เทศน์พระ

เทศน์พระ ๒๕

๑๓ ส.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์พระ วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

เอานะ วันนี้วันประชุมสงฆ์ไง เราจะลงอุโบสถ อุโบสถสังฆกรรมเห็นไหม อุโบสถสังฆกรรมความสะอาดบริสุทธิ์ของใจ ทางโลกเขาความบริสุทธิ์ของเขามันมีสังคมยอมรับ แต่ความบริสุทธิ์ของเรานะ มันเป็นความบริสุทธิ์ของใจ มันเป็นความบริสุทธิ์ของนามธรรม แสดงอุโบสถเห็นไหม อุโบสถสังฆกรรม สิ่งที่เป็นสังฆกรรมมันเป็นทิฏฐิ มันเป็นความเห็น ถ้าภิกษุมีความเห็นเสมอกัน มีความเห็นตรงกัน ความอยู่เป็นสุขเป็นสุขมาก

วันนี้วันอุโบสถแรก มันอธิษฐานพรรษามา นี่คืออุโบสถล่ะ วันคืนล่วงไปๆ นะ เร็วมาก เดี๋ยวก็จะออกพรรษาแล้วนะ วันคืนล่วงไปๆ เราประมาทในชีวิตไหม คนถ้าตายไปแล้วนะ วันคืนล่วงไปๆ มันก็เป็นธรรมชาติของกาลเวลา ของวัฏฏะ ของโลกที่มันหมุนไปเห็นไหม โลกหมุนรอบตัวเป็นหนึ่งวัน โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์เป็นหนึ่งปีเห็นไหม วันคืนเดือนปีล่วงไปๆ คนที่ตายไปแล้วนะ วันคืนเดือนปีก็มีอย่างนี้ แต่จิตมันก็เกิดเป็นสถานะขึ้นไปเห็นไหม มันก็เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

แต่เราเกิดมา เกิดมามีความเชื่อมีความศรัทธา แต่วันคืนล่วงไปๆ อย่างนี้ มันเข้ามาหนึ่งปักษ์แล้วนะ เราจะต้องมีความตั้งใจนะ ในพรรษานี้ ๓ เดือน สิ่งที่มีคุณค่า มีคุณค่ามากกับชีวิตของเรา กาลเวลามีชีวิตของเรา

เวลาพระสารีบุตรถามตอบปัญหาธรรมเห็นไหม “ชีวิตนี้คืออะไร” ชีวิตนี้คือไออุ่น ไออุ่นตั้งอยู่บนกาลเวลา ชีวิตตั้งอยู่บนกาลเวลา เวลามันเคลื่อนไปไง เรายังมีชีวิตอยู่ เรายังมีโอกาส เรายังมีประสบไง คนที่ตายไปแล้วเวลามันก็อยู่อย่างนี้ เรายังมีชีวิตอยู่นะ เราถึงต้องไม่ประมาทกับชีวิต ตั้งใจตั้งแต่บัดนี้นะ ตั้งใจในการทำความเพียรของเรา ในการตั้งสติของเรา

เราตั้งสติไว้เหมือนกับเราหงายภาชนะไว้นะ ฝนจะตกแดดจะออกเราหงายภาชนะเอาไว้ สิ่งใดตกมาเราจะได้ประโยชน์นะ หงายใจของเราขึ้นมา วันคืนเดือนปีมันก็เป็นธรรมชาติของมัน แต่เพราะหัวใจของเรา หัวใจของเราถ้าได้ประโยชน์มันได้ผลประโยชน์ที่หัวใจของเรา

เราถือข้อวัตรปฏิบัติ เรามีธุดงควัตร เช้าเราหาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราจะหาเลี้ยงชีพของเราให้ชีวิตมันสืบต่อไป แล้วสติให้มันสืบต่อด้วย มีสติสัมปชัญญะ มีการประพฤติปฏิบัติของเรา

ความเป็นอยู่ของชีวิตนะ ชีวิตมีการพลัดพรากเป็นที่สุด ออกพรรษาแล้วต้องต่างคนต่างไปนะ ไม่ไปทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าคนออกพรรษาแล้วจะสึกไปเพื่อดำรงชีวิตในฆราวาส นั่นก็เป็นเรื่องของหน้าที่ เราก็ต้องพลัดพรากจากกัน เราจะออกธุดงค์ เราจะออกต่างๆ มันต้องพลัดพรากจากกันนะ

สิ่งที่จะพลัดพรากจากกัน ใน ๓ เดือนนี้มันเป็นการบอกเวลาไง เวลาเข้าพรรษาก็เข้าพรรษาอย่างนี้ เราจะไปไหนไม่ได้ภายในเวลา ๓ เดือน นี่ในเวลา ๓ เดือนเราต้องอยู่แบบรื่นเริงอาจหาญสิ อย่าไปอยู่แบบเศร้าสร้อยสิ ถ้าเราเศร้าสร้อยนะ จำพรรษาที่นี่ แล้วออกพรรษาจะไปที่นั่น มันคาดหมายไปแล้ว อีกตั้ง ๒ เดือนกว่านะ

เราไม่ต้องไปคาดหมาย เราเอาปัจจุบันนี้ให้ได้ก่อน ถ้าเราอยู่ในปัจจุบันที่นี่เห็นไหม เหมือนเราทำเงินทำทอง ถ้าเราทำเงินทำทอง เงินเราจะได้มากได้น้อยเราจะนับเงินนับทองที่นี่ อยู่ที่นี่ได้ ๕ บาท ๑๐ บาท ๑๐๐ บาท ๑๐๐,๐๐๐ บาท สมาธิเราอยู่ที่นี่ เราทำที่นี่แล้วเราเกิดความสงบของใจขึ้นมาที่นี่ แล้วถ้าเกิดเราน้อมใจไปวิปัสสนา ปัญญาเราเกิดที่นี่ เห็นไหมที่นี่

เราจะไปที่ไหนนะ มันก็หมาขี้เรื้อนตัวเก่านี้ มันก็หัวใจอันเดิมนี้ หัวใจอันเดิมจะไปอยู่ที่ไหนมันก็หัวใจอันเดิม ไปเกิดในสถานะใหม่นะ จริตนิสัยก็อันนี้ แม้จะทำบุญกุศลนะ มันตัดแต่งพันธุกรรม มันเกิดดีขึ้นมา เกิดทำกุศลอกุศล นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ปัจจุบันนี้ในที่นี้ เราต้องอยู่ที่นี่ จะเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก็แล้วแต่ ฟ้าจะถล่มทลายก็แล้วแต่ ในปัจจุบันนี้กำหนดพุทโธตลอดไป

ในการทำความสงบของใจ จะมีอะไรเกิดขึ้นมามันเรื่องของเขานะ เรื่องของโลกมันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ดูสิฤดูกาลก็เปลี่ยนแปลง วันเวลาก็เปลี่ยนแปลง อารมณ์ความรู้สึกก็เปลี่ยนแปลงนะ ตอนที่เรารื่นเริงอาจหาญเราตั้งใจ เราตั้งสัจจะเห็นไหม เราจะทำความเพียรขนาดไหน ทำอะไรเหมือนกับนิพพานอยู่ในกำมือเลย เราจะหยิบจับนิพพานได้เลย ถ้ามันมีความรื่นเริงอาจหาญนะ

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไป เราลงไปทางจงกรม เรานั่งสมาธิภาวนาขึ้นมานะ ทำไมมันทำแล้วมันติดขัดไปหมดเลย มันติดขัดสิ เพราะอะไร เพราะว่าเราจะหว่านล้อม เราจะต้อนกิเลสไง เราจะรื้อค้นไง แต่เดิมเราทำกันด้วยสัพเพเหระนะ ทำตามสบายๆ ไง ทำที่ไหนก็ได้ จะไปอย่างไรก็ได้ เพราะมันยังไม่เข้าพรรษาเห็นไหม

พอเข้าพรรษาเราตั้งกติกาขึ้นมา เราจะหว่านล้อม เราจะปิดกั้น เราจะไม่ให้กิเลสมันออกมาเพ่นพ่าน ถ้าไม่ให้กิเลสออกมาเพ่นพ่าน นี่ธุดงควัตรในวัตรปฏิบัติของเรา เราจะตั้งกติกาขึ้นมา เวลาเราประพฤติปฏิบัติ ดูสิ เด็กเราไปบังคับให้มันอยู่ในกติกา มันก็ต้องดิ้นรนเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดานะ กิเลสมันแสดงตัวอยู่อย่างนี้มันเป็นธรรมดา กิเลสมันแสดงตัวของมันนะ มันแสดงตัวของมันขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้ามันแสดงตัวของมันขึ้นมาในหัวใจของเรา ก็เราจะต่อสู้กับมันไง เราจะต่อสู้กับมัน เราจะรู้จักมันเห็นไหม รู้จักกิเลส

เวลาการประพฤติปฏิบัติ เวลากิเลสมันตายไปเห็นไหม นี่สมุจเฉทปหาน สังโยชน์ขาดออกไป กิเลสตายต่อหน้า พลิกศพของกิเลสเห็นชัดๆ เลย ดูสิเวลาเขาทำฆาตกรรมกัน เขาต้องพลิกศพ เขาต้องชันสูตรพลิกศพ เขาต้องรู้จุด พิสูจน์ว่าจุดตายจุดไหน

นี่ก็เหมือนกัน มันจะเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ มันขาด มันขาดๆ อย่างไร ปัญญาความรู้สึกเวลาเราวิปัสสนาไปมันปล่อยอย่างไร มันปล่อยด้วยปัญญาของเรา หรือปล่อยด้วยสมาธิด้วยศรัทธา ศรัทธาสมาธิมันหลบเข้ามา กิเลสมันก็ปล่อยวางไป มันปล่อยวางได้อย่างไร มันปล่อยวางได้หลายวิธีการนัก มันปล่อยวางด้วยการหลบเลี่ยงเข้ามาก่อน ถ้าเราไม่มีกำลังของเรามา เราก็ต้องปล่อยวางของเราเข้ามา แต่ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมาเราต่อสู้กับมัน มันตายต่อหน้าเราเห็นไหม ดูสิเราต่อสู้กับข้าศึก เราทำลายเขา ไม่ตายต่อหน้าบาดเจ็บสาหัสนอนอยู่ต่อหน้าเราเห็นๆ นะ แต่ถ้าเขาตายต่อหน้า เขาตายต่อหน้าเราเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ากิเลสมันขาดมันมีความรู้สึกอย่างนั้นตลอดไป ถ้ามีความรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมา มันก็เป็นผลงานของเราเห็นไหม มันเป็นสันทิฏฐิโก เป็นความเห็นของใจของเรา ถ้าใจของเราเกิดขึ้นมาอย่างนี้ การกระทำอย่างนี้ขึ้นมา มันมีผลงานขึ้นมาอย่างนี้มันก็อบอุ่น ความอบอุ่นมันมีความสุขนะ ความสุขเกิดขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัตินะ

การประพฤติปฏิบัติความสุขอย่างนี้เกิดขึ้นมาเป็นปัจจัตตัง เป็นสมบัติส่วนตน สมบัติของใคร ใครทำได้ขนาดไหนก็เป็นสมบัติของคนๆ นั้น เห็นไหม เราจะพูดกัน เราจะธัมมสากัจฉา เวลาเราสนทนาธรรมกัน เราก็เอาประสบการณ์อย่างนี้ออกมาปรึกษาหารือกัน มันเป็นสมบัติขององค์นั้นๆๆ เห็นไหม มันเป็นสมบัติส่วนตัว มันเป็นสมบัติจากภายใน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ ธรรมในหัวใจเอาออกมาตีแผ่กันแบบทางโลกไม่ได้ แต่รู้ได้ รู้ได้ด้วยการสนทนาธรรม รู้ได้ด้วยการรู้จริง ผู้รู้จริงออกมาเป็นสัจจะความจริงเห็นไหม สิ่งที่เป็นสัจจะความจริงมันอยู่กับเรา ถ้าเราต่อสู้กับกิเลส เราต่อสู้มันอย่างนี้ เราทำลายมันอย่างนี้ ความเป็นอยู่ของเรามันก็มีคุณค่าไง

เราต้องมีคุณค่านะ ศากยบุตรพุทธชิโนรสนะ เราเป็นลูกของกษัตริย์ ดูสิสังคมเขาให้ความนับถือเชิดชูเรามาก เดินผ่านเขายกมือไหว้นะ เวลาเขายกมือไหว้นะ ศีลธรรมของเราสมควรให้เขาควรยกมือไหว้ไหม หน้าที่ของเราในทางจงกรม เราได้ทำของเราสมบูรณ์ไหม ถ้าเราได้ทำสมบูรณ์ตามหน้าที่ของเรา เขาไหว้ของเขา เขาได้บุญของเขาเห็นไหม เวลาเขาไหว้เรามันต้องสะท้อนใจเข้ามานะ เขายกมือไหว้เขาศรัทธามาก เขามาสนับสนุนจุนเจือกับเราเพื่อต้องการบุญกุศลกับเรา เขาต้องการบุญกุศลกับเรา แล้วเราต้องการบุญกุศลกับเราไหม ในหัวใจของเราบุญกุศลของเราเกิดขึ้นมาหรือยัง เห็นไหมแม้แต่อยู่ของเรา หัวใจมันพอใจในเพศของสมณะไหม

ถ้าหัวใจมันพอใจในเพศสมณะนะ เพศของนักบวช เพศของนักต่อสู้ ถ้าพอใจในเพศสมณะมันก็อบอุ่นไง ถ้าศีลมันบริสุทธิ์มันจะอบอุ่นในหัวใจของเรา เห็นไหม เราจะเข้าสังคมไหนได้ เราเข้าด้วยความเต็มอกเต็มใจ เราเข้าด้วยความรื่นเริงอาจหาญ เพราะเราทำเราไม่มีสิ่งใดเป็นความซ่อนเร้นในหัวใจ

ถ้ามีสิ่งใดซ่อนเร้นในหัวใจเห็นไหม เราเข้าที่ไหนเราไม่อาจหาญเราไม่รื่นเริงเห็นไหม นี่คือศีลไม่บริสุทธิ์ ถ้าศีลบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์มันทำให้รื่นเริงอาจหาญ การทำอะไรมันทำได้เต็มไม้เต็มมือ

การทำด้วยความเต็มไม้เต็มมือทำด้วยหัวใจนะ หัวใจทำงาน งานประพฤติปฏิบัติ นั่งสมาธินั่งเฉยๆ เดินจงกรมกลับไปกลับมา แต่หัวใจมันหมุนติ้วๆๆ เวลาปัญญามันเกิดนะ หมุนติ้วอย่างนั้นจริงๆ เวลามันหมุนออกไป มันหมุนออกไปในแกนในหลักการของสัมมาสมาธิ มันหมุนโดยมีหลักการนะ มันไม่ได้หมุนแบบฟุ้งซ่านออกไป ถ้าฟุ้งซ่านออกไปมันหมุนออกไปโดยธรรมชาติของมัน มันโดยสัญชาตญาณของมัน มันหมุนออกไปไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีที่เกิด ไม่มีที่ดับ ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ทุกข์อย่างเดียว

แต่ถ้ามันหมุนโดยมรรคญาณ หมุนโดยมัคคะ ความเป็นไป มันเป็นโลกุตตรปัญญาเห็นไหม มันหมุนไปจากไหน มันก็หมุนมาจากฐาน มาจากจิตปฏิสนธิ จากภวาสวะ จากแกนของจิต แกนของจิตนะ แกนของจิตคือสัมมาสมาธิมันมีหลักของมัน ถ้ามีหลักของมัน มันหมุนก็หมุนไปจากแกนอันนี้ แล้วพลังงานของมันก็กลับมาทำลายกิเลสในแกนอันนี้ แกนนี้คือแกนในหัวใจอันนี้ไง

สิ่งที่กลับมาเห็นไหม มันงานของเรา หน้าที่ของเรานะ เราอย่าปล่อยให้เวลามันล่วงไป เวลาล่วงไปน่าเสียดายนะ ดูสิ ดูเด็กเห็นไหม เผลอแป๊บปั๊บเดียวมันโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ

ชีวิตเราแก่มาๆ ตลอดนะ อายุพรรษาจะแก่มากขึ้นไป ความรับผิดชอบเราจะมากขึ้นไป เราจะมีหลักมีเกณฑ์นะ เราจะเป็นผู้นำเขาตลอดไป ถ้าเราจะเป็นผู้นำเขา เราเองเรายังไม่เข้าใจเรื่องธรรมและวินัย แล้วเราจะไปมีหลักมีเกณฑ์ได้อย่างไร เราจะต้องมีหลักมีเกณฑ์ในหัวใจของเรา เราต้องเป็นหลักเป็นเกณฑ์ให้ได้

ถ้าเป็นหลักเป็นเกณฑ์ให้ได้ การศึกษาเป็นการจำมา การศึกษานะ การศึกษาเล่าเรียนจำมาทั้งนั้น อันนี้มันอยู่กับเราไม่ได้หรอก มันเผลอมันลืม สัญญามันลืมนะ แต่ถ้าเราทำของเราขึ้นมาในหัวใจ มันรู้แจ้ง

ความรู้แจ้งนะ ศีลธรรมไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันครอบคลุมศีลทั้งหมดนะ ศีลมันมาจากไหน? ศีลมันมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมานะ บัญญัติขึ้นมาเพราะมีภิกษุทำผิดเป็นต้นบัญญัติ แล้วบัญญัติขึ้นมา สิ่งที่บัญญัติมาก็เพื่ออะไร ก็เพื่อความสงบของใจ เพื่อการประพฤติปฏิบัติ แล้วเราประพฤติปฏิบัติในหัวใจของเรา สิ่งที่เรารู้จากธรรมอันนี้ ธรรมมันเหนือโลก ธรรมอยู่ในหัวใจของเรา มันจะเข้าใจสิ่งต่างๆ ไปหมดเลย ถ้าเข้าใจสิ่งต่างๆ ไปหมดเราก็เป็นหลักของตัวเราเองได้

ชีวิตของเรามันมีคุณค่า คุณค่าของเราเห็นไหม คุณค่าของพระ คุณค่าของนักบวช เรามีความศรัทธาเรามีความเชื่อนะ เรามีความศรัทธา ความศรัทธามันมาจากไหนล่ะ ดูสิทางโลกเขาเห็นไหม ดูสิกระแสของตลาดที่เขานิยมกัน ถ้ากระแสตลาดนิยมเราจับกระแสตลาดได้ เขาทำธุรกิจกันเขาจะมีผลประโยชน์มากเลย

ความอบอุ่นในหัวใจของเรา คุณค่าของเราถ้ามันเกิดขึ้นมาของเราเห็นไหม จิตของเรามันรู้คุณค่าของเรา มันพอใจไง มันพอใจในชีวิตนะ ชีวิตเกิดมามีคุณค่า ชีวิตของเราเกิดมาเห็นไหม ไม่เหยียบแผ่นดินผิด เราเกิดพบพุทธศาสนา อย่างน้อยเราก็ได้มาประพฤติปฏิบัติ มาได้ทดสอบไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมา ๖ ปีเห็นไหม คืนสุดท้ายอยู่โคนต้นโพธิ์ นั่งสมาธิอย่างนี้ เราได้ทำตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใน ๓ เดือนนี้ให้มุมานะ ใน ๓ เดือนนี้ให้ตั้งอกตั้งใจนะ ไม่ใช่ไปพูดเอาก็ต่อเมื่อจะออกพรรษาว่า “จะออกพรรษาแล้วนะ” แล้วเรามีอะไรติดไม้ติดมือไป

นี่ต้นพรรษา ต้นพรรษาเลย ยังสดๆ อยู่ ของยังสดๆ ร้อนๆ อยู่นะ มันควรจะประกอบขึ้นมาให้มันเป็นผลงานเราขึ้นมา ตีเหล็กต้องตีเหล็กที่มันแดงๆ เหล็กแดงๆ เราเอามาตี มันจะขึ้นรูปอย่างไรก็ได้ นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเรา ของของเราเองเราจะมาทำขึ้นรูปอย่างไรก็ได้ ทำให้มันสงบเข้ามานี่ให้มันทำได้ อย่างน้อยนะจิตสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามามันเป็นการยืนยันกับจิตของเราเห็นไหม จิตของเราไม่เคยสัมผัสนะ เหมือนเขามีอาหารที่ประเสริฐมาก เราไม่เคยกินเลย เราไม่เคยกินเราไม่เคยเห็นเลย ได้ยินแต่ข่าว ข่าวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ข่าวของครูบาอาจารย์ไง “มีความสงบอย่างนั้น มีความสุขอย่างนั้น”

สิ่งนี้เราศึกษาไปเราก็ศรัทธา เราก็มีความเชื่อ เราก็มีความทึ่ง ทึ่งว่าโอ้โฮ ท่านทำได้นะ สิ่งนี้มันทำได้ สิ่งนี้มันมีจริงนะ สิ่งที่มีจริงเราก็มีความรู้สึกเหมือนกัน เราก็มีสิทธิเหมือนกัน เราก็มีหัวใจเหมือนกัน หัวใจสัมผัสธรรมได้เห็นไหม เราก็มีสิทธิเหมือนกัน แล้วเราพยายามทำของเราขึ้นมา

เราเกิดมาเรามีศรัทธามีความเชื่อ เราได้ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เป็นความคิดนะ ตามแนวทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมากับเจ้าลัทธิต่างๆ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละทิ้งมา แล้วมาทำวิชชา ๓ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เห็นไหม นี่วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา เป็นผู้ริเริ่ม เป็นผู้บุกเบิก เป็นผู้ค้นคว้ามา แล้ววางธรรมวินัยให้ เราได้ฝึกฝนให้มันมีคุณค่าขึ้นมากับเรา ถ้าเราได้ทำขึ้นมา มันมีประโยชน์กับเราขึ้นมา

แค่ความสงบของใจ จิตมันสงบเข้ามามันยืนยันเลย สิ่งนั้นมีจริง สิ่งนั้นมีจริงนะ เหมือนเราเอามือคว้าไปในอากาศสิ เห็นไหม เราจะมีความรู้สึกเลย เพราะมันกระทบอากาศมันจะมีความรู้สึกหมด จิตก็เหมือนกัน จิตมันคิดของมันตลอดไป จิตมันสัมผัสแต่เรื่องของโลกๆ จิตมันสัมผัสแต่เรื่องสัญชาตญาณ สัญชาตญาณของกิเลสที่มันออกหาเหยื่อ มันใช้แต่ความเป็นไปของจิต ความเป็นไปอาการของจิตออกไปหาเหยื่อ แล้วเราอยู่กับมาอย่างนี้ ศึกษาก็เอาอย่างนี้ศึกษา เอาอาการของใจนี้ศึกษา เอาสัญญานี้จำ เอาสังขารนี้ปรุงในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้วิเคราะห์วิจัยอยู่ตลอดเวลา

แล้วมันก็มีความเห็นตามเห็นไหม มันซึ้งในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเห็นตามๆ มันเห็นตามแต่มันไม่เห็นจริง ถ้ามันเห็นจริงเห็นไหม แค่สัมมาสมาธินะ พุทโธๆ ทำของเราขึ้นมา เป็นสมบัติของเรา

ถ้าจิตมันสงบขึ้นมานะ สงบกับเราเอง ยืนยันกับเราเอง นี่สิ่งนั้นมีจริงเห็นไหม เหมือนกับเราเอาแขนฟาดไปในอากาศ มันจะมีความรู้สึกอย่างนั้น จิตก็เหมือนกัน ถ้ามันสัมผัสสมาธิ มันก็เป็นการยืนยันกับจิต จิตมันยืนยันเอง จิตมันสงบเอง

สิ่งที่มันสงบเองเห็นไหม จิตเป็นอย่างนี้ ชีวิตเราเป็นอย่างนี้ ไอ้ตัวที่มาเกิดๆ ตัวนี้มันมาเกิด ตัวความรู้สึกอันนี้มันมาเกิด มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์มาก แล้ววิธีแก้ไขมันล่ะ สิ่งที่มันจะพาเกิดอีก วิธีแก้ไขมันนะ ถ้าวิธีแก้ไขมัน สิ่งที่มันสงบขึ้นมาแล้วพยายามสาวไปหาเหตุ ทำอย่างไรให้จิตมันสงบขึ้นมา

ถ้าเหตุนะคือวสี ชำนาญในวสี ในการกระทำ กระทำสิ่งนี้ให้มันสงบบ่อยครั้งเข้าๆ ถ้าบ่อยครั้งเข้าพลังงานมันมีเห็นไหม โน้มไปมันทำได้นะ คนเราๆ สดชื่น เรากำลังแข็งแรงเราทำได้หมด ถ้าเราแก่เฒ่าเราต้องคลานเอานะ ไปไหนก็คลานเลย เดินก็เดินแทบไม่ไหวเลย ยกเท้าไม่ไหวเพราะมันเสื่อมสภาพ

จิตที่มันเป็นไปมันไม่มีกำลังมันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น มันทำอะไรมันเคลื่อนไหวไปไม่ได้ แต่โดยสัญชาตญาณเพราะมันเป็นนามธรรม ร่างกายนั้นวัตถุเห็นไหม เวลามันเคลื่อนไหวนะ มันเจ็บปวดโอดโอยไปตลอด แต่จิตมันต้องการจะไปอย่างนั้น มันไม่มีกำลังของมัน ไม่มีกำลังนะ แล้วมันอยู่ในร่างกายที่อ่อนแออีกเห็นไหม มันก็ยิ่งไปไม่ไหวใหญ่เลย ร่างกายจะอ่อนแออย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าจิตใจเข้มแข็งเรานั่งสมาธิมันไม่ต้องใช้อะไรมากมาย เราใช้สติ เราใช้กำหนดพุทโธๆ มันสงบเข้ามาๆ ใจมันสงบเข้ามา มันทำได้

สิ่งที่ทำได้นะ สิ่งที่มันทำไม่ได้มันตรงข้ามกับทำได้ สิ่งที่เราทำไม่เคยประสบความสำเร็จ ถ้าเรามีความจริงใจ เราประสบความสำเร็จ อย่าปล่อยให้เสียเวลาไป หน้าที่การงานของเรา อย่าไปแย่งโลกเขาทำงานกันนะ งานของโลกๆ เขา ดูสิ ดูงานวิจัยต่างๆ ..ติรัจฉานวิชา วิชชาที่ทำให้เนิ่นช้าไง วิชาที่ทำให้เนิ่นช้าเห็นไหม

ข้อวัตรปฏิบัติเราต้องทำ สิ่งที่เป็นข้อวัตรปฏิบัติเพราะอะไร เพราะคนเรามันต้องขับต้องถ่าย มันต้องใช้ต้องสอยเห็นไหม ดูสิเรามานั่งกันอยู่อย่างนี้ อาสนะเอามาจากไหน? นี่มันของของสงฆ์ วินัยกรรมเกิดขึ้นมานะ เดี๋ยวจะบอกบุพกิจ ได้ทำของเราหรือยัง บุพกิจนี่ได้ตั้งน้ำใช้หรือยัง ได้เอาอาสนะมาวางไหม สิ่งใดนี่บุพกิจนี่ สาธุ..สาธุ แล้วทำหรือเปล่า นี่ได้ทำหรือเปล่า มันมุสานะ ถ้าไม่มุสานะ กิจกรรมมันเกิดขึ้น บุพกิจคือกิจการกระทำในอุโบสถ กิจที่ทำให้เกิดขึ้นมาเป็นกิจกรรม เป็นวินัยกรรมของสงฆ์ สงฆ์ทำกันขึ้นมาเห็นไหม สิ่งที่ทำขึ้นมาก็ทำเพื่อสงฆ์

นี่ก็เหมือนกัน ข้อวัตรปฏิบัติของเรา คนเรามันมีความเป็นอยู่ ร่างกายมันเป็นของสกปรก ดูสิเราต้องเข้าห้องน้ำ วัจกุฎีวัตร ต้องทำวัจกุฎีวัตร ข้อวัตรต่างๆ ของเรา วัตรของเราเราปฏิบัติเห็นไหม น้ำใช้น้ำฉัน น้ำใช้น้ำฉันแล้วใครใช้ใครฉัน ก็เรานี่ใช้เราฉัน น้ำล้างเท้า น้ำล้างบาตร เรารักษา ไอ้นี่มันไม่ใช่การเนิ่นช้า ไอ้นี่มันเป็นเพราะสิ่งที่มันมีชีวิตอยู่ การขับเคลื่อนไปของร่างกายมันต้องอาศัยสิ่งนี้ เราก็อาศัยสิ่งนี้มาเป็นข้อวัตร ข้อวัตรเพื่อบังคับหัวใจไง

หัวใจมันจะไม่ทำอะไรเลยนะ หัวใจมันอยากอยู่เฉยๆ แล้วก็นิพพานนะ เห็นไหมที่เขามาถามว่า “นิพพานอยู่แค่เอื้อมๆ”

นิพพานแค่เอื้อมนิพพานของใคร? นิพพานของกิเลสไง นิพพานของกิเลสไม่ต้องทำอะไรเลย นอนเหมือนหมูนั่นล่ะนิพพาน นอนอยู่เฉยๆ นิพพานหมดเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย ตรึกหน่อยเดียวก็นิพพานแล้ว นิพพานอย่างนี้นิพพานโดยกิเลส แล้วนิพพานโดยกิเลสเอาอะไรไปสอนเขา นิพพานโดยกิเลสนะ มีครูบาอาจารย์ควบคุมอยู่มันก็อยู่ในร่องในรอย ลองครูบาอาจารย์ท่านล่วงไปสิ นิพพานอย่างนี้มันจะออกเขี้ยวออกเล็บนะ มันจะหาเหยื่อของมัน เพราะอะไร เพราะโมฆบุรุษมันตายเพราะลาภ ลาภสักการะทำให้โมฆบุรุษตายหมดเลย

แล้วลาภสักการะมันคืออะไร โลกธรรม ๘ แล้วโลกธรรม ๘ มันเกี่ยวอะไร ธรรมะเก่าแก่ ธรรมะเก่าแก่ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มันเป็นของมันคู่กัน แล้วสิ่งนี้มันมาล่อใจเราได้อย่างไร ในเมื่อธรรมของเรามันเหนือโลก มันเหนือลาภสักการะ เหนือสิ่งต่างๆ ทั้งหมดเลย

ถ้าธรรมเหนือโลกนะ ธรรมเหนือโลกมันถึงมีความสุข วิมุตติสุขมันอยู่ในหัวใจของเรา ถ้าธรรมอย่างนี้มันเกิดขึ้นมา สิ่งนี้มันจะมาล่อเราได้อย่างไร ถ้ามันล่อเราไม่ได้ มันก็ไม่ออกไปนอกลู่นอกทางเห็นไหม นอกลู่นอกทางในการประพฤติปฏิบัติมันก็จะเข้าหลักเข้าเกณฑ์ ไม่ใช่นิพพานของกิเลสนะ นิพพานของกิเลสไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่มีเหตุมีผลนิพพานได้อย่างไร ฉะนั้นพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกก็นิพพาน เพราะพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์เป็นนิพพานได้ไหม พระอาทิตย์นิพพานไม่ได้ ดวงจันทร์ก็นิพพานไม่ได้ โลกก็นิพพานไม่ได้ นิพพานไม่อยู่กับสิ่งต่างๆ ใดๆ ทั้งสิ้น

ดินฟ้าอากาศไม่ใช่นิพพาน ข้าวของต่างๆ ไม่ใช่นิพพาน นิพพานมันอยู่ที่ความรู้สึก แล้วความรู้สึกมันจะตกเหมือนพระอาทิตย์ไหม มันขึ้นมันเร็วกว่าอีก มันเร็วกว่าอีกก็มันเป็นผู้รับรู้ มันมีความเห็นของมันเห็นไหม

พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกมันไม่มีใครรับผลประโยชน์ ธรรมชาติมันก็แปรปรวนไปธรรมดา โลกนี้เป็นอจินไตย มันจะแปรสภาพเป็นอย่างนี้ แปรสภาพของมันไปนะ ดินฟ้าอากาศมันจะแปรสภาพ มันจะแปรปรวนเป็นเรื่องของเขา กาลเวลามันแปรปรวนไป พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ข้างหน้าแน่นอน

แล้วความแปรปรวนของจิตล่ะ ความแปรปรวนของเราล่ะ มันโลเลในหัวใจ หัวใจมันโลเลมาก มันไม่มีหลักมีเกณฑ์ของมัน แล้วจะเริ่มต้นกันตรงไหน? แล้วจะเริ่มวิปัสสนากันตรงไหน? เริ่มชำระกิเลสกันตรงไหน?

ก็ตรงเรา ตรงที่ไอ้มันขี้เกียจนี่แหละ ตรงที่มันไม่รับรู้ชีวิตมัน มันเอาชีวิตมันลอยไปเหมือนกับสวะ ชีวิตลอยไปเหมือนกับสวะเลย เวลามันหมุนไปนะ เข็มมันกระดิกไปมันยังเป็นเวลาให้เรารับรู้ ๒๔ ชั่วโมงนะ วันเวลา ๒๔ ชั่วโมงของเรา แล้วชีวิตเราก็ปล่อยไปอย่างนี้

นี่ไงข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเรื่องสังฆกรรม เป็นเรื่องความสามัคคี เรื่องความมีทิฏฐิมานะ ความมีทิฏฐิเสมอกัน ศีลเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน ด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส นี่มันเสมอกัน แล้วหัวใจล่ะ หัวใจมันเสมอกันไหม หัวใจไม่เสมอกัน มันจะทำอย่างไรให้มันเสมอกัน ถ้ามันเสมอกันขึ้นมา มันมีความอบอุ่นในหัวใจเห็นไหม ถ้ามีความอบอุ่นในหัวใจ มันเริ่มต้นจากตรงนี้ไง เริ่มต้นจากว่าเราอย่าเศร้าสร้อยเศร้าหมอง ชีวิตนี้ไม่เศร้าหมอง จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส แล้วอุปกิเลสนี้มันความเศร้าหมองจากภายใน

ความเศร้าหมองจากภายในก็มาจากความเศร้าหมองจากภายนอก เพราะภายในมันเศร้าหมองเห็นไหม สรรพสิ่งที่เห็นมันขัดหูขัดตาไปหมดเลย แต่จิตเดิมแท้ที่ผ่องใส มันผ่องใส มันมีความสุขของมัน โอ้ย โลกนี้สวยงามมาก โอ้ย หมู่คณะน่ารักมาก หมู่คณะมีแต่คนดีกับเราทั้งหมดเลยเห็นไหม

แล้วมันเป็นมาจากไหน มันก็เป็นมาจากความเศร้าหมองความผ่องใสของใจ ถ้าความเศร้าหมองความผ่องใสของใจ หมู่คณะก็คือหมู่คณะอยู่อย่างนั้น เขาก็อยู่ของเขาโดยหน้าที่ของเขา หมู่คณะเราอยู่อาศัยด้วยกันมันก็อยู่กันอย่างนี้ แต่ความเศร้าหมองอันนี้มันไปจับผิดจับถูกเขาเอง ถ้ามันผ่องใส มันก็ว่าเขาดี “โอ้ย เขาดีไปหมดเลย โอ้ย โลกธาตุนี่สวยงามไปหมดเลย” เห็นไหม ดีไปหมดเลย แต่ถ้ามันเศร้าหมองนะ นี่ไม่ดีไปหมดเลย ไม่มีอะไรถูกใจมันซักอย่างหนึ่งเลย

สิ่งต่างๆ นะ มันเศร้าหมองผ่องใสจากภายในนะ มันต้องมาแก้จากจุดนี้ไง เราอยู่ในหมู่คณะ อยู่ในข้อวัตร มันก็เป็นสมบัติอยู่อย่างนี้ แล้วหัวใจของเรามันเป็นจากภายใน เราต้องแก้จากที่นี่ หน้าที่ของเราต้องแก้ไขตัวเรา แก้ไขจากภายในของเราเห็นไหม ถ้าแก้ไขจากภายในของเรา ถ้าสิ่งนี้มันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา มันเป็นธรรมของเราขึ้นมานะ นี่ธรรมเหนือโลก

พอธรรมเหนือโลกขึ้นมา แล้วลาภสักการะ สิ่งต่างๆ มันจะมีคุณค่ามาได้อย่างไรล่ะ ถ้ามันไม่มีคุณค่าเห็นไหม เครื่องอาศัย ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ ปี นี่อาศัยอะไร ก็อาศัยร่างกายนี้ประกาศธรรม อาศัยกล่องเสียงนี้ประกาศธรรมมาด้วยพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะยังไม่มีตำรา ไม่มีเครื่องเสียง ไม่มีอะไรบันทึกไว้เลย ต้องฟังจากปาก ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับครูบาอาจารย์ที่แสดงออกเท่านั้น

เวลาออกมาจากพระโอษฐ์ ออกมาจากร่างกาย จิตที่มันเหนือโลกขึ้นไปแล้ว แล้วทำเพื่อใคร นี่ทำเพื่อใคร รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่ไหน รื้อสัตว์ขนสัตว์ ไอ้สัตตะผู้ข้อง ที่หัวใจเศร้าหมอง ไอ้ข้องอยู่ในวัฏฏะนี้ ข้องอยู่ในวัฏฏะเห็นไหม แต่มันยังมีวาสนานะ ยังอยากประพฤติปฏิบัติ อยากบวช อยากค้นคว้า อยากได้ปฏิบัติเห็นไหม เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละนะ ดูสิศากยบุตรนี่ บุตรชาวศากยะ พวกเราบุตรชาวศากยะ บุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทะนุถนอมมากนะ ทะนุถนอมเพราะอะไร จะรื้อสัตว์ขนสัตว์พวกเรานี่ให้ไปไง สิ่งใดที่เกิดขึ้นมาจากหัวใจ ถ้ามันเกิดขึ้นมาจากหัวใจมันเป็นความจริง ความจริงจากอันนี้ นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์ตรงนี้

คนเรานะ เขามองกันเห็นไหม ดูสิจุดศูนย์กลางของอำนาจ อำนาจที่ไหนล่ะ อำนาจคืออำนาจรัฐ อำนาจรัฐก็ปกครองประเทศไหนประเทศนั้นเห็นไหม นี่จุดศูนย์กลางของใคร จุดศูนย์กลางของจิต ความคิดออกมาจากหัวใจของเรา ออกมาจากความรู้สึกของเรา ความคิดเราออกมาจากที่นี่ แล้วถ้ามันทุกข์มันก็ทุกข์จากที่นี่ ถ้าเวลามันสุขมันก็สุขจากที่นี่ แล้วเราไปมองกันที่ไหนเห็นไหม เราไปมองกันอยู่ทางโลก เขามองกันนี่สมบัติของเขา สมบัติเขาจะมาเปรียบเทียบกันว่าของใครมีมากของใครมีน้อยเห็นไหม คนนั้นจะมีสมบัติมาก

แล้วเราดูสิของเรา พระก็เหมือนกัน กุฏิของใครดี เครื่องใช้ไม้สอยของใครดี ของใครดีๆ มันก็ของสังฆะเหมือนกันแหละ ของมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเหมือนกัน ของมันเป็นบริขาร สิ่งที่เป็นบริขารมันก็มีเสื่อมสภาพ พอเสื่อมสภาพเราก็แก้ไขเห็นไหม ดูสิเราฝึกปฏิบัติกัน ทุกสรรพสิ่ง ผู้ที่ไม่ฉลาด ตัดไม่ได้ เย็บไม่ได้ ทำไม่ได้ รับกฐินไม่ได้ ถ้าผู้ที่ฉลาดเห็นไหม บริขารเราทำของเราเองได้

ถ้าเราทำของเราเองได้ ดูสิทุกอย่างที่เราทำของเราเองได้ เราจะไปเดือดร้อนกับใคร ขอให้มันเสียมาสิเราแก้ไขได้ทั้งนั้น เราซ่อมแซมของเราเองได้หมด ถ้าเราซ่อมแซมเองได้หมด แม้แต่ข้างนอกก็ซ่อมแซมเองได้ หัวใจก็ซ่อมแซมเองได้ ปัญญาก็ซ่อมแซมเองได้ ซ่อมแซมมันสิเห็นไหม ดูสิธรรมโอสถ เจ็บไข้ได้ป่วยไม่มีหมอ ไม่มีหมอก็เข้าสมาธิสิ เข้าสมาธิเห็นไหม อะไรบ้างที่มันเป็นความเสื่อมสภาพ จิตมันสงบเข้ามา สิ่งนั้นมันหายได้นะ ธรรมโอสถ

ธรรมโอสถซ่อมแซมร่างกายยังได้เลย แล้วเวลาซ่อมแซมบริขารก็ซ่อมแซมบริขาร ซ่อมแซมร่างกาย แล้วถ้าซ่อมแซมหัวใจล่ะ หัวใจมันมีกิเลสแล้วเอาอะไรซ่อมแซมมันล่ะ หัวใจมีกิเลส มันซ่อมแซมมันก็ต้องเอามรรคญาณเข้าไปซ่อมแซมมัน เข้าไปทำลายมัน กิเลสมันกลัวอย่างเดียวกลัวธรรมนะ มันไม่กลัวอะไรเลย กิเลสมันกลัวธรรมของแท้ด้วย ถ้าธรรมไม่ใช่ของแท้กิเลสมันเอามาอ้างด้วย อ้างว่าเป็นอย่างนั้น อ้างว่าเป็นอย่างนี้ เห็นไหม นิพพานโดยกิเลส นิพพานโดยกิเลสทั้งนั้นเลย

ไม่เป็นหรอก ถ้านิพพานมันต้องมีเหตุมีผล มันมีการกระทำของมันนะ กระทำของมันมรรคญาณมันจะเกิดอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นมามันเหมือนกันหมด สิ่งที่เป็นความจริงก็คือเป็นความจริง สิ่งที่ไม่เป็นความจริงเห็นไหม มันไม่เป็นความจริง มันเป็นความชั่วคราวหินทับหญ้าไว้ หินทับหญ้าไว้ความเป็นไป หินทับหญ้าไว้ขนาดว่าหญ้ามันเกิดขึ้นมา เรารู้ว่าหญ้า เรากลับมาทำอีก มันยังประเสริฐกว่านะ

กลับมาทำอีก กลับมาต่อสู้กับมันอีก หญ้ามันเกิดมาได้อย่างไร แล้วหินทับหญ้าหินมันอยู่ไหน? เอ้า ยกหินมาทับมันอีก แต่หินทับหญ้าไว้ก็ให้มันทับหญ้าไว้ แต่ถ้ามันรู้ว่าทับหญ้าแล้วก็เอาหินมาทับมัน ทับมันให้มันราบเรียบไปไง ครั้งที่แล้วเอาหินทับหญ้าไว้ พอยกหินออกหญ้าก็เกิดอีก คราวนี้เอาหินทับหญ้าไว้ แล้วทำอย่างไรถ้าหญ้าไม่เกิดแล้ว พอออกมามันโล่งเตียนอย่างนี้เราจะทำอย่างไร เราจะขุดรากหญ้า เราจะขุดรากเหง้ามันออกให้หมด ขุดเหง้าของหญ้ามันออกมาอย่าให้มันงอกขึ้นมาอีกเห็นไหม พอจิตมันสงบขึ้นมามันจะย้อนไปวิปัสสนาไง

ครั้งที่แล้วนะสงบแล้วนึกว่าเป็นผล แล้วพอครั้งนี้มันไม่เป็นผล มันเสื่อมสภาพไป ลุกขึ้นมาต่อสู้มัน ลุกขึ้นมาด้วยความเข้มแข็ง ลุกขึ้นมาด้วยชีวิตนี้ยังมีโอกาสอยู่ ชีวิตนี้ยังสามารถแก้ไขได้ ลุกขึ้นมาสู้มัน พอสู้มันแล้วนี่กดมันไว้ สู้มันไว้ ถ้ามันกดไปแล้วเราจะแก้ไขอย่างไร เราจะทำลายมันอย่างไร

สิ่งที่จะไปทำลายมันเห็นไหม ทำลายสิ่งนี้ขึ้นมาย้อนกลับขึ้นมา ย้อนกลับขึ้นมา มาทำลายมัน ครั้งที่แล้วหินทับหญ้ามันไม่เป็นประโยชน์ มันไม่ได้เป็นประโยชน์เพราะเราไม่ได้ใช้ปัญญา แต่ครั้งนี้ถ้าเราใช้ปัญญา ปัญญามันจะเข้าไปขุดคุ้ยอย่างไร ถ้ามันขุดคุ้ยขึ้นมา ทำลายมันขึ้นมา ทำลายมันให้ได้ ถ้าทำลายมันขึ้นมาเห็นไหม นี่มันก็เป็นวิปัสสนา หินทับหญ้าก็หินทับหญ้า หินทับหญ้ามันก็เป็นประโยชน์อันหนึ่ง เห็นไหมดูสิ เวลาหญ้ามันรกขึ้นมา มันรกไปหมดนะ แต่หญ้านั่นเขาเอาไปเลี้ยงสัตว์ได้ เอาไปเลี้ยงสัตว์ได้นะ

นี่ก็เหมือนกัน เพราะเราได้สมาธิมันก็มีความสุขเห็นไหม เราทำสมาธิขึ้นมาอันหนึ่ง สมาธิมันต้องเยียวยาเรา เหมือนกับอาหาร จิตนะเวลาประพฤติปฏิบัติมันทุกข์มาก ถ้ามันทุกข์มากมันมีอาหารกินของมันเป็นขั้นเป็นตอนเข้าไป มันจะดำรงชีวิตของมัน การดำรงชีวิตอยู่ อะไรคืออาหาร ดูสิในวัฏฏะเห็นไหม อาหาร ๔ ของวัฏฏะ ภพชาติอย่างนี้กินอาหารอย่างนี้ ได้รับอาหารอย่างนี้ ดำรงชีวิตอย่างนี้

นี่ก็เหมือนกัน การดำรงชีวิตของการประพฤติปฏิบัติไง ประพฤติปฏิบัติแล้วล้มลุกคลุกคลานไม่มีอาหารหล่อเลี้ยงมันก็เศร้าสร้อยหงอยเหงา มันก็ไม่มีกำลังเดินของมันเห็นไหม แต่ถ้ามันมีอาหารเลี้ยงขึ้นมา มันก็มีกำลังของมันขึ้นมา มันก็เดินของมันขึ้นไปได้เห็นไหม สิ่งนี้ที่เราสร้างขึ้นมา หินทับหญ้ามันก็มีประโยชน์อย่างนี้ มันทำให้เราก้าวเดินได้ มันทำให้เรามีโอกาสเข้ามากำจัดกิเลสของเราได้ แล้วเกิดมันมีโอกาสเข้ามากำจัดกิเลสขึ้นมา มันก็ต้องใช้ปัญญาไง

ในการผิดพลาดครั้งที่แล้วเราก็เห็นแล้วเห็นไหม เวลามันเสื่อมไป พอมันเสื่อมไปเรามีความทุกข์ขนาดไหน ของดีอยู่กับมือ สมบัติอยู่กับเรา โจรฉ้อโกงไปหมดเลย แล้วเราทุกข์ไหม นี่เหมือนกัน นี่มันเสื่อมสภาพไป มันหายไปโดยมาร โดยมารมันทำลาย มารมันทำลายเราก็กลับขึ้นมา ต่อสู้มาๆ

หินทับหญ้าแล้วหาวิธีการสิ หาวิธีการ จิตสงบบ่อยครั้งรักษามันไว้ให้ดี แล้วน้อมไปอย่างไร น้อมไปอย่างไร จิตมันน้อมออกไปมันเห็นอะไร? ความเห็นอันนั้นเห็นอะไร

อุคคหนิมิต นิมิตเห็นกายขึ้นมา เราขยายส่วนอย่างไร เราจะใช้ปัญญาอย่างไร มันต้องมี นี่หญ้าไง ถ้ามันทับไว้ไม่ได้ขยาย ไม่ได้ขุด ไม่ได้ทำอะไร รากเหง้ามันจะหลุดไปได้อย่างไร รากเหง้ามันหลุดเราก็แยกเราก็แยะของมัน ขุดคุ้ยหาวิธีการทำลายเข้ามา ทำลายเข้ามา รากมันต้องขุดเข้ามา มันเห็นเลย เห็นชัดๆ เลย รากหญ้าไม่มี บริเวณนี้ไม่มีรากเลย นี่ทำลายทั้งหมดเลยเห็นไหม มันไม่ใช่หินทับหญ้านะ มันไม่มีหญ้าเลย หินทับหญ้าเป็นการใช้สมาธิกดไว้ ปัญญาขึ้นมาทำลายมันจนถึงสิ้นสุดกระบวนการของมันไป

งานน่าเห็นใจนะ ถ้าจะบอกว่าเป็นงานที่น่าเห็นใจ ดูสิเขาทุกข์เขายากกัน เขาอาบเหงื่อต่างน้ำนะ เขาก็ทุกข์เขาก็ยากนะ แต่งานภายในมันละเอียดอ่อนกว่านั้นนะ ดูสิสอยเข็ม คนตาไม่ดีสอยไม่ได้นะ เพราะว่าเข็มกับด้ายเห็นไหม รูมันเล็กนิดเดียว

นี่ก็เหมือนกัน มันเป็นนามธรรม มันจับเหยื่อจากภายใน ถ้าไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อ แล้วความเชื่อกับสมาธิเป็นอย่างไร คนสมาธิไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็น แล้วสมาธิเป็นอย่างไร แล้วสมาธิคืออะไร? เอ้า สมาธิก็คือตัวจิต จิตสงบเข้ามาเป็นสมาธิ แล้วสมาธิทำงานอย่างไร? ทำงานอย่างไรมันจะย้อนออกมายังไง เราคิดอยู่นี่เป็นปัญญา ก็ปัญญาคิดอยู่นี้แล้วไง คิดอย่างนี้มันคิดแบบเด็กๆ คิดแบบโลกียปัญญา คิดโดยสมอง คิดโดยสัญชาตญาณ

แต่ถ้าเป็นปัญญานะ มันไม่มีเรา ถ้ามีเรานะ มีกิเลสเข้าไปมันไม่มีเรา ถ้ามีเราขึ้นมาเห็นไหม มรรคสามัคคี สามัคคีเป็นอะไร ก็เป็นหนึ่ง อะไรเป็นหนึ่ง ถ้าเป็นหนึ่งมันก็เป็นอัตตา เป็นหนึ่งก็เป็นเรานั่นแหละ ถ้ามีเราเข้าไปร่วมนะ เพราะเรามันไม่รู้ เราคืออวิชชา เราคือสิ่งที่ลังเลสงสัย

แล้วคิดดูสิ เราใช้ปัญญาแล้วเราเอาความลังเลสงสัย คือคิดอะไรก็สงสัยไปหมด คิดอย่างนี้คิดได้หมดเลย แต่ก็สงสัยอย่างนั้น คิดอย่างนั้นมันก็สงสัยอย่างนี้ มันมีสงสัยไปหมดเลยถ้ามีเรานะ

แต่ถ้าไม่มีเรานะ มันเป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นธรรมชาติของธรรมจักร ธรรมจักรมันหมุนออกไป หมุนออกไปโดยสัจจะความจริง สัจจะความจริงมันสะอาดบริสุทธิ์เข้ามา แล้วอะไรเป็นรากหญ้าล่ะ อะไรเป็นสิ่งที่เป็นเชื้อในหัวใจ

ปัญญามันเกิดนะ งานละเอียดนะ ดูสิถ้างานละเอียดอย่างนี้ ในทางจงกรมมันถึงรื่นเริงอาจหาญ ยิ่งเดินจงกรมเหงื่อไหลไคลย้อยนะ แต่หัวใจหมุนติ้วๆ โอ้โฮ มันมีความสุขนะ มีความสุข นี่คืองานของนักรบ นี่คืองานของเรา นี่รื่นเริงอาจหาญ

ศาสนามั่นคง มั่นคงที่นี่นะ ถ้าศาสนาไม่มีแก่นของศาสนา ไม่มีรู้จริงในศาสนา ศาสนามันจะมีคุณค่าที่ไหน ศาสนามันก็เป็นสัญญา ศาสนามันก็เป็นเหมือนกับนกแก้วนกขุนทองนะ ดูสินกแก้วนกขุนทองมันขี้มันถ่าย มันกินมันถ่ายของมันไม่เป็นที่เป็นทางนะ นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นศาสนา เราจะถนอมอย่างไรในเรื่องของศาสนา ในเรื่องของหลักของศาสนา ในเรื่องพิธีกรรม

ในเรื่องพิธีกรรมมันเป็นเรื่องเปลือกๆ ด้วยเห็นไหม เรื่องหลักศาสนาก่อน หลักศาสนาคือความรู้จริงไง ความรู้จริงในศาสนา มันวิเคราะห์วิจัย มันตัดสินได้หมดว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก สิ่งใดผิดก็คือความผิด ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก เห็นไหม ผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจ ผู้ใดทำคุณงามความดี เราต้องส่งเสริมยินดีในสิ่งที่ความถูกต้องอันนั้น ผู้ใดทำความผิดพลาดเราต้องติฉินนินทา เราต้องติเตียนว่ามันเป็นความผิด มันเป็นความผิด จะได้แก้ไขไง นี่ไงคุณธรรมมันเป็นอย่างนี้

แต่ถ้ามันเป็นธรรม มันทำไม่ได้ สังคมสะเทือนหัวใจกันไปหมด ก็สะเทือนหัวใจมันสะเทือนกิเลสน่ะ ก็กิเลสมันอยู่ที่หัวใจก็ต้องกระเทือนที่นั่น ทิ่มมันไปที่นั่นเลย เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ ใจมันมีทิฏฐิ แล้วทิฏฐิอันนั้นมันก็ขวาง ขวางตัวเองก่อน ขวางตัวเองก่อน โกงตัวเองก่อน โกงเวลา จะหมดพรรษานะ ออกพรรษาจะเที่ยวธุดงค์ไป ธุดงค์มันก็แบกทิฏฐิอันนี้ไป เอาเข้าไปฟาดฟันหมู่คณะใหม่ต่อไป ถ้ามันเป็นทิฏฐิมันก็ทิฏฐิตลอดไป ถ้าไม่ได้แก้มันก็ฝังไปกับหัวใจอย่างนี้ ถ้ามันได้แก้ขึ้นมา แล้วใครจะแก้ล่ะ มันไม่มีใครแก้ให้นะ

เราไปโรงพยาบาล เวลาไปหาหมอนะ ไปเถอะ เขาเอาเข้าได้ทั้งนั้น ไม่ได้เอาสายยางยัดเข้าไปเลย จะต้องเข้าไปในร่างกาย ต้องเอาสารเคมี เอายาเข้าไปจนได้ แต่หัวใจไม่ได้ จิตแพทย์ยังทำไม่ได้เลย จิตแพทย์ทำให้จิตกลับมาเป็นปกติเท่านั้นเอง จิตแพทย์เขาใช้ยากดไว้เฉยๆ เห็นไหม แต่ถ้าเป็นธรรมมันทิ่มหัวใจนะ

ธรรมนี่นะ เวลามันสะเทือนใจ ธรรมที่ออกมาจากใจ ออกมาจากใจแล้วมันทะลุเข้าไปในหัวใจของเรานะ อายไหม? อายไหม? ธรรมทิ่มเข้าไปในหัวใจนี่อายไหม? แล้วถ้าอายทำไมไม่แก้ไข อายแล้วทำไมไม่ทำ ถ้ามันทำ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งนะ ถ้าไม่ออกจากใจดวงหนึ่งมันเป็นเครื่องมือที่หยาบ มันเป็นเครื่องมือที่สัญญา มันเป็นเครื่องมือที่ตำรา ตำรามันเป็นรูปธรรม มันเป็นวัตถุ มันไม่เข้ามาถึงหัวใจเราหรอก

แต่ถ้าเป็นคุณธรรมมันเข้าถึงหัวใจเรานะ แล้วถ้าเข้าถึงหัวใจเรา ให้เราตั้งใจ แล้วเรามีการแก้ไข แล้วมันจะเป็นคุณธรรมของเราขึ้นมานะ จะเป็นคุณธรรมของเราขึ้นมาเลย คุณธรรมมันอยู่ที่ไหนล่ะ เห็นไหมมือที่ไม่มีบาดแผลนะ มันจะไม่กลัวอะไรเลย จะมีสารพิษ จะมีอะไร มันหยิบต้องจับได้สบายมากเลย มือที่มีบาดแผลนะ จะไม่จับสิ่งใดเลย นี่บาดแผลในหัวใจเห็นไหม เรามีสิ่งใดในหัวใจ มีสิ่งใดที่มันสะเทือนใจ มันกลัวนะ มันเสียว มันยอกใจ

สิ่งที่ยอกใจเห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส ความเศร้าหมองความยอกใจอันนี้มันเรรวนไง ความเรรวนอันนี้แล้วมันทำให้เรามีความสุขได้ไหม? มันก็เป็นวิจิกิจฉา มันเป็นความลังเลสงสัยเห็นไหม

วันนี้วันอุโบสถนะ เราจะทำความสะอาดกัน สะอาดในเรื่องสังฆกรรม เราจะให้จิตบริสุทธิ์ด้วยศีล แล้วในการวิปัสสนา ในการทำสมาธิ มันจะเป็นผลงานของเรา มันจะเป็นคุณธรรมนะ คุณธรรมของผู้ที่ทำสมาธิ มันพยายามค้นหาสมาธิ คุณธรรมของผู้ที่บุกเบิกก้าวเดินออกทางปัญญา มันจะก้าวเดินของมันขึ้นไป

คุณธรรมของแต่ละขั้นแต่ละตอนเห็นไหม ขั้นของปัญญามันจะแยกแยะ มันจะค้นคว้าของมัน เหมือนเด็กเลย เด็กที่มันถาม “นี่อะไรๆ” มันถามพ่อแม่มัน มันอยากรู้มาก ถ้าปัญญามันก้าวเดินนะ มันจะบุกเบิก มันจะอยากรู้มาก มันอยากทำลายมาก อยากจะทำลายสิ่งที่เศร้าหมองในหัวใจ

ถ้ามันทำลายถูกมรรคสามัคคี ถ้ามันทำลายยังไม่ถูกมันก็ทำผิดทำถูกไป เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เราไม่เคยทำ ทางที่เราไม่เคยเดิน มันก็มีผิดพลาดเป็นธรรมดา เห็นไหม

ความสะอาดในสังฆกรรม ความสะอาดของหมู่คณะ ความศีลเสมอกัน ความเห็นเหมือนกัน นี่ความสะอาดของสังฆกรรม ความสะอาดบริสุทธิ์ของใจ ความสะอาดบริสุทธิ์ของขั้นของสมาธิ มันสะอาดบริสุทธิ์ของขั้นสมาธิมันก็อยากมีเกณฑ์ของมัน แล้วปัญญาหมุนเข้ามานะ อย่านอนใจนะ

ขอร้อง ขอร้องว่าออกพรรษานี้ กลับไปแล้วให้เข้มแข็ง อย่าเศร้าหมอง ทางจงกรมให้หมั่นแก้ไข นั่งสมาธิภาวนางานของเรา เครื่องอาศัยเท่านั้นนะ ปัจจัยเครื่องอาศัย ข้างนอกเป็นเครื่องอาศัย เราก็รักษาไว้ แล้วทำให้ได้

ถ้าหมู่คณะนะ ทำความสงบของใจขึ้นมา ทำหลักทำเกณฑ์ขึ้นมานะ หมู่คณะจะเป็นภิกษุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เราเป็นภิกษุในสมมุตินะ สมมุติสงฆ์ แล้วเราจะเป็นภิกษุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอวัง