหม มันไม่สะเทือนใจ มันไม่สะเทือนกิเลส

ผู้ที่ปฏิบัติแล้วหลงตัวเอง เวลาจิตมันสงบขึ้นมา แล้วก็เห็นความเป็นไป แล้วมันเสื่อมสภาพไป เห็นไหม ความเสื่อมสภาพ มันเสื่อมสภาพพร้อมกับตัวเองที่ตัวเองไม่ได้...มันไม่เหมือนกับนายแพทย์ที่รักษาคนไข้ มันเป็นว่า เราปวดหัวตัวร้อนแล้วหายไปโดยธรรมชาติของมัน เราไม่รู้ว่าโรคภัยไข้เจ็บเกิดในตัวเรานี้เกิดจากเชื้อใด ต้องใช้ยาชนิดใดเข้าไปรักษา แล้วเชื้อนั้นมันจะหายไปด้วยปฏิกิริยาของยาอย่างไร เห็นไหม มันไม่เห็นตามความเป็นจริง ไม่รู้ตามความเป็นจริง แต่มันเห็นความเสื่อมสภาพไปในข้างหน้า แล้วเราเดินตามหลังมา อันนี้มันเป็นอะไร? อันนี้เป็นความสงบแล้วเสื่อมไป

สัญชัยนะ สัญชัยนี้เป็นศาสดาเป็นลัทธิหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะเป็นลูกศิษย์เดิมของสัญชัย อาจารย์สัญชัยเขาสอนว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมันต้องแปรสภาพตลอด สิ่งนั้นมันไม่มีตัวตน”

“สิ่งที่ไม่มีตัวตนคืออะไร”

“คือสิ่งที่ไม่มีตัวตน”

“สิ่งที่ไม่มีตัวตนนั้นคืออะไร”

“สิ่งนั้นคือไม่มี”

“อันที่ไม่มีนั้นคืออะไร”

“คือไม่มี”

เห็นไหม เขาสอนสิ่งที่ว่าไม่มี ไม่มี ไม่เป็น ไม่มี ไม่ใช่

แต่พอพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะลาสัญชัยมาอยู่กับพระพุทธเจ้า สัญญากันไว้เดิมเพราะอยู่กับสัญชัย สัญชัยสอนมาแล้วน่ะ สิ่งนั้นก็ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี สิ่งนี้ก็ปล่อยวาง สิ่งนั้นคือว่าง สิ่งนั้นคือไม่มี เป็นความว่าง เป็นความปล่อยวางทั้งหมด...ต้องเข้าใจกันเองในฐานะลูกศิษย์ว่า เราก็เข้าใจสิ่งที่อาจารย์สอนแต่มันไม่สามารถชำระความทุกข์ของตัวเองได้ สัญญากันไว้ว่าถ้าเจอผู้ที่สอนจริงรู้จริงจะต้องบอกกันไง

พระสารีบุตรมาเจอพระอัสสชิ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมี่การเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับทั้งหมด” แล้วมันดับที่ไหน? ดับที่เหตุที่มันจะเกิดไง พระสารีบุตรวิปัสสนาตาม ใช้ตัวยาไง ใช้เกิดขึ้น “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนว่าให้กลับไปดับที่เหตุที่เกิดสิ่งนั้น” พระสารีบุตรเห็นสภาพที่ว่าการใช้ยา ยานี้เข้าไปกำจัดโรค มันใช้ปฏิกิริยาของเคมีเข้าไปจำกัดเชื้อโรคออกมา จนดับไป เพราะเกิดปฏิกิริยาการเกิดขึ้น พระสารีบุตรเป็นพระโสดาบันขึ้นมา

พระสารีบุตรเป็นพระโสดาบัน เอาคำพูดนี้ไปบอกพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะฟังต่อเป็นพระโสดาบันขึ้นมาพร้อมกัน แต่ด้วยความเคารพบุญคุณอันเก่าของสัญชัย ไปบอกสัญชัยว่า “มาเถิด เราเจอศาสดา เจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราไปหาความเป็นจริงกันเถิด ไปหาความฉลาด ที่ความเป็นจริง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้แล้วมีผู้ชี้นำไว้ตามความเป็นจริงเถิด”

สัญชัยไม่ยอมมา สัญชัยว่า “ในโลกนี้ผู้ฉลาดมากหรือผู้โง่มาก”

พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะบอก “ผู้ที่โง่มาก”

“ฉะนั้น ถ้าผู้ที่โง่มาก เราจะอยู่กับคนโง่”

ให้พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะมาลา เอาลูกศิษย์มาด้วย มาขอบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาขอบวช สัญชัยที่บอกไม่มี ปล่อยว่าง วางหมด...กระอักโลหิตเลยล่ะ

คนที่ปล่อยว่าง คนที่ไม่มีความทุกข์ คนที่มีความสุข คนที่ไม่มีความเก็บกด ทำไมมันกระอักโลหิตออกมา ฟังสิ สิ่งนั้นก็ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี ทิฏฐิความในใจก็ต้องไม่มี ความทุกข์ในหัวใจที่เก็บกดก็ต้องไม่มี สิ่งที่ไม่มีทำไมกระอักโลหิต กระอักออกมาเป็นเลือดอุ่นๆ นั่นน่ะ นั้นสิ่งที่ว่าไม่มีๆ

มันมีการลุ่มหลง มีการสั่งสอนกันมาตลอด นี่เพราะว่าความฉลาด เป็นถึงศาสดาผู้ฉลาดไง แล้วเราจะเป็นอย่างนั้นหรือ เราเป็นผู้ที่ฉลาดที่ว่าทำจิตให้สงบแล้วก็ยังว่ามันแปรสภาพ มันเห็นตามความเป็นจริงอย่างนั้นหรือ เราเป็นผู้ฉลาดหรือ

แม้แต่จิตนี้สงบแล้ว จิตนี้สงบ สงบ จิตนี้ตั้งมั่น จิตนี้เป็นฐาน แต่ความเป็นไปขณะนั้นที่มันเป็นไป ความเห็นอันนี้มันถึงว่าไว้ใจไม่ได้ แม้แต่พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะได้ฟังพระอัสสชิ เห็นไหม พระอัสสชิเป็นพระอรหันต์รู้ถึงเรื่องกิเลสในหัวใจทั้งหมด ทำไมจะไม่รู้ว่าสิ่งใดๆ เป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ แล้วเห็นตามความเป็นจริงจะเป็นอย่างไร พูดไม่กี่คำ แต่ผู้ที่มีปัญญาแล้วหาที่พึ่ง หาครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้ทางออก ผู้ที่มีพลังงาน แต่ยังไม่มีเทคโนโลยีออกไง พระอัสสชิพูดทีเดียวเท่านั้นล่ะพุ่งออกเลย กับที่ว่าไม่มี ไม่มี ด้วยจินตนาการ ด้วยความฉลาดของตนน่ะ มันเป็นประโยชน์ไหม นี่ให้เห็นโทษของการปฏิบัติ ให้เห็นโทษของความฉลาดของตนไง

ว่าตัวเองฉลาดๆ ไง แม้แต่มีพื้นฐาน มีความเป็นสมาธิ มีจิตนี้เป็นพื้นฐานยังปล่อยให้เสื่อมไปต่อหน้าต่อตา แต่เข้าใจตนว่าตนรู้อนิจจัง เข้าใจไง ความเข้าใจคือกิเลสมันเสาะมันเสี้ยม กิเลสนี้เสี้ยม แม้แต่จิตนี้สงบเพราะมันเบาบางลงแต่มันไม่ได้ชำระออกไป จนยกขึ้นวิปัสสนา เห็นไหม ยกขึ้นวิปัสสนา เหตุทำให้จิตนี้เสื่อมได้อย่างไร จิตนี้วูบวาบเสื่อมไปได้อย่างไร เราทำขึ้นมาจนเป็นฐานตั้งมั่นแล้วมันเสื่อมไปเพราะเหตุไร มันเสื่อมไปเพราะเหตุไร เพราะเราไปนอนจม เราไปนอนจมอยู่กับอารมณ์ที่มันเป็นสมาธิ ความที่จิตนี้มันนอนอุ่นมันมีความสุข มันไม่ฉงนใจว่าจิตสงบแล้ว

ถ้าไม่เห็นสิ่งใดต้องยกขึ้น กาย เวทนา จิต ธรรม ธรรมอารมณ์ที่ว่าการกระทบ ความเสื่อม ความเป็นไปในหัวใจที่มันเกาะเกี่ยวอยู่ จิตมันสงบมันก็มีความพอใจ ความพอใจในความสงบนั้นเป็นสุขไหม ความไม่พอใจในการทำจิตนั้นเข้าด้วยความยาก ความเสื่อมนั้นออกไป

แม้แต่การนั่งสมาธิไปหนหนึ่งๆ จิตมันสงบลงมันก็ถอนขึ้น การเข้าจิตออกจิตมันจะเข้าได้ง่ายและเข้าได้ยากเป็นบางครั้ง บางครั้งบังคับบัญชาขนาดไหนก็ไม่เข้า บางครั้ง นั่งพอเป็นไป จิตมันสงบไปเลย เห็นไหม ความสงบของจิตอันนี้แล้วเราควบคุม มันเสื่อมมันแปรสภาพ จิตนี้ ความรู้สึก ความข้องอยู่ การพิจารณาจิตไง กาย เวทนา จิต ธรรม จิตที่กระทบอารมณ์ความรู้สึกนี้เป็นธรรมารมณ์ เราก็จับตั้งได้นี่นะ จับตั้งแล้วใคร่ครวญสิ ใคร่ครวญว่ากิเลสที่มันเสี้ยมมาสอนมา มันเสี้ยมอยู่ในความคิด มันยึดมั่นความคิดของตนมากว่าฉลาดมาก รู้มาก ยอดเยี่ยมมาก

ถ้ายอดเยี่ยมมากทำไมไม่เชื่อธรรมะพระพุทธเจ้า ธรรมะพระพุทธเจ้าว่า กายนี้ก็ไม่ใช่เรา จิตนี้ก็ไม่ใช่เรา ธรรมารมณ์นี้ก็ไม่ใช่เรา ความทุกข์ความสุขในใจนี้ก็ไม่ใช่เรา มันอาศัยต่อเนื่องกันเกิดขึ้น มันเป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นระหว่างจิต เจตสิก จิต...จิต เจตสิก กับอารมณ์ความรู้สึกกระทบกัน มันหมุนไป หมุนมา หมุนมา หมุนไป แล้วกิเลสต่อเนื่องหมุนอยู่ตรงนั้น กิเลสต่อเนื่อง กิเลสตัวเชื่องไง กิเลสยางเหนียวอยู่ในอารมณ์ของตน บางทีมันหมุนอยู่นั่นน่ะ หมุนไป หมุนไป อยู่ตลอดเวลา มันจะละเอียด ในเมื่อจิตสงบ

พอจิตสงบความละเอียดอันนี้เราเข้าใจว่าเราเห็นความเป็นธรรม แต่เรายังไม่ใคร่ครวญ ใคร่ครวญแล้วแยกแยะตัวนี้ ตัวนี้ตัวที่มันต่อเนื่องมันหมุนกันไปต่อเนื่อง ให้แยกออกจากกันไง ให้สงบชั่วคราว เหมือนกับเราล่อกิเลสออกมาจากจิต จากตัวจิตออกมาเจตสิก แล้วออกมาเป็นเจตนาออกมา หมุนออกมานั่นน่ะ ย้อนกลับเข้าตัดตอนของมัน ตัดตอนให้มันห่างออก แล้วให้เห็นว่าความแตกสลายออกไปจากความคิดที่เป็นเรา ยึดมั่นเป็นเนื้อเดียวกัน

สิ่งที่เป็นเนื้อเดียวกัน เสื้อผ้าที่สกปรก ผ้าที่สกปรกกับความสกปรกของเสื้อผ้านั้นน่ะแยกออกจากกันได้ เราซักผ้า เห็นไหม เราซักผ้าแล้วผ้าที่สกปรกมาก เราซักผ้าน้ำแรก น้ำนั้นจะดำเลย กิเลสก็เหมือนกัน กิเลสนี้ไม่ใช่จิต กิเลสนี้ไม่ใช่ขันธ์ มันแทรกอยู่ตรงนั้นต่างหาก ความแยกออก แยกออก จากวิปัสสนาญาณ การเกิดขึ้นจากมรรคอริยสัจจังอันนี้ต่างหากมันถึงเข้าไปทัน อันนี้ถึงเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการบังคับจิตขึ้นมา...

...หากเป็นผู้บังคับบัญชากิเลสต่างหากหลอกให้เราไปกว้านไฟมาเผาตน เราทำจนจิตสงบจนยกขึ้นเป็นภาวนามยปัญญา วิปัสสนาญาณเกิดขึ้น เพราะว่าเรายอมโง่ก่อน เราพยายามบังคับให้มันอยู่ ถ้าเราว่าฉลาดเท่าไร มันยิ่งฟุ้งเข้ามาก เรากำหนดจิตจนมันสงบ พอความสงบเกิดขึ้น ปัญญาจากภายใน ปัญญา เพราะเราต้องหาครูหาอาจารย์ หาผู้รู้จริงให้เทียบเข้ามา ถึงไม่มีผู้รู้มันก็มีตำราไง ในพระไตรปิฎก เพราะว่าเราอ่านหรือเราศึกษามันก็เข้ามาเป็นการอ่านนั้น มันเป็นปริยัติ มันเป็นตำรายา

เราก็ต้องผสมยาขึ้นมาจากใจ ใจที่มันขับเคลื่อนนั้นคือการผสมยา ทำยานั้นเป็นยาขึ้นมา เป็นปัญญาขึ้นมา ปัญญาอันนั้นเกิดขึ้นมันหมุนกลับเข้ามา มันถึงเป็นความฉลาดจริงไง ความฉลาดจริงคือการใคร่ครวญ ปัญญาในการรอบรู้กองสังขาร รอบรู้กองความคิด แล้วก็จับความคิดขึ้นมาพลิกแพลง จับจินตนาการ จับความเห็นของความเป็นไปที่แยกออก แยกออก แยกจากที่กายกับจิตนี้มันแนบอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน

เราเป็นเราไง ที่เราเชื่อว่าเราเป็นเรา เราฉลาด เรารู้ เราเก็บสมบัติ เราเป็นคนเก็บทั้งสมบัติภายนอกสมบัติภายในไว้ในหัวของเรา แล้วพอความเป็นจริงเข้ามาโดยวิปัสสนาญาณเข้าไปแล้ว มันไม่ใช่ มันไม่มีอะไรเป็นของเรา มันเกิดขึ้น ดับไป เกิดขึ้น ดับไป มันเป็นสัญญา มันเป็นสังขาร มันเป็นวิญญาณที่รับรู้เกิดขึ้น มันเป็นเวทนาที่พอใจและไม่พอใจ มันเป็นรูปของจิต มันเป็นรูปของกาย นี่ความเห็นความเป็นจริง ปัญญาแท้ ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการเป็นผู้ภาวนา

ไม่ใช่ปัญญาโง่ๆ แบบปัญญาโลก ปัญญาโลกคือปัญญากว้านเข้ามา เห็นไหม ที่ว่ากว้านเข้าไปเป็นไฟ เป็นไฟ แต่นี้คือปัญญาที่เข้าไป ไม่ใช่ดับไฟนะ เข้าไปทำลายเชื้อไฟ ทำลายเชื้ออันนั้นเลย เชื้อที่เกิดขึ้นว่าเป็นเจ้าวัฏจักร เจ้าวัฏจักรที่มันขับเคลื่อนออกมาน่ะ เข้าไปทำลายต้นของเหตุ อย่าว่าแต่เหตุ เหตุคือการเราสร้างเหตุขึ้นมา ไปทำลายเชื้อเดิมที่ทำให้เราเกิดดับ เกิดดับ เพราะเราเกิดขึ้นมากิเลสนี้พาเกิด เราเข้าไปทำลายเชื้อตัวนั้นเลย ใช้จากปัญญาเข้าไปทำลายเชื้อ ไม่ใช่ทำลายไฟนะ

ปัญญาของโลกคือปัญญาเอาไฟมาสุมตน แต่ปัญญาภาวนามยปัญญาคือปัญญาเข้าไปทำลายเชื้อทำให้เกิดที่ตัวดูดจากปัญญาโง่ๆ พาเข้ามาอันนั้นน่ะ อย่าว่าแต่ไฟ ลึกกว่าไฟ มันสะอาด มันโล่ง มันโถงไง

จากที่ว่า สิ่งนั้นไม่มี สิ่งนั้นไม่มี...มันไม่มีตรงไหน มันมีอยู่ กายนี้เป็นเพราะเรามีการสร้างบุญกุศลถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มันถึงมีกาย กายมีก็มีไปสิ แต่ความทุกข์ร้อนในกาย เห็นไหม แต่เดิมเราจะทุกข์ร้อนมาก เราจะขับเคลื่อนไปพร้อมกัน เป็นเนื้อเดียวกัน การแบกเหมือนกับเราแบกศพไปอยู่ตลอดเวลา กับเดี๋ยวนี้เราทิ้งซากศพ แต่กายนี้ก็ยังอยู่กับเรา เราทิ้งซากศพ คือความติดในกาย ความติดในกาย สักกายทิฏฐิมันไม่มี มันปล่อยออกไป มันไม่มี

แต่สิ่งที่ว่าไม่มีอย่างที่สัญชัยพูด...ไม่ใช่ อันนั้นไม่มีมันไม่มีด้วยการปฏิเสธ

อันนี้ไม่มีเพราะมันไม่มีเชื้อ มันไม่มีเชื้อตัวยึด มันไม่มีอุปาทานตัวในไง แต่มันก็มีอยู่ มีอยู่โดยความเป็นจริง เห็นไหม ที่ว่าไม่มีคือว่าไม่มี อันนี้บอกไม่มีคือมันไม่มีเชื้อ แต่มันมีอยู่ มีอยู่ตามความเป็นจริง เพราะกายกับจิตนี้มันก็อยู่ด้วยกันอย่างนั้นแหละ แต่มันสละไอ้ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นซากศพนั้นออกไป สละว่ากายเป็นเราออกไป สละออกหมด ไม่มีแต่มี

มีความรู้ตัวหนึ่งว่า ญาณทสฺสนํ รู้ว่าเราสละกายนี้ขาด เห็นไหม

แล้วไม่มีๆ ไม่มีเปล่า อันนี้ไม่มี...มี มีเพราะมีใจ มีผู้รู้ ผู้รู้รู้ตามความเป็นจริงแล้วปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริง นี้ถึงว่ารู้จริง ปัญญานี้ถึงว่าปัญญาเอาตัวรอดได้ คือปัญญาแท้ไง ปัญญาแท้ๆ นะ เห็นคุณค่าไหม เห็นคุณค่าของว่าปัญญาญาณ ปัญญาญาณเกิดขึ้นจากการที่เราเชื่อมั่นในธรรมะของพระพุทธเจ้า เราเชื่อว่าธรรมอันเอก ธรรมที่เอาเราพ้นจากความทุกข์ได้ เราเชื่อมั่น เราถึงยอมสละความที่ว่าไอ้กิเลส ไอ้ความฉลาดภายนอกที่ว่าเจ้าเล่ห์แสนงอนจะให้เรามีความสุขข้างนอกไง เรายอมสละทิ้งอันนั้น เรายอมสละทิ้งปัญญาที่มันเอาไฟมาสุมใส่ตนว่าเป็นปัญญา แล้วเรามาพยายามบังคับตนให้อยู่ในศีลในธรรม อยู่ในแนวทางการทำใจให้สงบ อยู่ในแนวทางในการเสริมสร้างมรรคอริยสัจจังขึ้นมา มันถึงว่าเกิดปัญญาญาณขึ้นมาไง แล้วชำระได้ตามความเป็นจริง ถึงจะเป็นผู้ฉลาดขั้นหนึ่ง

เราทำลายความโง่หลุดออกไปขั้นหนึ่ง พ้นจากพญามัจจุราช จากเดิมไม่พ้นจากพญามัจจุราช อยู่ในข่าย อยู่ในวัฏวน ไม่มีทางพ้นไปจากพญามัจจุราชได้เลย แล้วเราทำลายเชื้อออกไป เราพ้นจากพญามัจจุราช จากความที่ไม่มีเงื่อนไม่มีปลาย ไม่มีที่สิ้นสุด จนเหลือว่าอย่างน้อยก็เป็นหนี้พญามัจจุราชแค่ ๗ ชาติ พญามัจจุราชยังมีอำนาจอยู่ในจิตดวงนี้อีก ๗ ชาติ อย่างที่ว่ายังต้องเกิดดับอีกต่อไปถ้าไม่ได้เสริมสร้างคุณงามความดี ใช้ปัญญายกตัวเองพ้นออกจากพญามัจจุราชไปเลย ถ้าถึงจุดนี้มี บุคคลบางจำพวกทำได้เท่านี้ อยู่ในจุดนี้ก็พ้นจากพญามัจจุราช

จากที่ว่าเป็นหนี้ไม่มีกำหนด เป็นหนี้จนกว่าไม่มีวันที่สิ้นสุด จนเหลือจำนวน ๗ ชาติ เห็นไหม ปัญญาแท้ๆ นี่พ้นจากพญามัจจุราชได้ แต่ปัญญาของเราที่สะสมกันว่าเยี่ยมๆ น่ะ มันพ้นจากพญามัจจุราชไปตรงไหน ปัญญาไหนก็ไม่เคยพ้น อยู่ในอำนาจ อยู่ในอำนาจของเขาตลอด แล้วไม่มีเงื่อน ไม่มีปลาย ไม่มีวันที่จะใช้ได้หมด

แต่ในวงวกเข้ามาในภาวนามยปัญญาอันนี้ชำระกิเลสจนสักกายทิฏฐิหลุดออกไปจากหัวใจ เห็นไหม ๗ ชาติ อันนี้เราเห็นคุณค่าว่าเรายังเป็นหนี้อยู่อีก ๗ ชาติ มันก็ต้องใช้ปัญญาให้ลึกเข้าไปอีก มรรค ๔ ผล ๔ ต้องวกเข้ามา เกิดสละความสุข สละความเป็นไป สละความนอนเนื่องของโลก สละความที่ว่าเราต้องขวนขวายออกไปทางโลก วกเข้ามา ทำใจให้สงบ ทำใจให้สงบ สิ่งที่มันเป็นไม่มีสักกายทิฏฐิแล้วมันยังไม่สงบอีกเหรอ? สงบ ความสงบนี้เป็นความว่างที่มันเป็นใจล้วนๆ เป็นใจที่สละสักกายทิฏฐิแล้ว มันเป็นความว่าง

แต่การทำสมาธินี้มันเป็นพลังงานอีกตัวหนึ่งไง สมาธิ เห็นไหม มรรคอริยสัจจัง สัมมาสมาธิ ความเพียรชอบ ความดำริชอบยกใจขึ้น ยกใจขึ้นมาหมุนออกมาเป็นพลังงานเป็นมรรค เป็นพลังงานที่จะเข้าไปทำลายไอ้ความเกาะเกี่ยวของกายกับใจให้แยกออกจากกัน นี่พอยกขึ้นมา เพราะความว่างเป็นความว่างอันหนึ่ง ยกขึ้นมาเป็นสมาธิ เป็นสมาธิอันหนึ่ง

ความว่างของใจที่มันพ้นจากสักกายทิฏฐินั้นเป็นความว่างที่มันเป็นผลของมันแล้ว ยกขึ้นมา ถ้าเป็นความว่างที่มันนอนจมอยู่นั้นมันก็ ๗ ชาติ ยกขึ้น ยกขึ้นมาทำสมาธิขึ้นมา ทำความสงบของใจขึ้นมา เพราะใจมันละเอียดเข้าไป มันก็คิดได้ละเอียดภายในไง ให้เป็นปัญญาที่ละเอียดขึ้น เป็นความสงบที่ละเอียดขึ้น ความสงบเกิดขึ้นอยู่แล้ว ความว่างเกิดขึ้นอยู่แล้ว มันทำง่ายกว่าการที่ว่าปัญญาใหม่ๆ ไอ้ความโง่มันผลักไส แต่ความโง่โดนทำลายออกไปบางส่วนแล้ว ไอ้ความเกิดขึ้น ความฉลาดเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นได้ง่าย

แต่ความฉลาดเกิดขึ้น กิเลสที่เกิดขึ้นจากการภาวนามันยังหลอกไปตลอด ความเป็นไป ความเป็นไป ความหลอกอันนี้ว่าเห็นความเป็นไตรลักษณ์ เห็นความเป็นอนิจจัง...เห็น เห็นเพราะจินตนาการไง ความจินตนาการ จินตนาการขณะปฏิบัติ อันนั้นก็เป็นจินตนาการ เป็นจินตะ ไม่ภาวนามยปัญญา

ภาวนามยปัญญาพอจิตสงบมันจะวกกลับมาหาจอภาพ หาฐานที่มั่น หาตัวที่กิเลสตัวเชื้อไง ไฟที่หามาสุมๆ ที่ใจมันสุมตรงไหนในเมื่อมันละสักกายทิฏฐิไปแล้ว? มันก็มาสุมรวมอยู่ที่กลางหัวใจ กลางเจ้าวัฏจักรที่มันอยู่ไง

เราได้ทำลายหลานของเจ้าวัฏจักรไปแล้ว เราได้ทำลายกำแพงเมืองเฉยๆ หลานนะ แล้วลูกล่ะ แล้วยังตัวพ่อตัวแม่อีก ตัวปู่ตัวย่าอีก เห็นไหม นี่มันละเอียดขึ้น เวลาเราพูดถึงว่าหลานมันเด็กๆ ดูว่ามันไร้เดียงสา มันน่ารัก ว่ามันเป็นเป้าที่ใหญ่ แล้วพอไปเจอปู่ย่าตายายมันคงจะหาง่ายขึ้นไป เพราะตัวมันอายุมากขึ้น มันจะเห็นได้ง่าย

ยิ่งใหญ่ เห็นไหม ยิ่งใหญ่ยิ่งหายาก กิเลสยิ่งละเอียด ยิ่งเป็นนามธรรมยิ่งหาได้ยาก

กิเลสหยาบๆ ที่ว่าข้างนอก ไอ้ตัวเชื้อเรายังจับต้อง เชื้อโรคต้องใช้กล้องจุลทรรศน์มอง เชื้อพวกนี้ไม่ได้ ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ ต้องใช้สารเคมีเข้าไปเพื่อให้มันมีปฏิกิริยาให้เราเห็นได้ ไอ้ความละเอียดความหยาบ กิเลสลึกเข้าไปเรื่อยๆ ลึกเข้าไปเรื่อยๆ จากที่ว่าจิตสงบแล้วเห็นกายง่ายๆ เห็นจิตง่ายๆ ยังจับต้อง แล้วพอมันลึกๆ เข้าไป

ถึงว่า จิตนี้สงบขึ้นมา งานภายในถึงละเอียดขึ้น ความละเอียดขึ้นไปเพื่อจะทำลายภพชาติที่มันละเอียดขึ้น เพราะจิตนี้เป็นตัวเกิด จิตนี้มีอวิชชา จิตนี้มันมีกิเลส กิเลสที่ตัวอยู่ในจิตนี่มันตัวพาเกิดตลอด ทีนี้เราเข้าไปเพื่อจะทำลายกิเลสต่างหาก เราไม่ได้ทำลายหัวใจนี่นะ แต่นี้กิเลสนี้มันอยู่ที่หัวใจ เราก็ต้องทำลายลงที่หัวใจนั้น ทำลายกิเลสออกไปแล้วหัวใจไม่บุบสลายหรอก เพราะมันเป็นนามธรรม แต่มันไม่กล้าทำเพราะมันอ้อยอิ่ง

เราทุกข์ เราทำลายวัตถุ เราเห็นว่ามันทำลายลงออกไปเลย ทีนี้เวลาเราทำลายกิเลส ทำลายนามธรรม มันคิดว่ามันเป็นวัตถุ...มันไม่ใช่ ความที่เป็นนามธรรมนี่ทำลายไปเถิด แต่ไอ้ความตระหนี่ถี่เหนียว ไอ้ความยึดมั่นเครื่องของใจนี่ไง ความยึดมั่นว่าเป็นเราไง ความยึดมั่น ความยึดมั่น ฟังสิ มันเป็นอุปาทาน เราจะทำลายอุปาทานต่างหาก เราไม่ได้ทำลายหัวใจ แต่จะทำลายอุปาทานระหว่างกายกับใจ มันก็ว่าเป็นการทำลายเรา ถ้าทำขณะเจอตัวแล้วนะ

แต่ถ้าไม่เจอตัวล่ะ เพราะมันคิดว่าจะทำลายเรามันถึงไม่กล้าแสวงหาไง มันถึงไม่กล้าค้นคว้า พอสงบขึ้นไปมันจินตนาการมองไป กิเลสที่มันอยู่ที่หัวใจ ที่ว่ามันอยู่หัวในหัวใจนี้มันก็ต้องหลอกสิ การทำภาวนามันถึงมีการลุ่มดอนๆ เห็นไหม

เห็นไปว่าเป็นอนิจจัง ขณะที่มันเกิดดับ มันเป็นสมาธิแล้ววิปัสสนาไปแล้วมันดับต่อหน้า...กิเลสมันหลอก ความหลอกลวง ปัญญาของกิเลส กิเลสมันโง่กว่าเราหรือ เราโง่หรือเราฉลาด? เราโง่กว่ากิเลสเราอยู่แล้ว เพราะเรา มันทำลายเรา มันทำหัวใจเรามันถึงไม่ยอมทำ

๑. ไม่ยอมทำ

๒. ทำก็ทำให้พ้นจากเป้าหมาย ให้พ้นจากความว่ามันจะลงถึงจุดของหัวใจนั้นให้เคลื่อนออกไป มันก็วนออกไปห่างๆ

พอวนออกไปห่างๆ ความหมุนไป เราเจอสภาพความเป็นไปจากข้างนอก เราเดินตามอนิจจัง เราไม่เห็นอนิจจังตามความเป็นจริง เราเห็นหัวใจที่เกิดขึ้นเป็นปัญญาแล้วหมุนไป ๑ รอบงานของมัน แล้วเห็นมันแปรสภาพไป แล้วเราว่าเราเห็นอนิจจัง อย่างเช่นเรามีความเสียใจเกิดขึ้น แล้วเราระลึกรู้ตามความเสียใจเราภายหลัง เราก็ว่าน่าเสียใจ เราไม่น่าทำ เราเห็นแต่ความแปรสภาพ เราว่าเราเห็นอนิจจัง นี้เราเห็นภายนอกนะ แต่เห็นวิปัสสนาข้างในก็เป็นแบบนั้น

มันหลอก หลอกหน้าหลอกหลังเลยล่ะ นี่ปัญญาของกิเลสขณะที่ว่าเราใช้ปัญญาภาวนามยปัญญา การต่อสู้ระหว่างกิเลสกับธรรมตามหัวใจของผู้ที่ปฏิบัติ ผู้ที่ปฏิบัตินะ ถ้าผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติไม่ต้องพูดถึงตรงนี้ มันเป็นกิเลสล้วนๆ มันเป็นปัญญาล้วนๆ มันเป็นความโง่ล้วนๆ แต่มันเข้าใจว่ามันฉลาดเพราะว่ากิเลสมันสั่งให้คิด เพราะกิเลสอยู่ที่ว่ามันควบคุมปัญญาตัวนั้น มันถึงยกขึ้นไม่ได้ไง ถึงยกใจนี้ให้หลุดขึ้นไปไม่ได้ไง เพราะกิเลสมันละเอียดขึ้น ฟังสิ คำว่า “หลาน” แล้วไปหาพ่อหาลูก มันจะละเอียดขึ้นไหม

เทคนิควิธีการกลหลอกลวงของผู้ที่สูงขึ้นต้องละเอียดกว่าเด็ก ลูกหลานมันยังมีความละเอียดหลอกลวงเราได้ขนาดนั้น เรานะ เราคือหัวใจ แต่มันอยู่ใต้ปกครองของกิเลส ถึงว่าต้องทำลายไอ้กิเลสนั้น เราตัวนี้ถึงจะเป็นอิสระ เราตัวนี้ไม่เคยเป็นอิสระเลย อยู่ใต้อำนาจของเจ้าวัฏจักร อยู่ใต้อำนาจของกิเลสที่มันปกครองหัวใจของเราไง

จากไม่มีที่จุดหมายปลายทางเหลือ ๗ ชาติก็จริง ยิ่ง ๗ ชาตินะเป้ามันยิ่งรวมตัวเข้ามา กระแสรวมตัว เห็นไหม กิ่งไผ่แตกแขนงออกไปนี่เราหักได้ ลองรวมตัวเข้ามาเราหักได้ไหม นี่เหมือนกัน อวิชชา กิเลสมันอยู่กลางหัวใจหดตัวเข้ามา มันจะรวมตัวกันแล้วเราจะทำลายมันง่ายๆ เป็นไปได้หรือ

นี่วนเข้ามา เหนื่อย งานที่จะเอาตัวเองพ้นจากภพชาติทำไมจะไม่เหนื่อย งานภายในไง งานภายในหมายถึงว่าผู้ที่มีขันติมีความพยายามจริงเท่านั้น ยอดคน บุรุษอาชาไนย บุรุษอาชาไนยถึงจะทำลายเจ้าวัฏจักรตัวนี้ได้ ทำลายเจ้าวัฏจักรจนเป็นครูของเทวดา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครูของเทวดา เป็นครูของมนุษย์ เป็นครูต่างๆ เป็นครูสอน ๓ โลกธาตุ เพราะทำลายอวิชชาตัวนี้ได้ อวิชชาท่ามกลางหัวใจ ถึงว่ากลายเป็นยอด คนยอดแท้ๆ เลย ยอดของเอกบุรุษเป็นผู้เอก

แล้วเราเป็นใคร ครูบาอาจารย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชุบมือเปิบเหรอ กลับมาจากข้างนอกมาถึงบ้านล้างมือแล้วเปิบเอาเลยเหรอ พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ กิเลสนี้แก่นกิเลสอยู่ที่กลางหัวใจทุกๆ ดวง การต่อสู้ การมุมานะของเรา เพราะเราจะเป็นยอดคน งานภายใน...งานข้างนอก ไม่ต้องวิตกกังวล ไม่ต้องวิตกกังวล มีคนทำต่อแน่นอน เราอยู่หรือเราไปงานนั้นต้องมีคนทำต่อ แต่งานในหัวใจเราถ้าโอกาสนี้เราไม่ทำลายมันซะก่อน เราไปเกิดชาติไหนไม่รู้

ปฏิเสธกันว่าไปเกิดแล้วก็แล้วกัน ตายไปแล้วให้มันไปดีเถิด เพราะไปสภาพไหน มันแปรสภาพ จากเราเป็นเด็กมาจนเดี๋ยวนี้ ความคิดเราเปลี่ยนมากี่ครั้งแล้ว ความเป็นเด็กเป็นอย่างหนึ่ง ความเป็นปัจจุบันนี้เราเสียดายเวลาทุกๆ คน แล้วต่อไปจะเสียดายขนาดไหน

นี่เหมือนกัน พ้นจากปัจจุบันชาติไปเกิดที่เห็นกัน ทำไมปัจจุบันนี้ไม่ทำ เห็นไหม อันนี้มันกลับมาเพิ่มพลังงาน เพิ่มความมุมานะให้หัวใจเราเข้มแข็งไง คนเราเกิดมาต้องตายหมด ทุกข์ขนาดไหนเราก็ต้องไปถึงตรงนั้น แล้วปัจจุบันนี้เราจะกลัวอะไร เราก็ต้องทุ่มเข้าไปถึงความอุตสาหะของเราทั้งๆ เต็มที่เลยขณะที่นั่งปฏิบัติอยู่ ไม่อย่างนั้นมันอ่อนแอนะ อ่อนแอก็ล้ม พออ่อนล้มมันก็ความฉลาดๆ นั้นกลายเป็นโง่ไปหมด แล้วพอเราพักอันนี้ ไอ้ความคิดของตัวเองว่า นี่มัชฌิมาปฏิปทา นั้นมันมัชฌิมาของกิเลสไง เห็นไหม กิเลสนี้เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องมือหลอกเราอีกชั้นหนึ่ง

เราว่าเราศึกษาธรรมมา ผู้ที่เก่งผู้ที่ฉลาดศึกษาธรรมไว้มากๆ ไอ้กิเลสมันพลิกกลับมาเลย ใช้ธรรมะพระพุทธเจ้าหลอกเราเลย สิ่งที่เราทำอยู่ เราเลิก เราเป็นผู้ท้อถอย เราเป็นผู้ที่อ่อนแอ เราเป็นผู้ที่พอ อันนี้เป็นมัชฌิมา แต่ถ้าทำแบบว่าจะมีการต่อสู้ กำลังจะได้เสียกิเลส อันนั้นเป็นอัตตกิลมถานุโยคจะทำให้เราลำบากเกินไป อันนี้หรือปัญญา? อันนี้กิเลสชัดๆ ปัญญาของกิเลสไง

กิเลสมันว่าเป็นปัญญาแล้วเอามาหลอกเรา แล้วเชือดคอเราอีกชั้นหนึ่งไง โง่หรือฉลาด

ถ้าฉลาดต้องไม่เชื่อ ต้องทดสอบ ต้องต่อสู้ เห็นกายตามความเป็นจริง ธาตุนี้แตกออกจากใจ ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ จิตนี้หลุดพ้นออกมาจากกายมาล้วนๆ เลย เวิ้งว้างไปหมด ว่างไปหมดเลย จากอุปาทานในกายไม่มี จิตนี้หลุดออกไปเป็นจิตล้วนๆ...จิตล้วน ๆ นี่ไม่มีอีกล่ะสิ ไม่มี ไม่มีอุปาทาน ไม่มีเกาะเกี่ยวในเรื่องของโลกเลย

โลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง จิตนี้ออกไป ออกไปจากโลกธาตุทั้งหมด เพราะดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ธาตุ ๔ นี้แตกสลายออกไป ในการพิจารณากาย จิตนี้พ้นออกไป มีหรือไม่มี? ไม่ติดข้องแต่มี มีความรู้สึกตัวนั้น ตัวที่ตัวหลุดพ้นออกมา ตัวจิตรับรู้ไง ญาณทสฺสนํ ออกมา อีก ๓ ชาติ พ้นจากวัฏฏะจาก ๗ ลงมา ทำลายเหลือ ๓ ชาติ เห็นไหม ยกขึ้น เวิ้งว้างขนาดไหน

การวิปัสสนา การทำไปในกิเลสนี้กิเลสในการประพฤติปฏิบัติจะหลอกไปตลอดเวลาว่าอันนี้สิ้นแล้ว เวิ้งว้าง คิดดูสิ พ้นออกไปจากวังวนทั้งหมด มันทำไมจะไม่พ้นล่ะ...มันว่าพ้นจากกิเลสแล้วนะจิตตัวนี้ แต่ความจริงมันจะพ้นไปไหนในเมื่อกามมันยังอยู่เต็มหัวมัน เพราะมันเกิดอีก ๓ ชาติ มันจะพ้นไปจากไหน

ความไม่เชื่อตนเองไง ไม่เชื่อตนเองคือไม่เชื่อกิเลส ตนนี้กิเลสมันอยู่ด้วยกัน ใจกับความคิดเป็นอันเดียวกัน กิเลสอยู่ตรงนั้นพร้อมกันหมดเลย นี่ความใคร่ครวญต้องให้ความโง่ในความว่าตัวเองฉลาด กับความฉลาดในธรรมะพระพุทธเจ้าต่างกัน ศึกษาธรรมมาไม่ใช่ศึกษามาเพื่อให้กิเลสมันเสริม ไม่ให้กิเลสเอาไปหากิน ศึกษามาเพื่อทดสอบ มันเป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน รู้ขึ้นจากตามความเป็นจริง ไม่ใช่รู้ขึ้นจากว่าอนิจจังที่เราเห็น ปัจจัตตังความเป็นจริงแล้วแยกออกจากตามความเป็นจริงให้รู้ตามความเป็นจริง

ฉะนั้น มันเวิ้งว้างขนาดไหน ขณะที่ว่าพ้นไปมันเข้าใจว่าพ้น แต่ตามหลักความจริงยังเกิดอีก ๓ ชาติ ตามหลักความจริงถ้ามันรู้ว่ามันจะเกิดอีกมันก็ต้องไม่หลงใช่ไหม แต่มันต้องหลงเพราะมันยังต้องไปหาตัวลูก ตัวนางตัณหา นางอรดี ลูกของเจ้าวัฏจักร ลูกของเจ้าวัฏจักรเพราะมันยังลุ่มหลงในตัวของมัน ถ้ามันพ้นทำไมมันยังหลงในใจความรู้สึกของตัว หลงในจิต จิตมันหลงจิตไงว่าตัวเองพ้นใช่ไหม หลงหรือไม่หลง? หลง หาตัวเองเจอไหม? ไม่เจอ เพราะเป็นนามธรรม

นางราคะ นางอรดี ความลุ่มความหลง ราคะไง โทสัคคินา โมหัคคินา โลภัคคินา ความหลงความโกรธ โทสัคคินา ความหลง โลภัคคินา...โลภ โกรธ หลงอยู่ตรงนั้นหมด นี่วนเข้ามา มันละเอียดเข้าไปอีก ความละเอียดลึกลับที่มันเป็นกระไส ที่มันเป็นเชื้อนะ เชื้อตัวนี้นี่วนเข้ามา ปัญญาตามความเป็นจริงหมุนเข้าไป อันนี้รุนแรงถ้าเจอ ถ้าเจอนะ ส่วนใหญ่จะไม่เจอ แล้วเข้าใจว่าพ้น เข้าใจว่าพ้น เข้าใจว่าไง

ความหลงขณะการปฏิบัติที่ว่าฉลาด ความฉลาดจะทำให้ล่มจม ความฉลาดทำให้นอนจม วกเข้า ถ้าไม่เจอเข้ามันจะนอนอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเจอมันจะรุนแรง ฟังนะ ถ้าไม่เจอมันนอนอยู่เพราะว่ามันซ่อนอยู่ข้างในนะ เราจะตามใครก็แล้วแต่ เขาไปซ่อนอยู่ข้างใน เรามองเข้าไปจากข้างนอกในที่หลบซ่อนเขา เราไม่เห็นอะไรเลย แต่ถ้าเราเข้าไปเจอตัวเขา เพราะอะไร เพราะเขาจะโดนทำลายเขาต้องต่อต้านเต็มที่ เหมือนกัน เราจับโจรมหาโจรมันปล้นจี้มา มันเข้าไปหลบซ่อนในที่ว่ามันปลอดภัย แล้วเราคนเดียวเราเดินเข้าไปจับ ในการต่อสู้ที่เขาจะเอาตัวรอดมันจะรุนแรงไหม

ไอ้กามภพก็เหมือนกัน เพราะอะไร เพราะมันจะทำลายกามที่กลางหัวใจ เราเข้าใจกันว่ากามๆ อยู่ที่กาย แต่กามมันชุ่มอยู่ที่จิต มันชุ่มอยู่ที่ความรู้สึก มันชุ่มอยู่ตัวเริ่มของความคิด ตัวนางตัณหา ความเป็นตัณหาตัวนี้ต่างหากเป็นตัวหัวใจของการปฏิบัติ ทุกคนต้องดับตรงนี้หมด การเกิดการดับเกิดจากกามล้วนๆ เพราะจิตนี้มันเกิด เกิดร่างกายแล้วไปเกิดไหน เราเกิดเป็นมนุษย์ เราได้ทั้งร่างมนุษย์ ได้ร่างกายและหัวใจ เราเกิดเป็นเทวดาเราได้จิตล้วนๆ กายนี้เป็นทิพย์ ตัวนั้นเป็นตัวกาม เพราะมันเกิดอยู่นั่นล้วนๆ ความเป็นล้วนๆ ตัวนั้น ตัวนั้นเพราะมันยังเกิดยังดับอยู่ เพราะมันเป็นกาม

ทีนี้การเข้าไปเจอ ที่ว่าถ้าไม่เจอมันจะไม่เห็น มันจะเข้าใจว่าสิ้น แต่ถ้าเราค้นคว้าจนเจอ เจอเพราะมันเจอตัวสำคัญ เจอตัวสำคัญ การต่อสู้ การทำลาย การขัดขวาง คือว่ามันจะรุนแรง ความรุนแรงหมายถึงการพิจารณากามไง การพิจารณาช่วงนี้จะรุนแรงมาก ถ้าใครเจอแล้วคนนั้นประเสริฐ ถ้าใครไม่เจอก็นอนจมว่าตัวเองสิ้น เพราะปัญญาของกิเลส ไม่ใช่ปัญญาตามความเป็นจริง ภาวนามยปัญญา

ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมันจะรุนแรง มันจะหมุนกันตลอด จนทำลาย จนโลกธาตุหวั่นไหวทั้งหมด ถ้าอันนี้มันรุนแรง มันเป็นน้ำป่า เห็นไหม ปัญญาที่การต่อสู้มันต่อสู้มาอยู่มันก็หลอก ความหลอกอันนี้ยิ่งลึกลับเข้าไปใหญ่ ปัญญาของกิเลสกับปัญญาของธรรม ระหว่างธรรมกับกิเลสต่อสู้กันในหัวใจจะลึกลับซับซ้อนมาก ลึกลับซับซ้อน ถ้าไม่ได้ผ่านตรงนี้มันก็เข้าใจว่าทำอะไรง่ายๆ ไง แม้จิตสงบ ความเห็น เห็นไหม ความเห็นอันนั้นมันเป็นความเห็นของกิเลส แม้แต่จิตสงบ มันใช้คำนี้มาเป็นเครื่องมือไง

แต่การต่อสู้นี้การต่อสู้ตามความเป็นจริง เพราะมันต้องทำลายภพทำลายชาติ จากการทำลาย ๓ ชาติ ถ้าทำลายตรงนี้ออกไป กามภพมันไม่เกิดไม่ตายอีกแล้ว ในกามภพน่ะ มันทำลายภพในปัจจุบัน พ้นจากพญามัจจุราชไปในปัจจุบันนั้นเลย ปัจจุบันเพราะมันไม่เกิดกามภพ ทำลายไปภพหนึ่ง แต่ไปเกิดบนพรหม เห็นไหม นี่ทำลายตัวนั้นเลย ไปเกิดบนพรหม ฟังสิ การไปเกิดเป็นพรหม คือว่าเหมือนผลไม้ที่สุกแล้ว มันจะเหมือนผลไม้ที่แก่ พอหลุดจากขั้วมามันจะสุกไปท่าเดียว

แต่ถ้าเป็นข้างล่างนี้มันเหมือนผลไม้ที่ว่ามันยังไม่สุก ตกไปยังเน่า ยังเสียหาย คือว่ามันยังไม่แน่นอน ไม่ได้ผลเต็มที่ แต่ถ้าทำลายกามภพแล้วเหมือนกับผลไม้ที่แก่แล้ว เราเก็บมันก็ต้องสุกไปข้างหน้า มันหลุดจากขั้วเองมันก็ต้องสุกไปข้างหน้า มันจะเป็นผลไม้ที่เป็นความเป็นจริงไปข้างหน้า ไม่มีเสียอย่างเดียว ไม่กลับมาเน่าอีก เห็นไหม ไม่กลับมาเน่าเสีย มันจะสุกไปเป็นผลไป ทำลายกามภพแล้วก็ไปเกิดเป็นพรหม หนึ่งเดียวก็ไม่กลับมาเกิดนี้อีกแล้ว ทำลายหมดเลย พ้นจากพญามัจจุราชที่เกิดดับอันนี้ แต่ไปเกิดตรงนั้น

ตอของจิตตัวนั้นคือตัวที่ว่าพ้นไปแล้ว มันเป็นที่ว่าสุกไปแล้ว นั่นคือตัวเหตุใหญ่ ตัวเหตุใหญ่อยู่ตรงนั้นเลย เพราะว่าผลไม้ที่สุกไปแล้ว ความสุกไปแล้วมันก็ไปมีค่า มีค่าที่ว่าถ้าเมล็ดนั้นตกลงดิน ตกลงดินนี่เกิดอีก จิตนั้นไปเกิดบนพรหม มันต้องเกิด มันต้องสุกไปข้างหน้า แต่เกิดบนพรหมนั้นมันไปเสียเวลาตรงนั้นไง การเกิดอีกมันเป็นภพชาติไหน? เป็นภพชาติอันหนึ่ง ภพชาติของพรหม

อันนี้ถ้าพ้นจากมัจจุราชโดยสมบูรณ์ มันต้องทำลายเมล็ดนั้นด้วย ทำลายตอนั้นด้วย

จากการที่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ทำลายตรงนั้นหมดเลย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เห็นไหม ความลุ่มหลงในภายใน ความลุ่มหลงภายนอกกับความลุ่มหลงภายใน ความลุ่มหลง ตัวเชื้อ ตัวทำลายตัวนั้น

ที่ว่า เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติมีคุณค่า ผู้ที่ภาวนาถึงตรงนั้นแล้วสมบัติมีคุณค่ามาก เหมือนกับว่าตัวเองอยู่ในที่สูง อยู่ในหอคอยงาช้างไง เป็นผู้ที่สั่งบัญชาการโลกทั้งหมด สั่งบัญชาการตัวเองทั้งหมด สั่งบัญชาการเจ้าวัฏจักร ตัวกองบัญชาการใหญ่ นั่นเห็นสงวนไว้ แล้วถ้าทำลายตรงนั้นออก สิ่งที่ว่าเป็นกองบัญชาการคือเป็นจุดศูนย์กลางของการเป็นไป ทำลายหมดเลย เวิ้งว้างยิ่งว่างเข้าไปใหญ่

เพราะจุดศูนย์กลางหมายถึงเป้าหมายสุดท้ายโดนระเบิดทำลายหมดแล้วด้วยวิชชา ด้วยมรรคอริยสัจจัง อรหัตตมรรคทำลายหมดเลย ทำลายอันนี้คือทำลายมัจจุราชทั้งหมด แล้วพอทำลายเสร็จ กลับมามีชีวิตโดยปัจจุบัน เห็นไหม ทำลายการเกิดและการตาย ในขณะที่ว่าสิ้นจากกิเลสทั้งหมด แม้แต่มีชีวิตอยู่ก็พ้นจากมัจจุราช เพราะยังไม่ดับขันธ์ เห็นไหม ทำลายกิเลส เชื้อที่ว่าเป็นขี้ข้าของมัจจุราช หรือเป็นหนี้ของมัจจุราช ทำลายทั้งหมด จิตนี้พ้นจากพญามัจจุราชทั้งหมด ทั้งๆ ที่มีลมหายใจเข้าและหายใจออกอยู่ ดูสิ ตายก่อนที่ยังไม่ตายอีก

ไอ้เราต่างหาก เราต่างหากที่เป็นหนี้พญามัจจุราช ต้องโดนพญามัจจุราชบังคับขู่เข็ญ เกิดๆ ตายๆ ตลอด กับอันที่ทำลายกิเลสสิ้นไปหมดแล้ว พ้นจากพญามัจจุราชแล้ว ทั้งๆ ที่มีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกพร้อมกับบรมสุขกลางหัวใจนั้น ฟังดูสิ เพราะอะไร เพราะไม่สำคัญตนว่าฉลาด ยอมเชื่อคำธรรมะของพระพุทธเจ้าไง ยอมกำจัดตน ความสุขที่ตนจะแสวงหาได้ มากำจัดไม่ให้กิเลสมันงอกงามไง

จากทำลายกิเลสให้มันยุบยอบลงมา จนใจยกขึ้นวิปัสสนา จนเป็นปัญญาแก่กล้าของหัวใจเราของพลังงานจากใจ พลังงานจากมรรคอริยสัจจังที่เกิดขึ้นจากนามธรรม ใจนี้เป็นนามธรรมเกิดขึ้นจากเราขวนขวาย เกิดขึ้นจากเราก่อ เกิดขึ้นมาจากความเป็นจริงของเรา เพราะเรามีครูมีอาจารย์ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บัญญัติธรรมไว้ จน ๒,๕๔๑ ปี แล้วเรายังเกิดมาทันแล้วยังเชื่ออยู่ เชื่อในความเป็นจริง เชื่อในปัญญาของพระพุทธเจ้า เชื่อในคุณธรรมของพระพุทธเจ้า เชื่อในเมตตาของพระพุทธเจ้าที่วางไว้แล้วเราเชื่อ

ความเชื่อ ฟังสิ ความเชื่อเป็นหัวขบวนเป็นหัวรถจักรให้เราขวนขวายในการประพฤติในการปฏิบัติ จนถึงจุดตามความเป็นจริง จากธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ เอโก ธัมโม ธรรมอันเอก ธรรมอันเป็นเป้าหมายของผู้ที่ปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งกิเลส จนถึงที่สุดพ้นจากพญามัจจุราชทั้งหมด เป็นผู้ที่พ้น เป็นผู้ที่ว่ามีความสุขจริงตามที่ว่าเขาแสวงหากันไม่พบ

โลกนี้เป็นความสุขของโลก ความสุขอันนี้ ดวงใจที่ประสบกับความสุขเท่านั้นที่จะได้ดื่มรสอันนี้ เกิดขึ้นจากหัวใจที่ว่าไม่มี ไม่เป็น ไม่ทุกอย่าง แต่มันสุข มันแปลกประหลาด มันมหัศจรรย์ พ้นจากไม่มี ในจักรวาลไหนๆ ก็ไม่มีสิ่งนี้ มีเฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระอริยสาวกที่เป็นพยานกันเท่านั้น แล้วก็ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติประพฤติถึงตรงนั้น เป็นผู้ค้ำประกันตามหลักความเป็นจริง ไม่ต้องมีใครมาพูดถึง มันเป็นเอกในหัวใจดวงนั้น เป็นความรู้สึกของใจดวงนั้น

ใจดวงนั้น ดูสิ ถึงว่าพ้นจากพญามัจจุราชทั้งๆ ที่มีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก กับที่ว่าเราใช้ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกนี้โดยเปล่าประโยชน์ ต่างกันมาก ถึงว่า เราถึงมีศักยภาพไง เราถึงว่าเราเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เกิดท่ามกลางพระพุทธศาสนา เราเป็นผู้มีบุญมีกุศล เพราะเรามีหนทาง เรามีเทคโนโลยีของใจ (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)