สมาธิชาล้นถ้วย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมะนะ เราฟังธรรมะภาคปฏิบัติ เวลาภาคปฏิบัติๆ ไง ถ้าภาคปฏิบัตินะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเกิดมาพบพระพุทธศาสนา คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาเขาอยู่ทางโลกเขานั่นแหละ ทั้งๆ ที่เขาเกิดมานะ เขาเกิดมาในประเทศไทย เกิดมาในประเทศที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เขาเองก็ยังเพลิดเพลินกับชีวิตของเขา แล้วถ้าเพลิดเพลินกับชีวิตของเขา เป็นประเพณีวัฒนธรรม ในตอนนี้สิ่งที่ว่าเป็นพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีคุณค่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ลาภที่เขาต้องการ เขาไปตื่นเต้นกันอย่างนั้น นั่นชาวพุทธๆ ไง
นี้ชาวพุทธเวลาว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราเป็นชาวพุทธนะ แล้วเป็นชาวพุทธที่เป็นลูกศิษย์พระกรรมฐาน ฟังธรรมะๆ เป็นธรรมะภาคปฏิบัติ เวลาภาคปฏิบัติ ปฏิบัติที่ไหนล่ะ
เวลาปฏิบัติขึ้นมา เวลาเราเริ่มต้นประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ ทุกคนเป็นอย่างนั้นหมดล่ะ เราก็เป็น สมัยเราเริ่มต้นฝึกหัดนั่งเล็กๆ น้อยๆ แหม! มันเนิ่นนานมาก มันมหัศจรรย์มาก แล้วสำคัญตนว่าเป็นคนดี คนดีไง คนดีเพราะอะไร เพราะไม่ไหลไปตามโลกไง ไม่ไหลไปตามโลก เราอยากประพฤติปฏิบัติ เราจะออกจากโลกไง เราจะหาความจริงในชีวิตเรานี้ มันถึงต้องบวชเป็นพระอยู่นี่ เวลามาบวชเป็นพระนี่ไง เวลาเริ่มต้นประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ ฟังธรรมะภาคปฏิบัติๆ แล้วปฏิบัติอย่างไรล่ะ? อะไรจะปฏิบัติล่ะ?
ถ้ามันมีศรัทธามีความเชื่อขึ้นมา เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติทุกคนมีพ่อมีแม่มีญาติมีตระกูลแล้วมีเพื่อนฝูงทั้งนั้น “ปฏิบัติไม่ได้นะ เดี๋ยวจะบ้านะ” มันรักทุกคน เพื่อนฝูงมันรักมาก ยิ่งพ่อแม่ปู่ย่าตายายนี้สงวนไว้เลย นี่ปฏิบัติไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่าพูดถึงเป็นไสยศาสตร์ เวลาไสยศาสตร์ขึ้นมา เห็นไหม คนประพฤติปฏิบัติมาเล่นของๆ จนเสียสติจนเป็นใบ้บ้าไป แล้วส่งโรงพยาบาลกัน นั่นน่ะนั่นเขาขาดอะไร
เขาขาดเพราะเขาขาดการศึกษา แล้วการศึกษาในพระพุทธศาสนา ในพระพุทธ-ศาสนาเราเริ่มต้นจากพุทธมามกะต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง นี่ต้องถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถึงจะเป็นชาวพุทธโดยแท้จริง แล้วถึงเป็นชาวพุทธโดยแท้จริง เวลาพระที่บวชมาแล้ว ศึกษานักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก แล้วศึกษาบาลีขึ้นมา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาศึกษามา เห็นไหม เวลาถ้าศึกษาแล้ว แล้วมีอำนาจวาสนานะ มีอำนาจวาสนาคือไม่บิดไม่พลิ้ว ไม่โน้มเอียงไปตามความเห็นของตน
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติโดยสัจจะโดยความจริงนะ กล่าวตู่พุทธพจน์ๆ ภิกษุนี่บอกให้ละทิ้งความเห็นผิดนั้นถึง ๓ หน ถ้ายังไม่ละทิ้งเป็นอาบัติสังฆาทิเสส ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลามันบิดมันพลิ้วนี่ไปกล่าวตู่ไง กล่าวตู่พุทธพจน์ กล่าวตู่ว่าสิ่งที่ไม่ได้บัญญัติว่าบัญญัติ ที่บัญญัติแล้วก็ไม่ใช่ บัญญัติแล้วมันมีคนมาตบมาแต่งมาแก้ไข เวลากิเลสมันดิ้นรน มันดิ้นรนอย่างนั้น
นี้เวลาเราศึกษาแล้ว ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นภาคปริยัติ การศึกษาในภาคปริยัตินะ ศึกษามาศึกษาพุทธประวัติ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่ปฏิบัติ เราต้องมีศาสดา มีศาสดา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วมีครูบาอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์ที่ดีนะท่านคุ้มครอง คุ้มครองที่หัวใจนี้แหละ
เวลาคุ้มครองที่หัวใจขึ้นมา เราเริ่มต้นขึ้นมา เราจะมาประพฤติปฏิบัติ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาเป็นมนุษย์ปรารถนาความสุขเกลียดความทุกข์ แล้วความสุขของใครล่ะ ความสุขของใคร ความสุขนะ ดูสิ ชมรมต่างๆ เขาก็ว่าเป็นความสุขของเขา แล้วความสุขของเขาไอ้คนที่ไม่มีจิตใจเห็นด้วยนะ มันเสียเวลา มันเสียเวลาไปเล่นอะไรกันอยู่นั่นน่ะ นี่ไง หาความสุขทางโลกไง
ถ้าหาความสุขทางโลก ความสุข เห็นไหม ความสุขอย่างนั้นเจือด้วยอามิส สิ่งที่เจือด้วยอามิส ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา สิ่งที่การกระทำนั้นๆ พระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อกรรม กรรมคือการกระทำ การกระทำ เห็นไหม ชมรมต่างๆ เลี้ยงนกเขาต่างๆ นี่ เขาส่องพระๆ ส่องกันอยู่นั่น กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไง ส่องพระๆ นี้แล้วเวลาตายไปแล้วจะไปส่องอะไรนั่น เพราะอะไร เพราะมันมีแต่กรรมการกระทำคือการส่องพระไง
ไอ้ของเรานี่จะส่องหัวใจที่เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง เราพยายามจะประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เห็นไหม เรามีศรัทธาความเชื่อมากน้อยแค่ไหนๆ แนวทางในการประพฤติปฏิบัติมันมีแนวทางปฏิบัติมากมายมหาศาล เวลาปฏิบัติมากมายมหาศาลนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติในธรรมและวินัยเลยล่ะ แล้วเวลาศึกษามาแล้วนะก็บอกว่า “มันไม่มี พุทโธไม่มี พุทโธไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้พุทโธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อานาปานสติ กำหนดลมหายใจ”
ใช่! เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาเจ้าชายสิทธัตถะพยายามออกประพฤติปฏิบัติกับเจ้าลัทธิต่างๆ เห็นไหม สิ่งที่ว่าเจ้าลัทธิต่างๆ ที่เขาศึกษามา เขาปฏิญาณตนว่าเขาเป็นศาสดาๆ ธรรมดาคนปฏิบัติใหม่ไง เราออกมาประพฤติปฏิบัติใช่ไหม ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ตั้งใจปรารถนานะมันต้องมีฝั่งตรงข้าม ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายเริ่มต้นตรงไหนล่ะ?
เริ่มต้น ก็เริ่มต้นประพฤติปฏิบัติกับพวกฤาษีชีไพร พวกที่เขาปฏิญาณตนว่าเป็นศาสดา แล้วประพฤติปฏิบัติไป เห็นไหม เวลาปฏิบัติไปแล้วไปศึกษาทดสอบแล้วมันไม่ใช่หนทางสักทีหนึ่ง มันเป็นไม่ได้ไง เวลามันจะเป็นไปได้ เป็นไปได้เพราะอำนาจวาสนาของท่านเอง เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาทำแล้ววิมุตติสุขท่านอยู่องค์เดียวนะ
เวลาตรัสรู้ ตรัสรู้องค์เดียวอยู่ที่ต้นโพธิ์นั้น เวลา ๖ ปีนั้นมีผู้อุปัฏฐาก ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากอยู่ อุปัฏฐากอยู่ขนาดไหนมีการศึกษา มีการค้นคว้า การปฏิบัติมาด้วยกันทั้งสิ้น เวลาเขาละทิ้งไปแล้วไง เวลาจะตรัสรู้ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองพระองค์เดียว อยู่โคนต้นโพธิ์นั้น เวลามันเป็น เป็นในหัวใจดวงนั้นไง ถ้าหัวใจดวงนั้นเวลามันเป็นขึ้นมา เห็นไหม มันด้วยที่ทดสอบมาหมดแล้ว เวลาระลึกถึง ระลึกถึงโคนต้นหว้าตั้งแต่เป็นราชกุมาร เพราะกำหนดลมหายใจอย่างนั้น
นี่ เห็นไหม เวลาเกิดมา เห็นไหม เกิด เดินได้ ๗ ก้าว เปล่งวาจาเลยว่า “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราจะไม่เกิดอีกแล้ว” นี้อำนาจวาสนาที่สร้างสมมานะ อำนาจวาสนาที่ได้บำเพ็ญเพียรมา ได้สร้างสมมาจนสมบูรณ์ในหัวใจขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาออกประพฤติปฏิบัติขึ้นไปมันเรื่องโลกๆ ไง เรื่องโลกๆ ที่ว่าคนเกิดมามีอวิชชาทั้งสิ้น องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ยังมีนางพิมพาเป็นพระมเหสี ยังมีลูกคือสามเณรราหุล มีทั้งนั้น
คนเกิดๆ แล้วจะบอก “เกิดมาไม่มีกิเลส ไม่มีกิเลสมาเกิด” ไร้สาระ! มันกล่าวตู่ทั้งนั้น มันกล่าวตู่ให้ตัวเองยิ่งใหญ่ ตัวเองจะสูงกว่าคนอื่น มันจะไปสูงทางไหน เกิดเป็นมนุษย์ด้วยกัน เกิดเป็นมนุษย์ การได้เกิดเป็นมนุษย์นี่นะเป็นอริยทรัพย์ๆ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เวลาประเสริฐ ประเสริฐที่ไหนมีกายกับใจ เวลามีกายกับใจร่างกายนี้ต้องอาศัยปัจจัย ๔ เป็นเครื่องดำรงชีพทั้งสิ้น
แล้วคนที่ไม่มีอำนาจวาสนาขึ้นมานะ เวลาดำรงชีพก็ดำรงชีพเป็นศักดิ์ศรีเป็นการฟุ่มเฟือยต่างๆ ร้อยแปด ทำให้เป็นหนี้เป็นสินเป็นทุกข์เป็นยากไปตลอด คนที่ไม่รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ ดำรงชีพแล้วสุขภาพกายแข็งแรง สุขภาพจิตที่ดีงาม
แล้วคนที่มีอำนาจวาสนาออกบวชเป็นพระฉันมื้อเดียว ดำรงชีพ ดำรงชีพอย่างไร มันมีหยาบมีละเอียดขึ้นไป เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปเป็นชั้นๆ ขึ้นไป ถ้าเป็นชั้นๆ ขึ้นไป เป็นนักวิทยาศาสตร์ไง เวลาผู้ที่ปฏิบัติไง “ใครที่เห็นอาหารเป็นโทษมาอดอาหารนี่เรารับไม่ได้เลย มันขัดกับวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ร่างกายนี้มันต้องการอาหาร แล้วมาอดอาหารมันจะเป็นไปได้อย่างไร”
อ้าว! เขาอดอาหารเพื่อจะหาหัวใจของเขา เขาอดอาหารเพื่อจะรักษาหัวใจ ค้นคว้าหาใจของตนให้เจอ
แล้วถ้าค้นคว้าหาหัวใจของตนให้เจอ ถ้าเกิดมีอำนาจวาสนา เห็นไหม อย่างเช่น เช่น เราปัจจุบันนี้ เราเป็นลูกศิษย์พระกรรมฐาน เรามีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเป็นผู้บุกเบิกมา ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีอำนาจวาสนาของท่าน ท่านบุกเบิกของท่านจนท่านประสบความสำเร็จ ท่านเป็นพระอรหันต์ พอท่านเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา สิ่งที่ว่าจะเป็นพระอรหันต์มันสมบุกสมบัน
อย่างเช่น เราปัจจุบันนี้ไง เราปัจจุบันนี้เราเป็นปุถุชนคนหนา หนาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอยู่ภายในหัวใจ แต่จะหยาบจะละเอียดจะเบาบางขนาดไหนนี้เป็นมารยาท แต่เวลามันขย่มหัวใจ แหม! มันเจ็บปวด นี่ไง ตัวจริงๆ ตัวจริงมันอยู่ที่หัวใจนั่นน่ะ แล้วเวลาคำว่า “เราเป็นปุถุชนคนหนาๆ” คนหนาเพราะมันสงบเสงี่ยมไม่ได้ไง
ถ้ามันเป็นคนเบาบาง คนเบาบางสิ่งที่เราอยากได้อยากดีอยากเด่นอยากสมความปรารถนามันจะเบาบางลง คนหนาหรือคนบางมันหนาบางอยู่ที่ความรู้สึกในหัวใจนั้น มันไม่ใช่มาหนามาบางมาอวดว่าของฉัน ฉันประเภทกระเบื้องอย่างหนา ทนแดดทนฝน มันมาอวดกันอวดที่กระเบื้องหรือเรื่องภายนอก ไอ้นี่แค่มารยาทสังคมๆ ทั้งนั้นน่ะ อำนาจวาสนาจริงๆ มันอยู่ที่หัวใจนั้น
ถ้าหัวใจนี้มีอำนาจวาสนา เวลามันระลึกอย่างนี้ เรามีศรัทธามีความเชื่อ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อนี่คืออริยทรัพย์ ในปริยัติศรัทธาความเชื่อของคนนี้เป็นอริยทรัพย์ อริยทรัพย์เพราะมันจะดึงหัวใจเราไปศึกษาค้นคว้า ศรัทธาความเชื่อเหมือนหัวรถจักร ถ้าหัวรถจักรมันได้ดึงขบวนรถจักรนั้นเข้าไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันเป็นเหตุเริ่มต้นไง
เวลาเราบางคนนะ หลายๆ คนมากเพลิดเพลินกับทางโลก เวลามันสุข แหม!เพลินมาก เวลามีสิ่งใดที่กระทบกระเทือนใจ มีสิ่งใดที่ผิดพลาดหรือพลัดพรากจากกันค่อยมาคิดได้ พอมาคิดได้ก็แสวงหาทางพ้นทุกข์ๆ ค่อยมาศึกษาธรรมะไง
แต่ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนา มีครูบาอาจารย์ของเราเกิดในชนบทเป็นลูกชาวนา ลูกชาวนา พ่อแม่พาไปวัดไปวาขึ้นมา เวลาลูกโตขึ้นมาลูกอยากประพฤติปฏิบัตินี่ส่งเสริม ในปัจจุบันนี้ ยิ่งในปัจจุบันนี้ในระบบเศรษฐกิจมีลูกคนเดียวๆ ยิ่งหวงมากเลย บวช บวชเลย ๗ วันสึก ห้ามบวชตลอดชีวิต ห้าม ความห่วงใยของพ่อของแม่ไง ความห่วงใยถือว่าเป็นทรัพย์สมบัติไง นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา พ่อแม่เป็นเจ้าชีวิตตามสิทธิ
แต่เวลาเติบโตขึ้นมาประชาธิปไตยๆ ต่างคนต่างเป็นสิทธิของตัวเองทั้งสิ้น เวลามีสิทธิของตัวเองทั้งสิ้น ใครมีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน ถ้าเขามีอำนาจวาสนาของเขา เขาศึกษาของเขา เขาจะหาอริยทรัพย์ ทรัพย์ความจริงของเขา นี่ไง เราฟังธรรมๆ ฟังธรรมภาคปฏิบัติ ฟังธรรมกับพระกรรมฐาน พระกรรมฐานฐานที่ตั้งแห่งการงาน พระกรรมฐานไม่ใช่พระกรรมฐานเข้าถานๆ เข้าถาน ฉันข้าวชาวบ้านจนถ่ายในถานล้นเลย ล้นถาน ยังไม่มีฐานเลย เห็นไหม ฐานข้างนอก
พระกรรมฐาน กรรมฐานในหัวใจของเรา ถ้าฐานหัวใจของเรา ถ้าเราศึกษาค้นคว้าแล้วเราอยากจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราอยากประพฤติปฏิบัติขึ้นมา องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อกรรม เราเชื่อกรรมๆ กรรมดี กรรมดีทำให้เราคิดแต่สิ่งที่ดีๆ กรรมดีมันจะพยายามมีสติมีปัญญา พยายามรักษาหัวใจของตนขึ้นมาให้ได้ ถ้ารักษาหัวใจของตนขึ้นมาให้ได้ในภาคปฏิบัติพอเข้าทางจงกรมหรือนั่งสมาธิ นั่นล่ะมันจะคุมหัวใจได้แล้ว ถ้ามันจะคุมดูแลหัวใจของตนให้ได้นะ ให้ทำความสงบของใจเข้ามาๆ ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามามันจะมีความสุขความสงบของมัน
ถ้ามีความสุขความสงบของมัน เริ่มต้นไง เริ่มต้นปฏิบัติจะเริ่มต้นกันอย่างไร ปฏิบัติที่ไหน นั่งสมาธิก็หัวตอไง เดินจงกรม เดินจงกรมนะ หลวงตาท่านพูดเลย“โง่ยิ่งกว่าหมาตาย” หมามันวิ่งไปวิ่งมาอยู่นั่นน่ะ มันไม่มีสติสัมปชัญญะใช่ไหม แล้วเราไม่รู้จักค้นคว้าแสวงหาใช่ไหม ที่เรานั่งสมาธิภาวนากันอยู่นี่ เรานั่งสมาธิภาวนาเพื่อหาหัวใจของตน ถ้าหาหัวใจของตนเจอ เห็นไหม แล้วมันไม่ฟุ้งไม่ซ่านขึ้นมา มันมีคำบริกรรมของมัน นี่คำบริกรรมไง
นี่ที่ว่าอำนาจวาสนา เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางกรรมฐาน ๔๐ ห้อง วิธีการการทำความสงบ ๔๐ วิธีการ วิธีการๆ ทั้งนั้น ทีนี้วิธีการทั้งนั้น เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมา คนเกิดมามีอะไร ปฏิสนธิจิตในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ ของจิต ถ้าจิตมันกำเนิดขึ้นมาแล้ว เกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา มนุษย์มีกายกับใจ ถ้ามีกายกับใจ เวลาไปไหนเราไปพร้อมร่างกายและจิตใจนี้ จะทำหน้าที่การงานอย่างไรถ้าหัวใจของเราไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่ตั้งใจทำ งานนั้นประสบความสำเร็จได้อย่างไร
มันมีกายกับใจ กายกับใจตลอดมา นี้มีกายกับใจตลอดมา ตัวเราเกิดมามีกายกับใจแล้วเวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เรามีศรัทธาความเชื่อ เราก็พาร่างกายนี้พาร่างกายด้วยเจตนา มีเจตนาความเชื่อมันถึงได้มาวัดมาวาไง มาวัดมาวาจำศีลดำรงธรรม รักษาคุณธรรมแล้วให้มีสัจธรรมขึ้นมาในใจของตน ถ้ามีสัจธรรมในใจของตนมันอยู่ที่วาสนาทั้งสิ้น วาสนาคือทัศนคติ คือมุมมอง คือการดำรงชีพว่าจะทำอะไร จะทำอย่างไร ฉะนั้น เวลาศึกษาๆ แล้ว เวลาทางโลกๆ เราส่งเสริมกัน ทำงานบริการมันเป็นอธรรม อยู่กับโลกเป็นการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรม เล่นการพนันก็เป็นปฏิบัติธรรมถ้ามันไหลไปอย่างนั้น
เราอยู่กับโลก หน้าที่การงานเราก็มีหน้าที่การงานของเรา เราก็ทำของเราไง ถึงเวลาถ้ามันเป็นได้ ทำงานเสร็จแล้ว เวลาชาวพุทธเรานะก่อนนอนให้กราบพระ กราบพระ แล้วนั่งสมาธิภาวนาสักหน่อยหนึ่ง ทางของฆราวาสเป็นทางคับแคบ แล้วทางของสมณะเป็นทางที่กว้างขวาง ทางของสมณะๆ เวลาทางสมณะเราไปวัดไปวา เราก็บวชใจของเรา เวลาไปจำศีลๆ บวชหัวใจ บวชหัวใจด้วยวิรัติศีลนี้ให้เกิดขึ้นมากับเรา ถ้าวิรัติศีลเกิดขึ้นมากับเรา เราก็ตั้งใจแล้ว หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ
ถ้ามันดีดมันดิ้นเกินไปวาสนามันตรงนี้ไง คนที่มีวาสนา ไม่มีวาสนา ถ้ามีวาสนาขึ้นมาสิ่งที่ทัศนคติมันก็จะไปสู่สัจจะไปสู่ความจริง แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติให้มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงๆ ขึ้นมา ถ้ามันเริ่มสงบ มันเริ่มดีงามขึ้นมา เห็นไหม นี่ไง ภาคปฏิบัติ ไม่ใช่ภาคปริยัติจ้ำจี้จ้ำไชอยู่กับจรณะ ๑๕ ๒๐ ๓๐ อยู่นั่น นั่นมันทฤษฎี นั่นมันภาคปริยัติ มันปฏิบัติตรงไหน มันไม่มีปฏิบัติหรอก
นี่ศึกษาก็ศึกษานักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก จบมหาแล้ว หลวงตาท่านศึกษาจนจบมหาแล้ว เราจะออกบวช เราจะออกปฏิบัติ เวลาศึกษาอยู่ ๗ ปี ทำความสงบได้ ๓ หน ทำสมาธิจริงๆ ได้ ๓ ครั้ง ๗ ปี เวลาจะออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามหลวงปู่มั่นไม่ทัน ไปอยู่จักราช อำเภอจักราช พรรษาแรกออกปฏิบัติ โอ้โฮ! มันแบบว่ามันผู้ที่ปฏิบัติใหม่ เวลามันทำสิ่งใดได้แล้วมันแหม! มันภูมิอกภูมิใจนะ จิตนี้แข็ง โอ้โฮ! สุดยอดเลยสัมมาสมาธิ เวลามันเสื่อมหมดเลย ล้มลุกคลุกคลาน กว่าจะฟื้นฟูขึ้นมา เวลาจะฟื้นฟูขึ้นมานี่หัวใจที่มันจะฟื้นฟูขึ้นมาได้ ถ้าฟื้นฟูขึ้นมาได้พอมันมีกำลังของมันได้มันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ มันไปของมันแล้ว
เวลาภาคปฏิบัติเขาปฏิบัติตรงนั้นไม่ใช่จ้ำจี้จ้ำไช ไอ้นี่มันปริยัติ ปริยัติคือการท่องบ่น ท่องบ่นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไง ทรงจำพระธรรมวินัยๆ ทรงจำ แหม! ปากเปียกปากแฉะเชียว แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติอยากจะปฏิบัติกับเขาบ้างนะ นี่พระปฏิบัติ โอ้ย! ปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติไม่เป็น กล่าวตู่พุทธพจน์
เวลาพุทธพจน์ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้ามา ศึกษามา ศึกษาเอาไว้คุ้มครองนะ ดูสิ ประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธไง นี่ต้องส่งเสริมการศึกษา เวลาส่งเสริมการศึกษาเพื่ออะไร เวลาชาวพุทธมีลูกมีหลานขึ้นมาต้องบวชพระ บวชพระขึ้นมาพอบวชแล้วจากคนดิบให้เป็นคนสุกเป็นทิดเป็นบัณฑิต บัณฑิตก็มีครอบครัวได้แล้ว ชาวพุทธจะส่งลูกหลานของตนบวชพระ บวชเพื่อได้ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นบัณฑิต รู้จักการบริหารทิศ รู้จักนวโกวาท รู้จักธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วออกมาครองเรือนจะได้เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีงาม
นี่ศึกษาๆ ไง นี่บวชมาๆ คือการศึกษามาเพื่อปฏิบัติ ไม่ได้ศึกษามาแล้วก็ปากเปียกปากแฉะ โอ้ย! ฉันภาคปฏิบัติ ฉันยอดคน มันเป็นเรื่องกิเลส คนเกิดมาเหมือนกัน เกิดมาอวิชชาทั้งสิ้น ไม่มีใครเหนือใครหรอก ถ้ามีอำนาจวาสนามันก็ยิ่งจะอ่อนน้อมถ่อมตน มันยิ่งจะพยายามค้นคว้าหาสัจจะหาความจริงของตนให้เจอ
แล้วเวลาผู้ปฏิบัติ เห็นไหม กรรมเก่า กรรมใหม่ เวลาหลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติ เวลาท่านนิมิตของท่าน นี่ได้ก้าวข้ามขอนภพขอนชาติ ได้ขี่ม้าขาวจะไปเปิดตู้พระไตรปิฎก หลวงตาพระมหาบัวของท่าน เวลาท่านฝันของท่าน นี่เหาะลอยไปในมหานครยิ่งใหญ่ ๓ รอบ กามภพ รูปภพ อรูปภพนู่นน่ะ นี่ไง อำนาจวาสนาของคนนะ
ของเรามีอะไร มีแต่มืดบอด ทุกข์เกือบตาย ทำให้มันสงบก็ไม่สงบสักที แต่เรามีครูบาอาจารย์เป็นแบบอย่าง อำนาจวาสนาของคนนะ ถ้ามีอำนาจวาสนาของคน เห็นไหม มันอ่อนน้อมถ่อมตน มันไม่ล้นเอ่อไป แล้วถ้าเป็นเรื่องของกิเลสไง มันล้นนะ ชาล้นถ้วยๆ มันล้นเอ่อไปทั้งเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก คนเหมือนกัน แล้วเกิดมาเราจะยิ่งใหญ่มาจากไหน เราจะเหยียบย่ำทำลายจะให้คนอื่นยอมจำนนตนมันเป็นไปได้อย่างไร มันไม่มีหรอก นี่ยิ่งคนถ้ามีสติมีปัญญามีสิทธิเสรีภาพยิ่งเห็นน้ำใจของคนไง
ทุกคนออกประพฤติปฏิบัติมันลำบากลำบนทั้งสิ้น ทุกคนอยากส่งเสริมเพราะเขามีทัศนะที่ดีงาม เราอยากจะส่งเสริมให้ดีงาม แต่! แต่มันต้องให้เป็นจริงในใจดวงนั้นไง เป็นจริง เหมือนเด็ก เด็กถ้าเราให้มีการศึกษาเพื่ออะไร เพื่อมีความรู้มีวิชาเพื่อให้มันเติบโตขึ้นมา ถ้ามันศึกษามีความรู้มีวิชาขึ้นมา เขาก็ต้องฝึกหัดศึกษาให้เขารู้เองใช่ไหม ลอกข้อสอบไง ทุกคนทำให้พร้อม แล้วมันจะฉลาดได้อย่างไร
เวลาภาคปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้ไง สงสารก็สงสารทั้งสิ้น มีเมตตาธรรมอยากให้เขาบรรลุให้เขารู้ธรรมทั้งสิ้น แต่เขาก็ต้องรู้ขึ้นมาจากหัวใจของเขา เพราะจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดมันมีเวรมีกรรมทั้งสิ้น แล้วเราจะไปอบรมบ่มเพาะจะไปกำจัดเวรกรรมของเขาได้อย่างไร เวรกรรมของเขา เขาต้องกำจัดเองของเขา จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมีความทุกข์ความยากทั้งสิ้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมาแล้ว เห็นไหม นี่ธรรมธาตุๆ ลอยเด่นเหนือกามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่มันวิวัฏฏะมันออกจากวัฏฏะไปแล้ว แล้วมันไปอย่างไร มันก็นี่ไงบุคคล ๔ คู่ไง สิ้นสุดแห่งทุกข์นั้นไปไง
นี่ไง ที่ว่าเราต้องประพฤติปฏิบัติ เราต้องมีการกระทำของเราขึ้นมาก็เพราะเหตุนี้ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่มันทุกข์มันยากกันอยู่นี้ไง แต่เพราะมีอำนาจวาสนาขึ้นมาใช่ไหม เราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วมีอำนาจวาสนา มีอำนาจวาสนาขึ้นมานี่ได้นับถือพระพุทธศาสนา แล้วเรามีศรัทธามีความเชื่อของเราๆ เพราะเกิดตายๆ ทุกคนมันก็รู้อยู่แล้ว เพราะถ้าเรามีพระรัตนตรัยในหัวใจ เราเชื่อเรื่องอย่างนี้
ถ้าเราเชื่ออย่างนี้ อย่างนี้มันมีอะไรเป็นของใหม่ เกิดตายๆ ของใหม่ วันนี้ พรุ่งนี้ มันมีอะไรของใหม่ วันคืนๆ มันเหมือนกันทุกวันคืน ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกันทั้งสิ้น แล้วเวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเราก็ได้เห็น เห็นไหม โรงพยาบาลมากมายมหาศาลนี่เด็กเกิดทุกวันเลย แล้วเวลาโรงดับจิตก็มีคนตายตลอดเวลาเลย เราก็เป็นอย่างนี้ๆ เพราะเราคิดอย่างนี้ปั๊บแล้วเราทำอย่างไรให้มันพ้นจากอย่างนี้ล่ะ ถ้ามันจะพ้นจากอย่างนี้ นี่ไงหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนี่ไง ถ้ามันจะสงบระงับเข้ามา ให้มันเป็นสัมมาสมาธิให้มันสุขสงบของมันเข้ามา
ถ้ามันเป็นความจริง นี่ไงๆ ธรรมะภาคปฏิบัติไง มันเกิดที่ไหน มันเกิดในบาลีนั่นหรือ มันเกิดในจรณะ ๑๕ ๒๐ นั่นหรือ นี่กิเลสมันเอ่อล้นไปนั่น แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ครูบาอาจารย์ของเราปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริง นี่ที่ท่านว่าทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา ก็เพราะเราเกิดมากับโลกมันจริงตามสมมุติ สุขทุกข์นี่มันสุขทุกข์โดยสมมุติ สมมุติบัญญัติไง ใครชอบใจ ใครพอใจสิ่งใดสมความปรารถนาก็เป็นความสุข นั่นเจือด้วยอามิส
สิ่งที่มีอำนาจวาสนาเกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองจะมีสมบัติอุดมสมบูรณ์ขนาดไหน ถ้าไม่ฉลาดรักษาสมบัตินั้นไว้ไม่ได้ มันต้องมีสติมีปัญญาทั้งสิ้น นี่ไง มันจริงตามสมมุติทั้งสิ้น สิ่งที่มันเป็นสมมุติๆ ขึ้นมาแล้วเราอยู่กับโลกๆ ก็คิดกันอย่างนี้ใช่ไหม ก็เอาสติเอาปัญญาอย่างนี้ จรณะ ๑๕ ๒๐ ๓๐ อยู่อย่างนี้ ด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยการศึกษาค้นคว้า มันจะต่างอะไรกับการศึกษาทางโลก
การศึกษาทางโลก นักวิทยาศาสตร์เขาคิดค้นขึ้นมามากมายยิ่งกว่านี้อีก นั่นเขาคิดค้นของเขา ไอ้นี่จรณะ ๑๕ ๒๐ ๓๐ ลืมตาเถ่ออย่างนั้น แล้วทำเวลาประพฤติปฏิบัติถ้าเป็นทำสมาธิหลับตานี่มันเป็นไปไม่ได้ สมาธิลืมตาเป็นไปไม่ได้ จะต้องลืมตาเถ่อ ไอ้นี่มันสมาธิชาล้นถ้วยมันไม่เป็นสมาธิ สมาธิมันไม่มี สมาธิคือสมาธิ สมาธิคือจิตตั้งมั่น นี่จิตตั้งมั่นหรือไม่ เหลาะแหละๆ กันอยู่อย่างนั้น แล้วคิดว่านี่เป็นปัญญา ปัญญาอะไร ปัญญาอย่างนั้นคือปัญญาอะไร แล้วยังดัดจริตอีก “โลกุตตระๆ”
มันเป็นสเต็ปนะ เราเกิดมานี่เราเกิดมาด้วยอวิชชา ไม่ใช่ว่าไม่มีกิเลสแล้วมาเกิด มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีหรอก แล้วเราเกิดมาด้วยอวิชชา แล้วยังสำคัญตนไง ว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจ อำนาจวาสนาวิเศษเลอเลิศมาจากนอกโลก แล้วก็จะมากล่าวตู่มาบิดมาพลิ้วสัจธรรมในพระไตรปิฎกเกิดได้ เกิดได้ มันจะเกิด เกิดได้ ชาล้นถ้วย ล้นถ้วยแล้วมันเปรอะเปื้อนไปหมด เปรอะเปื้อนตัวเองแล้วนะ ไอ้ผู้ที่มีเวรมีกรรมมีความเชื่อไปๆ มันก็สายบุญสายกรรม
แต่ถ้าเป็นจริงๆ เขาทำความสงบใจเข้ามาก่อน การทำความสงบของใจเข้ามานี่โลกๆ ทั้งสิ้น โลกทั้งนั้น พอเป็นโลก โลกียะๆ มันจะเป็นโลกียะก็ให้มันเป็นโลกียะไปก่อน เพราะเราเกิดมากับโลกไง เราเกิดมากับโลก เราเกิดมานี่เราเกิดมาด้วยอวิชชา เกิดมาด้วยผลของวัฏฏะ เกิดมาด้วยเวรด้วยกรรม มันมีเวรมีกรรมของมัน จิตนี้ไม่เคยตาย แต่มันมีเวรมีกรรมของมัน แล้วเวรกรรมอันนี้มันผลของวัฏฏะไง เกิดภพใดชาติใด เราเกิดภพไหนชาติไหน แล้วเกิดอย่างไร แล้วเกิดมาแล้วนี่มันมีทัศนคติสามัญสำนึกอย่างไร
นี่พูดถึงว่านี้คือพันธุกรรมของจิตนะ นี่ทัศนคติของจิตนะ แล้วเวลาจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แล้วก็กล่าวตู่บิดเบี้ยวบิดพลิ้วกันไปอย่างนั้น แล้วเอ่อล้นชาล้นถ้วย กิเลสล้นเอ่อล้นหัวใจ แล้วบัญญัติกันขึ้นมาเอาเองว่าทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้น แล้วเวลาเขาประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัย “โอ๋ย! ผิด ใช้ไม่ได้ มันเป็นเรื่องเหลวไหล เรื่องทิฏฐิมานะ” ทิฏฐิมานะนี่เขามาเพื่อจะลดทอนไง
ผู้ที่มาบวชใหม่ๆ นี่จะบอกเลยอีโก้มันรุนแรง พยายาม ใครลดทอนอีโก้ให้หน่อย อีโก้ สิ่งต่างๆ มันทิฏฐิมานะของคนมันเอ่อล้น เอ่อล้นจนตัวเองไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีเหตุมีผล แล้วแต่ตัวเองจะบิดพลิ้วของตัวเองไป นี่ไงกรรมของสัตว์ เวลากรรมของสัตว์อย่างนี้ มันนอกประเด็น มันไม่ใช่ว่าเรามีอำนาจวาสนาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เคารพบูชา การเคารพบูชายกไว้ แล้วเวลาเราศึกษาแล้วนี่เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ เวลาอยากประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพราะเราอยากได้อริยทรัพย์ เราอยากได้ความจริงขึ้นมา เราอยากได้หัวใจของเราได้ลิ้มรสของธรรม
เวลาคนทุกข์คนยากเราฝึกหัดของเรา การฝึกหัดการประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่มันมีผลกระทบทั้งสิ้น เพราะมันมีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ถ้ามีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ เห็นไหม นี่สติธรรม สติมันเท่าทันแล้วความคิดมันจะเบาบางลงทั้งสิ้น สติเท่าทันแล้วมีคำบริกรรม คำบริกรรมของเราถ้ามันต่อเนื่องไง มันไม่แฉลบไม่เฉไม่ไฉออกไปนะ การแฉลบการเฉการไฉเพราะอะไร นั่นเพราะสติของเรามันไม่มั่นคง
แล้วการกระทำของเรา เราการฝึกหัดการกระทำของเราบ่อยครั้งเข้าๆ ให้เกิดความชำนาญ เวลามีความชำนาญขึ้นมามันจะบิดจะพลิ้วไป มันบิดพลิ้วเป็นเรื่องธรรมดา คนขับรถ คนขับรถถ้ามีสติปัญญาของเขาหรือเขามีความพร้อมของเขา ถ้าเขาไม่ง่วงเหงาหาวนอน เห็นไหม เขาบังคับพวงมาลัย รถมันก็วิ่งบนถนนนั้นแหละ นี่พุทโธๆๆ ไป จิตมันก็ต้องไปตามระดับนั้นแหละ ถ้าขับรถแล้วมันจะถึงเป้าหมายที่ไหน มันก็ต้องถึงเป้าหมายถ้าขับรถแล้วไม่มีอุบัติเหตุ หรือขับรถไม่หลงทาง
นี่ก็เหมือนกัน พุทโธๆๆๆ ของเรา เราอยู่บนถนนแห่งการคำบริกรรม มันจะไปที่ไหนก็เรื่องของมัน มันจะดื้อ มันจะด้าน มันจะพลิก มันจะแพลง หัวใจมันจะกระฟัดกระเฟียด มันจะไม่พอใจ เรื่องของมึง มึงคือกิเลสนะ เรื่องของกู เรื่องกูเรื่องสติปัญญาของกูไง บริกรรมของเราไป ทำของเราไป นี่ไง ในเมื่อเราอยู่บนถนนแห่งพุทโธ เราดูแลหัวใจของเราไง ใช้สติสัมปชัญญะทำของเราๆ ต่อเนื่องกันไป ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ เว้นไว้แต่ทำไปแล้ว แฉลบไปนู้น แฉลบไปนี้ แล้วแฉลบทำไปแล้วไม่มีกำลังใจ แล้วพอมันได้สักหนหนึ่งแล้วก็ปล่อยปละละเลย เพราะโดยส่วนใหญ่ทำแล้วมันจะเป็นสมบัติของเราๆ
จิตนี้เป็นนามธรรม เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย การได้สร้างสมแต่ละภพแต่ละชาติมา แล้ววาระที่มันจะให้ผล มันจะให้ผลตอนไหน สิ่งที่ไม่ประพฤติปฏิบัตินะ กิเลสมันจะปล่อยตามสบายเลย แต่ถ้าใครประพฤติปฏิบัตินะ พอกิเลสมันตื่นขึ้นมานะ มันจะกีดมันจะขวางทั้งสิ้น มันจะกีดมันจะขวางเพราะอะไร เพราะพวกนี้มันจะหาทางออกรอดพ้นจากการควบคุมของเขา จากการควบคุมของกิเลส
แต่ถ้าเราไม่ควบคุม เราไม่แสวงหาทางออก เรายอมจำนนอยู่กับมัน โอ้โฮ!มีความสุขๆ สุขเหลือเกิน นี่อยู่ในอำนาจของมันไง วันไหนที่เราจะขัด เราจะขืน ขัดขืน เราจะหาทางออกของเรา หลวงตาท่านพูดย้ำตลอด กิเลสมันตื่นขึ้นมานะ แล้วมันก็ถ่ายไว้บนหัวใจนะ แล้วมันก็ไปนอนหลับต่อนะ เราเพิ่งรู้สึกตัว “ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์” เอ็งเห็นทุกข์หรือ เอ็งรู้จักทุกข์หรือ
มีนักปฏิบัติมากมายเมื่อก่อนเขามาหาเรา บอก เขาอยากเห็นทุกข์มาก เขาไปแบกหินขึ้นเขา แบกหินลงเขา ไม่มาหาเรานะ เราจะให้ทำถนนเลย ก็คิดว่ากรรมกรแบกหาม ทุกข์ เราบอก ถ้าอย่างนั้นกรรมกรที่ท่าเรือเขาแบกข้าวขึ้นเรือสมัยโบราณเขาไม่ทุกข์หรือ นั่นมันอาชีพของเขา เขายิ่งทำงานเขายิ่งได้เงินของเขา
ไอ้ทุกข์ๆ นี่ ทุกข์คือการขัดใจต่างหาก เวลาคนรวยทุกข์ คนจนทุกข์ คนปานกลาง ทุกข์ มันทุกข์อย่างไร ทุกข์เพราะไม่ได้ดังใจ ใจอยากได้อะไร ใจปรารถนาสิ่งใด แล้วโดนขัดใจ ทุกข์ อยากจะทำสิ่งใดแล้วไม่สมปรารถนา ทุกข์ แล้วถ้ามีสติปัญญาถ้ามันจับต้องของมันได้ล่ะ นี่ไง เวลากิเลสมันถ่ายบนหัวใจแล้ว แล้วมันกลับไปนอนหลับ “อุ๊ย! ทุกข์มากๆ” นี่ไง เหลวไหล
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านให้ทำความสงบใจเข้ามาๆ เพราะเหตุนี้ไง ทำความสงบของใจเข้ามาให้มันเป็นสัมมาสมาธิ แล้วสัมมาสมาธิจิตที่มันสงบระงับเข้ามา จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ที่มันลุ่มหลงไปอยู่กับโลก แล้วพอมันเกิดมาเป็นมนุษย์ได้ร่างกายและหัวใจนี้มา ได้มาจากพ่อจากแม่ นี่สเปิร์มของพ่อ ไข่ของแม่ ปฏิสนธิจิต เห็นไหม มันเป็นสายบุญสายกรรมร่วมกันมา พอร่วมกันมาสิ่งที่ส่งเสริมกันมาจนเราเติบโตขึ้นมาจนมาบวชเป็นพระ จนมาเป็นนักประพฤติปฏิบัติ ถ้าจนมาเป็นนักประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะหาความจริงของเราขึ้นมา
ถ้าหาความจริง จิตที่มันสงบระงับแล้ว จิตสงบระงับแล้วถ้ามีอำนาจวาสนา จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง นี่! นี่! ตรงนี้ ตรงเริ่มต้นของโลกุตตระ ไอ้ที่ทำๆ มาโลกียะทั้งสิ้น ไอ้ว่าโลกุตตระๆ โลกุตตระอยู่ที่มรรค โลกุตตระอยู่ที่จิต ไม่ใช่หมู่บ้าน ไม่ใช่ชุมชน ไม่ใช่ชุมชนโลกุตตระ ไอ้นั่นมันมีแต่โรงพยาบาลมะเร็ง นี่ศูนย์มะเร็ง พวกที่มะเร็งไปอยู่นั่น ไอ้ศรีธัญญาไอ้พวกนี้จิตเภททั้งนั้น นี่อย่างนี้ใช่ เพราะอะไร เพราะเขาสร้างมาเพื่ออย่างนั้น
แต่ไอ้โลกุตตระใครสร้าง ใครมีอำนาจ ใครเป็นคนบัญชาการ ใครเป็นคนขีดเส้นว่าโลกุตตระ โลกียะ ใครเป็นคนขีดเส้น ไม่มีครับ ปัตจัตตัง สันทิฏฐิโก เป็นไปไม่ได้ว่าอยู่เป็นพวกฉันแล้วเป็นโลกุตตระ พวกเอ็งไม่ใช่ พวกเอ็งไม่ใช่แต่เอ็งทำถูก
ใครจะไปตรวจสอบใจเขา ใครจะไปรื้อหัวใจเขา ต้องให้เป็นสิ่งที่เราบังคับบัญชา มันเป็นไปได้อย่างไร โอปนยิโกร้องเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม ร้องเรียกสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม มาดูใจข้า ใจข้าสว่างไสว ใจข้ามีความสุข ของใคร ใครขีดเส้นให้ใคร ไม่มีทาง ไม่มี โลกียะ โลกุตตระ เบื่อหน่าย ปากเปียกปากแฉะ แบ่งสีไง สีนู้นโลกียะ สีกูโลกุตตระ ไม่มีหรอก
มันอยู่ที่สติอยู่ที่สัมมาสมาธิอยู่ที่ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้นั้นถึงจะเป็นโลกุตตระ คำว่า “โลกุตตระ” มันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากจิต จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันไว้ แล้วก็แหกปากโลกุตตระ โลกียะอยู่นั่น ไม่มี! แหกปากมันก็ปากโลกมนุษย์นี่ไง ปากสมมุตินี่ไง ปากจริงที่ไหน แล้วมันเป็นจริงมันเป็นจริงที่ไหน มันไม่มีหรอก
นี่ไงสมาธิชาล้นถ้วย มันล้นมาตั้งแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก การเกิดมาแล้วมันเห่อเหิมทะเยอทะยาน แบ่งแยกให้เป็นชนชั้น แล้วยกตัวเองขึ้นมาว่ายิ่งใหญ่ แล้วยิ่งใหญ่ๆ ในกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ยิ่งใหญ่ทำลายทั้งตนเอง ทำลายตนเองให้ห่างไกลจากพระพุทธศาสนา ทำลายพุทธะของตนให้เป็นไบโพลาร์ ๒ อารมณ์ ๓ อารมณ์อยู่อย่างนั้นนี่หรือ? สมาธิชาล้นถ้วย “ลืมตาๆ” บ้าบอคอแตกนั่นน่ะ
แต่ถ้าเป็นจริงนะ สิ่งเป็นจริงนี่สาธุ สำนักปฏิบัติไหน ใครจะทำสิ่งใดนั้นมันกรรมของสัตว์ แล้วในการประพฤติปฏิบัติในสังคมโลก เห็นไหม โดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ ไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกาถ้าเขามีกิจกรรมของเขา มีการกระทำของเขา เขาควรได้รับความร่มเย็นเป็นสุขในพระพุทธศาสนา เวลาเขาทำบุญกุศลของเขา เขาอยากประพฤติปฏิบัติของเขา นั่นก็กรรมของสัตว์ไง
แล้วถ้าเขามีอำนาจวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณแล้วถ้าเขามีโอกาส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะให้ธรรมะ เวลาให้ธรรมะเวลาเขามีสติมีปัญญา เห็นไหม นี่อนุปุพพิกถา ก่อนจะให้ธรรมะ ถ้าเขามาถึงมันจิตดิบๆ ความเห็นดิบๆ มันจะศึกษาธรรมะ มันจะค้นคว้าธรรมะให้มันรู้แจ้งมันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก
อนุปุพพิกถา ทาน ให้เขาฝึกหัดใจของเขา ถ้าใจของเขาเวลาทานแล้วเนกขัมมะ จิตใจควรแก่การงาน จิตใจควรแก่การงานมันฟังแล้วมันมีทัศนคติสามารถแทงทะลุได้ สามารถเข้าใจได้ว่านี้คือโลกุตตระไม่ใช่โลกียะ โลกุตตระใจต้องตั้งมั่น ใจควรแก่การงานๆ ในอนุปุพพิกถาในธรรมะในพระไตรปิฎกมากมายมหาศาลเลย เว้นไว้แต่ เว้นไว้แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณแล้วนี่จิตใจเขาพร้อม องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าถึงแสดงอริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ดับทุกข์เพราะอะไร ทุกข์มันเกิดที่ไหน นี่ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ทุกข์มันจะเกิดได้มันต้องมีตัณหาความทะยานอยากไง นี่ตัณหาความทะยานอยาก นี่เวลาตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา นี่ไงเวลาตัณหาที่มันพลิกมันแพลง มันยั่วมันยวน มันหลอกมันหลอนแล้วก็ตามมันไป เหตุนี้ไงๆ นี่ตัวกิเลส นี่สมุทัยควรละๆ สมุทัยนี่ควรฆ่า ฆ่าด้วยอะไร ฆ่าด้วยอริยสัจไง ฆ่าด้วยมรรคไง ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาไง
ศีล สมาธิ ปัญญาเวลามันเกิด เกิดจากใจดวงไหน มันไม่ใช่เกิดจากลืมตาๆ เกิดจากสัมผัสๆ สัมผัสอะไร เพราะอย่างนี้เวลาบอกว่า “ไม่เห็นกิเลส ฆ่ากิเลสไม่ได้ กิเลสเป็นนามธรรมจะเห็นมันได้อย่างไร” คำพูดมันฟ้องหมดแล้วแหละว่าจริงหรือเท็จ เพราะคนเห็นจริงมันจะพูดอย่างนี้ได้อย่างไร คนเห็นจริงมันต้องเป็นความจริงสิว่าเห็นกิเลสๆ ไง
เวลาจิตเห็นอาการของจิต จิตยกขึ้นสู่วิปัสสนา แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาอะไร แล้ววิปัสสนาอะไรล่ะ “โอ้! วิปัสสนาก็จรณะ ๑๕ วิชชา ๘ ไง” ไอ้นั่นมันทฤษฎี มันสูตรมันเป็นวิปัสสนาตรงไหน ถ้าวิปัสสนาจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนานั่นโลกุตตรธรรม คำว่า “โลกุตตระ” ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา โดยสามัญสำนึกของคนเวลาปัญญามันเกิดมันเกิดจากสมอง มันเกิดจากสัญญา มันเกิดจากปฏิภาณ นี่ไง เวลากิเลส เห็นไหม
“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดไม่ได้อีกเลย” นี่เป็นคำพูดพระพุทธเจ้านะ “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา”ความดำริไม่ใช่ความคิดนะ นี่ความคิดๆ อารมณ์มันเกิดมาจากความดำริชอบ มันมีดำริขึ้นมามันถึงมีความคิดตามมา แล้วมารมันอยู่ไหน แล้วเวลา “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราไม่ได้เลย” แล้วหัวใจของเราผ่องแผ้ว เหนือวัฏฏะ เหนือกาลเวลา นี่คนที่เขามีคุณธรรมไง นี่ถ้าสัจจะเป็นความจริงไง
แล้วถ้าเป็นพระอรหันต์รู้ถึงสภาวธรรมหรือเปล่า นี่เวลาใช้ปัญญา ใช้ปัญญาก็ไม่เป็น ปัญญาอะไร เวลาปัญญานะ มันน่าเศร้า เวลาทำสัมมาสมาธิ ทำสมาธิยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้นั่นคือผลของใช้ปัญญา “อู้ย! ต้องเป็นสมาธิชาล้นถ้วย ต้องเป็นอุเบกขา แล้วปัญญามันจะ...” อุเบกขาอะไร สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา อุเบกขาก็เวทนา ๓ ไง “เอ้า! ต้องอุเบกขาก่อนแล้วมันจะเกิดปัญญา” ปัญญาเกิดจากอุเบกขาเนี่ยนะ
มันมีครูบาอาจารย์หลายๆ องค์มาก เวลาท่านภาวนาของท่าน ท่านบอกว่า“รู้เฉยๆ” นั่นแหละอุเบกขา อุเบกขาคือหัวตอ อุเบกขาเดี๋ยวมันก็จะไปสุขไปทุกข์แล้ว มันเป็นอาการของจิตอันหนึ่ง โอ้โฮ! มันช่ำชองนะ ช่ำชองนักในบาลีแต่บอกว่ามันต้องเป็นอุเบกขา คำว่า “อุเบกขา” ก็แปลคำว่าอุเบกขาก่อนสิว่าอุเบกขามันคืออะไร แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมธาตุ นี่ชาล้นถ้วยมันล้นฝั่งไง มันปัญญา ปัญญาอะไร ปัญญาท่องจำมาอย่างนั้นแล้วก็บอกว่ามันเป็นปัญญาแล้วกิเลสมันอาย เขาพูดนะว่า “กิเลสมันอาย ไม่เข้ามาใกล้เลย” จริงหรือ?
สิ่งที่ครูบาอาจารย์ของเรานะ ใน ๓ โลกธาตุนี้ไม่มีสิ่งใดเข้มแข็งเหนียวแน่นเท่ากับกิเลสในหัวใจของสัตว์โลก กิเลสนี่ทำลายยากที่สุด ภูเขาเลาการะเบิดได้ทั้งสิ้น ย้ายแม่น้ำ สร้างเขื่อน เปลี่ยนทิศทางน้ำ เขาทำได้ทั้งนั้นในทางวิศวกรรม แต่กิเลสของคนใครจะบายพาสกิเลสบ้าง มันมีศูนย์ปฏิบัติไหนบายพาสกิเลสเลย เปลี่ยนเส้นทางของมันที่ไหน บอก “กิเลสมันอาย มันไม่เข้ามาใกล้เลย เราเลยเป็นพระอรหันต์ เราเลยเป็นพระอรหันต์เพราะกิเลสไม่เข้ามาใกล้ มันเกรงใจ เพราะรู้จรณะ ๑๕ ๒๐” มันปัญญาอะไร มันชาล้นถ้วย มันเป็นการปฏิบัติหรือ มันเป็นการท่องบ่นมาแล้วก็มาจำแนกแยกแยะ แล้วก็ชี้แล้วขีดเส้นว่ามันเป็นโลกียะเป็นโลกุตตระ มันไม่มีอยู่หรอก
เพราะไม่รู้ถึงเกิดในกำเนิด ๔ เกิดมาในวัฏฏะ แล้วเกิดมาในสถานะของอะไร แล้วถ้าไม่รู้ไม่เท่าทันไม่เข้าไปสู่จิตแล้วมันจะไปแก้ไขกันที่ตรงไหน ธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์คือรื้อหัวใจของสัตว์โลกที่ไม่ให้ไปเกิดอีกแล้ว เวลาพระอรหันต์ สอุปาทิเสสนิพพานนี่พระอรหันต์ที่ท่านสิ้นกิเลสแล้วนี่มันไม่เกิดอีกแล้ว มันไม่ไปไหน เพราะมันรู้เท่า มันไม่เผลอถึงไม่เกิดไง สติเป็นอัตโนมัติ สติ สตินี่เป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์เลยล่ะ
เวลาหลวงตาท่านพูดไง เวลาจะคิดเหมือนต้องหามซุง ก่อนที่มันจะคิดไง ก่อนที่ธรรมธาตุมันจะกระเพื่อม กระเพื่อมออกรู้ ออกรู้ถึงเป็นความคิด เป็นความคิดคือเป็นขันธ์ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ที่เป็นภาระ เป็นภาระเพราะยังเป็นมนุษย์ เพราะเป็นมนุษย์มันมีขันธ์ ๕ การสื่อสารการพูดคุยของมนุษย์นี่ไง เวลามันกระเพื่อมออกมาแล้ว มันถึงเข้าไปสู่ขันธ์ มันเป็นภาระเพราะมันขาด ขาดจากจิตไปนมนานแล้ว แต่มันเป็นเศษส่วนที่เหลืออยู่นี่ไง เวลาถ้ามันเป็นธรรมๆ เขารู้ของเขา เขาเห็นของเขา ถ้ามันเป็นความจริงไง
แต่มันเป็นความจอมปลอม เวลาใช้ปัญญาไปแล้วนะ มันเป็นอุเบกขานะ อุเบกขาแล้วมันจะเกิดปัญญา พวกนี้ไม่รู้จักอุเบกขา โฮย! มันอยู่กับใจไม่รู้ได้อย่างไร เพียงแต่ไม่รู้จักชื่อ แต่อาการมันเป็นหมดแหละ แล้วไม่รู้ด้วย มันเป็นอุเบกขานะ แล้วมันจะเกิดปัญญา เวลาเกิดปัญญา ปัญญามันจะแยกแยะเข้าไปแล้วสุดท้ายมันไปจบลงนะ มันจะเป็นเล็บกับเป็นผม เพราะมันไม่รู้สึก
โอ้โฮ! เศร้า! เวลาชาล้นถ้วยมันเอ่อล้นมันทำลายเขาไปทั่วนะ เวลาเป็นผมขนเล็บฟันหนัง ผมขนเล็บฟันหนังมันเป็นกรรมฐาน ๕ กรรมฐาน ๕ อุปัชฌายะให้กับสัทธิวิหาริก เวลาบวช เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นกรรมฐาน ๕ กรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เวลาท่องบ่นใช่ไหม เป็นคำบริกรรมก็ได้ เป็นสมถะก็ได้ เป็นวิปัสสนาก็ได้
เวลาเป็นสมถะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มันมีสำนักปฏิบัติหลายสำนักเลยให้ท่องเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เหมือนเราท่องพุทโธๆ นี่แหละ พอท่องเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ถ้าจิตมันสงบได้ เห็นไหม เขาก็ยกสู่วิปัสสนาค่อยเห็นเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นวิปัสสนา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจเป็นได้ทั้งสมถะ เป็นได้ทั้งวิปัสสนา เป็นได้ที่ผู้ปฏิบัติเป็นสมถะ สมถะเพื่ออะไร ก็หาหัวใจนี่ไง สมถะคือสมาธิไง สมาธิถ้าจิตมันสงบแล้วถ้ามันเห็นเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจขึ้นมา มันจะขยายส่วนแยกส่วน มันจะวิปัสสนา
ถ้าวิปัสสนานี่เวลาพิจารณาจบแล้วกลับมาเป็นขนเป็นเล็บ โอ้ว! เวลาภาวนาแล้วมันเจริญเติบโตขึ้นไปมันต้องมีวุฒิภาวะ มันมีความรู้มีความเข้าใจมีคุณธรรมในใจเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป สาธุ! ฟังเทศน์พระกรรมฐานไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบา-อาจารย์ที่ท่านเทศนาว่าการไง จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งไง ดึงใจดวงนั้นให้มันสูงขึ้นๆ สูงขึ้นด้วยอะไร เพราะปัญญาอย่างหยาบ ปัญญาอย่างกลาง ปัญญาอย่างละเอียดไง โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ แล้วทำอย่างไร โธ่! แค่เฉียดไปก็รู้แล้ว แสดงธรรมนี่ครูบาอาจารย์ท่านฟังทีเดียวจบนะ
เหมือนทางโลกนะ ทางโลกเวลาเราเจรจากับใคร คนโง่ คนฉลาดพูดทีเดียวจบนะ แล้วถ้าคนพูดออกมาไร้สาระไม่มีแก่นสารเลย เราจะใช้คนคนนั้นทำงานไหม ถ้าจะทำงานงานเราก็เสียหมดน่ะสิ เราจะให้คนทำงาน เราต้องใช้คนที่เป็นสิ แล้วคนเป็นเวลาพูด พูดผิดได้อย่างไร คนเป็น นี่ก็เหมือนกัน เวลาพูดออกมานะ เวลาพิจารณาไปแล้ว โอ๋ย! สูงสุดแล้วกลายเป็นเล็บกับกลายเป็นผม โอ้! ตกใจเลยนะ ธรรมธาตุเป็นอย่างนั้นหรือ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นกิเลสแล้วกลับมาเป็นเล็บเป็นผมหรือ เล็บผมมันอยู่ที่ร้านเกสาร้านทำผมร้านทำเล็บนั่น ร้านทำผมทำเล็บทางโลกเขายังเป็นเงินเป็นทองนะ แล้วถ้าเล็บของเรามันขบแล้วเจ็บปวดเลย เล็บที่มันไม่รู้สารู้สึกมันทำเจ็บนะ ทำจนเป็นหนองเลย แล้วนิพพานมันรังแกเราขนาดนี้เนาะ โอ้โฮ! เล็บอรหันต์มันกดจนเป็นหนองเลย เวลาไปโรงพยาบาลดึงออกมาเลือดโซกเลย โอ้โฮ! นิพพานมันรังแกเราเจ็บเหลือเกิน นี่ชาล้นถ้วย กิเลสล้นฝั่ง กิเลสล้นฝั่งมาจนไม่มีสิ่งใดเป็นคุณสมบัติที่ดีงาม
ถ้าเป็นคุณสมบัติที่ดีงามนะ เราจะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ผู้ที่ปฏิบัติใหม่ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นสมัยท่านตั้งแต่เป็นเณรนะ ท่านเคยบวชเณรมาก่อน พอบวชเณรไปอยู่กับเณรรุ่นพี่ เณรรุ่นพี่มันยังหลอกเลยล่ะ จะฉันข้าวต้องปฏิสังขาโย เอ็งปฏิสังขาโยไม่ได้ ข้าต้องปฏิสังขาโยให้แล้วป้อน นี่ไงตอนเป็นเด็ก ตอนเด็กวุฒิภาวะอย่างนั้นท่านก็เป็นเด็กดีคนหนึ่ง แต่ถ้ายังไม่ได้นิสัยยังไม่รู้ก็ยังไม่เข้าใจ เห็นไหม หลวงปู่มั่นนะ ท่านเป็นเณรครั้งแรกแล้วท่านสึกออกไปไง แล้วท่านกลับมาบวชใหม่ บวชเป็นพระ บวชเป็นพระแล้วหลวงปู่เสาร์ท่านพาออกวิเวก วิเวกให้มันมีความสุขความสงบเข้ามา แล้วค้นคว้าหาความจริงขึ้นมา แล้วก็เทียบเคียงกับปริยัติ เทียบเคียงกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นั่นปริยัติ ไม่มีนิพพานอยู่ในพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกเขียนคำว่า “นิพพาน” คำว่า “อรหันต์” แต่มันไม่มี มันมีอยู่ในใจพระพุทธเจ้านู่น แล้วมันมีอยู่ในใจของครูบา-อาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัตินั่น นี่มันเป็นทฤษฎีที่เป็นศาสดาของเรา ศึกษาค้นคว้า เป็นแนวทางไง นี่สาวก สาวกะผู้ได้ยินได้ฟังไง ถ้าไม่ได้สาวก สาวกะ ไม่มีสิ่งนี้เอ็งปฏิบัติอะไร นี่ก็มีนะ ยังเอามาปู้ยี่ปู้ยำกันแหลกเหลวอย่างนี้
หลวงปู่เสาร์ท่านเคารพบูชาของท่าน เวลาท่านปฏิบัติขึ้นมาแล้วเวลาเป็นประเพณีของชาวอุบลฯ นะ สวดมนต์นะ ก่อนที่ประพฤติปฏิบัติ “ขอให้ธรรมมาสถิตที่ตา ขอให้ธรรมมาสถิตที่ใจ” สวดมนต์ ๓ ชั่วโมง กว่าจะเดินจงกรม หลวงปู่มั่นแก้หลวงปู่เสาร์ ๓ ปี เวลาแก้
เพราะเราค้นคว้าเรื่องอย่างนี้ เพราะค้นคว้าอยากเห็นอำนาจวาสนาของคน แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วสิ่งที่เจริญงอกงามขึ้นมาในใจมันงอกงามขึ้นมาอย่างไร แล้วเวลางอกงามขึ้นมาแล้วนะ เศร้านะ กิเลสของคนคนนั้น กิเลสของเราทั้งสิ้นที่มันพลิกมันแพลง มันเบียดมันไสให้เราผิดเราพลาด
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทฤษฎีอันนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดกับพระ-มหาบัว “มหา มหา สิ่งที่ท่านศึกษาธรรมะมาจนเป็นมหา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอด เลอเลิศ เลอค่าเพราะเป็นธรรมและวินัยขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นภาคปริยัติ เอาใส่ลิ้นชักสมองไว้แล้วลั่นกุญแจไว้ อย่าให้มันออกมา เวลาประพฤติปฏิบัติเดี๋ยวมันจะเตะ มันจะถีบกัน” คำว่า “มันจะเตะ มันจะถีบ” คือมันรู้ก่อน คือคนรู้ผลตอบก่อน รู้ก่อน เวลาภาวนาไปมันจะเป็นอย่างนั้นๆ โอ้โฮ! วุ่นวายไปหมด แล้วที่ภาวนาไปแล้วภาวนาเอาชนะกิเลสนี่ก็แสนยาก
เพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติมาก่อนแล้วท่านรู้ ถ้าคนมีความรู้ไปศึกษามาอย่างนี้ มันเหมือนรู้ก่อน มันยิ่งจะลำบากลำบนไปขนาดไหน ท่านถึงบอกว่าให้ใส่ลิ้นชักสมองไว้ แล้วให้ประพฤติปฏิบัติไปก่อน แล้วทำไปๆ เวลาถึงที่สุดแล้วมันจะเป็นอันเดียวกันไง คำว่า “อันเดียวกัน” คือการประพฤติปฏิบัติสิ้นกิเลส สิ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์กับธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้อันเดียวกันเลย อันเดียวกัน ไม่มีอะไรผิดเลย
แต่ไอ้ที่มันผิดอยู่นี่เพราะกิเลสมันล้นฝั่ง กิเลสมันเอ่อล้นจนทำลายคนอื่น จนทำลายพฤติกรรมการประพฤติปฏิบัติของตน ทำลายตนทั้งสิ้น ทำลายตัวตน แล้วยังทำลายคนอื่น พยายามปิดกั้นไม่ให้คนอื่นเขาได้ใช้สัจจะ ใช้ความจริง ใช้อำนาจวาสนาของเขาตามความเป็นจริงของเขา จะต้องขีดเส้นให้มันเป็นอย่างนี้ๆ
ขีดเส้นเล่นกีฬาสี กีฬาสีมันเป็นกีฬาสีนะ แล้วกีฬาสีมันก็แพ้ชนะอยู่กับโลกนี้เท่านั้น แล้วเวลาแพ้ชนะกับโลกนี้มันเป็นทุจริตหรือเป็นสุจริต ถ้ามันเป็นสุจริตมันก็เป็นกรรมดีกรรมชั่ว ถ้ามันเป็นทุจริตมันลงอบายไปเลย ลงอบายไป ไปก็ไปบอกเขานะว่า โอ้ย! มันเข้าถ้ำ มันจะไปนอนจมบาดาลนู่นน่ะ ไอ้กีฬาสีมันจะไป เพราะอะไร เพราะมันขาดสติไง
ปิดอบายภูมิๆ คนที่ปิดอบายภูมิต้องมีศีล ๕ มีศีล ๕ นะ เขาบอกถือศีล ๕ มันจะปิดอบายภูมิ ถือศีล ๕ ถ้ามันทุศีลแล้วมันจะปิดอบายภูมิกันอย่างไร ศีล ๕ ศีล ๕ เป็นบาทฐานที่คนประพฤติปฏิบัติสิ้นกิเลสได้ไง แต่ถ้ามันจะปิดอบายภูมิมันต้องละทิฏฐิไง ละทิฏฐิความเห็นผิด สักกายทิฏฐิ นั่นล่ะปิดอบายภูมิ
แล้วนี่มันมีอะไร ไม่มีวุฒิภาวะ สมาธิชาล้นถ้วย กิเลสล้นฝั่งล้นหัวใจ แล้วใช้ปัญญาๆ ประพฤติปฏิบัติไปกลับไปเป็นผมเป็นขนกลับไปเป็นกรรมฐาน กรรมฐานเนี่ยมันอยู่ในธรรมวินัยมันอยู่ในบาลี แล้วประพฤติปฏิบัติไปสุดโต่ง ปฏิบัติไปเป็นโลกุตตระ ปฏิบัติไปลืมตาวิปัสสนา สัมผัสร้อยแปดเลย กลับมาเป็นเล็บกับเป็นผม
โอ้! เศร้า เศร้ามากเลย ไปจนสุดโต่งย้อนกลับมาอุปัชฌาย์ให้กรรมฐาน ๕ พระเพิ่งบวชนะ เราถึงบอกว่ามันเป็นเวรเป็นกรรม มันเป็นเวรเป็นกรรมเพราะอะไร เพราะเหยียดหยามดูถูกคนอื่นทั้งสิ้นว่าต่ำต้อย ฉันนี่ยิ่งใหญ่ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไปด้วยความไม่รู้ของตนไง ไม่รู้ของตนกลับไปเอากรรมฐาน ๕ มาเป็นนิพพาน มาเป็นสุดยอดของการปฏิบัติ เวลาดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ชี้คนอื่น เหยียดหยามคนอื่นไปทั่วด้วยความหลงผิด ด้วยความผิดของตน เวลาจะประกาศออกมาเป็นผมกับเป็นขนเป็นกรรมฐาน ๕ มันเศร้าใจ ผมกับขนมันเป็นเยอะแยะไปหมด แล้วมันมีคุณค่าอะไร หัวใจมีคุณค่าเท่านั้นหรือ
หัวใจของคนนะเลอเลิศ เลอค่า น้ำใจของคน คนที่มีน้ำใจ คนคนหนึ่งนะเขาช่วยสังคมจนสังคมพ้นจากทุกข์จากยากได้ คนที่มีน้ำใจคนคนหนึ่งนะ องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าชำระล้างกิเลสองค์เดียวนะสอน ๓ โลกธาตุ สอนเทวดา อินทร์ พรหม แล้วเทวดา อินทร์ พรหม สิ่งที่ท่านสอนหัวใจที่มีค่า
มันประพฤติปฏิบัติสิ้นกิเลสแล้วกลับมาเป็นเล็บเป็นผม นี่ไง สมาธิชาล้นถ้วย กิเลสล้นฝั่ง ล้นแล้วเปรอะเปื้อนไปทั้งสิ้น ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแล้วพูดไปแล้วเดี๋ยวก็ปลิ้นไปเรื่อยล่ะ ปลิ้นไปเรื่อย ปลิ้นไปเพราะอะไรล่ะ ปลิ้นไปเพราะตัวไม่มีภูมิ
ถ้ามีภูมินะศีลเป็นศีล สมาธิเป็นสมาธิ ปัญญาเป็นปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ประกอบกันขึ้นมาอย่างไรด้วยมรรค ๘ มรรค ๘ ที่มันยกขึ้นสู่วิปัสสนาแล้วมันเป็นตทังค-ปหาน เวลามันใช้สติปัญญา เห็นไหม เวลาถ้ามีสัมมาสมาธิเวลาเกิดปัญญาขึ้นมาปัญญาจะคมกล้ามาก ปัญญาที่คมกล้าที่มันฟาดมันฟันนี่ที่เป็นดาบเพชรๆ ฟาดฟันกิเลสไง
กิเลสที่มันกลัว มันกลัวศีล กลัวสมาธิ กลัวปัญญา กิเลสที่มันกลัวเพราะมันอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก มันควบคุมหัวใจของสัตว์โลกอยู่นี่ แล้วสัตว์โลกที่ไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามีแต่ความสุข ความสุขอะไร เพราะกิเลสมันไม่แสดงตนให้คนนั้นได้ตื่นขึ้นมาจากการให้อยากประพฤติปฏิบัติ เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาอยากจะชำระล้างกิเลส กิเลสมันตื่นกลัวว่าจะพ้นจากอำนาจของมันไป มันกีดมันขวาง มันทำลายทั้งสิ้น มันพาให้ผิดให้พลาด จะทำสิ่งใดมันกีดมันขวางไปตลอดทั้งสิ้น แล้วทำให้ล้มลุกคลุกคลานตลอด
แต่ถ้าใครมีอำนาจวาสนาขึ้นมาพยายามมีสติปัญญา นี่ทำความสงบใจเข้ามาให้มากขึ้น มากขึ้นแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ใช้ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากในปัจจุบันนั้น ปัญญาเกิดจากสติปัญญาที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา เห็นไหม ปัญญานั้นกิเลสที่มันกลัวๆ มันกลัวสัจธรรม มันกลัวมรรค ๘ มันกลัวมรรคสามัคคี กลัวเวลามรรคสัมปยุตกับหัวใจ มรรคที่สัมปยุตกับหัวใจแล้วมรรคมันจะมีกำลังที่คมกล้าด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยการแยกแยก แยกแยะอะไร ก็แยกแยะกิเลสในหัวใจนั้น นี่ไง เวลามันแยกแยะแล้วเวลาที่มันมีกำลังกล้าขึ้นมา กิเลสมันซุกมันหนี มันซุกมันซ่อน นี่ไง ถึงพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ตทังคปหานมันปล่อยวาง เวลาปล่อยวางขึ้นมามันมีมรรคมีผลของมันมีการกระทำของมัน
เขาบอกว่า “มันเป็นตัวเป็นตนนะ โอ้โฮ! เป็นอุปาทานนะ โอ๋ย! มันสร้างภาพนะ มีภพมีชาตินะ โอ๋ย! ทำลายภพทำลายชาติ” กามภพ รูปภพ อรูปภพไง
เวลาบรรลุธรรมขึ้นมานะมีองค์ความรู้ มีคุณธรรม ทิฏฐิในใจของตนดั่งแขนขาด สังโยชน์ขาด เวลาพิจารณาไปแล้ว เวลามันเกิดกามราคะถ้ามันอสุภะจนทำลายปฏิฆะ กามราคะ ที่ว่าเกิดที่วัฏฏะไง ไม่เกิดตั้งแต่สวรรค์ลงไปแล้ว กามภพไม่เกิดอีกแล้ว เกิดบนพรหม
“โอ๋ย! มันเป็นสุทัสสี สุทัสสา” โอ้โฮ! มันอธิบายใหญ่เลย กีฬาสี กิเลสมันล้นเอ่อ มันไม่รู้จักกิเลส ไม่เห็นหน้ากิเลส พิจารณากิเลสไม่เป็น แล้วมันยังสุทัสสา สุทัสสีอีกนะ “โอ้โฮ! มันเป็นขั้นเป็นตอน” เวลาจิตเกิด เผลอเกิดแล้วนะ ไอ้ที่พูดมันเป็นภาคปริยัติ มันไม่เกี่ยวกับใจ ใจที่มันจะไปอยู่นั่นน่ะ ใจที่พรึบ! ไปแล้วนั่นน่ะ แต่ไม่เห็น ไม่รู้จักนะ
สัมมาสมาธิเท่านั้น ทำความสงบของใจแล้วเราจะมีความสุขของเรา ความสุขนั้นให้จิตนี้พร้อมแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ถ้าวิปัสสนานั้นเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากจิตดวงนั้น จิตดวงใดไม่มีมรรค จิตดวงนั้นไม่มีผล
พระสุภัททะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่มีปัญญามาก ศึกษามาเยอะมาก แล้วศึกษาไอ้โน่นก็ดี ไอ้นี่ก็ดี นักวิทยาศาสตร์ โอ้โฮ! วิเคราะห์วิจัยเก่งมากเลย แต่เขาก็มีวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปปรินิพพาน เขาคิดของเขาได้ “ถ้าคืนนี้ไม่ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่มีโอกาสได้สนทนาธรรมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกแล้วแหละ” นี้เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า เพราะเขาเป็นนักปราชญ์ เขาค้นคว้าเรื่องนี้มาเยอะมาก เขาบอกศาสนานั้นว่าอย่างนั้น ศาสนานั้นว่าอย่างนี้ ศาสนานี้ว่าอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “สุภัททะ อย่าถามให้มากไปเลย เรากำลังจะตาย” ท่านจะนิพพาน “เธออย่าถามให้มากไปเลยนะ ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผลหรอก”
ไอ้ที่พูดกันแจ้วๆ ไอ้โลกุตตระๆ ไอ้ลืมตาเถ่อ ไอ้ผัสสะสัมผัสนั่นน่ะมันไม่มีมรรคหรอก ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล แล้วดวงใจดวงใดที่ประพฤติปฏิบัติไม่มีมรรคนะ ไม่มีมรรคมันถึงมองข้ามไง ไม่มีมรรคมันถึงพูดว่า“สมาธิก็ไม่ต้อง มรรค ๗ ก็ได้ มรรค ๘ ก็ได้” คนพูดแบบนี้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก
เชฟที่ทำอาหารสุกก็ได้ดิบก็ได้ ไม่ต้องเข้าเตาอบก็ได้ มันเป็นไปได้อย่างไร อาหารชนิดอะไร สเต๊กถ้ามันไม่ย่างไม่เข้าเตาไฟมันจะเป็นสเต๊กได้อย่างไร แล้วถ้ามันเป็นขนมหวาน มันเป็นไวน์ต่างๆ ก็อยู่ที่เขา ไอ้นี่สมาธิไม่ต้อง ถ้าสมาธิมันไม่ต้องเพราะไม่ต้องเพราะมันภาวนาไม่เป็น ภาวนาเป็นสมาธิชาล้นถ้วย แล้วกิเลสล้นฝั่ง แล้วเวลาคำพูดมันฟ้องหมดแหละ แต่ด้วยสิทธิเสรีภาพ ด้วยความเคารพในความรู้สึกของคนอื่น พวกเราไม่ไปสนใจ ขำๆ นะ
หลวงตานี่หูสูงมากฟังทีเดียวรู้หมด แต่ท่านไม่พูดถึงเลย ครูบาอาจารย์ของเราไม่พูดถึงเลย เพราะอะไร เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพของเขา มันเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่อยู่ดีๆ มันหันมา คิดว่าท่านไม่อยู่แล้วไง มันเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก แต่ในเมื่อจาบจ้วงมามันก็ต้องชี้แจงกัน การชี้แจง พอชี้แจงแล้ว สิ่งที่เป็นสัจจะเป็นความจริงนะ หลวงตาท่านพูดของท่านนะ โอ้! มันสว่างโพลงตลอด นิวเคลียร์นิวตรอนตลอด มันไม่ไปเป็นผมเป็นขนหรอก มันไม่เป็นผม ไม่ใช่ ไร้สาระเพราะอะไร เพราะว่าจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สิ่งที่แก้ต้องแก้ที่จิตนั้น จิตดวงใดไม่มีมรรคไม่มีผล จิตดวงใดไม่รู้จักมรรค มรรคผิดพลาด มรรคขาดตกบกพร่อง มรรคหยาบ มรรคละเอียด ไร้สาระ! ไร้สาระมาก มันเป็นกิเลสล้นฝั่ง มันไม่มีสัจจะไม่มีความจริงในใจนั้นเลย
แล้วเรามาฝึกหัดของเรา ถ้าเราฝึกหัดของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เรามีครูบาอาจารย์ของเรา แล้วเรามีครูบาอาจารย์ของเรา พอเราทำความสงบของใจเข้ามาเท่านั้นแหละ ถ้าทำความสงบของใจแล้วสมณะชีพราหมณ์พวกกลุ่มนั้นจะมีความสุข สมณะชีพราหมณ์กลุ่มนั้นจะไม่ทุศีลเพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่จะเป็นสัมมาสมาธิได้ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีศีลการประพฤติปฏิบัติขึ้นมานิวรณ์มันก็เฟื่องฟู นิวรณ์เฟื่องฟู ถ้าเราสมบูรณ์แบบของเรา เราฝึกหัดของเราจนเป็นบรรทัดฐานๆ ขึ้นมา ศีล ถ้าจิตมันสงบ สงบในตัวของมันเองไง
เพราะศีลนี่เป็นรั้วรอบขอบชิด ตัวจิตเป็นสัมมาสมาธิ พอตัวจิตเป็นสัมมาสมาธินะ อู้ฮู! มันเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าตรงไหน เห็นคุณค่าตอนที่ประพฤติปฏิบัตินี่ไง ปฏิบัติล้มลุกคลุกคลานกว่ามันจะเป็นกว่าจะได้ แล้วพอมันจะเป็นจะได้ขึ้นมา นี่ไงธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เขาก็มีสติปัญญารักษาของเขาไง ถ้ามีสติปัญญารักษา มีสติปัญญา เห็นไหม ควบคุมการประพฤติของเรา ควบคุมกิริยาของเรา
ควบคุมสิ่งที่มัน เห็นไหม หลวงตาท่านสอนว่า วัวเราผูกกับหลักไว้ เวลาจะภาวนา เวลาใช้งานก็ไปจับมันมา จิตที่เรารักษาดูแลมาทั้งวันด้วยการควบคุมดูแลของเรา เวลานั่งสมาธิขึ้นมา ต่อเนื่องภาวนาขึ้นไป มันก็ต่อเนื่องกันไป ถ้าต่อเนื่องกันไป ถ้ามันจิตสงบระงับเข้ามามีความสุขของมัน ถ้ามีความสุขของมัน ฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญา ต้องฝึกหัด
สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แล้วสมาธินี่มันจะเสื่อม แค่รักษาสมาธิก็เกือบตายแล้ว แล้วสมาธิแก้กิเลสไม่ได้ ต้องปัญญาเท่านั้น สมาธิจับ ปัญญาตัด แล้วปัญญาทำอย่างไรล่ะ ถ้ามันทำไม่ได้ก็ฝึกหัดใช้นี่ไง ที่ว่าวาสนา วาสนานี่แหละ ถ้าคนเราไม่มีอำนาจวาสนานะ เวลาจิตสงบระงับก็คือสงบ สงบแล้วมันก็มีความสุขของมัน แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้ มันก็จะเสื่อมของมันไป พยายามฝึกฝนมากน้อยขนาดไหน มันก็ได้เท่านั้นไง
ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของท่านสอน ถ้ามีอำนาจวาสนา สิ่งที่เราทำมาๆ ถ้าจิตสงบแล้ว ถ้ามันไม่เห็นกาย มันเห็นกายไม่ได้ก็ให้รำพึงขึ้นมา การรำพึงขึ้นมามันก็จุดประเด็นขึ้นมา เห็นไหม แล้วถ้ามันรำพึงเห็นกายไม่ได้ ทำความสงบของใจให้มากขึ้นๆ เวลาเราสงบแล้วถ้ามันเกิดเวทนา เราจับเวทนาก็ได้ ถ้าจับเวทนา เห็นไหม ถ้าจิตมันสงบแล้วจิตเป็นสัมมาสมาธิ เวทนามันจับได้ เหมือนคนมีเครื่องมือจับเหล็กแดงๆ เห็นไหม เหล็กแดงๆ เขามีคีมคีบ คีบแล้วมันไม่ลวกมือไง จิตถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิ จิตมันสงบแล้วเวลาจับเวทนามันไม่เจ็บไม่ปวดเหมือนตอนที่เราไม่มีสมาธิ เวลาไม่มีสมาธิ เห็นไหม เหล็กแดงๆ มันคือเรา เราคือเหล็กแดงๆ นั่งไปสมาธิทั้งเจ็บทั้งปวดทั้งทุกข์ทั้งยากทั้งสิ้น เพราะอะไร เพราะจิตเรามันแดงๆ ไง จิตมันทุกข์มันร้อนไง
แต่ถ้ามันพุทโธๆ จนจิตมันสงบ พอจิตสงบจิตเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าจิตสัมมาสมาธิ ถ้าเราออกจากสมาธิมา ถ้ามันเกิดเวทนาเราจับเวทนาได้ เวทนาสักแต่ว่าเวทนา อุเบกขาไง อุเบกขาๆ เวทนาสักแต่ว่าเวทนา แต่! แต่จิตมันไม่ใช่อุเบกขา จิตเป็นสัมมาสมาธิ แต่เวทนาสักแต่ว่าเวทนา เวทนาเป็นอุเบกขา เวลาจิตมันรู้มันเห็นขึ้นมา เห็นเวทนามาจากไหน เวทนาความเจ็บความปวด ความสุขความทุกข์ ความสุขความทุกข์เวลาเรานั่งอยู่ไม่เห็นมีเลย เวลามันมี มันมีมาจากไหน มันมีมาเพราะจิตมันไปรับรู้ไง
ถ้าจิตรับรู้ จิตถ้ามีสติปัญญา จิตมันปล่อยวางเข้ามาได้ไหม ถ้าจิตปล่อยวางเข้ามา แล้วเวทนาไปไหน เวทนาเป็นความรู้สึกใช่ไหม แล้วความรู้สึกเวลามันปล่อยวางไปแล้วมันเป็นอย่างไร พิจารณาเวทนาไง “อุเบกขาที่มันจะเกิดปัญญา”แต่! แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านให้จับอุเบกขามาพิจารณาเลย จับอุเบกขามาพิจารณา ไม่ใช่อุเบกขามันจะไปเกิดปัญญา นี่ไง ไม่มีครูบาอาจารย์แล้วอวดรู้ ลอกเอง เขียนเอง บัญญัติเอง แล้วบอกว่าฉันปัญญาเลอเลิศ ฉันยอดเยี่ยมกระเทียมดอง กิเลสล้นฝั่ง กล่าวตู่พุทธพจน์ แล้วแต่ความพอใจของตน เป็นภาคปริยัติ ไม่มีสัจจะความจริง
สัจจะความจริงนะ มันเกิดจากการปฏิบัติ ฟังเทศน์ภาคปฏิบัติ ปฏิบัติ เห็นไหม นั่งสมาธิภาวนา ร่างกายนั่งอยู่นี่ ค้นหาอะไร ค้นหาใจของตน แล้วค้นหาใจของตน ใจของตนเวลามันสงบระงับเข้ามาแล้วเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ นั่นโลกุตตรธรรม แล้วเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา เป็นปัจจุบันๆๆ
ไอ้ที่ว่า ๑๕ ๒๐ ๓๐ นั่นจำทั้งนั้น ภาคปฏิบัติสัญญานี้เป็นล้มโต๊ะในการปฏิบัติทั้งสิ้น มันเป็นสัญญาๆ ครูบาอาจารย์ถ้ามันเป็นสัญญานะ สัญญาคือไปจดจำของครูบา-อาจารย์มาคือลอกข้อสอบ สัญญาคือลอกข้อสอบ ลอกเลียนของคนอื่นมา แล้วก็พยายามจะบังคับให้มันเป็นปัญญาของตน นั้นคือสัญญา
ฉะนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการนะ สิ่งใดที่เป็นไฮไลต์ สิ่งใดที่เป็นความเจริญท่านข้ามๆ ถ้ามันจะเกิดให้มันเกิดความจริงของมันขึ้นมาเอง เวลาหลวงตาท่านพูดไง ท่านเคยพิจารณา พิจารณาเสือ เสือมีคุณ เสือมีหนังนั่นก็เป็นปัญญาของท่าน ท่านบอกท่านไปคุยกับหลวงปู่คำดี หลวงปู่คำดีก็ใช้เหมือนกัน แต่! แต่คนละกาล คนละคราว คนละเวลาที่ไม่ได้ฟังของใครกันมาก่อน เวลาไปเจอกัน ปัญญาๆ ให้เป็นปัจจุบันของเรา ปัจจุบันมันจะมีพลังของมัน มันมีกำลังของมัน แล้วมันจะเป็นสิ่งที่คมกล้า มันฟาดฟันกิเลส กิเลสวิ่งแจ้น กิเลสหลบซ่อน กิเลสไม่ได้ขาดนะ กิเลสมันหลบซ่อนมันจะเอาคืน มันเอาคืนขึ้นมาเราหงายท้อง กรรมฐานม้วนเสื่อไง
ถ้าเรามั่นคงของเรา เราฝึกหัดของเรา เรามีสติปัญญาของเรา แล้วเราทำของเราให้มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา เวลาความจริงขึ้นมานะ เวลาทำสัมมาสมาธิ สุขเกิดจากความสงบ เวลาใช้ปัญญาสุขมันจะกว้างขวางออกไป แผ่ซ่านไป วิตก วิจาร ปีติ เวลาทำสิ่งใดมันจะเกิดปีติ ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา เวลามันฟาดมันฟันนะ มันฟาดมันฟันกัน
ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ กองทัพกิเลสกับกองทัพธรรม กองทัพธรรมคือภาวนามยปัญญา กองทัพกิเลสคือไอ้ปลิ้นไอ้ปล้อนไอ้พลิกไอ้แพลงมันฟาดฟันกันอยู่บนสมถกรรมฐาน อยู่บนดวงจิตดวงนี้ เวลามันต่อสู้มันประหารกัน ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ครูบาอาจารย์ท่านเดินจงกรม ๗ วัน ๗ คืน ทั้งปีๆ ทำอะไร มันมีงานทำ มันมีวิปัสสนา มีปัญญารู้แจ้ง มีวุฒิภาวะ มีคุณธรรม อู้! สุดยอด
นี้คือฟังเทศน์ภาคปฏิบัติ ฟังเทศน์ในการประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ปริยัติ ไม่ใช่ตู่พุทธพจน์ ไม่ใช่จับแพะชนแกะ นี่ไง นิพพานอัตตาหรืออนัตตา นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตาล่ะ หรือเป็นอุเบกขา หรือเป็นผมหรือเป็นขน เศร้า!
นิพพานคือนิพพาน พระอรหันต์ทั้งหมดท่านมีภูมิในหัวใจของท่านสมบูรณ์แบบ เหนือโลก เหนือวัฏฏะ เหนือสมมุติ เหนือบัญญัติ เหนือกรรม เอวัง