เทศน์พระ

เทศน์พระ ๓๖

๖ ก.พ. ๒๕๕๑

 

เทศน์พระ วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันอุโบสถ วันอุโบสถศีล พระมันต้องมีอย่างนี้ วันอุโบสถทำสามีจิกรรม ทำกรรมพร้อมกันไง ร่วมทำกรรมสามีจิกรรม เวลาทำอุโบสถเพื่อความสมานฉันท์ เพื่อความอยู่เป็นสุขนะ นี่งานของสงฆ์ อันนี้งานนอกๆ ดูทางโลกเขาสิ เขาประกอบสัมมาอาชีวะกัน เขาว่าเขาทุกข์เขายาก เขาว่าเขาทุกข์เขายากเพราะอะไร เพราะว่าเขาทำงานแล้วเขาเหนื่อย เขาต้องลงทุนลงแรงของเขา

เราเกิดมา การเกิดก็เหนื่อย อยู่ในครรภ์ของมารดาก็ต้องหายใจ ต้องมีอาหาร เกิดมาเป็นเด็กเป็นเล็กต้องมีอาหาร ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็ร้องไห้ ถ้าได้ดั่งใจก็มีความสุข มีความสุขขนาดไหน พอโตขึ้นมาต้องมีความรับผิดชอบ

งานของโลกเขาต้องการดำรงชีวิตของเขา เราเห็นทางโลกมันเป็นความทุกข์ เป็นความทุกข์นะ แล้วไปเห็นความทุกข์มืดบอด พอมืดบอดก็ยอมจำนนกับชีวิต ดิ้นรนกวัดแกว่งหาทางออกก็หาทางออกไม่เจอ

แต่เราเป็นคนมีวาสนา เรามีวาสนา เพราะอะไร เพราะเราเห็นทางออกไง เราเชื่อในศาสนา เรามาบวชเป็นพระเป็นเจ้า การบวชเป็นพระเป็นเจ้า การดำรงชีวิตของเรา เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราออกบิณฑบาต อยู่รุกขมูล อยู่ต่างๆ มันเป็นธรรมชาติ เราอย่าตื่นไปกับโลก โลกเขาเวลาเขาหาอยู่หากินกัน เขามีความทุกข์ เขามีการหลอกลวงกัน เขามีเล่ห์มีเหลี่ยมต่อกัน เพื่ออะไร? เพื่อเอาความสะดวกต่อกัน สิ่งที่เขามีเล่ห์เหลี่ยมต่อกันเพื่ออะไร? ก็เพื่อเอารัดเอาเปรียบกันไง สิ่งที่เอารัดเอาเปรียบกัน แล้วเราก็เอาอันนี้มาอวดอ้างกัน ใครประสบความสำเร็จ ใครไม่ประสบความสำเร็จ เราก็ไปตื่นเต้นกับเขา พอใช้ชีวิตทางโลก สิ่งที่เป็นทางโลกเราก็ทุกข์ยากไปกับเขา เวลาเราบวชมาแล้วอย่าให้นิสัยอย่างนั้นติดมา นิสัยทางโลกนะ เราบวชแล้วเป็นพระใหม่ เราต้องขอนิสัย นิสัยคือความทำแล้วชิน ความได้นิสัยมา

ดูสิ ดูอย่างคนเลี้ยงม้า คนเดินขาเป๋เดินกะเผลก ม้าดีๆ มันเดินตามจนมันขาเป๋เหมือนกันนะ เวลาเลี้ยงสัตว์มันก็ได้นิสัยจากเจ้าของมัน เราอยู่กับครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม ท่านจะไม่ให้เราคลุกคลีกับสิ่งที่มันเป็นโทษ สิ่งที่เป็นโทษนะ อยู่กับอารมณ์ตัวเองก็เป็นโทษ อยู่กับความคุ้นเคยสิ่งต่างๆ ที่เป็นโลกมันก็เป็นโทษ เป็นโทษเพราะอะไร เป็นโทษเพราะมันเข้ากับกิเลสไง มันเข้ากับความเคยชินไง

เวลาครูบาอาจารย์ท่านทำของท่าน ไม่ใช่รีบด่วน เอาความรีบด่วนนั้นมาอวดกันว่าใครเร็วใครช้า แต่ไม่ให้เราคุ้นชินกับมัน ไม่ให้เราไปหมักหมมจมกับความรู้สึก จมกับความคิด ย้ำคิดย้ำทำแล้วเป็นนิสัย การกระทำก็เหมือนกัน สิ่งที่จะทำสิ่งต่างๆ ทำสภาวะแบบนั้นแล้วเราก็ว่าสิ่งนั้นเป็นคุณประโยชน์ไง วัฒนธรรมประเพณีมันเป็นสิ่งที่ชักนำเข้ามาให้ถึงศาสนา เราประพฤติปฏิบัติกัน เราไปติดในวัฒนธรรมประเพณี วัฒนธรรมประเพณีมันเป็นวัตถุ วัตถุคือมันมีรูปแบบไง “รูปแบบทำอย่างนั้น สภาวะแบบนั้น แล้วมันจะประสบความสำเร็จแบบนั้น” นั่นมันเป็นรูปแบบไง เห็นไหม

แต่หัวใจมันไม่ใช่อย่างนั้นนะ เพราะใจมันต้องเข้มแข็งกว่านั้น มันต้องเข้มแข็งกว่านั้น เอาความรู้สึกนี้ไว้ในอำนาจของเรา ฉะนั้น เราจะไม่คุ้นเคยกับสิ่งต่างๆ ครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้คุ้นเคยก็เพราะเรา เพราะหัวใจของเรา ท่านสงสารหัวใจของเรา หัวใจของเรา เราจะเอาตัวเองรอดจากกิเลส

กิเลส ไม่ต้องไปดูกิเลสของใครเลย มันเป็นกิเลสของใจเรา ถ้ากิเลสของใจเรา มันเป็นความรู้สึกของเรา แล้วครูบาอาจารย์ท่านพยายามจะส่งเสริมเรา ส่งเสริมให้เราไม่ไปคุ้นชินกับมัน คุ้นชินกับความรู้สึกของเราเอง ความรู้สึกของเราเอง กิเลสมันเอาสิ่งนั้นมาหลอกเรา แล้วเราก็คุ้นชินกับมัน

การจะด่วน จะช้า จะเร็ว มันไม่ใช่ด่วน ช้า เร็ว เอาสิ่งที่ความว่าช้าเร็วเวลานั้นมาอวดอ้างกัน สิ่งที่ด่วน ช้า เร็ว เพื่อจะไม่ให้กิเลสมันได้โอกาสที่จะเหยียบย่ำหัวใจเราเท่านั้นเอง สิ่งที่เราทำกันอยู่นี่เพื่อไม่ให้กิเลสมันเหยียบย่ำหัวใจเรา ถ้าเราไปช้า ไปคุ้นชินกับมัน มันก็ได้โอกาส เหมือนไฟ ถ้ามันมีโอกาสมันก็ช็อตเราทั้งนั้นน่ะ นี่กิเลสมันก็อยู่ในใจของเรา แล้วมันช็อตจนเราสลบไป เรายังไม่รู้สึกตัวเลย ความรู้สึกสลบไป เวลาเราเดินไปไม่มีสตินี่เราสลบไปนะ สลบกับกิเลส กิเลสมันขี่หัว เราไม่รู้ตัวสิ่งใดๆ เลย

สิ่งนี้มันเป็นเรื่องกิริยามารยาทจากภายใน เป็นความคิด เป็นความรู้สึก แล้วการเป็นอยู่จากข้างนอก การดำรงชีวิต ภิกษุ สังฆกรรม สิ่งที่ทำสังฆกรรม เรามาเพื่ออะไร? มาเพื่อให้เขาเข้าหมู่ พอเราเข้ามาในหมู่ เรามีความผิดพลาดสิ่งใดมันจะแสดงออก เช่น ย้อมสีผ้า ถ้าสีผ้าของเรา เราอยู่ของเราคนเดียว เราย้อมสีผ้าของเราจนเป็นสีดำไปเลย เราก็ไม่มีสิ่งเปรียบเทียบว่าสีผ้าของเราถูกหรือไม่ถูก นี่ครูบาอาจารย์ท่านบอกสีเปรตสีผี

ผ้าบังสุกุลจีวร ต้องตัด เย็บ เนา ย้อม ย้อมให้ได้สี ให้ได้สีเข้าหมู่คณะไง สีที่มันเป็นสีเข้าหมู่คณะมันจะตรวจสอบกัน แม้แต่จีวร แม้แต่สิ่งที่เป็นเครื่องใช้ไม้สอย เวลาเข้าหมู่มันจะเปรียบเทียบกัน การเปรียบเทียบกัน การเข้าหมู่ มันทำให้เราไม่ออกนอกลู่นอกทาง การออกนอกลู่นอกทาง เราอยู่ของเราคนเดียว ฤๅษีชีไพรอยู่ในป่าเก็บผลไม้กินของเขาตามแต่อำนาจวาสนาของเขา ไปเห็นสัตว์มันสมสู่กัน ฤๅษียังมีความรู้สึกเลย สัตว์สมสู่กันก็อยากจะมีความสมสู่อย่างสัตว์เขา ไปเห็นสัตว์มันทำกันมันก็ยังมีอารมณ์ความรู้สึก

การที่เรามา เรามาร่วมอุโบสถสังฆกรรม เรามาเพื่อเข้าหมู่ เพื่อดูจริตนิสัย ดูความเป็นไป ถ้าเราอยู่ของเรา เราจะตีแปลง เราจะนอนอยู่ในที่รโหฐานของเรา เราจะทำของเราอย่างไรก็ได้ แต่เวลาเราเข้าหมู่ มันเข้ามา ถ้าเราเคยชินของเรา เวลาเราเข้าหมู่ เราจะเคอะเราจะเขิน แต่ถ้าเราตื่นตัวตลอดเวลา การเข้าหมู่ของเรามันจะตื่นตัวตลอดเวลา

การตื่นตัวคือตื่นจากกิเลส คือไม่ให้กิเลสมันช็อต ช็อตจนเราสลบไสลไปอยู่กับมันนะ การเคลื่อนไหวของเราก็เพื่อเหตุนี้ทั้งนั้นน่ะ การเคลื่อนไหวด้วยสติสัมปชัญญะ การฝึกต่างๆ ฝึกเพื่อเราทั้งหมด สัมปชัญญะ นี่งานของเรานะ

งานของโลกเขา เขาทำของเขา มันทุกข์มันยากของเขา แล้วก็ยอมจำนนกับมัน เกิดตายๆ ไป มีครอบครัวกัน มีลูกมีหลาน มีแต่ความสุข มีแต่ความเพลิดเพลิน จะเลี้ยงฉลองกัน เพลิดเพลิน...เพลิดเพลินแต่เปลือก ในทุกดวงใจว้าเหว่นะ เวลาชราคร่ำคร่าขึ้นมา เวลาแก่เฒ่าขึ้นมา ต่างคนต่างต้องตายจากกันไป มันเศร้าสร้อยหงอยเหงา มันละล้าละลังไปหมด เกิดตายๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ

เราเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะ เราเป็นคนที่มีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาบวชแล้ว ใช่ บอกว่า “มรรคผลนิพพานมันอยู่ไกลสุดเอื้อม แหม! มันจะทำได้อย่างไร บวชมาก็เพื่อดำรงชีวิตเท่านั้นน่ะ อย่ามาพูดว่ามรรคผลนิพพาน มันยอกแทงใจ” นี่คิดกันอย่างนั้นนะ

เวลาข้าวของเงินทองสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราอยากได้มาเป็นของของเรา แล้วที่เป็นของของเราไม่มีหรอก ไม่มีอะไรเป็นของของเราเลย โลกนี้เป็นอนิจจัง มันจะแปรสภาพตลอดเวลา สิ่งต่างๆ แม้แต่อารมณ์ความรู้สึกเรา เข้ามาวันแรก โอ้โฮ! ดีไปหมดเลย สุดยอดเลย พอไปคุ้นชินกับมัน มันก็เหยียบย่ำหัวใจ มันเริ่มสร้อยเศร้าหงอยเหงาแล้ว มันหงอยเหงาเพราะอะไร เพราะเราไปคุ้นชินกับมัน

ดูสิ เวลาธรรมวินัย ทะเลจะพัดซากศพเข้าหาฝั่ง มันจะพัดซากศพเข้าหาฝั่ง ขณะที่เรามีความศรัทธาความเชื่อ เกลือมันรักษาความเค็มของมัน ธรรมและวินัยมันรักษาความเค็มของมัน คนถ้ามันจริง มันทำจริงของมัน เกลืออยู่ที่ไหนมันก็เป็นประโยชน์ เป็นยุทธปัจจัย ในสมัยโบราณ เกลือเป็นยุทธปัจจัย ห้ามเลือดก็ได้ ทำอาหารก็ได้ สิ่งที่เป็นยุทธปัจจัยเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากเลย คุณงามความดีให้มันเป็นเกลือสิ อย่าให้มันเป็นหนอน

เกลือเป็นหนอนนะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวชั่ว เวลาดีขึ้นมา เป็นเกลือ ดีไปหมดเลย ความเป็นไปของเราเป็นคนดี แล้วพอเวลามันเป็นหนอนขึ้นมา มันกัดกร่อนตัวมันเอง มันกัดกร่อนตัวมันเอง ไม่มีคุณค่าเลย เป็นหนอน ตอนมันตายขึ้นมาเป็นสิ่งที่เปื่อยเน่าไม่มีใครต้องการเลย คุณงามความดีของเราถ้ามันเปื่อยเน่า มันเปื่อยเน่าไปจากเรานะ ถ้ามันเปื่อยเน่าไปจากเรา สิ่งนี้มันมาจากไหนล่ะ? สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาจากเรา เกิดขึ้นมาจากใจ

ธรรมและวินัย สิ่งที่พัดซากศพเข้าหาฝั่ง มันต้องพลัดพรากอารมณ์ความรู้สึกของเราสิ สิ่งที่มันเป็นความไม่ดีในหัวใจของเราเอามันออก เอามันออกไปจากใจของเรา ถ้าเอามันออกไปจากใจของเรา งานของเรา เราจะมีประโยชน์กับเรา เราจะมีความสะดวกสบายกับเรา ถ้ามันยังขัดขวางหัวใจของเรา มันไม่มีใครทำลายเราเลยนะ สิ่งที่มันอยู่ข้างนอก หมู่คณะ เราเข้าหมู่มาเพื่อจะไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางไปทำตามกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา ให้มันอยู่ในธรรมวินัย ธรรมวินัยมันเป็นการเข้าโดยศีลธรรม ศีลธรรมความเป็นไปในหมู่คณะ ข้อวัตรปฏิบัติ เราเคารพบูชากัน ครูบาอาจารย์ของเราเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเรา มันอุ่นใจนะ ในบ้านมีพ่อมีแม่ ถ้าในบ้านไม่มีพ่อมีแม่ เราต้องหาอยู่หากินเอง เกิดวิกฤติขึ้นมา เราต้องตัดสินใจของเราเอง

เราเข้าหมู่ไปเป็นหมู่คณะ มีครูมีอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราเป็นหลักเป็นชัยของเรา เป็นหลักเป็นชัยของเรานี่มันน่าอบอุ่น มันทำให้เราประพฤติปฏิบัติ ทำให้เราเข้มงวดกับตัวเราเอง เราจะเข้มงวดกับตัวเราเอง เราพยายามจะหาหลักหาชัยให้ตัวเราเองให้ได้ สิ่งที่หาหลักหาชัยให้ตัวเราเอง มันอบอุ่นใจ ถ้ามันอบอุ่น จิตมันอบอุ่น ดูสิ เวลาทำสมาธิขึ้นมามีความสุข สุขมันมาจากไหน? สุขมันมาจากจิตมันปล่อยอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เข้ามาเป็นตัวของมันเอง ถ้ามันปล่อยตัวมันเอง ถ้ามันไม่ปล่อยตัวมันเอง มันไปอยู่กับอะไรล่ะ? มันอยู่กับซากศพ อยู่กับพวกหนอน พวกเพลี้ย พวกสิ่งต่างๆ มันไม่ใช่เกลือ มันไม่มีความเค็ม มันไม่สามารถรักษาคุณภาพของตัวมันเองได้ เราถึงต้องรักษาตัวของเราเองไง

สิ่งที่อาศัยกันมันเป็นสิ่งข้างนอกใช่ไหม สิ่งที่ข้างนอกมันอาศัยเข้ามา สิ่งที่หยาบๆ อาศัยเข้ามา ธรรมและวินัยมันเป็นสิ่งหยาบๆ เข้ามา เราต้องย้อนกลับเข้ามาดูเรานะ ถ้าดูเรา เราจะเอาตัวของเราได้ อย่าไปห่วงคนอื่น อย่าไปห่วงคนอื่น อย่าไปห่วงสิ่งต่างๆ ข้างนอก สิ่งต่างๆ ข้างนอกมันไม่ใช่หน้าที่ หน้าที่มันหน้าที่ของครูบาอาจารย์ที่จะวินิจฉัยว่าสิ่งนั้นผิดหรือถูก เรามีอะไรก็ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ สิ่งที่เป็นประโยชน์ เราปรึกษากันโดยความเป็นธรรม ถ้าความเป็นธรรมแล้วมันลงกันไม่ได้ ลงกันไม่ได้เพราะอะไร เพราะต่างคนต่างมีทิฏฐิ ถ้ามีทิฏฐิมันไม่ใช่ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันเป็นหมากัดกัน สิ่งที่เป็นหมากัดกัน มันกัดกันแล้วมันได้ประโยชน์อะไร มันเป็นแผลทั้ง ๒ ฝ่าย หมากัดกันมันเจ็บทั้งคู่ นี่ทิฏฐิมานะ

ทิฏฐิมานะเราเก็บไว้ในใจสิ สิ่งต่างๆ ที่มันเป็นทิฏฐิความเห็น ความเห็นของเราก็ผิด เพราะเป็นทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ-สัมมาทิฏฐิ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิเป็นความถูกต้อง ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นความดี แล้วเราทำได้ขึ้นมามันก็เป็นทิฏฐิเฉยๆ มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาไง ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เรารู้ความจริงขึ้นมา เราจะถนอมรักษานะ

คนที่ทำสมาธิได้ คนที่มีเวลาแล้วทำสมาธิ มันจะหวงเวลาของมันมาก คนคนนั้นจะหวงเวลา จะหวงสติ จะถนอมรักษาสติ จะรักษากาลเวลาของตัว ทำข้อวัตรเสร็จแล้วจะรีบเข้าทางจงกรมของตัว เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เราได้มาจากเหตุ เหตุคือตั้งสติขึ้นมาแล้วกำหนดคำบริกรรมขึ้นมา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้ามา เราจะไม่คุยกันพล่ามๆๆ คุยกันพล่ามๆ นี่มันส่งออก มันเปิด

ดูสิ ดูเรากักขังน้ำ กักขังอากาศไว้เป็นประโยชน์กับเรา แล้วก็เปิดให้มันออกหมดเลย โยมจับสัตว์ จับงูไปปล่อย เราจับงู เราจับสัตว์ต่างๆ เราต้องขังมันไว้ แล้วเราเอามันไปปล่อย นี่ก็เหมือนกัน เราขังความดีของเราไว้ ทำให้มันสร้างตัวขึ้นมา แล้วเราก็ไปพล่ามๆๆ ให้มันออกไปหมด มันจะมีประโยชน์กับใคร มันก็กัดเอาน่ะสิ เอางูนั้นไปปล่อย เขาให้เอาไปปล่อยนะ ไปปล่อยป่า ไม่ใช่เอาไปปล่อยให้มันกัดมือ ปล่อยให้มันกัดเรา

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราทำ ถ้าเรามีทิฏฐิความเห็นดี เราทำตามความต้องการของเรา เราจะจับสิ่งนั้นไปปล่อย แล้วไปจับแล้วมันกัดเอา มันไม่เป็นประโยชน์กับเราเลย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติของเรา เรารักษาของเรา ถ้าเราภาวนาเป็นนะ เราภาวนาเป็น เราทำสมาธิได้ เราทำสิ่งต่างๆ ได้ เราจะถนอมรักษาของเรา ถ้าถนอมรักษาของเรา ทำตามหน้าที่ เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม สัตว์สังคมอยู่คนเดียวไม่ได้

ถ้ามันอยู่คนเดียวได้ วิเวกไป เราออกวิเวกไป เราอยู่คนเดียว อยู่ในป่า พอไปถึงก็ต้องการความสงบ ต้องการความวิเวก พอวิเวกไป อืม! เรารู้อะไรแปลกๆ อยากจะสอนเขา อยากจะเทศนาว่าการให้หมู่เพื่อนฟัง อยากจะบอกวิธีการเขา มันอยากหาคนคุยอีกแล้ว เวลาไปก็อยากจะออกวิเวกนะ พอวิเวกก็อยากหาเพื่อนอีก นี่มันกลับกลอก กิเลสมันกลับกลอกอย่างนี้ แล้วมันกลับกลอกอย่างนี้ เราก็อยู่ของเราอย่างนี้ เราอยู่ของเรา เรามีสถานที่วิเวกของเรา แล้วเวลาเราเข้าหมู่กัน เราก็เข้ามาวิสาสะกัน นี่วิสาสะกัน

เราเข้ามา เราตั้งสติมาตั้งแต่วัดนะ ไปถึงแล้วเราจะรีบทำอะไร แล้วเราจะทำอะไรให้มันเสร็จเป็นขั้นเป็นตอนไป ไม่ต้องมาละล้าละลัง มาดึงมายื้อยืดเยื้อกันอยู่อย่างนี้ ยืดเยื้ออย่างนี้มันบอกถึงว่าเรามีสติสัมปชัญญะไหม เราเตรียมพร้อมมาหรือเปล่า ทำไมมันประมาทขนาดนี้ล่ะ ทำไมมันไม่เข้าใจตัวเองเลย ถ้ามันเข้าใจตัวเอง นี่มันหน้าที่นะ

สิ่งที่มันนับได้ ดูสิ ดูเขาปฏิบัติขึ้นมามันเป็นเวลา ตี ๓ เราตื่นแล้ว ตื่นมาเตรียมตัว ลงมาศาลา มาจัดที่ กลับไปแล้วเราจะภาวนาต่อ ไปภาวนาต่อนะ อย่าไปนอน ถ้าเราไปนอน นอน ใครก็นอนได้ ถ้าเราจะนอนเราก็นอนได้ทั้งวันทั้งคืน ยิ่งนอนยิ่งอยากนอน ยิ่งจะไปเรื่อย เป็นนิสัย เป็นงูไปเลย กินเสร็จแล้วนอน ๗ วัน ๗ วันเสร็จแล้วไปหาเหยื่อกินใหม่

เรากินน้อยนอนน้อยเพื่ออะไรล่ะ ดูสิ บรรยากาศตอนกลางวันมันก็ร้อน ตอนหัวค่ำ ตอนเขายังเปิดเพลงกัน คนเขาทำมาหากินกัน เขามาคุยกันลั่นไปหมด กินเหล้าเมายา เราก็หาทางหลบหลีกเอา ถึงเวลาข้อวัตร ตี ๓ ต้องตื่นมาแล้ว พอตื่นขึ้นมา ช่วงตั้งแต่ตี ๓ ไปจนสว่าง เงียบสนิทเลย มันสมควรแก่การปฏิบัติ ถ้ามันสมควรแก่การปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติของเราขึ้นมา มันก็ไม่อยากทำอีก มันก็ง่วงเหงาหาวนอน ง่วงเหงาหาวนอนนั่นล่ะมันคือกิเลส ง่วงเหงาหาวนอน ความขี้เกียจมักง่าย นั่นน่ะความขี้เกียจ

เราจะทำอะไรในเวลาตอนกลางวันมันก็ร้อน เวลากลางคืนขึ้นมา เราเปิดโอกาสตรงนี้ไง นี่เป็นอุบายวิธีการที่จะให้เราค้นหาตัวเราให้เจอนะ อริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายใน ทรัพย์จากหัวใจ ถ้าใครพบขึ้นมาคนนั้นเป็นประโยชน์นะ แล้วพูดนี่ไม่ใช่โม้

“ก็พูดอยู่คนเดียวนั่นน่ะ อริยทรัพย์ๆ ทรัพย์อย่างนั้นดีไปหมด แล้วทำไมไม่เห็นเจอ”

ไม่เห็นเจอก็ค้นสิ ก็ทำสิ ก็ไม่ทำ ก็ไม่ค้น มันก็ไม่เจอ ถ้าไม่เจอมันก็ไม่เห็น ทั้งๆ ที่ของมันมีอยู่ เห็นไหม ดูสิ เพชรพลอยเขาได้มา ถ้ามันยังไม่ได้เจียระไนมันก็เหมือนก้อนกรวด เวลาเขาเจียระไนขึ้นมาทำไมมันแพรวพราวขนาดนั้น จิตของเรามันมีอยู่ในใจ มันไม่มีหรือ ความรู้สึกของเรามันไม่มีใช่ไหม หัวใจเราไม่มี เราเป็นคนตายหรือ เราเป็นคนมีชีวิต มีความรู้สึกอยู่นี่ แต่เราไม่เจียระไนมัน เราไม่ทำมันให้แพรวพราวขึ้นมา พอมันแพรวพราวขึ้นมามันจะไปวิตกกังวลกับใครล่ะ ไม่ต้องมีใครถามหรอก ถ้ามันไม่มีขึ้นมา มันแพรวพราวขึ้นมาได้อย่างไร

เวลาทุกข์ขึ้นมาหัวปักหัวปำอยู่นี่ มันทุกข์อยู่นี่ ใครเป็นคนทุกข์ล่ะ ถ้ามันแพรวพราวขึ้นมาในหัวใจ ประพฤติปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้ ถ้าปฏิบัติขึ้นมา ถ้าปฏิบัติไม่มีอย่างนี้ขึ้นมา มันจะทันกันได้อย่างไร มันจะสัมพันธ์กันได้อย่างไร ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ พูดอยู่คนเดียว คนอื่นไม่รู้ได้อย่างไร มันต้องมีคนรู้ได้สิ คนรู้จริงมีนะ ของจริงมันมี

ดูสิ แดดออกขึ้นมา เขาอยู่ในร่ม อยู่ในป่าที่ว่าแดดมันส่องลงมาไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นแดดเลย แล้วแดดมีจริงไหม? มันก็มีจริงๆ ถ้าวันไหนใบไม้มันร่วงหมด เขาโค่นต้นไม้นั้นออก แดดมันส่องลงมา เขาก็เห็นแสงแดด มันก็เห็นอยู่วันยังค่ำว่าแสงแดดมันมีอยู่จริงๆ เพียงแต่เราอยู่ในป่าที่มันเป็นป่าโปร่ง ต้นไม้มันใหญ่ ใบไม้มันประสานกันจนไม่เห็นแสงเลย แล้วพอมันร่วงมามันก็เห็นแสง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าความเพียรของเรา เราทำของเรา ตั้งสติของเราขึ้นมา ก็ความรู้สึกของเราคือใจ คือคนที่อยู่ใต้ต้นไม้นั้นน่ะ สิ่งที่มันคลุมอยู่ ความปกคลุมมันอยู่ ปกคลุมความรู้สึกอยู่นี่ ถ้ามันเป็นความรู้สึก ความรู้สึก อาการของใจมันควบคุมเราอยู่ แล้วด้วยอวิชชา อวิชชา เราไม่เป็นความเป็นจริงของมัน

ถ้าเราตั้งใจของเรา ตั้งใจ ถึงเวลานะ คนเราโดยธรรมชาติของมันทุกข์ขนาดไหน เวลาทุกข์ถ้าใช้กาลเวลาสมานรักษาไป ทุกข์นี้มันจางไปเป็นธรรมดา สิ่งนี้เป็นธรรมดาของมัน แต่มันไม่มีใครได้ประโยชน์ แต่ถ้าเราตั้งใจของเรา เราเป็นคนกระทำของเราขึ้นมา

ดูสิ ดูสวะมันลอยมาจากน้ำ มันออกไปปากอ่าว มันออกทะเลไปเลย สิ่งที่มันออกไปทะเลมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่ถ้าเราเป็นของเรา เราถนอมรักษา เราควบคุมของเรา เราเป็นคนพาหลบพาหลีก พาหลบพาหลีกสิ่งที่เป็นสิ่งโสโครกต่างๆ เราทวนกระแสขึ้นไป เราจะเข้าไปถึงใจของเรา ถ้าเข้าไปถึงใจของเรา สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์นะ

เวลามันเห็นขึ้นมา มันไม่ใช่ว่าครูบาอาจารย์ท่านจะพูดโดยไม่มีพยานนะ เราพูดไป เราเป็นสัทธิวิหาริก เราเป็นลูกศิษย์ บางทีทำไมท่านพูดซ้ำพูดซาก พูดแต่สิ่งอย่างนี้ “เรื่องของใจๆ”

ก็เรื่องของใจมันเป็นนามธรรม แล้วมันไม่มีใครยืนยันได้ มันไม่มีใครเอามาเป็นหลักเกณฑ์ได้ แล้วเราก็เป็นลูกศิษย์ลูกหา เราก็เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราก็ไม่มีหลักเกณฑ์ เด็กๆ มันไม่มีหลักเกณฑ์ มันก็ชวนกันเล่นเพลินๆ ไปวันๆ เท่านั้นน่ะ แล้วเล่นไปวันๆ หนึ่ง แล้วเวลามันก็ล่วงไปวันๆ หนึ่ง เวลาโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ใจมันก็เป็นเด็กอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วเป็นเด็กอยู่อย่างนั้นแล้วมันจะไปปกครอง มันจะไปถนอมรักษาศาสนาได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่ได้เป็นศาสนทายาท เราไม่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เราไม่มีหลักมีเกณฑ์ในหัวใจของเรา แล้วเราจะเอาจุดยืนมาจากไหน แล้วเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาแล้วเราจะเอาอะไรไปสั่งสอนเขา

เราต้องรักษาความเค็มของเราไว้สิ เราต้องรักษาเกลือในหัวใจของเราเอาไว้ ทั้งๆ ที่มันมีอยู่นะ ดูสิ เวลาเขาทำนาเกลือกัน เขาวิดน้ำเข้านา แล้วเขาให้แดดเผา ต้องให้มันระเหยขึ้นไป แล้วมันตกผลึกมาเป็นเกลือ มันก็เป็นเกลือ เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราถนอมรักษาขึ้นมา ถ้ามันตกผลึกในหัวใจของเรา ถ้าเรารักษาหัวใจของเราขึ้นมา เราก็จะเป็นศาสนทายาทขึ้นมา เราก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เราก็ทำนาเกลือได้ เราใช้เกลือหมดไป เราก็ทำเกลือใหม่ เราก็ทำนาเกลือ เราก็ได้เกลือใช้ตลอดไป แล้วเราทำของเราเป็น ถ้าเราทำเป็นแล้วมันจะไปกลัวใคร สิ่งที่เรากลัวใคร เราก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ไม่ใช่เราเป็นเด็กๆ อยู่อย่างนี้นะ ถ้าใจเป็นเด็กๆ อยู่อย่างนี้ พอโดนบังคับนะ ทุกคน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเห็นความผิดของตน ตนรักษาใจของตน ตนดูแลตัวตน ตนก็พอใจ แต่ถ้าให้คนคอยแนะนำอยู่นี่ มันจะต่อต้านตลอดไป โดยธรรมชาติของกิเลสมันเป็นอย่างนี้

ธรรมชาติของกิเลสมันไม่ยอมใครหรอก ทิฏฐิมานะตัวเองจรดฟ้าทั้งนั้นน่ะ จรดฟ้า เพราะอะไร เพราะมันเป็นความรู้สึกเป็นความคิดที่ว่าเราว่าไม่มีใครรู้ ว่าเราไม่เชื่อใครเลย เราไม่สนใจอะไรเลย เราไม่ฟังใครเลย เราจะเอาเป็นความจริงของเรา

ความจริงทำให้มันขึ้นมาจริงสิ ถ้าทำให้มันจริงขึ้นมา ความจริงกับความจริงมันเข้ากันนะ น้ำเข้ากับน้ำ น้ำมันเข้ากับน้ำมัน มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น น้ำกับน้ำมันมันเข้ากันไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน ความจริงกับความปลอมมันเข้ากันไม่ได้หรอก ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันจะปลอมไปไหนล่ะ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันก็เป็นความจริงของเรา แล้วถ้าครูบาอาจารย์เป็นความจริงมันก็ต้องเป็นความจริงอันเดียวกัน เป็นอันเดียวกันนะ

น้ำก็คือน้ำ น้ำมันก็คือน้ำมัน มันมีส่วนผสมขึ้นมา เวลามันมากขึ้นมามันก็แยกตัวออกโดยธรรมชาติของมัน เราทำความดีของเราขึ้นมา มันจะต่างมาจากไหน ถ้ามันจะต่างขึ้นไป ทำไมน้ำกับน้ำมันของเรา กับน้ำกับน้ำมันของครูบาอาจารย์ไม่เหมือนกัน มันก็ต้องคนหนึ่งที่ไม่ใช่น้ำจริงๆ มันต้องมีส่วนผสมอะไรเข้ามาในนั้นอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ของมันเอง ถ้าเราไม่รู้เราก็ต้องทดสอบตรวจสอบของเรา เราก็แก้ไขของเราไป

สิ่งที่แก้ไขมันก็เป็นสิ่งที่เจือปนออกมา เราก็เอาออกไปเรื่อยๆ บ่อยครั้งเข้า มันมีมรรค มีวิธีการของมันเอง มีวิธีการนะ เป็นวิธีการอุบายของใจดวงนั้น แต่นิสัยของคนไม่เหมือนกัน อาหารไม่เหมือนกัน ความชอบไม่เหมือนกัน สิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกัน แต่ผลมันเหมือนกัน ผลเหมือนกัน เราก็ทำของเราไปสิ เราทำของเราไป ไม่ใช่ว่าท่านทำอย่างนั้น เราต้องทำเหมือนท่าน

เราทำเหมือนท่านโดยหลัก โดยหลักคือนั่งสมาธิภาวนา โดยหลักคือการเดินจงกรม โดยหลักคือตั้งสติ สมาธิ นี่คือโดยหลัก แต่ความปลีกย่อย ดูสิ อาหารที่เขาทำมา อาหารแต่ละชนิดรสชาติต่างๆ กันไป แต่ละภูมิภาคก็แตกต่างกันไป ถึงคราวฤดูกาลที่มันไม่มีพืชผลต่างๆ อย่างนั้น เขาต้องใช้อย่างอื่นดัดแปลงไป เขาดัดแปลงขึ้นไปเพื่อให้มันเป็นอาหารขึ้นมาให้จนได้ถ้าคนทำงานเป็น คนทำงานเป็น สิ่งนี้ไม่เป็นปัญหากับเขาเลย สิ่งที่จะขาดแคลนในโลกนี้ไม่เป็นปัญหาของผู้ที่เขาเปลี่ยนแปลง เขาดัดแปลงทำเป็นของเขาเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันได้ผ่านวิธีการมา มันจะหาช่องทางของมันไปจนได้ ไม่ใช่เอาหัวไปชนฝาไว้อย่างนั้นน่ะ เอาหัวชนฝาแล้วก็ “ฉันเป็นพระนักกรรมฐานนะ ฉันนี้เป็นพระที่เคร่งครัด” มันเอาตัวไปไม่รอดนะ เคร่งครัดมันก็เคร่งครัดของศีล แล้วของสมาธิล่ะ แล้วของปัญญาล่ะ แล้วของผู้วิมุตติหลุดพ้นล่ะ

ความเคร่งครัด มรรคหยาบมรรคละเอียดนะ มรรคหยาบๆ เราเข้ามาดูแลเรา แล้วเราก็ดูวุฒิภาวะ ดูความเป็นไปของใจ ใจมันดีขึ้นมาไหม ทำขึ้นมาสิ่งนี้มันเป็นประโยชน์ขึ้นมาไหม ถ้ามันขึ้นมา ดูสิ ดูการรักษาความเค็มของมันสิ เกลือมันมีประโยชน์ขึ้นมา รักษาความเค็มของมัน ดูสิ เราดองสมอกัน ถ้ามันอ่อนเกลือ มันเละหมด มันไม่เป็น ถ้ามันเป็นขึ้นมานี่เป็นประโยชน์ไหม ภาวนาก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นขึ้นมามันเป็นประโยชน์กับเรา แล้วเป็นประโยชน์กับเรา กลิ่นของศีลมันหอมทวนลม กลิ่นของศีลของธรรมมันหอมทวนลมมันไปนะ

ใหม่ๆ ขึ้นมาด้วยกรรม ด้วยกรรม เขาไม่ศรัทธาไม่เชื่อถือ นั่นมันเรื่องของเขา เพราะการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเพื่อโลก เพื่อให้เขาเชื่อถือศรัทธา เราทุกข์ตายเลย เพราะอะไร เพราะมันอยู่ที่เขา ดีไม่ดีเขาไม่รู้ เขาไม่รู้ เราทำดีไม่ได้ดี เราทำความดีไม่ถูกใจเขาหรอก ดูสิ เราประพฤติปฏิบัติกัน ไปสร้างวัดที่ไหนก็แล้วแต่ ไม่มีใครเขาชอบหรอก ถ้าไปสร้างวัดที่ไหนนะ ทำอะไรก็ได้ไปกับเขา ถางป่าทำได้เหมือนโลกเขาหมดเลย เขาพอใจ เขาสะดวกสบายของเขา เขาไม่ต้องมาดูแลพระไง

ไอ้นี่พระทำอะไรก็ไม่ได้ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครชอบใจสักคนหนึ่งเลย แต่ถ้าเขารู้จริงขึ้นมา เขาศรัทธาขึ้นมา เขาจะบอกว่า “ทำไมเขาโง่ขนาดนี้นะ ทำไมของดีๆ ทำไมเขาไม่รู้จัก” แต่ของดีมันดีเหนือโลก กว่าที่เขาจะรู้ดีได้มันยากมาก

แม้แต่พ่อแม่กับลูก พ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูกบ้าง แต่เขาจะสอนให้ลูกเป็นคนดีอย่างพ่อแม่ปรารถนา มันจะได้สมใจเขา มันทุกข์ยากแสนยาก ทุกข์ยากแสนยาก ดูสิ พ่อแม่ที่สอนลูกแล้วลูกไม่ได้ดั่งใจ จะคิดตรอมใจเลย “เอ! ลูกของเราจะเอาตัวรอดได้ไหมหนอ ลูกของเราเวลาโตขึ้นมาจะมีที่ยืนในสังคมไหมหนอ” พ่อแม่ทุกข์น่าดูเลย นี่พูดถึงพ่อแม่กับลูกนะ

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมกับโลก เราเป็นธรรม เราเป็นนักรบ เราเป็นการต่อสู้กับกิเลส ในเมื่อต่อสู้กับกิเลส แล้วกิริยาอย่างโลกๆ มันจะสู้กับกิเลสได้อย่างไร ถ้าสู้กับกิเลสได้ ดูสิ สำนักปฏิบัติเดี๋ยวนี้ปฏิบัติแบบโลกๆ ปฏิบัติแบบพิธีกรรม เขาก็เอากิริยานี้ไปหากินกัน ทำตามกิริยาให้หมดเวลาไป ๗ วัน ๘ วัน เข้าคอร์สทีหนึ่ง ๗ วัน ๑๒ วัน ๕๐ วัน เข้ามาแล้วก็ต้องเดินจงกรม นั่งย่องไปย่องมาให้ได้ครบเวลา ให้ได้ใบประกาศกัน แล้วก็เอาไปดีใจ เอาไปกอดกันนะ แต่กิเลสไม่ได้ถลอกสักตัวหนึ่งเลย ไม่ได้ทำอะไรกันเลย เขาก็ทำกันอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะมันเป็นโลก สิ่งที่เป็นโลกเขาทำกันอย่างนั้นอยู่แล้ว แล้วเราจะเอาอย่างนั้นไหม ถ้าเราเป็นอย่างนั้น เราทำเพื่อโลกหรือ

ฉะนั้น ไปสร้างวัดที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้ามันไปตามกระแสโลก โลกก็พอใจ ทำความพอใจกับเขา ทำอะไรก็ทำได้ พระที่นี่ประจบสอพลอไง นี่ประทุษร้ายสกุล สกุลของสมณะ สกุลของศากยบุตร ไปประทุษร้ายสกุล สกุลของคฤหัสถ์ เขาเป็นคฤหัสถ์ เขาเป็นบริษัทบริษัทหนึ่งที่เข้ามาทำบุญกุศลในศาสนา แล้วเราก็ไปประทุษร้ายทั้งเขา ประทุษร้ายทั้งเรา

ประทุษร้ายเราเพราะอะไร เพราะเราไปประจบประแจงเขา ไปประทุษร้ายเขา เขาควรจะได้ความดีความงามขึ้นมาด้วยความเป็นจริง พระก็ไปชมว่าเขาดีเขาดีเด่น เขาก็เลยหลุดจากความดีไปเลย “ก็ดีแล้ว ก็ดีแล้ว” นี่ประทุษร้ายทั้งหมดเลย เห็นไหม

แต่ถ้าเราทำดีของเรา ดีของเรามันดีเหนือโลก ไม่ใช่ดีในโลกๆ โลกเขาเป็นสภาวะแบบนั้นก็เรื่องของเขา เราก็ทำดีของเราไป ถ้าทำดีของเราไป ทำดีของเราไง ทำดีเพื่อใคร? ไม่ได้ทำดีเพื่อใคร พรหมจรรย์นี้ปฏิบัติเพื่อใคร? ปฏิบัติเพื่อเรา ปฏิบัติเพื่อชำระกิเลส ปฏิบัติ ไม่ได้เพื่อเป็นอาจารย์ของใคร ปฏิบัติ ไม่ได้เพื่อทิฏฐิของใคร ไม่ได้ทำอะไรเพื่อใครทั้งสิ้นเลย แต่มันกลับเป็นธรรมขึ้นมาโดยสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์แบบเพราะอะไร เพราะมันเป็นความจริง ความจริงทุกคนแสวงหาใช่ไหม

ดูสิ ดูเขาทำแผงโซลาร์เซลล์ขึ้นมา เขาต้องการแสงแดด เวลามีสิ่งใดไปบังเขา เขาจะถากถางเลย เพื่อจะให้แสงแดดถึงแผงโซลาร์เซลล์ของเขา นี่เขาแสวงหาขนาดนั้นนะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเขารู้ความจริงเป็นอะไร เขาวิ่งเข้ามาหาเอง สิ่งที่เป็นความจริงเหมือนแสงแดดเลย มันเป็นธรรม แสงแดดส่องไป แสงเดือนแสงจันทร์ส่องไปแม้แต่บ้านของยาจก บ้านของเศรษฐีมหาเศรษฐี แสงมันส่องไปทั่วถึงกันหมดเลย เห็นไหม ถ้าใจมันเป็นธรรมขึ้นมา มันจะไปเข้าข้างใคร มันจะไปวอแวกับใคร มันเป็นธรรมของมัน พอเป็นธรรมของมัน ทุกคนแสวงหาธรรม เขาได้สภาวะเป็นธรรมของเขา เขาได้ประโยชน์ของเขา

ทั้งๆ ที่ไม่ต้องการให้เป็นประโยชน์ของใครเลย ทำเพื่อตนเองนี่แหละ ทำเพื่อหัวใจอันนี้ แต่มันเป็นประโยชน์โดยสัจจะความจริง

แต่เราอยากให้เป็นประโยชน์ก่อน “โอ๋ย! เราจะเป็นอาจารย์เขา เราจะไปสั่งสอนคนนู้นคนนี้” แล้วทิฏฐิมันก็ฟัดกับทิฏฐิ ทิฏฐิมันก็ไปโต้แย้งกัน แล้วมันก็เป็นหมากัดกัน อันนั้นเป็นประโยชน์กับใคร? ไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้นเลย ไม่มีประโยชน์กับเราด้วย ไม่มีประโยชน์กับเขาด้วย ไม่มีประโยชน์กับใครทั้งสิ้น มันไม่ใช่หน้าที่ หน้าที่ของเรามันต้องภาวนาของเรา หน้าที่ของเรา เราต้องเอากิเลสไว้ในอำนาจของเรา เอาศีล สมาธิ ปัญญา เอาไว้ในใจของเราให้ได้

ถ้าศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมาในหัวใจของเรา มันมีอาวุธแล้ว มันมีธรรมาวุธ อาวุธที่จะต่อสู้กับกิเลส ถ้ามีอาวุธต่อสู้กับกิเลส มันก็เป็นประโยชน์กับเรา สิ่งที่กิจจญาณในหัวใจ การกระทำอันนี้มันเป็นสัจจะความจริง มันเป็นสันทิฏฐิโก คนที่ทำงานเป็น คนที่มันมีอาวุธ แล้วอาวุธอย่างนี้ถ้ามันวิปัสสนาไปจนกิเลสมันขาดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป สิ่งที่เราทำมาทำไมเราจะพูดไม่ได้ สิ่งที่เราทำมาทำไมมันจะสอนใครไม่ได้ ดูสิ เรามีเทคโนโลยีทำสวนทำไร่ทั้งหมด เราไปอยู่ที่ไหนเราก็มีอาชีพของเราขึ้นมาได้ เราไปขุดแปลงสวนแปลงนาขึ้นมาเพื่อทำสวนทำนาขึ้นมา เพื่อเราจะหาอาชีพของเราใช่ไหม นี่เราทำของเราเป็นขึ้นมา มันไปอยู่ไหนมันก็ทำได้

ทีนี้ทำได้ ทำไมมันจะพูดออกมาไม่ได้ ถ้ามันพูดออกมาได้ นี่ไง ที่เขาต้องการกัน เขาต้องการสิ่งนี้กัน ดูสิ เขาอยากทำของเขา แต่เขาทำของเขาไปไม่ได้ แล้วเขาพยายามทำของเขาด้วยประสบการณ์ของเขา เขาก็พยายามปรับพื้นที่ของเขา แล้วพื้นที่ของเขา แหล่งน้ำก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี แล้วมันจะทำขึ้นมาได้อย่างไร

แต่ถ้าคนเป็นมันไปดูแล้ว สถานที่มันทำได้หรือไม่ได้ แหล่งน้ำจะหาที่ไหน ถ้าไม่มีแหล่งน้ำขึ้นมา มันจะทำสวนผักสวนครัวขึ้นมาได้อย่างไร ถ้ามีสวนผักสวนครัวต้องใช้น้ำมันมากเท่าไร ใช้น้ำมากน้ำน้อย ดูสิ ปลูกข้าวขึ้นมา ปลูกข้าวที่ลุ่มหรือที่ดอน ที่ดอนควรใช้น้ำขนาดไหน ที่ลุ่มควรใช้น้ำขนาดไหน ใช้พันธุ์ข้าวอย่างไร พันธุ์ข้าวอ่อน พันธุ์ข้าวแก่ พันธุ์ข้าวหนัก พันธุ์ข้าวเบา เห็นพื้นที่ เห็นสถานที่ นี่สิ่งที่พืชพันธุ์ที่เข้ากับสถานที่

นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำสมาธิขึ้นมามันเป็นสมาธิขึ้นมาไหม จิตมันเป็นสมาธิขึ้นมาไหม ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิ ทำไมมันถึงไม่เป็นสมาธิ ถ้าไม่เป็นสมาธิมันไม่ต้องทำสมาธิเลย ใช้ปัญญาไปเลย ปัญญาใช้ขึ้นมาอย่างนั้น มันใช้ขึ้นไปมันก็ใช้ไปด้วยความไม่เข้าใจ

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ขึ้นมา ถ้าใช้ปัญญาไปเลยมันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิก็ใช้ปัญญาเข้าไป ใคร่ครวญเข้าไป มีสติเข้าไป ย้อนกลับมา นี่ปรับพื้นที่ หาพื้นที่ หาแหล่งน้ำ หาต่างๆ ขึ้นมา พอหาได้ขึ้นมา ถ้าทุกอย่างพร้อมขึ้นมาแล้ว พืชพันธุ์อยู่ไหน ปลูกขึ้นไปแล้วมันงอกขึ้นมา ๗ วัน ๑๒ วัน เราควรจะทำอย่างไร กี่วันเราควรจะดูแล เราควรจะกำจัดวัชพืชออก

สิ่งต่างๆ มันทำมาอย่างนี้มันเป็นความจริงนะ ในการประพฤติปฏิบัติมันมีความจริงของมันแน่นอน ถ้าไม่มีความจริงของมันแน่นอนขึ้นมา มันจะมาเห็นต่างกับเราได้อย่างไร

ของเรา เราเห็นอยู่นี่เห็นโดยกิเลสนะ เห็นด้วยตัณหาความทะยานอยาก เห็นด้วยความไม่รู้เลย ทั้งๆ ที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่องกันปากเปียกปากแฉะ แล้วความเป็นไปขึ้นมา เราว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ มันไม่เป็นธรรมเลย ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา มันเป็นธรรมสัจจะความจริงขึ้นมา มันมีอาการของมัน มันมีการกระทำของมัน มันเปลี่ยนจริตนิสัย มันเปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศลนะ

อกุศล อกุศลเวลาคิด อกุศลไม่มีตัวตน มันมีความรู้สึก มันมีความพอใจและไม่พอใจ แต่ถ้ามันมีธรรมขึ้นมามันไม่มีอกุศลนะ มันสลดสังเวช สิ่งที่เห็นขึ้นมามันปลงธรรมสังเวช สังเวชมาก ความผิดทั้งๆ อย่างนี้ ทำไมเขาไม่รู้ตัวเขาเลย ถ้าเขาไม่รู้ตัวเขาเลย ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัว เขาบอกเขามีอวิชชา นี่มันปลงธรรมสังเวชนะ

แต่ถ้ามันถูกขึ้นมา อ้อ! มันถูกอย่างนี้ เขาทำขึ้นมาโดยสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ จิตมันรวมลงสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมาอย่างนี้มันควรทำอย่างไรต่อไป ถ้าทำอย่างไรต่อไป ต้องรักษาสมาธิให้มั่นคง ต้องให้เขาเข้าใจถึงเหตุ เหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้ารักษาเหตุขึ้นมามันจะเข้าสมาธิบ่อยๆ สมาธิจะตั้งมั่นขึ้นมา ถ้าตั้งมั่นขึ้นมา เขาจะมีความสุขของเขา ถ้าความสุขของเขา ถ้าอินทรีย์เขาอ่อน อินทรีย์เขาไม่เข้าใจ เขาจะว่าสมาธินี้เป็นนิพพาน เพราะมันมีความสุข เวลามีความสุข เวลาเดินไปมันจะว่าง มันจะมีความสุขของเขามาก เขาจะเข้าใจผิดของเขาอย่างนั้น นี่ความเข้าใจผิดของเขา สิ่งที่ทำมามันเป็นสัมมาทิฏฐิ แต่ขณะที่ไปติดมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิเพราะอะไร เพราะมรรคหยาบมันฆ่ามรรคละเอียด มรรคนี้หยาบมา มันทำมาถูกต้องในระดับของสมาธิ แล้วเวลาควรจะก้าวเดินต่อไป แต่ด้วยความเข้าใจผิดของเขา ความว่าเข้าใจผิด ความคิดคือทิฏฐิ คือความเห็นผิด สิ่งที่เป็นมรรคละเอียด มรรคมันหยาบแล้วมันจะละเอียดขึ้นไปได้อย่างไร

นี่ครูบาอาจารย์จะบอกวิธีการ ถ้ามันรักษาสมาธิให้ได้ รักษาสมาธิคือออกมาแล้วมันเปรียบเทียบ เปรียบเทียบว่าเวลาจิตของเราเข้าสมาธิจะมีความร่มเย็นเป็นสุข เวลาเราออกมาจากการภาวนามา ทำไมจิตใจมันโต้แย้ง มันขัดแย้ง มันไม่มีความพอใจต่างๆ ไม่พอใจในสิ่งที่ขัดแย้งอยู่กับใจเลย มันเป็นเพราะอะไร ทำไมมันมีความฉุกคิดขึ้นมา นี่ก็คือกิเลสไง ถ้ามีกิเลสขึ้นมา อ้าว! ที่สงบเมื่อกี้มันเป็นนิพพานไปแล้ว แล้วออกมาทำไมมันถึงมีความขัดแย้งใจอีกล่ะ เห็นไหม มันออกมาแล้วมันไม่เป็นความจริงไง มันไม่เป็นการฆ่ากิเลสไง มันเป็นแค่ความสงบของใจ ถ้าความสงบของใจ อย่างนี้แสดงว่าเรายังไม่ทำลายกิเลส มันก็จะเริ่มใคร่ครวญ เริ่มแยกแยะ เริ่มหาหนทาง

การเดินของเรา การก้าวเดินของเรา มันจะมีการพิสูจน์ตรวจสอบของเราอย่างนี้ ถ้าเราพิสูจน์ตรวจสอบ การกระทำของจิตมันจะพัฒนาขึ้นไป จากสิ่งที่มันสงบเข้ามา สิ่งที่มันมีกำลังขึ้นมา ออกหาทุน หาธุรกิจ หากำไร หาสิ่งต่างๆ ขึ้นมา มันเป็นการพิสูจน์ของใจ ใจมันพิสูจน์ขึ้นมา เราจะพิสูจน์ตัวเราเองขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของเราขึ้นมา

สิ่งต่างๆ อย่างนี้ ถ้าเราเป็นครูบาอาจารย์ที่มีหลักมีเกณฑ์ เราจะพยายามประคอง พยายามถนอมรักษา รักษาธรรมทายาทขึ้นมา ธรรมทายาท ไม่ใช่เปรตทายาท ถ้าเปรตทายาท มันเป็นเปรตแล้วมันก็ทำลาย ทำลายธรรมะไง อาศัยธรรมะอยู่ เป็นกระพี้ เป็นพวกบุ้งพวกหนอนทำลาย ทำลายโดยความไม่เข้าใจด้วย ทำลายโดยความเข้าใจผิดด้วย เข้าใจผิดว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ...สิ่งนี้ธรรมของกิเลส ไม่ใช่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

บวชขึ้นมาเป็นพระเหมือนกัน หัวโล้นเหมือนกัน ห่มผ้าเหลืองเหมือนกัน แต่เขาทำของเขาสภาวะแบบนั้น เขาว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม แต่เรามองแล้วมันไม่ใช่ธรรม มันไม่ใช่ธรรม มันเป็นเปรต มันเป็นเปรตเพราะอะไร เป็นเปรตเพราะมันทำลายธรรมและวินัย มันทำลายธรรมและวินัยแล้วมันจะเป็นธรรมได้อย่างไร แล้วเราทำลายธรรมและวินัยหรือเปล่า

ถ้าเราไม่ทำลายธรรมและวินัย ทำไมเราทำแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จ ทำไมเราทำแล้วไม่สมประโยชน์ ทำไมเราทำแล้วจิตมันไม่ลงเป็นสมาธิ ถ้าไม่เป็นสมาธิก็ต้องย้อนกลับมาที่ศีลของเราสิ ศีลมันดีหรือเปล่า ศีลของเรา ทาน ศีล ภาวนา ทาน ศีลของเรามันผิดปกติตรงไหน ถ้าผิดปกติตรงไหน ดูสิ ก่อนลงอุโบสถ ปลงอาบัติกัน ปลงอาบัติให้มันสะอาดบริสุทธิ์เพื่อไม่ให้มันขัดแย้งกัน

ดูสิ ถ้ามันขัดแย้งกัน ดูมิจฉาทิฏฐิ ทำสมาธิก็ได้ เสร็จแล้วเป็นสมาธิขึ้นมาก็เป็นมิจฉาสมาธิ มิจฉาสมาธิมันก็เป็นมิจฉาปัญญา ปัญญาการเอารัดเอาเปรียบตัวเองว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ มันหลอกตัวเอง หลอกตัวเองจนตัวเองก็เชื่อ เชื่อแล้วก็เชื่อตามความคิดของตัวเองไป แล้วพอมันเสื่อมมา พอมันหมดกำลังขึ้นมา ก็เลยกลายเป็นสิบแปดมงกุฎแล้ว ขี่หลังเสือแล้วลงไม่ได้ ไปตามกิเลสชักนำไปเลย สิ่งนี้มันเป็นธรรมจริงหรือธรรมของเปรตล่ะ

ถ้าธรรมของเปรตนะ อ้างอิงไง อ้างอิงว่าเป็นพระ

สิ่งที่เป็นพระ แต่ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา สิ่งที่มีครูบาอาจารย์คอยถนอมรักษา เรา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ คุยธรรมกันได้ ธรรมของเราคุยกันได้ เราประพฤติปฏิบัติมา ครูบาอาจารย์ประพฤติปฏิบัติมา หัวใจก็หัวใจเหมือนกัน ความรู้สึกก็ความรู้สึกเหมือนกัน ชีวิตเหมือนกัน กินเหมือนกัน นอนเหมือนกัน ต่างๆ เหมือนกัน ถ้ามันทำเหมือนกัน ผลก็ต้องตอบมาเหมือนกันสิ

ถ้าเหมือนกันขึ้นมา เหมือนกันนะ มันมีความละอาย มีหิริ โอตตัปปะ มีความละอาย มีความเกรงกลัว เราคิดมา เราคิดจะเอารัดเอาเปรียบเขา เราคิดจะทำลายเขา มันอายไหม ลูกผู้ชาย ศักดิ์ศรีของคนมันมี แล้วมันทำลายกันได้อย่างไร ถ้ามันทำลายเขา มันคิดทำลายเขา ทำไมมันไม่ทำลายตัวเองก่อน ถ้าทำลายตัวเองก่อน มันจะทำลายเขาได้หรือ นี่มันมีความละอาย มันมีความละอายแก่ใจ แล้วเราเป็นสุภาพบุรุษด้วย แล้วเราบวชเป็นพระด้วย เป็นภิกษุด้วย เป็นสงฆ์ด้วย เป็นศากยบุตรด้วย ศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นพุทธชิโนรส เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทำไมไม่เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ แล้วทำไมเราไม่เคารพธรรมวินัย

ธรรมวินัยมันก็ปราบ ดัดแปลงให้ใจมันอ่อนลง ให้ใจมันไม่ควรจะไปทำลายเขา ถ้ามันจะทำลายให้มันทำลายเรา ทำลายในทางจงกรม มึงเก่งแค่ไหน มึงดีแค่ไหน ทางจงกรมนี่อัดเข้าไปสิ มึงอัดเข้าไป ทางจงกรมเดิน ๗ วัน ๗ คืน เดินเข้าไป มึงแน่จริง ทำให้ได้ แน่จริงนั่งสมาธิให้ได้ นั่งตลอดรุ่ง ถ้าแน่จริง ถ้าแน่จริง ความแน่ของเอ็งมันต้องเข้ากับความจริงสิ

เพราะสมาธิเป็นความจริง ธรรมะเป็นความจริง ความจริงเข้ากับความจริง ถ้าเรามีความจริงขึ้นมา ความจริงมันจะเกิดกับเรา ถ้าเราจริง

นี่เราไม่จริง ไหนว่าเป็นเกลือรักษาความเค็มไง มันเป็นหนอน เป็นหนอนแทะ ธรรมนี้มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหนอนแทะ เป็นหนอนแทะสิ่งต่างๆ ในสังคมนี้ ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมา ธรรมขึ้นมามันต้องเป็นผล มันจะเป็นผลกับเรานะ เราทำให้ได้

สิ่งที่เราทำไม่ได้ เรามาเข้าหมู่กัน เข้าหมู่กันด้วยธรรมวินัย เข้าหมู่กันด้วยความสมานฉันท์ เข้าหมู่ เข้าหมู่กันด้วยเปลือก แล้วถ้าจิตมันเข้าหมู่กัน สมาธิก็เป็นอันเดียวกัน ปัญญาก็เป็นอันเดียวกัน ความรู้สึกจะเป็นอันเดียวกัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ

ธรรมทายาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม “ภิกษุทั้งหลาย เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ ให้ไปอย่าซ้ำทางกัน อย่าซ้ำทางกัน มันเสียประโยชน์”

ผู้ที่รู้จริงอย่าไปซ้อนกัน ซ้อนกันมันจะเสีย ให้แยกออกจากกันไป แยกกันไปแล้วเผยแผ่ไป โลกเขาร้อนนัก เขาต้องการธรรมะ แล้วเราเป็นศาสนทายาท เราจะสร้างเนื้อสร้างตัวกัน เรามานี่เรามาเข้าหมู่ เข้าหมู่เพื่อจะถนอมรักษา

กาลเวลามันกินทุกๆ อย่าง กินหมดนะ คนเรา กาลเวลา เข้ามาใหม่ๆ โอ๋ย! ศรัทธาๆ พอไปๆ มันหงอย มันเฉา มันเศร้าสร้อย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราบวชนาน พรรษาเยอะ ถ้าเราภาวนาไม่ได้ กาลเวลามันกินใจ กินของเราไปแล้วมันจะชินชา แล้วมันก็จะหน้าด้าน

ฉะนั้น เราจะไม่ชินชาหน้าด้าน เราต้องเข้าหมู่ เข้าหมู่ขึ้นมา มาตรวจสอบกัน มาคุยธรรมะกัน สิ่งใดที่มันเป็นเปลือกเป็นกระพี้ แล้วเราจะเคาะมันออก สิ่งใดที่เป็นเนื้อหาสาระ เราจะส่งเสริมกัน ส่งเสริมสิ่งนี้ให้มันมั่นคงขึ้นมาในหัวใจ

วัตถุสิ่งของ เราสร้างเสร็จมันก็จะเสื่อมสภาพไป มันจะต้องหางบประมาณไว้ซ่อมบำรุงรักษาตลอดไป สิ่งที่เป็นข้าวของแก้วแหวนเงินทองต้องถนอมรักษา สิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ สิ่งที่เป็นสมาธิ สิ่งที่เป็นปัญญา ถ้าเป็นอกุปปธรรม เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ยิ่งไม่ต้องไปรักษาเลย มันเป็นอกุปปธรรม

อะ คือไม่มีวิธีการที่จะเสื่อมสภาพได้ อะ คืออฐานะ อฐานะที่จะแปรสภาพ สิ่งที่ใจที่คงที่ ไม่มีแปรสภาพเลย ไม่ต้องเสียงบประมาณรักษา จะไม่มีการรักษาอีกเลย คงที่ตลอดไป สมบัติอันนี้ถึงอยากให้มีกันไว้ในหัวใจไง นี่สิ่งที่ไม่ต้องรักษา สิ่งที่ไม่ต้องเป็นไปเลย

แต่ขณะที่เป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ทำสมาธิ ทำปัญญากันนี้ต้องถนอม ต้องรักษา ศีล สมาธิ ศีลรักษาอย่างดี ทุกอย่างรักษาอย่างดีหมดเลย ถึงที่สุดแล้วโยนมันทิ้งไป ไม่ต้องรักษา มันเป็นความจริงอย่างนั้นตลอดไป มันอยู่ในหัวใจเรานี่ ทำขึ้นมาให้ได้

สิ่งที่กลืนไปให้รักษา เหมือนเกลือรักษาความเค็มไว้ เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ให้รักษาสถานะของสมณะไว้ สมณะ ศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นโดยสมมุติ เราบวชมามีค่าเท่ากันเลย นั่งอยู่นี่ศีลเท่ากันหมดเลย สมมุติสงฆ์บวชมาจากอุปัชฌาย์มีคุณค่าเท่ากัน ถึงลงอุโบสถสังฆกรรมร่วมกันได้ เป็นสมานสามัคคี สามัคคีอุโบสถ อุโบสถไม่เป็นโมฆะ ไม่เป็นโมฆียะ แต่ถ้ามันเป็นนานาสังวาส มันเป็นต่างๆ มันเป็นโมฆะ มันเป็นโมฆียะ มันทำแล้วมันไม่ได้ผล นี่ทำแล้วไม่ได้ผล

เดี๋ยวเราจะลงอุโบสถ แล้วพยายามอธิษฐานตั้งใจ ศีล ๒๒๗ ข้อ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลอย่างนี้ชำระล้างใจ ถ้าใจมันมีศีล มันเป็นความปกติ สิ่งที่เป็นปกติทำสมาธิมันก็ง่ายขึ้น ให้มันมีความสะอาดมีความบริสุทธิ์ของเรา น้ำสะอาดใช้ทำประโยชน์ได้มหาศาลเลย น้ำสกปรกเอาไปเป็นปุ๋ยหรือ มันก็ไม่เป็นประโยชน์หรอก เพราะมันมีสารพิษ

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเรา เราจะลงอุโบสถเพื่อให้ศีลบริสุทธิ์กัน เพื่อประโยชน์ของเรานะ ตั้งใจเพื่อเรา เพื่อสังฆะของเรา เพื่อสังคมของเรา เพื่อประโยชน์ตัวเองด้วย เพื่อสังคมด้วย เพื่อทุกๆ อย่าง เอวัง