บูชาธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : ข้อ ๒๔๒๒. เรื่อง “ขอบคุณ”
ตอบ : เขาขอบคุณมานะ จบ ขอบคุณมันก็จบแล้ว
ถาม : ข้อ ๒๔๒๓. เรื่อง “ธรรมโอสถ”
กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ โยมได้นั่งสมาธิ ยังไม่สงบดีเท่าไร จิตของโยมดีดออกมานั่งดูตัวเองนั่งสมาธิ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นั่งจ้องตัวเอง เห็นอยู่อย่างนั้น สักพักกลับเข้ามาเหมือนเดิม ตอนจิตออกไปรู้ทุกขณะ แต่พอจิตกลับเข้ามาเหมือนเดิม ไม่รู้ตอนไหน พอรู้ก็ปกติแล้ว พอออกจากสมาธิแล้วบอกตัวเองว่าไม่น่าจะใช่ทางที่หลวงพ่อสอน ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นอีก จึงพุทโธจดจ่อเข้มข้นจนเครียด ไม่ให้เกิดอาการอย่างนั้นอีก
คำถาม
๑. เดือนที่ผ่านมาโยมทำสมาธิอย่างจริงจัง ไม่ค่อยสงบเลย จะแก้ไขอย่างไรคะ
๒. จำตัวเก่าได้ เรื่องเดิมๆ ที่เคยทำให้ พอทำไม่ได้ก็ท้อ มีมาตรฐานในการทำแล้วให้ได้แบบนี้ แต่ทำไม่ได้ ขอหลวงพ่อช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
ระหว่างวันเห็นอารมณ์ชัดเจนขึ้น อารมณ์โมโห ไม่พอใจ เศร้าหมองในตัวเอง ใช้ปัญญาคุยกับตัวเองว่า เราไม่ได้อยากได้หรือคาดหวังอะไรจากเขา ทำไมเราจึงไม่เมตตาเขา แล้วตอนนี้ใครเดือดร้อน
อาการของจิตตัวเองรุ่มร้อน เศร้า ไม่ได้ดั่งใจ อารมณ์ต่างๆ ที่อยู่ในใจพิจารณาไม่หมด ยังตกตะกอนอยู่ มันจะดีดขึ้นมาให้พิจารณาต่อในทางจงกรม พอจับได้ก็มาตอบคำถามว่า เราได้อะไร เรารู้สึกอะไร เราเดือดร้อนนี่เอง มันจะบอกตัวเอง แต่ทำจิตให้สงบลงไปเบาบาง ไม่มีตัวตน ทำไม่ได้เลย ถ้าสงบก็นิดเดียว
(โยมมีปัญหาเรื่องสุขภาพค่ะ)
ตอบ : เขาว่ามีปัญหาสุขภาพของเขามาก ถ้ามีปัญหาสุขภาพ เจ็บไข้ได้ป่วยนะ เราก็รักษาตามอาการนั้น เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยนะ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย มีปัญหาเรื่องสุขภาพ สุขภาพนี้สุขภาพร่างกายไง แต่มันน่าเห็นใจนะ คนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพจิต
คนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพจิต จิตของเขาเป็นจิตเภท จิตของเขามีความขาดตกบกพร่อง เขาไม่รู้ตัวเขาเลยนะ พอเวลาเขาไม่รู้ตัวเขา เวลาพวกนี้ คนที่จิตมีการขาดตกบกพร่อง แต่ก็มีการศึกษาก็ศึกษาธรรมะไง เวลาพูดคุยกันเรื่องพื้นฐาน คุยกันรู้เรื่อง เวลาเรื่องการดำรงชีวิตนะ เราก็พยายามจะรักษาชีวิตเราไว้ให้ดี แล้วจะมาประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าจิตเขาบกพร่อง พอจิตเขาบกพร่อง ภาวนาไปแล้วมันวิปัสสนา มันสร้างภาพร้อยแปดพันเก้า นี่พูดถึงจิตบกพร่อง
เวลาสุขภาพกายของเราไม่แข็งแรง เรามีโรคประจำตัว เราก็ให้หมอรักษา รักษาตามนั้น แล้วเราก็พยายามจะประพฤติปฏิบัติ เพราะนี่เป็นของจริง ธรรมโอสถ ธรรมโอสถเป็นที่พึ่งของจริง เป็นที่พึ่งของจริง ถ้าเป็นที่พึ่งของจริง
เวลาคนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันแล้วแต่วาระของคน แต่จิตของเรา เรามีที่พึ่งที่อาศัยแล้ว เรื่องการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันองอาจกล้าหาญมาก มันเป็นเรื่องธรรมดาไง
เราศึกษาธรรมะจนเข้าใจ จนเข้าถึงแนบแน่นในหัวใจแล้ว ถ้าเรื่องอย่างนี้เป็นวาระของใครทั้งสิ้น มันเป็นเรื่องกรรมของสัตว์ๆ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ใครสร้างเวรสร้างกรรมไว้มากน้อยขนาดไหน ผลของเวรของกรรมมันให้ผลขนาดนั้น เวลาให้ผลขนาดนั้น แต่ในชาติปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้าเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราจะประพฤติปฏิบัติของเรานะ เราพยายามแสวงหาของเรา ถ้าเราแสวงหาของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเรา อย่าไปให้เรื่องสุขภาพมาเป็นการบั่นทอนๆ ไง นี่ปัญหาเรื่องสุขภาพ เรื่องหน้าที่การงานทีว่านั่นเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องสุขภาพ เราก็ให้หมอรักษา
เพราะเวลาหลวงตาท่านพูดถึงพระไง เวลาท่านอาจารย์สิงห์ทองไปเยี่ยมท่านอาจารย์ที่นั่น จำชื่อไม่ได้ ท่านบอกว่าท่านทิ้งธุระ ท่านทอดธุระ ท่านไม่ยอมรักษา แล้วท่านก็ไปรายงานผลกับหลวงตาพระมหาบัว
หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกว่า ไปบอกให้ท่านไปรักษา เพราะว่ามันยังมีโอกาสรักษาได้ ถ้ารักษาไม่ได้แล้วเราถึงจะทอดธุระ แล้วท่านก็เอากลับมารักษาจนหาย
เวลาถ้ามันยังมีโอกาสที่รักษาได้ เราก็จะรักษา นี่ก็เหมือนกัน เรามีโอกาสจะรักษาได้ เราก็รักษาของเราไป แต่ความเป็นจริง ความเป็นจริงคือหัวใจ คือสัจธรรมอันนี้ เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องให้มีใครมาเคาะโลง ไม่ต้องให้มีใครมาอุทิศส่วนกุศลให้ เราเอาไปเองหมด เรารู้ของเราเองหมด เราทำของเราเองหมด
นี่พูดถึงว่า ถ้ามีเรื่องสุขภาพร่างกาย ยกไว้ให้หมอ แล้วเราก็รักษาตามอาการนั้น แล้วเราภาวนาของเราไป อย่าให้สิ่งนี้มาเป็นสิ่งที่กีดขวาง ให้การกระทำของเรานี้ได้มรรคได้ผลของเราไป
ย้อนกลับมาที่เรื่องคำถามเนาะ ถามว่า เขาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พอหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เห็นจิตมันดีดออกไป จิตที่มันดีดออกไปแล้วมองกลับมาเห็นเรานั่งสมาธิภาวนา
ไอ้นั่นมันเป็นอาการของจิต อาการของจิตอย่างหนึ่ง มีพระเป็นมากมาย มีพระเวลาเป็นนะ เวลาทำสมาธิ ทำสมาธิสักพักหนึ่ง จิตมันจะออกจากร่างนี้ไป แล้วไปรู้ไปเห็นอะไร เขาก็สำคัญตนว่าเขามีคุณธรรม
มาหาเรา เราก็บอกว่าไม่ได้หรอก ต้องพยายามรั้งไว้ๆ อย่าให้มันออก เพราะจิตถ้ามันสงบ มันสงบโดยฐาน สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ฐีติจิต ฐีติจิตมันอยู่ในร่างกายนี้ เพราะเราเกิดด้วยเวรด้วยกรรม เราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีกายกับใจๆ ถ้าเราจะรักษาในปัจจุบันนี้ เราก็ต้องเข้าไปสู่จิตใจที่มันเป็นปกติ จิตใจที่เป็นสถานะของความเป็นมนุษย์ เราให้เขาดึงเข้ามาๆ เขาไม่ได้ดึงเข้ามา สุดท้ายพวกนี้สึกไปหมดแล้ว
นี่ก็เหมือนกัน ย้อนกลับมา จิตที่มันดีดออกไป
มันดีดออกไป เวลาดีดออกไปมันด้วยอาการของจิต มันด้วยวาสนาของคนไง อย่างเช่นธาตุต่างๆ มันก็มีคุณภาพตามแต่ธาตุอย่างนั้น จะเป็นธาตุทองแดง ทองเหลือง มันก็มีคุณภาพตามธาตุนั้น
จริตนิสัย จริตนิสัยจิตที่สร้างมา มันจะทำสิ่งใดมา มันเป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์ มันฝังอยู่กับจิตดวงนั้น เวลามีอาการอะไรเกิดขึ้นมามันก็เป็นอาการนั้น แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เรารั้งของเราไว้ เราแก้ไขให้มันกลับมาเป็นปกติไง สมาธิคือจิตเป็นปกติ สิ่งที่เป็นความเป็นปกติ
แต่ตอนที่ปัจจุบันนี้มันไม่ปกติ จิตเราปกติ ในปัจจุบันนี้มันไม่ปกติ มันไม่ปกติเพราะอะไร เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันห่อหุ้มหัวใจอยู่ แล้วมันก็ดีดมันก็ดิ้น มันก็ชักมันก็จูง ดูสิ โทสจริต โมหจริต โลภจริต มันไปตามกำลังกิเลสทั้งนั้นน่ะ นี่มันไม่ปกติ
ถ้ามันเป็นปกติ สัมมาสมาธิ นี่คือความปกติของใจ ถ้าใจปกติ ใจปกตินั่นน่ะสัมมาสมาธิ จิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้เป็นอย่างนั้น แต่ที่เป็นกันอยู่ปัจจุบันนี้มันไม่ใช่เดิมแท้ มันสถานะเสวยภพ เสวยชาติ เสวยความเป็นมนุษย์ไง มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเปโต มนุสสเทโว นี่เสวยภพเสวยชาติตามแต่บุญกุศลของตน
ฉะนั้น เวลาถ้ามันดีดออกไป บอกมันเป็นจริตนิสัย แล้วเราก็รั้งไว้
แต่นี้บอกว่า เวลามันดีดออกไป แต่เข้าตอนไหนไม่รู้ ถ้าเข้านะ มันดีดออกไป ถ้ามันเข้ามา เราไม่เท่าทันนั้น แต่มันเข้ามาแล้ว เรารู้ว่าการเข้าแล้ว แล้วเขาก็พยายามจะรักษาไว้ พุทโธจดจ่อ พุทโธเข้มข้นจนเครียดเลย
อย่าไปเครียดกับมัน เพราะอะไร เพราะความรู้สึก ความรู้สึกเป็นนามธรรม ถ้าเป็นนามธรรมนะ ถ้าเราไม่กดทับเกินไป มันก็ไม่เคร่งเครียด เราทำด้วยความพอดี เราทำด้วยสติสมบูรณ์ แล้วเราทำของเราด้วยความมัชฌิมา ความสมดุลพอดี ทำของเราไปเรื่อยๆ ทำบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาทำบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา เราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือบูชาใจของเรา บูชาพุทธะนั่นแหละ แล้วถ้าเป็นพุทธะแล้ว แหม! มหัศจรรย์ นี่ไง ปฏิบัติอย่างนั้น
เขาบอกว่า เวลานั่งสมาธิแล้วมันดีดออกไป พอดีดออกไปแล้ว ตั้งสติไว้แล้วมันกลับเข้ามา แล้วมาคิดได้ว่ามันไม่ใช่ทางที่หลวงพ่อสอน ไม่ใช่ทางที่หลวงพ่อสอน
อันนี้มันฟังไว้ ฟังไว้จนเป็นสัญญา เวลามันเทียบเคียงได้มันก็เป็นประโยชน์ตรงนี้ เห็นไหม ศึกษาพระไตรปิฎกมา ศึกษาพระไตรปิฎกก็เป็นอย่างนี้ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เวลามันเป็นในใจขึ้นมา นี่ตัวจริง ไอ้ศึกษามานั่นน่ะชื่อ เวลาเป็นนี่เป็นตัวจริง
นี่ก็เหมือนกัน หลวงพ่อเคยบอกไว้ มันไม่ใช่ๆ เวลาเป็นสัญญา เวลาเป็นตัวจริง จิตมันดีดออกไป แล้วมันกลับเข้ามา เอ๊ะ! นี่ไม่ใช่ทาง ดีนะ
ถ้าไปลุ่มหลงกิเลสนะ เวลาจิตมันดีดออกไป ไปรู้ไปเห็นอะไรขึ้นมา เป็นผู้วิเศษแล้วล่ะ สำคัญตนนะ ทีนี้กิเลสมันยุมันแหย่นะ มันกระตุ้นไปเลย มันออกนอกทางไปไง ออกนอกทางไปรู้ไปเห็นขึ้นมา
ในโลกเราเดี๋ยวนี้ โลกนี้มันสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมากมายมหาศาลเลย เป็นธรรมชาติก็มี ไปรู้ไปเห็นอะไรมา แล้วก็ไปติดพันมันอยู่อย่างนั้นน่ะหรือ นี่ส่งออก
ทีนี้บอกว่าถ้ามันไม่ใช่ทางที่หลวงพ่อสอน ก็พุทโธไว้ พุทโธไว้เข้ามา มันก็เป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้าเป็นสัจจะความจริงนะ
ทีนี้เข้าคำถาม “๑. เดือนที่ผ่านมาทำสมาธิอย่างจริงจัง ไม่ค่อยสงบเลย แก้ไขอย่างไรคะ”
เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ คนเราเวลาตั้งใจจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่มีคุณค่าแล้วล่ะ คนที่ยังไม่เห็นคุณค่าของธรรมะ ธรรมะคือสัจธรรม อริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันเป็นเรื่องสัจจะ ทางโลกเขาไม่มีตลาด ไม่มีสินค้า ไม่มีการซื้อขาย
นี่ไง เวลาทางโลกๆ เวลาคนโดยปุถุชน รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ชอบนักรูป รส กลิ่น เสียงที่มีความสุข ที่กามคุณ ๕ ที่พอใจกันน่ะ เขาชอบกันอย่างนั้น แล้วใครถ้ามีมากนะ โอ้โฮ! นี่มีบุญเยอะ มีอำนาจวาสนา เห็นไหม คนที่จิตใจเขาต่ำต้อย จิตใจเขาต่ำต้อย เขาก็ไปตื่นเต้นกับรูป รส กลิ่น เสียง ตื่นเต้นกับยศถาบรรดาศักดิ์ ตื่นเต้นกับโลกธรรม ๘
เวลาคนที่จะประพฤติปฏิบัติ เวลาจะประพฤติปฏิบัติ เราปฏิบัติเพื่อสัมมาสมาธิ เพื่อความสงบในใจของตน ไม่ใช่สงบในเรื่องของโลก
โลก เวลากลางวันอึกทึกครึกโครม กลางคืนขึ้นมาเงียบกริบเลย เวลามีคนสัญจรไปมามันก็มีเสียง มีต่างๆ ขึ้นมา เวลาถึงกลางคืน คนเขากลับบ้านกลับเรือนหมดแล้ว มันก็เป็นที่สงบสงัด นี่มันเป็นเรื่องธรรมชาติ
แต่ในใจของเราล่ะ ในใจของเราที่เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะบอกว่า คนที่จะประพฤติปฏิบัติมันก็มีอำนาจวาสนาแล้วล่ะ มีอำนาจวาสนาขึ้นมาเพราะว่าสิ่งนี้ไม่มีใครเห็นได้ ไม่มีใครจับต้องได้ แล้วคนที่ขวนขวายก็แบบพวกเรานี่ไง ขี้ทุกข์ขี้ยาก กรรมฐานขี้ทุกข์นะ แบกกลดแบกบาตรขึ้นเขาลงห้วยไป โอ้โฮ! เหนื่อยมาก ไปหาหัวใจของตน
ธุดงค์ไป ธุดงค์ไปก็เพื่อหาหัวใจดวงนี้ อยู่ที่ไหนมันก็ปฏิบัติไม่ได้ อยู่ที่ไหนมันก็ทำอะไรไม่ได้ มันก็ต้องไปตะลอนๆ ขึ้นมา เปลี่ยนบรรยากาศ หาโอกาส เปลี่ยนให้สัญญาอารมณ์ในหัวใจมันมีคุณค่าขึ้นมา
นี่ก็เหมือนกัน “๑ เดือนที่ผ่านมา โยมทำสมาธิอย่างจริงจัง ไม่ค่อยสงบเลย จะแก้ไขอย่างไรดีคะ”
เพราะว่าไปคาดไปหมาย ปล่อยหมดล่ะ เราปฏิบัติเพื่อเรา เราปฏิบัติ แค่ปฏิบัติก็มีคุณค่าแล้ว ปฏิบัติ เห็นไหม ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่งสมาธิ เดินจงกรม บุญกิริยาวัตถุ เราเสียสละสิ่งที่เขาไปเที่ยวไปเล่น ไปชายทะเล ไปภูเขา ไปที่เขาชื่นชอบกัน เราอยู่ในทางจงกรมซ้ำไปซ้ำมาๆ คนทางโลกเขาบอกสงสัยต้องส่งโรงพยาบาลศรีธัญญาแล้วล่ะ ไม่รู้เดินไปเดินมาเหมือนคนบ้า แต่ไอ้คนพูดน่ะมันบ้า เราต่างหากที่มีสติมีปัญญา
นี่จะบอกว่า ๑ เดือนที่เดินมาไม่ได้สิ่งใดเลย มันได้ ได้เจตนาที่เราอยากจะปฏิบัติ ได้เจตนาที่เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ได้บุญกุศล บุญกิริยาวัตถุ เราเสียสละการกระทำนั้นเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาเขาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาด้วยลาภ ด้วยสักการะ ด้วยสิ่งต่างๆ เราบูชาด้วยความเพียรของเรา เราปฏิบัติบูชาแล้วพอใจ ยิ้ม
หลวงปู่ขาวท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านมีทางจงกรม ๓ เส้น เช้าขึ้นมาเดินจงกรมบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลางวันเดินบูชาพระธรรม กลางคืนเดินบูชาพระสงฆ์ ทั้งๆ ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ การเดินจงกรมของท่าน ท่านบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระอรหันต์ เพราะจิตของท่านเป็นวิหารธรรม แล้วท่านเดินจงกรมขึ้นมา บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
แล้วเราเป็นใครล่ะ เราเป็นคนขี้ทุกข์ขี้ยากไง เวลาเดินจงกรมขึ้นมาเหงื่อไหลไคลย้อยเชียว ทุกข์มากเชียว นี่เวลามันจะทุกข์มาก...ก็ทุกข์น่ะสิ
แล้วเวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาทุกข์ใจเสียใจ ร่ำร้องคร่ำครวญ น้ำตาที่หลั่งไหลออกมาจากดวงตาของตน ถ้าเก็บไว้ทุกภพทุกชาติ น้ำทะเลสู้ไม่ได้ ที่ความทุกข์ความยากเรานี่ ที่มันทุกข์ซ้ำทุกข์ซากนี่ ที่โหยหาอาลัยอาวรณ์ ร้องไห้คร่ำครวญกันอยู่นี่ แต่ละภพแต่ละชาติสะสมไว้ๆ มากกว่าน้ำทะเลอีก เข็ดไหม แล้วเดินจงกรมมันแค่ไหนเอง เดินจงกรมมันถึงสุดยอดไง เราเดินจงกรมมาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เขาถามว่า มันไม่ค่อยสงบเลย จะแก้ไขอย่างไร จะแก้อย่างไร
อย่าไปคาด อย่าไปหมาย อย่าไปตั้งเป้า บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศรัทธา เรามั่นคง ศรัทธา อจลศรัทธา ศรัทธาแล้วบูชา เดินของเราไป พูดแล้วจะเป็นสัญญาไง ถ้ามันสมดุลพอดี เดี๋ยวมันลงนะ มันเป็นของมันไป แต่นี่มัน “อุ๊ย! จะเป็นแล้ว อุ๊ย! จะได้แล้ว อุ๊ย! อุ๊ย!”...ไม่ได้หรอก อย่าไปคาดหมายอะไรทั้งสิ้น
แล้วเขาบอก “โอ๋ย! ทำอย่างนี้ก็ไม่มีเป้าหมายน่ะสิ มันไม่เหมือนทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เขามีเป้าหมาย ต้องบรรลุเป้าหมาย”
ไอ้นั่นวิทยาศาสตร์ ไอ้นี่ปฏิบัติธรรม กิเลสมันคอยยุคอยแย่ คอยกีดคอยขวางมากมายมหาศาล เราทำของเราไป นี่พูดถึงว่าจะแก้ไขอย่างไร
“๒. จำตัวเก่าได้ค่ะ แต่เดิมๆ ที่เคยทำมา พอทำไม่ได้ก็ท้อ มีมาตรฐานในการทำแล้วให้ทำแบบนี้ ยังทำไม่ได้ หลวงพ่อเคยชี้แนะแล้วค่ะ ช่วงระหว่างที่เห็นอารมณ์ชัดเจนขึ้น อารมณ์โมโห อารมณ์โกรธ อารมณ์เศร้าหมอง อารมณ์ต่างๆ ปัญญาคุยกับตัวเองว่าเราไม่ได้คาดหวัง จากนั้นทำไมเราถึงไม่เมตตาเขา”
นี่พูดถึงเมตตานะ เวลาใช้ปัญญาคุยกับตัวเองได้ ใช้ปัญญาคุยกับตัวเองได้นี่มีสติสัมปชัญญะพอสมควรนะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะพอสมควร นี่ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าปัญญาคุยกับตัวเองแสดงว่าตัวเองมีความคิดมีความเห็นสิ่งใด มันมีปัญญาคุยกับตัวเองได้ ถ้ามีปัญญาคุยกับตัวเองได้นี่มีสติ ถ้ามันขาดสตินะ มันคิดด้วยความเจ็บแค้น คิดด้วยความเจ็บปวด แล้วคิดที่จะจองล้างจองผลาญที่จะแก้แค้นเขาด้วย
แต่ถ้ามีสติปัญญา เราคุยของเราได้ เรามีสติปัญญาพอ แต่คนเรายังไม่ชำระล้างกิเลส มันกิเลสในหัวใจ เวลามีสติปัญญาขึ้นมา มีกำลังขึ้นมา กิเลสมันก็เบาบางลงๆ พอกิเลสมันรู้เท่าทัน มันก็พลิกมันก็แพลงขึ้นมาไง พอพลิกแพลงขึ้นมา เราก็บอกอาการมันก็รุ่มร้อน มีความเศร้าใจ อารมณ์ต่างๆ นี้มา เดินจงกรมอยู่นี่เห็นมันดีดขึ้นมาในทางจงกรม แล้วเวลามันดีดขึ้นมามันมีความเดือดร้อน มันจะบอกตัวเองว่าทำจิตให้สงบไม่ได้ ทำให้ตัวตนเบาบางลงไม่ได้
ค่อยๆ ฝึกหัดทำไป ค่อยๆ ฝึกหัดทำไป สิ่งที่สะสมในหัวใจ ความมีสติ มันเป็นสมาธิ พอมันมีปัญญาขึ้นมา มีปัญญาคุยกับตัวเองได้ ดูสิ เวลาคนที่เขามีความโลภ ความโกรธ ความหลง เวลาเพื่อนฝูงตักเตือนเขาก็ไม่เชื่อ เวลาคนที่ไปว่ากล่าวเขา เขาทำร้ายคนคนนั้นเลย เพราะอะไร เพราะเขาอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความหลง ความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นเรา เป็นของของเรา มันยิ่งเกิดความเคียดแค้น เกิดอารมณ์โทสะโมหะในหัวใจ
แต่นี่เรามีสติปัญญา เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เวลาจิตใจมันมีหลักมีเกณฑ์ เรามีสติปัญญาคุยกับตัวเองได้
คนอื่นเตือนเขายังจะไปทำร้ายเลย เวลาคนจะมีปัญหากัน มีคนไปตักไปเตือน ไอ้คนที่ไปตักไปเตือนคนนั้นจะโดนทำร้ายก่อน เพราะเขาโกรธไง อารมณ์ชั่ววูบไง อารมณ์โกรธทั้งอารมณ์ไง มันไปหมดเลย
แต่นี่พอมีสติมีปัญญาขึ้นมาบ้าง เรามีปัญญาคุยกับตัวเองได้ มีปัญญาคุยกับตัวเองได้ มีสติปัญญาเท่าทัน เท่าทันอารมณ์ความรู้สึก มันก็ดีขึ้นมาพอสมควร แล้วเราก็ฝึกหัดของเราไป พอคุยกับตัวเองได้จนเหตุผลมันจบแล้ว ก็พุทโธต่อไป พุทโธต่อไป
พุทโธๆๆ เวลาพุทโธแล้วถ้ามันมีความคิดมันโหมเข้าใส่ ก็ใช้ปัญญาคุยกับตัวเองไง ปัญญาอบรมสมาธิต่อเนื่องไปๆ ฝึกหัดทำของเราอย่างนี้ ฝึกหัดทำของเรา เราปฏิบัติธรรมของเรา เราดูแลหัวใจของเรา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เวลาเขาจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาซื้อตั๋วเครื่องบินไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ที่ประเทศอินเดีย เราชาวพุทธเราจะพุทโธ เราจะกำหนดลมหายใจเข้าออก เราจะบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางหัวใจของเรา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วฝึกหัดของเราไป ทำของเราได้มากน้อยแค่ไหน
แล้วเรื่องสุขภาพ เรื่องสุขภาพเราก็ดูแลสุขภาพตามความจำเป็น เราดูแลสุขภาพตามความจำเป็นแล้วถ้าเรามีสติมีปัญญานะ ธาตุขันธ์ไม่ทับจิตไง ร่างกายนั้นมันไม่ทำให้หัวใจเราหวั่นไหว ถ้าจิตใจเราอ่อนแอ เวลาเรื่องสุขภาพมันวิตกวิจารณ์ มันยิ่งกำเริบเสิบสาน
แต่ถ้าเรามีใจเป็นธรรมๆ นะ ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว ครูบาอาจารย์ของเราก็นิพพานไปหมดแล้ว เราเองเกิดมามีชีวิต เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วมีคุณค่า มีคุณค่าที่เรามีศรัทธาความเชื่อ แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติของเราอยู่นี้
งานทางโลกใครๆ ก็ทำได้ งานการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาต้องบุคคลคนนั้นต้องเป็นผู้ทำเอง คนที่จะมีสติมีปัญญาจนตั้งศรัทธาความเชื่อ เชื่อมั่น ศรัทธา อจลศรัทธาเพื่อประพฤติปฏิบัติ มันคงที่ มันมีน้อย
มีมากที่มาหาเรา “หลวงพ่อ หลวงพ่อช่วยพูดให้ผมกลับมาภาวนาใหม่สิ ผมทิ้งมา ๒๐ ปีแล้ว” คนที่ทิ้งมา ๑๐ ปี ๒๐ ปีเยอะแยะไปหมด
เวลาภาวนาไปทีแรกมันมีศรัทธาความเชื่อมันก็มั่นคงของมัน เวลาไปเต็มที่แล้ว สุดกำลังของตนแล้ว เลิก เลิกไปเยอะแยะเลย
นี่บอกว่าศรัทธาความเชื่อความมั่นคงของเรา แล้วเราปฏิบัติต่อเนื่องของเราไป ได้มากได้น้อย บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา บุญกิริยาวัตถุ วัตถุที่เรามีอิสรภาพ มีเสรีภาพที่จะนอนอย่างไรก็ได้ จะทำอย่างไรก็ได้ มาเดินจงกรม มานั่งสมาธิ ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการประพฤติปฏิบัติของเรา จบ
ถาม : ข้อ ๒๔๒๔. เรื่อง “กราบขอบพระคุณหลวงพ่อ”
หลวงพ่อ : กราบขอบพระคุณเหมือนกันเลย แต่กราบขอบพระคุณเมื่อกี้นี้ กับกราบขอบพระคุณแบบว่าทางโลกๆ
ถาม : กราบหลวงพ่อเจ้าค่ะ จากเหตุวันนี้ลูกนั่งสมาธิ ใจก็เกิดคิดถึงการไปกราบหลวงพ่อครั้งแรก ครั้งนั้นลูกได้นำบาตรไปถวายด้วย หลวงพ่อเมตตาลูกมาก บอกลูกว่า “การถวายบาตรนี้เหมือนเป็นบุญกุศลที่ใช้เท่าไรก็ไม่หมด เหมือนคอนโด” ลูกมีความสุขมากทุกครั้งที่นึกถึง จนน้ำตาไหลก็มี แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม
บางครั้งเวลานั่งภาวนาเกิดโยกคลอนหรือเกิดอาการเอียงต่างๆ ถ้าความคิดถึงตอนที่ได้กราบหลวงพ่อครั้งนั้นผุดขึ้นมาเอง แล้วตัวนี่ตรงเลย นั่งได้อีกนานเหมือนคืนนี้ ลูกก็เลยตั้งใจปฏิบัติบูชาหลวงพ่อ แล้วก็คิดถึงหลวงพ่อ ลูกก็เลยเขียนมากราบหลวงพ่อเจ้าค่ะ แต่ลูกยังคงนั่งสมาธิตกหลุมตกบ่อเหมือนเดิม แม้ว่าจะปฏิบัติมาหลายปีแล้ว
ลูกเคยไปกราบถามหลวงพ่อที่วัดเรื่องนิมิตที่โดนผีมาหลอกในนิมิต ที่กลัวผีมากจนลืมกลัวหลวงพ่อเจ้าค่ะ แต่พอถึงเวลาเจอหลวงพ่อจริงๆ กลับกลัวหลวงพ่อจนตัวสั่นหมด ต่อมาลูกก็เลยใช้วิธีเขียนมาถาม แต่วันนั้นพอได้คำตอบจากหลวงพ่อแล้ว ความกลัวต่างๆ นาๆ มีปัญหาอะไรก็หายหมดจนน่าอัศจรรย์ ภาวนาดีไปอีกหลายวัน แต่หลังจากนั้นบางครั้งความกลัวมันก็กลับมาใหม่ เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหมเจ้าคะ
แล้วลูกอยากทราบว่า ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติบูชาใครก็ตาม แม้กระทั่งพระพุทธเจ้า ท่านจะรู้ไหมเจ้าคะ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อมาก
ตอบ : ไอ้นี่กราบขอบคุณเรื่องถวายบาตรเนาะ การถวายมันเป็นเรื่องทางโลก ดูสิ เวลาในเอตทัคคะไง พระสีวลีเป็นพระที่มีลาภสักการะมากที่สุด แล้วมีพระ เราจำชื่อไม่ค่อยได้ ที่ว่าเกิดมา เป็นพระอรหันต์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเลย เพราะท่านเคยได้ถวายหยูกยากับพระพุทธเจ้าในอดีตกาลมา
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าเราถวายสิ่งใดๆ มันเป็นเหมือนกับที่เขาสร้างพระพุทธรูปปางนั้นๆๆ ปางที่พระพุทธเจ้าปางห้ามญาติ ปางสะดุ้งมาร ปางนั่งสมาธิ ปางต่างๆ เพราะมันมีเหตุเกิดในพระไตรปิฎกเป็นเรื่องนั้นก็เลยทำอย่างนั้น ไอ้นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าเราทำบุญอย่างนั้น เราจะได้อย่างนั้น มันมีที่มาที่ไป เป็นเรื่องกรรม แต่ในปัจจุบันนี้คนเราพยายามจะทำสิ่งใดแล้ว จะอยากได้สิ่งใดต่างๆ เอาอย่างนั้น
ฉะนั้น เวลาที่ว่าถวายบาตรๆ ก็ถวายบาตรให้พระ เวลาพระท่านบิณฑบาตทุกวันๆ มันได้ใช้ตลอด เหมือนกับสร้างกุฏิ เวลาสร้างวัดสร้างวา ขอให้พระจตุรทิศที่ยังไม่ได้มา ให้มาเถิด ถ้ามาแล้วขอให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขไง เราสร้างไว้เป็นสาธารณประโยชน์ ถ้าใครได้ใช้ประโยชน์สิ่งใดแล้วมันมีบุญกุศลตลอดไป ถ้ามีบุญกุศลตลอดไป
ตอนนั้นเวลาทำสิ่งใด ถ้ามันกระทบ เราก็พูด ถ้ามันไม่กระทบนะ ทำแล้ว สิ่งที่ได้ทำแล้วมันจบแล้ว แล้วให้มันเป็นปัจจุบัน
แต่อันนี้มันเป็นผลดีไง ผลดีเพราะเวลาคิดถึงทีไรแล้วมัน แหม! มันมีความสุข
ความสุขมันก็เป็นบุญกุศล เป็นเรื่องคุณงามความดี คุณงามความดีที่เราทำไปแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว ทีนี้เราจะทำปัจจุบันนี้ให้มันดีขึ้น ถ้าทำปัจจุบันให้ดีขึ้น ฝึกหัดภาวนาของเรา ถ้าเวลาจะฝึกหัดภาวนามันภาวนาได้มากหรือได้น้อย
แล้วสิ่งที่ว่า บางครั้งนั่งแล้วตัวโยกตัวคลอน เวลาคิดถึงหลวงพ่อขึ้นมาแล้วมันกลัวไง มันกลัวมันก็นั่งไปได้อีกหลายวันเลย มันก็ดีไง
หลวงพ่อเลยกลายเป็นแม่นาคพระโขนงคอยไปหลอกไง หลอกให้นั่งสมาธิ เวลาคิดถึงแม่นาค อู้ฮู! ตัวตรงเลย คิดถึงหลวงพ่อ
อันนั้นถ้าอะไรเขาเรียกว่ามันเป็นคติ มันเป็นอุบาย ถ้าเป็นประโยชน์ใช้ได้ ถ้าเป็นประโยชน์นะ เวลานั่งสมาธิภาวนาง่วงเหงาหาวนอน ถ้ามีสิ่งใดมันกระตุ้นไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสอนพระโมคคัลลานะไง พระโมคคัลลานะเป็นพระโสดาบันมาจากฟังพระสารีบุตรฟังเทศน์พระอัสสชิมา เวลานั่งไปแล้วง่วงเหงาหาวนอน นี่ไง นี่พระโมคคัลลานะนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วยฤทธิ์ ให้เอาน้ำลูบหน้า ให้แหงนดูดาว ให้ตรึกในธรรม นี่เวลาจะแก้ไข เวลาแก้ไขท่านสอน ๕ อย่าง แก้ง่วง ถ้าแก้ง่วงนอนขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริง
นี่พระโสดาบันนะ พระโมคคัลลานะเป็นพระโสดาบัน เวลาท่านไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปประพฤติปฏิบัติยังสัปหงกโงกง่วง นี่ไง กิเลสมันร้ายไหม กิเลสอันที่ละเอียดมันร้ายไหม แล้วเวลาเราปฏิบัติกัน จะฆ่ากิเลสๆ
ก็เขียนสิ ก-ไก่ สระอิ สระเอ ร-เรือ ส-เสือ แล้วก็ขีดมันเลย จะฆ่ากิเลส กิเลสอยู่ที่ไหน รู้จักกิเลสไหม
ถ้ามันจะรู้จักกิเลส เริ่มต้นจากเรานั่งสมาธิภาวนา ถ้าจิตมันไม่สงบ มันก็ฟุ้งซ่าน เวลามันฟุ้งซ่าน ความคิดของเราเดิมๆ ความคิดเราเดิมๆ ความคิดทางโลกๆ มันแผดมันเผาหัวใจ ถ้าเวลาวันไหนเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา จิตมันสงบเข้ามาบ้าง มันเย็นไง
จิตมันสงบ มันเย็นนะ แล้วเวลามันปล่อยมา โอ้โฮ! โล่งหมดเลย เวลาเดินจงกรมไปเหมือนลอยไปลอยมาเลยน่ะ เวลาพูดอย่างนี้แล้วไอ้คนข้างนอกมันก็อิจฉา มันอิจฉามันก็บอกว่าไอ้พวกนี้ยกย่องกันเอง
โธ่! ไปเดินจงกรมเถอะ เดินไปเดินมาถ้าจิตมันดีๆ มันเหมือนมันเดินอยู่นั่นแหละ กิริยาภายนอกมันเดิน แต่ความรู้สึกภายในเหมือนปุยเมฆลอยไปลอยมาเบาๆ เลยล่ะ โอ๋ย! มันเป็นร้อยแปด ถ้ามันเป็นนะ แต่ก็อาการมันเป็น มันจะเป็นอะไรไป มันเป็นก็คือมันเป็นไง แต่คนที่เขาปฏิบัติแล้วเขารู้ เขารู้เขาเห็นไง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกไง จะให้ใครมาหลอกไง
จิตไม่สงบเป็นอย่างไร รู้ทุกคน ในโลกนี้รู้หมดเลย ทุกข์เป็นอริยสัจ จิตไม่สงบ ฟุ้งซ่าน ทุกข์ยาก มีการบีบคั้นในใจทั้งสิ้น
แล้วจิตสงบเป็นอย่างไร
ว่างๆ ว่างๆ
ว่างๆ ก็คิดให้ว่าง ไม่ใช่จิตสงบ จิตสงบมันมีสติสัมปชัญญะในตัวมันเอง มันได้วางอารมณ์ทั้งหมด วางอาการความรู้สึกนึกคิด สิ่งที่มันรู้สึกนึกคิดแล้วมันอยู่ที่จริตนิสัย โทสจริต โมหจริต โลภจริต มันก็ชอบแตกต่างกันไป แล้วยึดมั่นแตกต่างกันไป เวลามันปล่อยวางหมด มันเป็นอิสระในตัวมันเอง มันเป็นอย่างไร ว่างๆ หรือ ว่างจริงหรือ มันว่างๆ ว่างๆ สัญญาอารมณ์ สัญญาว่าว่าง เวลามันเป็นของมันจริง โอ้โฮ! นี่เวลามันเป็นจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม
เรานักปฏิบัติ เราบอกว่า เวลาตัวโยกตัวคลอน เวลานั่งไป เวลาคิดถึงหลวงพ่อขึ้นมา มันผุดขึ้นมา คืนนั้นนั่งได้ไปอีกนานเลย
ถ้ามันเป็นประโยชน์นะ ในปัจจุบันนี้เวลาเราออกประพฤติปฏิบัติ เวลาเราทุกข์เรายาก เรามีความทุกข์ความยาก เวลากิเลสมันย่ำยีในหัวใจเรา เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีมันทุกข์แค่ไหน ๖ ปี ไอ้เรายังไม่เคยเจอความทุกข์มากขนาดนั้น แล้วเวลามันท้อแท้นะ หลวงปู่มั่นท่านมีอำนาจวาสนา ท่านปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อำนาจวาสนาขนาดนั้นน่ะ แล้วเวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านจริงจังของท่าน
นี่พูดถึงว่าเราระลึกถึงใคร เวลามันจนตรอก เวลามันทุกข์มันยาก ถ้าเราระลึกถึงครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง ไอ้ความเพียรที่ว่าเมื่อกี้มันหนักหน่วงหายหมดเลย หายหมดเลย เหมือนกัน สดชื่นได้หลายวันเลย เข้าทางจงกรมได้ตลอด เดินทั้งวันทั้งคืน
มีพระเขาเคยคุยกับเรานะ เขาแปลกใจ “เอ๊ะ! ทำไมท่านเดินได้ทั้งวันทั้งคืนๆ ไอ้ผมแค่ฟังเทปคาสเซ็ตแค่หน้าเดียวผมยังนั่งหลับเลย อ๋อ! แสดงว่าท่านมีงาน”
คำว่า “มีงาน” จิตมันมีการกระทำของมัน มันไม่ง่วงเหงาหาวนอน มันไม่บีบคั้นตัวมันเอง อู้ฮู! มันโล่งมันโถง อู้ฮู! สุดยอด ถ้ามีงานทำนะ
นี่พูดถึงว่าถ้าเวลาระลึกถึงมันเป็นประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ เวลานั่งสมาธิเขาบอกว่ายังตกหลุมตกบ่ออยู่ เราก็ฝึกหัดของเราไป
“นั่งสมาธิยังตกหลุมตกบ่อเหมือนเดิม แม้ว่าจะปฏิบัติมาหลายปีแล้ว”
การปฏิบัติมาหลายปีแล้วมันก็เป็นประโยชน์กับเราไง การปฏิบัติมาหลายปีแล้ว เป็นจริตเป็นนิสัยฝังไปในหัวใจนี้ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราหาเงินมาได้ ๑ บาท เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่สลึงหนึ่ง เราใช้ในครอบครัวของเราสลึงหนึ่ง เราทำการค้าต่อไปสลึงหนึ่ง เหลืออีกหนึ่งสลึงฝังดินไว้คือการทำบุญกุศล ฝังดินไว้ในหัวใจ
ในหัวใจมันมีเจตนา มีความตั้งใจที่จะทำบุญ เสียสละทำบุญไปในพระพุทธศาสนา ทำบุญในพระพุทธศาสนามันก็เป็นเรื่องถาวรวัตถุหรือเป็นเรื่องใช้ในชาติปัจจุบันนั้น แต่เจตนาอันนั้นมันฝังลงไปที่ใจไง ใจเป็นผู้เสียสละ ใจเป็นผู้กระทำ นี่หนึ่งสลึงฝังดินไว้ ฝังในหัวใจไว้ไง ถ้าฝังในหัวใจแล้วมันก็เป็นจริตเป็นนิสัยไง ถ้ามันเป็นเรื่องของวัฏฏะมันก็เป็นทิพย์สมบัติไง ทิพย์สมบัติที่มันฝังลงไปในใจๆ
ถ้าไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม อยู่ที่สมบัติใครมากสมบัติใครน้อยไง ถ้าสมบัติใครมาก ได้วิมานที่ใหญ่กว่า เป็นทองคำ ถ้าคนมีวาสนาน้อยก็ได้วิมานที่ด้อยกว่า บางคนได้วิมานที่ว่าเป็นทองคำส่วนหนึ่ง เป็นวัตถุก่อสร้างส่วนหนึ่ง มันอยู่ที่ฝังลงดินเท่าไรนะ ฝังมากฝังน้อยมันอยู่ที่วาสนาของคนไง
นี้เราประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติมาหลายปีแล้ว นี่ไง ฝังดินไว้ๆๆ สิ่งที่จะได้เป็นอริยทรัพย์ เป็นสัจจะเป็นความจริงของเรา จะเชื่อไม่เชื่อ ถึงเวลาพิสูจน์กัน นรกสวรรค์มีหรือไม่ ชาติหน้าชาตินี้มีหรือไม่ เชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของความเชื่อ ความจริงเป็นความจริงวันยังค่ำ นรกสวรรค์มันก็เป็นนรกสวรรค์ตั้งแต่เรายังไม่เกิด เกิดมาแล้วตายไปก็ยังเป็นนรกสวรรค์อยู่เหมือนเดิม สิ่งที่ว่าเราปฏิบัติจะได้ผลหรือไม่ได้ผล นี่ไง มันมีอยู่โดยดั้งเดิม มันมีอยู่ของมันโดยปกติอยู่แล้ว แล้วถ้าเราปฏิบัติไปๆ ไง นี่ไง ฝังไว้ในใจๆ เป็นอำนาจวาสนาบารมีของตน
นี่พูดถึงว่า ปฏิบัติมาหลายปีแล้ว แล้วบอกว่าเคยไปหาหลวงพ่อ เล่าเรื่องนิมิต เรื่องกลัวผีไง
กลัวผีส่วนกลัวผี กลัวผี เวลาคนเรา นี่ไง ที่ว่าจริตนิสัย มันเป็นกรรมของสัตว์ สัตว์แต่ละคนนะ สิ่งที่คนภาวนา เวลานั่งสมาธิภาวนาไปเห็นนิมิต นั่นน่ะวาสนาของคน กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ไม่ใช่เราขีดเส้นแล้วจะให้ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด เป็นไปไม่ได้ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ อยู่ที่จริตนิสัยของเขา
เวลาอนุปุพพิกถา ให้ทำทานเสียก่อน ถ้าทำทานแล้ว ถ้าจิตเขาซาบซึ้งในบุญกุศลของเขา เขาจะไปเกิดเป็นเทวดา อย่างนี้ที่ว่าเราซาบซึ้งในบุญในคุณ เป็นอจลศรัทธาไง ถ้าจิตเขาควรแก่การงานแล้วถึงเทศน์อริยสัจไง เวลาเทศน์อริยสัจ จิตควรแก่การงานแล้วไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจของคนเวลามันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันมีเหตุมีผลของมัน ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุไง เวลาผู้ที่มีเหตุ เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ นี่ไง สิ่งที่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลก็เป็นศีล ศีลคือความปกติของใจ ถ้าศีลคือความปกติของใจ ถ้าเราเป็นปกติจริงมันก็จะศีลบริสุทธิ์ เวลาศีลมันมีด่างมีพร้อยก็วิตกกังวล เวลามันขาดแล้วมันคอยหลอกตัวเองๆ ไง มันคอยทิ่มคอยตำตลอด
ฉะนั้น เวลาพระกรรมฐานเราถึงต้องปลงอาบัติๆ ไง เวลาปลงอาบัติ ศีล สมาธิ สมาธิมันความสงบของใจ ใจถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แล้วมันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้น มันมีมาตรฐานของมัน โอ้โฮ! ร้อยแปด
นี่พูดถึงกลัวผีไง กลัวผี เวลามาเจอหลวงพ่อ กลัวหลวงพ่อมากกว่า แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เขาทำของเขาไป มันก็เป็นความมหัศจรรย์ ถ้ามันเป็นความดีๆ เราว่าความดีก็เป็นความดี แต่บอกว่า “เวลาประพฤติปฏิบัติบูชาครูบาอาจารย์องค์ใดก็แล้วแต่ แม้กระทั่งบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจะรู้ไหมคะ”
โอ้โฮ! ถ้าเป็นหลวงตาพระมหาบัวนะ ใครมีความสงสัยเรื่องอย่างนี้ท่านบอกว่า “ไป เราจะพาไปถามพระพุทธเจ้า” ท่านจะพาลูกศิษย์ไปถามพระพุทธเจ้าเลย
ไอ้ที่ว่าบูชาๆ ท่านจะรู้หรือเปล่า
เราบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาทำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบระงับเข้ามา เห็นไหม พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รู้หรือไม่รู้ล่ะ เราน่ะรู้ชัดๆ เลย
เวลาปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านรู้หรือเปล่า
เวลาคนมีความปรารถนาสิ่งใด เวลากราบพระกราบเจ้า ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุทิศส่วนกุศลนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้หรือเปล่า มันเป็นการสร้างสมบุญญาธิการในใจ
นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติบูชาครูบาอาจารย์องค์ใด เวลาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้หรือไม่
หลวงปู่ขาวท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านสร้างทางจงกรม ๓ เส้น เช้าขึ้นมาเดินจงกรมบูชาพระพุทธเจ้า กลางวันเดินบูชาพระธรรม กลางคืนเดินบูชาพระสงฆ์ รู้หรือเปล่า ตัวท่านเองก็เป็นพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ ท่านยังบูชากันเลย นี่ไง บูชาธรรมๆ ความบูชาธรรมนั้นประเสริฐไง
แล้วนี่บอกท่านจะรู้หรือไม่
คนถามต่างหากรู้หรือไม่ คนถามมันสงสัยน่ะ แล้วเราปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะรู้หรือเปล่า
ถ้ามันสงบ รู้ ถ้าเป็นสมาธินี่ชัดๆ เลย รู้เลยนี่สมาธิ บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าเป็นสมาธิ พุทธะรู้ ถ้ามันไม่เป็น มันได้แต่ความเร่าร้อน แต่ก็บูชาท่าน บูชาด้วยกิริยา แต่มันยังไม่เป็นผล ถ้าเป็นผลขึ้นมา รู้
นี่ไง เวลาปฏิบัติบูชาครูบาอาจารย์ ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจะรู้หรือเปล่า
ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้ชัดเจนตามความเป็นจริง เอวัง