เทศน์พระ

เทศน์พระ ๑๔

๑๗ ก.พ. ๒๕๕o

 

เทศน์พระ วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันอุโบสถ อุโบสถศีลเห็นไหม เวลาเขาถือศีล ๘ เขาถือศีล ๘ นะ ถ้าถือศีลอุโบสถ ถือศีลอุโบสถ ช้างอุโบสถไง ศีลอุโบสถกับศีล ๘ ศีล ๘ เท่ากัน แต่ศีลอุโบสถมันบุญกุศลมากกว่าศีล ๘ เพราะศีล ๘ เขาถือเอาวิรัติเอา ศีลเหมือนกัน แต่ศีลอุโบสถ นี่ก็เหมือนกันอุโบสถศีล

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ ต้องถือนิสัยกับอุปัชฌาย์ พออุปัชฌาย์เสีย พระนี่แตกกระสานซ่านเซ็นมากเลย พอพระแตกกระสานซ่านเซ็น คุมกันไม่ติดเห็นไหม บางองค์สึกไป บางองค์ไปอยู่แบบตามใจตัวเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ให้ถือนิสัยอุปัชฌาย์ ถ้าอุปัชฌาย์สิ้นชีวิตลงให้ถือนิสัยอาจารย์ ให้อาจารย์ดูแล”

การดูแลกันเป็นหมู่คณะเป็นสิ่งที่ว่า เป็นการดูแลรักษากัน ถือนิสัยกันเห็นไหม นี่อุโบสถ การลงอุโบสถนะ ถ้าเราเข้าใจแล้วพ้นจากนิสัย จะลงอุโบสถที่ไหนก็ได้ เวลาอยู่ในป่าองค์เดียวเห็นไหม นี่บุคคลอุโบสถ คณะอุโบสถ สังฆอุโบสถเห็นไหม ถ้าเป็นบุคคลอุโบสถที่ไหนก็ลงอุโบสถได้ แต่ถ้าเป็นคณะขึ้นมาก็ต้องตั้งญัตติ

ขนาดพระสมัยพุทธกาลวัดติดๆ กัน แล้วในวัดแบ่งกันลงอุโบสถแต่ละสถานที่ แต่ละสถานที่หมายถึงลงซ้อนกันในวัดเดียวกันหลายกลุ่มไง ไม่ได้! ต้องลงที่เดียว ในวัดให้รวมกัน ถ้าวัดมากให้รวมกันเห็นไหม ถึงบอกวิสุงคามสีมา สีมาหมายถึงตำแหน่งเป้าหมายบอกอันนั้นนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ ประหยัด มัธยัสถ์ เรียบง่าย สิ่งที่สะดวกที่สุดเลย ถ้าเราอยู่คนเดียวเราบอกบุคคลอุโบสถ บอกอุโบสถ บอกบริสุทธิ์ ถ้าเป็นคณะขึ้นมาก็ตั้งญัตติ ถ้าเป็นสังฆะขึ้นมาก็ต้องอุโบสถ

ความเรียบง่าย เรียบง่ายด้วยความรู้จริงไง ทำที่ไหนก็ได้ แต่เวลาที่เราทำกันให้มันเป็นคณะ ให้มันเป็นกิจจะลักษณะ ให้มันเป็นความสามัคคี ให้มันเป็นสิ่งที่ว่าเราไปสมานกัน สมานกันเพื่ออะไร? เวลาเข้ามาเห็นไหม ถ้าเราสวดมนต์ ถ้าใครสวดผิดคำสองคำมันขัดแย้งกัน

นี่ก็เหมือนกัน ในอุโบสถเดียวกัน เราไม่มีความเห็นแย้ง เราไม่มีความเห็นต่าง นานาสังวาสเกิดตรงนี้ เกิดตรงที่ว่าความเห็นต่าง ความเห็นต่างในวินัยนะ

ดูสิ เห็นต่างกัน ถือจับเงินทองได้ไหม จับได้หรือไม่ได้เขาทำกันเห็นไหม แล้วครูบาอาจารย์เราวางธรรมและวินัย ชาตรูปรชตํ หยิบเงินและทองไม่ได้ สิ่งต่างๆ ไม่ได้เห็นไหม ต่างกันโดยศีลเป็นนานาสังวาส

สิ่งที่เป็นนานาสังวาส ถ้าเราทำอุโบสถร่วมกัน เราเข้ามาทำสังคายนา เหมือนกับการทำสังคายนา มันจะเป็นการให้เราไปด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ไง ในการตรวจสอบกัน ในการอยู่ร่วมกัน สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์ตรงนี้ไง

เวลาวันมาฆะฯ หลวงปู่มั่นบอกกับครูบาอาจารย์ เวลาออกวิเวกให้ทำมาฆะคนเดียวนะ ให้ทำเองก็ได้ ทำมาฆะนี่ แต่ถ้าพูดถึงครูบาอาจารย์ก็ไปหาหมู่คณะ เพื่อทำมาฆะด้วยกัน

ถ้าทำมาฆะด้วยกันเห็นไหม เอหิภิกขุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บวชให้ แล้วสำเร็จพระอรหันต์ด้วย แต่นี่เราก็บวชแล้วบวชกับอุปัชฌาย์ แล้วบวชกับอุปัชฌาย์ เอหิภิกขุก็บวชใจเราสิ ใจเราบวชขึ้นมามันก็เป็นเอหิภิกขุขึ้นมาจากภายใน

ถ้าเอหิภิกขุแล้ว ทำไมพระธรรมเจดีย์ให้หลวงตาไปพูดกับหลวงปู่ขาวเห็นไหม เอหิภิกขุบวชเองก็ได้ แต่ถ้าพูดถึงเวลาสนทนาธรรมกันแล้ว มันเป็นอันเดียวกันไหม? มันลงช่องทางเดียวกันไหม? มันเป็นทิฏฐิของเราเองหรือเปล่า? ถ้าเป็นทิฏฐิของเราเองมันก็เป็นความเห็นของเราเอง

แต่ถ้ามันเป็นทิฏฐิของเราเอง มันเข้าหมู่คณะ เข้าความเป็นไป นี่มันตรวจสอบกันอย่างนี้ไง หมู่คณะมันยังเข้มแข็งไง เวลาถึงธรรมวินัยเห็นไหม พัดซากศพเข้าฝั่ง สิ่งที่โต้แย้งกัน สิ่งที่ขัดแย้งกัน มันก็ไม่อยู่ในธรรมและวินัย

ถ้าอยู่ในธรรมและวินัย มันอยู่ในทะเลหลวง มันอยู่ในแหล่งน้ำใหญ่ สิ่งนี้มันก็เป็นความสะอาดบริสุทธิ์เหมือนกัน การกระทำอย่างนี้ การกระทำเพื่อความสมาน เพื่อให้องค์กรของเรา องค์กรของสงฆ์ตั้งมั่น ไม่ใช่มีใครอยากดัง อยากใหญ่ อยากจะต้องไปจิ้มกล้อง ถึงเวลานั้นก็ต้องไปเดือดร้อน ทำไมต้องวุ่นวายกันขนาดนั้น ทำที่ไหนก็ทำได้ ทำไมต้องมาวุ่นวายอย่างนี้เชียวเหรอ

ไอ้ความวุ่นวายเป็นเรื่องของกิเลสนะ แต่ถ้าสิ่งที่ว่าเราอยู่ที่ไหนมันก็เดือดร้อน ถ้าใจมันเดือดร้อนนะ ความเดือดร้อนในใจมันเดือดร้อนอยู่แล้วล่ะ ที่ไหนมันก็เดือดร้อนมันขัดข้องหมองใจไปตลอด ใจมันโดนบีบคั้นตลอด กิเลสมันบีบคั้นใจมาตลอด

แต่ถ้าเข้าไปที่ไหนมีแหล่งน้ำ ต้นไม้ใหญ่ในป่า มีต้นไม้ใหญ่ที่ไหนมันก็มีคนมาพักพาอาศัย พึ่งพิงอาศัย นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เข้ามาถ้าใจมันร่มเย็น มันสงบ จิตใจมันเป็นสามัคคี มันเป็นหมู่คณะ มันเป็นอะไรอย่างนี้ มันรื่นเริง มันอาจหาญนะ มันไปด้วยความสุขนะ

แต่ถ้าไปด้วยความทุกข์ อะไรเป็นความทุกข์ล่ะ หมู่คณะส่วนใหญ่ผิด หรือเราผิด ความเป็นไปของเราเห็นโต้แย้งเห็นขัดแย้ง หรือความเห็นของหมู่คณะขัดแย้ง ความขัดแย้งมันก็ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันก็เคลียร์กันได้ เคลียร์สิ เหตุผลเป็นอะไรถึงจะต้องมาลงอุโบสถร่วมกัน ทำไมลงอุโบสถแยกไม่ได้เหรอ

ลงอุโบสถแยกก็ได้ ถ้าลงอุโบสถแยกที่ไหนมันก็แยกได้ เวลาตายทุกคนยังตายได้เลย ทุกคนมีสิทธิหายใจเข้าหายใจออก ตายทั้งนั้นนะ ทุกคนมันต้องตาย แล้วถ้าเกิดตายแล้วต้องเรียกกลับมาลงอุโบสถหรือ

“เอ็งตายไม่ได้ เอ็งต้องกลับมาลงอุโบสถก่อนแล้วค่อยตาย” เป็นอย่างนั้นเหรอ? ไม่เป็นหรอก ใครจะตายก็ตายไป ใครจะอยู่ก็อยู่ไป สิ่งนี้มันเป็นอนิจจังทั้งนั้นนะ แต่สิ่งที่เราฝากไว้ในศาสนาสิ สิ่งนี้หมู่คณะที่ทำกันไว้ ที่ไหนทำไว้เป็นประวัติศาสตร์

เราดูสิ ครูบาอาจารย์ที่ทำไว้เป็นประวัติศาสตร์มา ทำไมเราเชิดชูศาสนาขึ้นมาได้เห็นไหม ในภาคปฏิบัติมันหมดไปแล้ว ถ้ามันมีอยู่หลวงปู่มั่นไม่ต้องเดือดร้อนอย่างนี้หรอก ถ้ามันมีอยู่แล้วมันถูกต้องนะ เราไม่ต้องมาค้นคว้าไม่ต้องมาเดือดร้อนอย่างนี้หรอก มันต้องหาได้ง่ายๆ ทั้งนั้นนะ

มันหาไม่ได้เห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นรื้อค้นนะ พระไตรปิฎกมีอยู่ทุกวัด ที่ไหนก็มีทั้งนั้นนะ แล้วไปสืบค้นจากครูบาอาจารย์ แล้วครูบาอาจารย์องค์ไหนตอบได้ล่ะ ดูสิขนาดว่าหลวงปู่เสาร์เป็นคนเอาหลวงปู่มั่นมาบวชเอง เวลาหลวงปู่มั่นไปถามหลวงปู่เสาร์ “เราก็ไม่รู้ เราก็ไม่เคยเป็น เราก็ไม่เคยเป็น”

จริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน มันต่างกันมหาศาลเลย สิ่งนี้มันหมดไปแล้ว มันหมดไปในภาคปฏิบัติ ศาสนามีเห็นไหม ศาสนามี ตู้พระไตรปิฎกมี ธรรมวินัยมี ศาสนานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ ๕,๐๐๐ ปี ๕,๐๐๐ ปีศาสนาไม่หมด ใช่ ไม่หมดหรอก! ทฤษฎีไม่หมดหรอก ตู้พระไตรปิฎกไม่หมดหรอก พิมพ์เมื่อไหร่ก็ได้ แล้วประเพณีก็ทำกันไปเห็นไหม

ดูเวลาหลวงตาท่านถามหลวงปู่มั่นบอกว่า “สีผ้าในสมัยพุทธกาลมีกี่สี?” แล้วดูสีผ้าที่เขาห่มกันอยู่นี่มันเป็นอย่างไร มันหมดไม่หมด ดูสิ แล้วสีกรักเห็นไหม กรักอย่างอ่อน อย่างกลาง อย่างแก่ สีกรัก สีแก่นขนุน สิ่งนี้มันเป็นสัจจะความจริง

แต่เริ่มต้นเห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงปู่เสาร์เริ่มออกธุดงค์ พระห่มผ้าสีดำๆ เห็นไหม “จะไปไหนกัน ยกครอบครัวไปไหน” ทั้งแซว ทั้งหาช่องทางว่าสิ่งนี้มันอวดอุตริ แล้วเดี๋ยวนี้ดูที่ผ้าสีนี้ใครเอาไปห่มล่ะ

เพราะอะไร เพราะเราทำคุณงามความดี อย่างที่เราลงอุโบสถกันทำเพื่อความดี มาตรวจเช็คกัน มาตรวจสอบกัน ไม่ใช่ปล่อยเป็นแบบว่าตามใจฉัน กิเลสมันไหลลงต่ำนะ

ถ้าเราอยู่ในเอกเทศเราก็สะดวกสบายของเรา มันจะนอนตีแปลงนะ ไอ้โน่นก็ไม่ต้องทำ ไอ้นี่ก็ไม่จำเป็น ไอ้นี่ก็ไม่มีความสำคัญ อะไรก็ไม่มีความสำคัญเลย ถ้ากิเลสมันสำคัญ ความเห็นส่วนตัวมันสำคัญ แต่ถ้าทำอะไรเพื่อขัดเกลากิเลสนะ ไม่สำคัญ ไอ้นั่นก็ไม่สำคัญ แล้วทำไมต้องทุกข์ต้องร้อน ต้องเดือดร้อนต้องวิ่งไปหา ต้องไปลงอุโบสถ มันเดือดร้อนวุ่นวาย ทำไมมันต้องวุ่นวาย ก็มันจะไปทำความที่ไม่สำคัญในหัวใจให้มันหลุดออกไปไง ไอ้ที่ไม่สำคัญนั่นล่ะ สิ่งที่ไม่สำคัญมันก็ไม่สำคัญ ครูบาอาจารย์ท่านสำคัญหมดนะ

ดูสิ หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ ครูบาอาจารย์บอกเลย เก็บหอมรอมริบนะ พระอรหันต์ไม่มีกิเลส พระอรหันต์ตีแปลงยังไงก็ได้ เพราะอะไร สติวินัย วินัยเป็นสมมุติ ไม่มีความผิดเลย เจตนาไม่มี ความผิดเห็นไหม มันเป็นกิริยาเฉยๆ มันไม่มีเจตนา ทำอะไรก็ไม่ผิด แต่ทำไมท่านเป็นแบบอย่างล่ะ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูดให้ฟังนะ ผู้เฒ่าแล้วชราภาพ แล้วไม่สบายฉันอาหารไม่ได้ หลวงตาท่านเอาน้ำมะพร้าวอ่อนเข้าไปก่อนเพล

“หลวงปู่ ฉัน.. เพราะว่าธาตุขันธ์มันอ่อนเพลียมาก”

“ฉันไม่ได้หรอก”

“ทำไมฉันไม่ได้ล่ะ” ท่านไม่ได้คิดถึงท่านเลย

“ฉันไม่ได้หรอก”

“เพราะอะไร”

“เพราะพระในวัดหลายสิบองค์ แล้วพระที่เข้ามาความคิดเห็นก็ต่างๆ กัน แล้วถ้าฉันไป ตาดำๆ มองอยู่ ฉันไม่ได้หรอก”

ครูบาอาจารย์ท่านโกรธมากเลย ทำไมจะฉันไม่ได้ ถ้าใครเห็นต่างก็เทวฑัต! เพราะอะไร เพราะคนเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดนี้ แล้วเอาน้ำมะพร้าวอ่อนเข้าไปแค่ความชุ่มชื่นของร่างกายนะ แต่ถ้าฉันแล้ว คนบอกมันขาดธุดงค์ไง ฉัน ๒ มื้อไง เพราะมะพร้าวอ่อนมันเป็นมหาผล

ท่านสละขนาดนี้ ผู้เฒ่านะ ไม่สบายนะ แต่หัวใจของท่านพระอรหันต์ เรื่องอย่างนี้เรื่องข้างนอกมันเล็กน้อย แต่ในเมื่อเราเป็นลูก เป็นผู้ที่เคารพบูชา เราก็อยากให้ครูบาอาจารย์ของเราได้มีอะไรผ่อนความโหยกระหาย ร่างกายมันต้องการ เหมือนรถ ดูสิ เวลามันร้อนขึ้นมา มันระเบิดของมัน มันทำให้ชำรุดทรุดโทรมเห็นไหม ร่างกายถ้ามันขาดแคลน เอาน้ำเข้าไปให้มันมีความเย็นขึ้นมา ท่านยังสละเลย สละเพื่อใคร

เวลาครูบาอาจารย์บอก “มีพรรษาเยอะแล้ว ให้พระเด็กๆ เข้ามา เพื่อให้มันมีข้อวัตรติดหัวมันไป เดี๋ยวมันจะไม่มีข้อวัตรติดหัวมันไป” เหมือนเรานะ ถ้าเราไม่เคยปฏิบัติ เราไม่เคยทำ ไม่สำคัญทั้งนั้นนะ ไม่สำคัญ นั่นก็ไม่สำคัญ ไม่สำคัญอะไรเลย

ในปัจจัยเครื่องอาศัยไม่สำคัญ เพราะอะไร ที่ไหนสั่งซื้อได้ทั้งหมด ที่ไหนก็มีให้ทั้งนั้นนะ ก็สั่งซื้อไง วินัยไปฝากคนอื่นไว้ไง ซื้อรถคันหนึ่งแล้วซ่อมอะไรไม่เป็นเลย ถึงเวลาก็ส่งเข้าซ่อมๆ แล้วเวลามันไปเสียในป่าใครจะซ่อมให้ล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าสิ่งที่เราทำอยู่ เราทำอะไรไม่เป็นเลย เราทำอะไรไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะมันไม่ใส่ใจ ไม่ปะ ไม่ชุน ไม่เก็บ มันไปโดนหนามเกี่ยวเข้าหน่อยเดียว แค่เม็ดถั่วเขียวผ่านได้ ถ้าแรมคืนมันก็เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์แล้ว

แล้วสิ่งที่เราใช้อยู่นี้ถ้ามันขาด มันอะไร เพราะอะไร เพราะไม่ให้มันขาดสติไง สิ่งนี้ไม่ให้เราขาดสติ ไม่ให้เราประมาท ธรรมวินัยมีไว้เพื่อจะให้เราเข้มแข็ง มีไว้เพื่อจะให้เราไม่เป็นคนจับจด ไม่เป็นคนมักง่าย ความมักง่ายความจับจดนั่นน่ะเป็นเรื่องของกิเลสมันกระซิบ ถ้ากิเลสมันกระซิบที่หูนี่นะ โอ้โฮ เชื่อหมดเลย โน่นก็สบาย นั่นก็จัดการ นั่นก็สุดยอด มันเรื่องกิเลสทั้งนั้นนะ

แต่ถ้าเรื่องรักษานะ เรื่องรักษาธรรมวินัยมันเป็นการขัดเกลากิเลส เพราะมันไม่มักง่าย ถ้าอรุณขึ้นเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ มันต้องปะ ต้องชุน แล้วถ้ามันมีเข็ม ไม่มีด้าย นี่บริหาร ๘ สิ่งนี้ติดตัวไปไหม

แล้วเวลาผ้าขาด ผ้าอะไร สมัยครูบาอาจารย์เรานะ ท่านสอยเป็นดอกจัน สวยมาก ใช้สติ เราเคยทำอยู่ พยายามทำแต่ทำไม่ได้ เพราะผ้ามันเปื่อย ผ้าเวลามันเปื่อยนะ แล้วเราจะสอยเป็นดอกจัน มันทำได้ยากมากเลย แล้วมันมีไม่จักร แล้วเราก็ปะๆๆ เอา เอาผ้ามาปะแล้วก็ชุนเอาเย็บเอา เพื่ออะไร เพื่อกันอาบัติ มันมักง่ายกันได้เรื่อยๆ แล้วก็หมดไปเห็นไหม

แล้วเราก็ไม่เห็นเดือดร้อนเลย ของแค่นี้เอามาคุยโม้ทำไม ก็สั่งซื้อเอาสิ ดู โอ้โฮ...ผ้าที่ตลาดนะทับตายยังตายเลย เงินก็มี สิ่งต่างๆ ก็มี มี...เดี๋ยวนี้ในวัดทั่วๆ ไปเขามีเครื่องซักผ้า เขาใช้กดปุ่มนะ เขาซักผ้ากันเขาใช้เทคโนโลยีกันหมดแล้ว แล้วเป็นอย่างไร วัดเป็นอย่างไร

หลวงตาท่านเศร้าใจเห็นไหม คนในวัดก็หันหน้าออกข้างนอกวัด คนอยู่ในวัดก็จะใช้เทคโนโลยี จะใช้แบบคฤหัสถ์เขา ไอ้คนอยู่นอกวัดมันก็จะหันหน้าเข้าวัด ทุกข์ร้อนมาก ความทุกข์อยู่มากเพราะอะไร เพราะอยู่ข้างนอกมันทุกข์มันร้อน มันมีแต่ไฟอยากจะหันหน้าเข้าวัด ไอ้คนอยู่ในวัดแล้วอยากจะใช้เทคโนโลยี จะใช้แบบโลกเขาไง มันต่างกันเห็นไหม ไอ้คนอยู่ในวัดหันหน้าออกไปเรื่องของข้างนอกไง แล้วจะมาอยู่แบบข้อวัตรปฏิบัติ แบบครูบาอาจารย์ที่ทรงไว้ มันเดือดร้อน มันยุ่งยาก มันวุ่นวายไปหมดเลย

แต่ถ้าลองทำสิ เราทำของเราไป มันจะเห็นคุณค่านะ เห็นคุณค่าอะไร ดูสิ คนที่เขามีอาชีพทำไร่ทำสวน เขาต้องหาที่ดินของเขาที่ดี เขาต้องหาแหล่งน้ำของเขา เพื่ออะไร เพื่อเอาเมล็ดพันธุ์ของเขาไปเพาะปลูกขึ้นมา เพื่อเอาสิ่งนั้นไปเป็นอาหาร อาหารของโลกเขา อาหารกับตัวเองด้วย แล้วยังอาหารสำหรับชาวบ้านเขา เป็นเงินเป็นทองขึ้นมาได้ใช้สอย

นี่ก็เหมือนกัน เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งใดๆ จะให้กิเลสมันพอกหางหมูนะ ดินพอกหางหมู กิเลสก็พอกหัวใจนะ แล้วก็ว่าจะประพฤติปฏิบัติ แล้วก็จะนั่งนะ มันมีวิปัสสนึกทั้งนั้นนะ กิเลสมันนึกให้ กิเลสมันทำให้ กิเลสมันเอาธรรมมาสวมหัวให้ เป็นธรรมๆ กิเลสมันทำมาให้ แล้วมันเป็นธรรมจริงไหมล่ะ ถ้าเป็นธรรมจริงใจมันต้องอ่อนน้อม ใจมันอ่อนโยน มันจะเห็นคุณค่านะ ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก

“กัสสปะเอย เธอก็พระอรหันต์เหมือนเรา อายุก็ปานกัน ทำไมต้องถือธุดงควัตรอยู่อย่างนั้น”

“เอาไว้ให้อนุชนรุ่นหลังมันได้เป็นคติแบบอย่าง” ทำเพื่ออนุชนรุ่นหลังนะ คนที่ทำอยู่นี้ คนที่ทรงธรรมทรงวินัยอยู่นี้ พระอรหันต์ทั้งนะ

แล้วเราขี้หมูขี้หมา เราขี้ตีนอย่างนี้ แล้วเราทำอะไรกัน ถ้าเราอยากได้คุณธรรมเราก็ต้องขวนขวายของเรา ศีล สมาธิ ปัญญานะ ถ้ามีศีล ศีลบริสุทธิ์ ศีลสะอาดนะ เป็นสัมมาสมาธิ สมาธิเกิดขึ้น ปัญญามันก็จะเกิดขึ้น ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิไง มันเป็นมิจฉาสมาธิความเห็นผิด แล้วเป็นสมาธิไหม? เป็น โจรมันปล้นก็เป็นสมาธิ มันวางแผนโกงชาติ มันวางแผนทำสงครามโลก ไม่มีสมาธิมันเอาจะอะไรไปทำล่ะ แล้วมันทุปัญญา ปัญญาเป็นปัญญา ทุศีล ทุปัญญา ไม่ใช่สุปัญญา

สุปฏิปันโน ธรรมอันถูกต้องดีงามชอบธรรมตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุปัญญา ปัญญาของกิเลส ทุปัญญา ปัญญามันจะครองโลกกัน แล้วมันครองได้ไหม โลกนี้เป็นอนิจจัง มันจะครองสิ่งที่ไม่มี สิ่งที่เป็นอนิจจังมันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา มันจะครองโลก แต่ไอ้โลกหัวใจมันไม่สนใจ ไอ้โลกทัศน์ โลกหัวใจ หัวใจเป็นธรรมอยู่นี้มันไม่สนใจ สิ่งที่จะครองได้มันไม่เอา มันไปเอาสิ่งที่ครองไม่ได้ไง สิ่งข้างนอกเห็นไหม

โลกธรรม ๘ ครองได้ไหม? โลกธรรม ๘ ครองไม่ได้หรอก โลกธรรม ๘ โลกอยู่ข้างนอกจะไปครองอะไรมัน เพราะมันเป็นโลกธรรม ๘ ธรรมเก่าแก่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะเกิดมาก็มีอยู่แล้ว นินทา สรรเสริญ เรื่องของโลกมีอยู่แล้ว แล้วจะไปครองมัน จะไปครองได้อย่างไร แล้วสงครามโลกจะครองโลกกัน โลกมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดูประวัติศาสตร์สิเห็นไหม ยุคเมืองขึ้น ยุคล่า ยุคเรือปืน มันเป็นยุค ถึงยุคถึงคราวล่ากันเห็นไหม พอถึงอีกยุคสมัยหนึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าอายต้องคืนให้เขา ต้องไปฟื้นฟูให้เขา

สิ่งนี้มันเป็นยุคสมัย เวลายุคสมัยมันเป็นไป มันเป็นอนิจจัง สิ่งที่ไม่มีจะไปครองมัน แต่ไอ้เกิดไอ้ตายนะ ไอ้ความรู้สึกนี้ ไอ้โลกภายใน ไอ้จิตตัวนี้มันมีอยู่กับเรา ถ้ามันอยู่กับเรา สิ่งนี้ที่จะเบิกไปหามัน มันจะทำอย่างไรล่ะ

เข้าไปหามัน มันก็ต้องศีล สมาธิ ปัญญา ศีลก็ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้อง ไม่ใช่ศีลของเราเห็นไหม ศีลก็ว่าศีล ๕ ศีล ๕ ของลัทธิต่างๆ ศีล ๕ ของเขาเห็นไหม ฆ่าไม่เป็นบาปนะ ฆ่าสัตว์ที่เป็นอาหารไม่เป็นบาป

ของเราไม่ได้ การฆ่าบาปหมด บาปมากบาปน้อยต่างกัน มีเจตนาไม่มีเจตนา เรื่องของโลกมันเป็นสภาวะแบบนั้น ถือว่าการกระทำมีผลทั้งหมด แต่ในลัทธิอื่นเห็นไหม ศาสดาที่ไม่สิ้นกิเลส ศาสดาที่นึกเอา ถ้าสิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา ฆ่าเป็นอาหารไม่บาปนะ ไม่ผิดศีลนะ

แต่ของเราศีล ๕ เป็นไปได้ไหม ขนาดที่ว่ายังทำไม่ได้เลย แล้วพระจะทำได้ไหม ทุศีลหรือสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้อง ศีลผิด ศีลถูก แล้วเป็นสมาธิเข้ามา แล้วปัญญามันเกิดเห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นพื้นฐานนะ ใช่ มันจะทุกข์มันจะยาก การเกิดก็ทุกข์ยาก การขับการถ่าย การกินก็ทุกข์ยาก กิจไง ภัตกิจ กินก็ทุกข์นะ กินอยู่นี้ต้องหามากิน เวลากินเวลาถ่ายทุกข์ทั้งนั้น ถ่ายเสร็จแล้วก็ต้องไปล้างมัน

ข้อวัตรเห็นไหม วัจกุฎีวัตรต้องทำความสะอาด มันเรื่องอะไรๆ ก็มันเรื่องขับเรื่องถ่าย เรื่องกินอยู่นี้ แล้วเวลาการกระทำขึ้นมาจะอ้างว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์ สิ่งนี้เป็นทุกข์ แล้วเวลาสิ่งที่มันขัดแย้งมันเป็นทุกข์ไหมล่ะ หัวใจไม่พอใจ หัวใจมันขัดแย้ง เป็นทุกข์ไหมล่ะ มันก็เป็นทุกข์

ทุกข์เกิดจากอะไร ทุกข์เกิดจากตัณหา ตัณหาเกิดจากอะไร สมุทัย สมุทัยอยู่ไหน แล้วสมุทัยเข้าไปดับมันที่ไหนล่ะ ถ้ามันสาวไปหาเหตุเห็นไหม เย ธัมมา เหตุปปะภะวา ที่ว่าพระอัสสชิบอกพระสารีบุตร “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุเห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันขัดแย้ง มีความไม่พอใจ แล้วมันทำไมไม่สาวไปหาเหตุ แล้วเหตุอยู่ที่ไหน เหตุมันอยู่ที่ไหนเห็นไหม ถ้ามันสาวไปหามัน ไปแก้ที่มัน ถ้าไปแก้ที่มัน มันก็จะเป็นผลที่มัน

นี่จะครองโลก โลกเกิดโลกตาย โลกของเรานะ โลกภายใน โลกนอกโลกในเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งโลกภายนอกโลกภายใน โลกนอกเห็นไหม พยากรณ์ได้หมดเลย โลกนอกเห็นไหม ศาสนาอีก ๕,๐๐๐ ปี เรารู้ว่าศาสนาอยู่ ๕,๐๐๐ ปี เราก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ปล่อยให้มันอยู่ ๕,๐๐๐ ปีเหรอ ๕,๐๐๐ ปีมึงเกิดตายกี่รอบ

ศาสนา ๕,๐๐๐ปี แต่ไอ้ทุกข์ไอ้ยากมันอยู่ที่ใจ ไอ้ปัจจุบันธรรมที่แก้กิเลสได้มันเป็นปัจจุบันนี้มันไม่เกี่ยวกับ ๕,๐๐๐ ปีหรอก ๕,๐๐๐ ปีมันเป็นโอกาสของคน แล้วเวลาศาสนาบอกเห็นไหม กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง มันเจริญอยู่ที่ใคร ดูสิ ครูบาอาจารย์เราฟื้นฟูมาขนาดนี้นะ ก่อนหน้าครูบาอาจารย์ประวัติศาสตร์มันศึกษาได้ สิ่งนี้มันศึกษาได้ วิชาการมันมีอยู่แล้ว มันมีหลักฐานอ้างอิง แล้วย้อนกลับไปได้หมดเลย

ก่อนหน้าหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ใครปฏิบัติกันมาบ้าง เจ้าคุณอุบาลีท่านก็ปฏิบัติอยู่ ปฏิบัติแล้วท่านก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน ท่านก็สร้างทางปริยัติ วางรากฐานปริยัติด้วย ปฏิบัติด้วย มันก็เป็นแบบว่าอยากจะปรารถนาไปเป็นพุทธภูมิ

แต่หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ พลิกกลับมาเห็นไหม พลิกกลับมามันก็ไปเข้ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง มันเจริญที่ไหน ศาสนามันเจริญที่ไหน ศาสนานี่ ศาสนาเจริญที่สิ่งก่อสร้างเหรอ ศาสนาเจริญที่โลก โลกมันเจริญเหรอ ใจผู้รู้ต่างหากล่ะ ใจของผู้รู้ ผู้ที่เข้าไปรู้ ใจของหลวงปู่มั่นนี่รู้ขึ้นมา รู้แจ้งโลกเห็นไหม ไม่มีความลังเลสงสัย

ก่อนหน้านั้นเวลาออกจากถ้ำสาริกาไป คิดถึงหมู่คณะไป เวลาไปสอน ไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็สั่งสอนลูกศิษย์ พอสั่งสอนลูกศิษย์นี่กำลังยังไม่พอ กำลังยังไม่พอเห็นไหม ยังไม่สิ้นสุด มันยังมีความกังวล มันมีอวิชชาอยู่ในหัวใจ

ในเมื่อเรารู้ไม่แจ้ง เราจะสอนเขาไป เราจะพาเขาเดินไป แต่ปลายทางเรายังมองไม่เห็นนะ ต้นทางเราเข้าถูก ปากซอยเราพาเข้าได้เลย แต่ปลายซอยที่จะเข้าบ้านอยู่ที่ไหนยังไม่เห็น กำลังยังไม่พอ ถึงวางนะ วางหมู่คณะหมดเห็นไหม ขึ้นไปเชียงใหม่ แล้วไปสำเร็จที่นั่น แล้วกลับมาพอหรือไม่พอ ใครมีปัญหาอะไรว่ามา ใครมีปัญหาถามมาเลย

สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมา ธรรมมันเกิดที่นี่ ธรรมมันเกิดที่นี่ เราทำกันเพื่อองค์กรศาสนานะ ถ้าเป็นองค์กร เป็นการจัดตั้งโลกทั้งนั้นเลย แต่เราทำกันเพื่อเรา เพื่อพวกเรา ศาสนทายาท เป็นศาสนทายาทนะ ไม่ใช่ธรรมทายาท ศาสนทายาทคือภิกษุเรานี้ ศาสนะเป็นศากยบุตร เป็นศาสนทายาทก่อน แค่เรามีความจงใจ มีความตั้งใจ เราจะเป็นธรรมทายาท

ถ้าเราเป็นธรรมทายาทนะ เราเห็นธรรม เรารู้ธรรมขึ้นมานะ เราจะเชิดชูเห็นไหม เวลาเรากราบถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันกราบจากใจนะ การเกิดของเรา การเกิดของพ่อแม่ บุญคุณของพ่อแม่ พ่อแม่นี่สูงส่ง ทุกคนคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ รู้เลยว่าพ่อแม่เราคือใคร เราเกิดมาจากใคร เราจะคิดถึงคุณของพ่อแม่เรา

แต่ถ้าเราเกิดในธรรมนะ โอ้โฮ...กราบไปแล้วนะ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลากราบเห็นไหม พระอานนท์ถามนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเจ้าของธรรมะ รื้อค้นธรรมะขึ้นมา เห็นธรรมขึ้นมาเอง แล้วกราบธรรม พระอานนท์ถามว่า “พระพุทธเจ้ากราบอะไร” “กราบธรรมๆ” ธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นี่แหละ กราบธรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

แล้วเราเป็นศากยบุตร เป็นศาสนทายาท เรากำลังเป็นศาสนทายาทกันอยู่ เรายังพยายามดิ้นรนขวนขวายอยู่ เราพยายามจะหาช่องหายใจอยู่ เราต้องรักษาหัวใจของเราให้ได้อยู่เห็นไหม ถ้าเรารักษาช่องของเรา เราหายใจของเราขึ้นมา

สิ่งใดมันเป็นบาทเป็นฐาน ธรรมและวินัย วินัยเป็นบาทเป็นฐาน ในอุโบสถศีล เรามาลงอุโบสถกันเพื่อสมานกัน สิ่งที่สมานกัน ครูบาอาจารย์สมัยหลวงปู่มั่นนะ รักกันมาก ในหมู่สงฆ์จะรู้จักกันหมด แล้วผู้ใดทุกข์ยากเจ็บไข้ได้ป่วยจะดูแลอาศัยกัน

ผู้ใดจิตเสื่อมนะ หลวงปู่ฝั้นบอกว่า พระทางนครพนมจิตเสื่อม แล้วไปส่งออก หลวงปู่มั่นให้หลวงปู่ฝั้นไปแก้นะ ไปแก้แม่ชี แม่ชีอ้างตัวว่าสำเร็จ แล้วก็เทศนาว่าการ พระเชื่อกันไปเห็นไหม

ในหมู่ในคณะจะช่วยเหลือกัน จะเจือจานกัน ศาสนทายาท เราเป็นศาสนทายาท เราเป็นสังฆะ เราเป็นสงฆ์ เราถึงพยายามจะวางรูปแบบอย่างนี้ให้ ถ้าไม่ไกลกันเกินไปนักให้ลงอุโบสถร่วมกัน ให้มาปรับสารทุกข์สุขดิบต่อกัน

สิ่งใดเจ็บไข้ได้ป่วย จิตใจถ้ามันออกจากหมู่คณะไป มันไม่อยากเข้าหมู่คณะเห็นไหม คนเรามีความคิดแตกแยก มันไม่อยากเข้าสังคม ถ้าคนเรามีความคิดเหมือนกัน สมานสามัคคีเหมือนกัน ความเห็นเหมือนกัน มาถึงมาปรับทุกข์ปรับยากกัน มันเป็นที่พึ่งอาศัยกัน ความสมานสามัคคีแม้แต่ไม่มีธรรมนี่แหละ

แต่สมานสามัคคีกัน เรามีพรรคมีพวก เรามีเพื่อนฝูง เรามีสิ่งที่อบอุ่นใจ กับเราอยู่ของเราเอกเทศ มันจะมีความอบอุ่นใจไหม ศาสนาจะมั่นคงไหม ในธรรมทายาทถ้าเป็นธรรมขึ้นมาเห็นไหม

ในวันมาฆบูชา พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ เป็นเอหิภิกขุด้วย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้โดยเอหิภิกขุ บวชโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย แล้วเป็นธรรมทายาทด้วย เพราะเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดด้วย ยังจาตุรงคสันนิบาตเห็นไหม มาจาก ๔ ทิศ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ได้นัดหมายกันเลย

ทำไมคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ ทำไมไม่อยู่เอกเทศ พระอรหันต์ด้วย! ทำไมไม่อยู่เอกเทศล่ะ แล้วเราเป็นอะไรกัน กิเลสเต็มหัวใจ แล้วเรามาเพื่อสมานสามัคคีกัน มาเพื่อความสมานฉันท์ในศาสนานี้ สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเหรอ มันควรกระทำ มันควรกระทำให้เป็นแบบอย่าง ให้เป็นสิ่งที่ว่าเห็นไหม ในองค์กรอื่นเขายังรักใคร่สามัคคีกัน ในหมู่คณะ ในผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ชำระกิเลสด้วยกัน ทำไมมันไม่ไปลงอุโบสถร่วมกัน ทำไมไม่ทำเพื่อเราขึ้นมาเห็นไหม วางไว้เป็นหลักการอย่างนี้

ถ้ามันทุกข์มันยาก มันก็ทุกข์ยากทั้งนั้นล่ะ แต่การกระทำอย่างนี้ทำเพื่อใคร ก็ทำเพื่อเราก่อนหนึ่ง เพราะอะไร เพื่อทำให้หัวใจมันเปิดกว้าง ให้หัวใจมันยอมรับรู้สิ่งต่างๆ อย่างไอ้ผิดถูกมันเหมือนโคเหมือนควายเลย มันไม่ไปก็จูงมันไป มันไม่ไปก็เชือกสนตะพายมัน จูงมันไป

นี่ก็เหมือนกัน จิตมันขัดแย้ง มันโต้ตอบ แย้งมันไม่ยอมรับ แต่ทำไป..ทำไปนะ.. ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อย “ถ้าต่อไปถึงบั้นปลายของชีวิตนะ ใครทำไปแล้วจะเห็นประโยชน์ของมัน แล้วจะเห็นคุณของการกระทำสิ่งนี้” แต่คุณกระทำสิ่งนี้มันจะเห็นก็ต่อเมื่อ.. นักการเมืองเห็นไหม มันเห็นแต่คะแนนเสียงของเขา แต่รัฐบุรุษนะเขาเห็นอนาคตของชาติ รัฐบุรุษเห็นอนาคตของชาติ ขณะยังมีชีวิตอยู่ผลยังไม่ออกหรอก ตายไปแล้วเขาถึงทำอนุสาวรีย์ไว้ให้นะ นี่รัฐบุรุษ

แต่ของเราตอนนี้ ถ้าทำอยู่นี้มันยังไม่เห็นผลหรอก แต่ถ้าเราทำของเราไป สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ กาลเวลาจะพิสูจน์กันนะ สิ่งนี้พิสูจน์มาเพื่อใคร ก็เพื่อเรานี่แหละ เพราะส่วนหนึ่งเราเป็นสมาชิกในองค์กรหนึ่ง เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้น แล้วสังคมนี้มันจะวางไว้ แล้วต่อไปเขาจะเอาสังคมนี้เป็นแบบอย่าง เป็นที่อ้างอิงว่าทำอย่างนี้แล้วมันจะได้ประโยชน์อย่างนั้นๆ แต่ตอนที่มันทำอย่างนี้ มันทุกข์ร้อนอย่างนี้ มันขัดข้อง มันเป็นไปไม่ได้ มันเดือดร้อน มันวุ่นวาย ตอนกระทำอยู่เป็นอย่างนี้ไง

ในปัจจุบันใครๆ ก็อยากเห็นหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นมีชื่อเสียงมาก เกียรติศักดิ์ เกียรติคุณมหาศาลเลย แต่สมัยหลวงปู่มั่น ใครไปอยู่กับหลวงปู่กลัวหลวงปู่มั่นมากเลย หลวงปู่มั่นดุมาก หลวงปู่มั่นเอ็ดอย่างเดียว หลวงปู่มั่นจี้อย่างเดียว แต่ถึงเวลามันผ่านไปเห็นคุณประโยชน์ไหม คุณประโยชน์สร้างหลักฐานของศาสนาได้ จนการประพฤติปฏิบัติกลับมาเชิดชูศาสนาอีกหนหนึ่ง ปฏิบัติจริงเห็นจริง จนสร้างธรรมทายาทขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เผาไปเป็นพระธาตุ ครูบาอาจารย์ที่องค์หลวงปู่มั่นสร้างไว้เป็นพระอรหันต์หมดเลย แล้วพระอรหันต์กับพระอรหันต์คุยกันมันจะขัดแย้งกันไปไหน พระอรหันต์ขัดแย้งกันไม่ได้หรอก! เพราะมันเป็นสัจจะความจริง

อริยสัจอันเดียวกัน แต่นิสัยความเห็นต่างๆ กัน นิสัยความเห็นมันเรื่องปลีกย่อย มันเรื่องภายนอกไง เหมือนรสอาหารนี้ ใครชอบอาหารต่างๆ กันไม่เห็นเป็นอะไรเลย แต่กินอาหารแล้วอิ่มเหมือนกัน สิ่งนี้มันจะไปขัดแย้งกันยังไง ว่าอาหารกิน ต้องกินอาหารเห็นไหม

หลวงปู่มั่น ที่วัดหนองผือ เวลาหลวงปู่ตื้อไปเยี่ยมหลวงปู่มั่น เวลาแจกอาหารอยู่หลวงปู่ตื้อฉันเลย หลวงปู่มั่นถาม

“ตื้อ ฉันอาหารทำไม ยังแจกอาหารอยู่ ฉันทำไม”

“อ้าว ก็ผมหิว”

นี่พระอรหันต์กับพระอรหันต์เห็นไหม หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์นะ ถือเป็นแบบอย่าง ถือเป็นกติกามาก แต่หลวงปู่ตื้อก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่เวลาแจกอาหารอยู่ฉันเลย แล้วขัดแย้งกันไหมล่ะ หลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศน์นะ “ใครอย่าเอาแบบหลวงปู่ตื้อนะ หลวงปู่ตื้อนิสัยเป็นอย่างนี้” เห็นไหม

หลวงปู่มั่นท่านไม่ได้ตินะ ท่านเพียงแต่ว่าไม่ให้เอาแบบอย่าง เวลาครูบาอาจารย์เรา หลวงตาท่านพยายามจะไปหาพระที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ให้อยู่จำพรรษา อย่าไปตามแต่ความพอใจ

บอกก็ได้ หลวงปู่ชอบ เพราะหลวงปู่ชอบท่านจำพรรษาเป็นที่ หลวงปู่ชอบบอกว่า “อ้าว ก็เราไม่ได้บวชมาเอาพรรษานี่หว่า” นี่ผู้มีธรรมเห็นไหม แต่บอก ใช่ ครูบาอาจารย์นะเป็น ถ้าเป็นธรรมทายาทแล้วมันไม่มีอาบัติหรอก แต่มันจะเป็นตัวอย่างให้ไอ้ขี้กลากมันจะเอาอย่าง ไอ้พวกขี้กลากมันจะเอาอย่าง

แต่ตัวครูบาอาจารย์ไม่เป็น ไม่เป็น ใช่ พระอรหันต์ไม่ขัดแย้งกันเลย ไอ้พวกขี้กลากมันเห็นอย่างนั้น “หลวงปู่ตื้อทำอย่างนั้นได้ ทำอย่างนี้ได้”

เวลาหลวงปู่ตื้อนั่ง ๗ วัน ๗ คืน มันไม่เอาตามล่ะ เวลานั่งสมาธิ ๗ วัน ๗ คืน มึงเอามั่งสิ แต่เวลาถ้าถูกกิเลสมันเอา แต่เวลาท่านทำความเพียรไม่เคยเอามาอ้างอิงเลยว่าท่านทำอย่างนี้เพราะเหตุใด? ก็ท่านเอาตัวรอดของท่านได้แล้ว แล้วเราเอาตัวรอดได้หรือยัง? เอาตัวเองไม่รอด แล้วสิ่งต่างๆ ที่เป็นเครื่องมือเครื่องไม้ จะลงเรือมันก็ต้องมีพายสิ จะลงเรือมันก็ต้องมีเรือมีพาย พายเรือไป ไอ้นี่นั่งกระดิกตีนเลย จะให้ถึงฝั่ง ให้ถึงฝั่ง อีกกี่ชาติมันจะถึงฝั่งล่ะ

ถึงเก็บหอมรอมริบ ทุกข์ก็ทนเอา แล้วจะเห็นประโยชน์ไปข้างหน้านะ ในการประพฤติปฏิบัติ อุโบสถศีล ถึงบอกว่า การลงอุโบสถอยากจะทำให้องค์กรมันเข้มแข็ง ให้ความเป็นไปของหมู่คณะมันเป็นหลักขึ้นมา ให้เป็นหลักขึ้นมา

สิ่งที่เป็นหลักขึ้นมาเห็นไหม จริงอยู่ มันสิ้นเปลืองเห็นไหม ถ้าอยู่วัดทำที่วัดมันต้องสิ้นเปลือง เสียค่าน้ำมัน เสียอะไร? มันสิ้นเปลืองไหม ทำไมต้องเดือดร้อนขึ้นมาอย่างนั้น นี่ถ้าคิดแบบโลกๆ ไง

แต่คิดถึงค่าน้ำใจสิ คิดถึงความเป็นไป เป็นประโยชน์ เป็นคติ เป็นแบบอย่างที่จะให้พระให้เณรเขาเห็นว่า สิ่งที่เป็นแบบอย่างเป็นคติ คุณค่ามันมากกว่าสิ่งที่เราเสียไปอีกมหาศาลเลย ให้มองต่างมุม ให้มีมุมมองอีกมุมมองหนึ่ง อย่ามุมมองแต่เรื่องเศรษฐกิจ มุมมองแต่ว่า “ฉันไม่อยากจะขยับ ฉันมีความเดือดร้อน ฉันมีความทุกข์” นี่มันกิเลสทั้งนั้นนะ

ความทุกข์ส่วนความทุกข์สิ ถ้าความทุกข์ขึ้นมาก็อย่ากินสิ ไม่ต้องกินเลย อยู่อย่างนี้นั่งอย่างนี้จนตายไปเลย สบายด้วยไม่ต้องไปหากิน ทำไมต้องกินล่ะ? นี่ก็เหมือนกัน มันมีการกระทำ มันมีความเป็นไปเห็นไหม ยังต้องหายใจอยู่ ยังต้องการออกซิเจนอยู่

นี่ก็เหมือนกัน มีการหมุนเวียนเพื่อสังฆะ เพื่อหมู่สงฆ์ เพื่อความเป็นไป พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง แล้วทำไว้ถ้าจะมีความขัดแย้งในหัวใจ จะมีสิ่งใดที่มันโต้แย้งนะ ให้กาลเวลาพิสูจน์กัน “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” แล้วดูสิ่งที่พิสูจน์สิ่งที่ทำอยู่นี้ว่า มันจะเป็นผลดีหรือผลเลวกับอนาคตของศาสนา เอวัง