เทศน์พระ

ชาล้นถ้วย

๑๗ ก.ค. ๒๕๕๑

 

ชาล้นถ้วย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันอุโบสถ วันอุโบสถนะ อุโบสถศีล พรุ่งนี้วันเข้าพรรษา วันเข้าพรรษาพระเขาไม่จรไปไง เขาต้องอยู่กับที่ อยู่กับที่เพื่อจะเร่งความเพียร โอกาสของพระมานะ ๓ เดือนเร่งความเพียร ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระจะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วขอกรรมฐาน แล้วเข้าป่าไปไง อยู่กับความสงบสงัดเพื่อจะค้นหาตัวเอง ถ้าจะเอาชนะตัวเองได้นะ ชนะโลก โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือโลกทัศน์ โลกคือจิตของเรา จิตนี้ตายเกิดๆ ในวัฏสงสาร

วัฏสงสารเห็นไหม ชีวิตนี้เป็นผลของวัฏฏะ เป็นผลของวัฏฏะคือวัฏฏะมันหมุนอยู่ มันซ้อนกันอยู่เห็นไหม จิตตายเกิดๆ ในวัฏฏะ แต่ผู้เกิดก็คือตัวจิต เพราะตัวจิตมันเกิดในวัฏฏะซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันถึงเป็นศูนย์กลางของวัฏฏะ ศูนย์กลางของวัฏฏะกับจิตดวงนั้น กับบุคคลคนนั้น แต่เพราะบุคคลคนนั้น จิตดวงนั้นไม่มีสติสัมปชัญญะ เลยกลายเป็นสวะ กลายเป็นผลของวัฏฏะ เพราะมันก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดไปในวัฏฏะเหมือนกัน

ไปในวัฏฏะคือกามภพ รูปภพ อรูปภพ แต่จริงๆ ก็คือตัวจิตตัวเกิดตัวตาย เวลาจิตสิ้นไปจากกิเลสนะ วัฏฏะมันก็อยู่อย่างนั้น โลกก็อยู่อย่างนั้น เห็นไหม สิ่งต่างๆ เขาก็อยู่ของเขาโดยธรรมชาติของเขา แต่จิตดวงนี้มันพ้นออกไปจากวัฏฏะ มันเป็นวิวัฏฏะ แต่ถ้ามันยังมีกิเลสครอบงำอยู่ เห็นไหม มันเป็นผลของวัฏฏะ เพราะวัฏฏะมันมีอยู่โดยดั้งเดิม นรกสวรรค์ วัฏฏะ ๓ มันมีของมันอยู่ดั้งเดิมไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สร้างขึ้นมา มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นสัจจะความจริงที่มันมีของมันอยู่อย่างนั้น แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมอันนั้น มาเข้าใจธรรมอันนั้นไง เข้าใจธรรมอันนั้นนะ

อันนั้นมันอยู่ที่ไหนล่ะ อันนั้นมันก็อยู่ที่ใจเราไง ถ้าใจเราเป็น ใจเรารู้ ใจเราเพิกออกมา เพิกอวิชชา เพิกความครอบงำของสิ่งที่เป็นพญามารสิ่งที่เป็นกิเลสออกจากใจ ถ้าออกจากใจ เห็นไหม อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิง สูติ จิตเป็นผู้นิพพาน จิตไม่ได้เข้านิพพาน นิพพานไม่ใช่ใครเข้าไปเหมือนลายแทงไปหาทรัพย์สมบัติอันนั้น แต่มันเป็นอยู่ที่จิตนี้ เราไปหาสมบัตินะ เรามีลายแทง แล้วเราแสวงหาตามแผนที่นั้นเพื่อเข้าไปหาสมบัตินั้น มันเป็นเรื่องนอกๆ เพราะผู้ไปค้นหาสมบัติใช่ไหม สมบัติมันเป็นสมบัติของโลกที่เราไปเอามันมา เพื่อเราคิดว่าเราได้สมบัติ นี่มันเป็นสมบัติของโลก

แต่ถ้าเป็นอาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิง สูติ จิตมันเป็นเอง ตัวจิตมันเป็นสมบัติเสียเอง มันไม่ใช่มีสองไง มีเรากับสมบัตินั้น ถ้ามีเรากับสมบัตินั้น เราเป็นผู้ได้สมบัตินั้นมา สมบัตินั้นเป็นของเรา แต่นี่ตัวมันเป็นสมบัติเสียเอง ตัวจิตมันเป็นสมบัติ ตัวจิตมันเป็นตัวธรรม ตัวจิตมันเป็นสิ่งที่มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา เป็นประโยชน์กับเราเอง เห็นไหม

ก่อนเข้าพรรษาอธิษฐานพรรษา พรุ่งนี้อธิษฐานพรรษา ถ้าใครมีจุดยืนอย่างไรจะอธิษฐานพรรษา ตั้งกติกาเราขึ้นมา สัจจะ เราตั้งสัจจะขึ้นมาแล้ว เห็นไหม เราต้องมีสัตย์ คนมีศีลมีสัตย์มันจะทำให้ชีวิตนี้มีหลักมีเกณฑ์ ถ้าคนไม่มีศีลมีสัตย์นะ มันเป็นสวะ เห็นไหม สวะ สิ่งที่มีไม่มีประโยชน์เลย ลอยไปตามวัฏฏะ ลอยไปตามวัฏฏะ เราเกิดเราตาย เราลอยไปในวัฏฏะ จะรู้หรือไม่รู้แล้วแต่มันพัดไปโดยกรรม สัจธรรมความจริงมันพัดไป กรรมมันพัดไป พัดเราเวียนตายเวียนเกิด

แต่ในปัจจุบันนี้ มันเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเทวดาเขาอวยพรกัน เห็นไหม เวลาจะจุติจากสวรรค์มาเกิด ขอให้ไปเกิดเป็นมนุษย์เถิด แล้วให้มนุษย์เป็นผู้ที่พบพระพุทธศาสนา แล้วได้ทำบุญกุศลให้ไปเกิดเป็นเทวดาอีก เห็นไหม เกิดเป็นมนุษย์นะ เราพบพระพุทธศาสนาไม่พบพุทธศาสนา ดูสิ คนเกิดมาเป็นมนุษย์ในโลกนี้ที่เขานับถือศาสนาต่างๆ เห็นไหม เขาเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่เขาเจอพุทธศาสนาเพราะอยู่ในโลกเดียวกัน แต่เขาไม่เห็น ใกล้เกลือกินด่างนะ

ดูสิ เราเป็นชาวพุทธเหมือนกัน ถ้าเป็นชาวพุทธแค่ทะเบียนบ้าน เห็นไหม เป็นชาวพุทธแต่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เป็นชาวพุทธแต่ไปคิดถึงเรื่องโลกๆ คิดทางวิทยาศาสตร์ไง ต้องเป็นสิ่งที่เราพอใจ สิ่งที่เป็นวัตถุที่เราจับต้องได้ ถึงจะเป็นความเชื่อถือสิ่งนั้น มันความคิดหยาบๆ ความคิดแบบโลก คิดแบบหยาบๆ

แต่ความคิดโดยธรรมมันไม่ใช่ความคิด มันเป็นความสัมผัส จิตมันสัมผัส จิตมันรับรู้ จิตมันเป็นไป ถ้าจิตมันเป็นไป เห็นไหม ตัวจิตสำคัญมาก ถ้ามันมีทิฏฐิมานะ นี่ชาล้นถ้วย ถ้าชาล้นถ้วย เห็นไหม เราเกิดมาเราเกิดมาโดยโลก เกิดมาโดยโลกียปัญญา แล้วเรามีการศึกษา เรามีความรู้ แล้วเราว่ามีความรู้นะ มันชาล้นถ้วย มันไม่ยอมรับรู้สิ่งต่างๆ นะ ถ้าเราไม่ยอมรับรู้สิ่งต่างๆ เราว่าเรารู้อยู่แล้ว เราจะไม่รู้อะไรเลย เพราะมันรู้โดยอวิชชา มันรู้โดยวิชาชีพ มันรู้โดยโลกียปัญญา สิ่งที่รู้นี่มันเป็นชาล้นถ้วย แล้วเราจะไม่ได้สิ่งใดๆ เลย

มันศึกษามันก็ศึกษาโดยสุตมยปัญญา ศึกษาเปรียบเทียบ สิ่งที่เปรียบเทียบนั้น ขณะเปรียบเทียบเรายังซึ้งใจขนาดนี้นะ เราศึกษาธรรม เห็นไหม ดูสิ เราศึกษาภาคปริยัติกัน เขาซึ้งมาก ซึ้งจนมีศรัทธามีความเชื่อมาประพฤติปฏิบัติ แต่กิเลสมันก็ซ้อนมันบังเงามา เห็นไหม มันบังเงาว่ามันรู้แล้ว มันเข้าใจแล้ว มันรู้ไปหมด มันตรึกในธรรมแล้วว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม

สิ่งนั้นเป็นธรรม ทำไมเราสงสัย? สิ่งนั้นเป็นธรรม ทำไมเราไม่รู้จริง? ถ้าสิ่งนั้นเป็นธรรม เราทำไมสงสัยล่ะ มันถามตัวเองได้นะ ชีวิตนี้คืออะไร? ชีวิตนี้เกิดมาทำไม? เกิดมาประพฤติปฏิบัติ เรารู้อะไร? สิ่งที่รู้นี่รู้จริงหรือเปล่า? ถ้ามันรู้โดยวิปัสสนึกมันว่ามันรู้นะ มันรู้สิ่งต่างๆ เห็นไหม มันชาล้นถ้วย

เราต้องพยายามศึกษาเปรียบเทียบ เปรียบเทียบกับความรู้สึกของเรา ความรู้สึกของเรามันรู้จริงหรือเปล่า ถ้ามันรู้จริงเราต้องทดสอบได้ ความทดสอบเห็นไหม มันมีเหตุมีผลของมัน “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” ถ้าธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราต้องศึกษาแล้วเราต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม กุปปธรรม อกุปปธรรม ผู้ที่เห็นธรรมจริงจะรู้ ผลของกุปปธรรมมันเป็นอย่างไร อกุปปธรรมมันเป็นอย่างไร

กุปปธรรมนะ เรารู้เองเราก็สงสัย วิ่งไปหาครูบาอาจารย์นะ ให้ครูบาอาจารย์ท่านรับประกันเราว่าสิ่งนั้นเป็นจริงสิ่งนั้นไม่เป็นจริงก็แล้วแต่ ใครรับประกันขนาดไหน เวลามันเสื่อมมันก็เสื่อมต่อหน้านั่นน่ะ แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานะ เราเขย่าแค่ไหนมันก็ไม่เสื่อม มันเป็นไปไม่ได้ จะแกล้งให้มันเสื่อมมันก็ไม่เสื่อม จะเอาหัวชนฟ้าขนาดไหนให้มันเสื่อมไป ให้มันแปรสภาพไป มันก็ไม่แปร เพราะมันเป็นอกุปปธรรม ถ้าเป็นอกุปปธรรมมันมีเหตุมีผลของมัน ถ้าเป็นอกุปปธรรมนะ มันมีความองอาจกล้าหาญ มันจะรับรู้สิ่งต่างๆ สิ่งที่รับรู้ สิ่งที่ความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นมาจะรู้จริงทั้งหมด

แต่ขณะที่แสดงออก การแสดงออกถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย บอกว่าเอาน้ำพริกไปละลายแม่น้ำ ไม่มีประโยชน์สิ่งใดๆ หรอก สิ่งที่เรารู้จริงของเรา จะไปพูดกับใครเขาไม่รู้กับเราหรอก ถ้ารู้กับเรานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทอดธุระล่ะ ทอดธุระเลยว่าขนาดว่าสร้างเตรียมตนมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การเตรียมตัวเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การศึกษา การสะสมบุญญาธิการมามหาศาลเลย มันจะเทียบเคียง มันเป็นปัญญา นี่สิ่งที่ทำเป็นอภิญญา สิ่งต่างๆ จะรู้ สิ่งต่างๆ ควรจะแก้ไข ควรทำอย่างไร

แต่ขณะที่เราเสนอไป เขายอมรับไหม เขาเป็นไปได้ไหม มันต้องคนที่รับ เห็นไหม คนนอนหลับอยู่ เราพยายามจะไปป้อนอาหารเขา เราพยายามจะให้เขารับรู้กับเรามา มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเขานอนหลับ แล้วจิตมันหลับ จิตมันบอด จิตมันมืดมน มันมืดมนนะ กึ่งพุทธกาลแล้วมันไม่มี สิ่งต่างๆ มันเป็นไปไม่ได้ ตายแล้วสูญ สิ่งต่างๆ โดยสามัญสำนึกของกิเลสมันเป็นอย่างนั้นหมด

กิเลสมันคือกิเลส กิเลสคือมันไม่เชื่อสิ่งใดๆ เลย แล้วกิเลสมันไม่กลัวสิ่งใดๆ เลย ถ้ามันไม่มีธรรมะเข้าไปเปรียบเทียบนะ กิเลสมันจะขี่หัวเราไปตลอดเวลา แล้วล้นถ้วยไปตลอด เยิ้มไปตลอด เยิ้มไปด้วยปัญญาความรู้ รู้ไปหมดๆ รู้โดยอะไร? รู้โดยกิเลสมันก็เหยียบย่ำเขาไปหมดไง รู้โดยทิฏฐิมานะ รู้โดยความเห็นของเรา รู้โดยรู้ผิด ถ้ารู้ผิดมันเป็นประโยชน์กับใคร มันไม่เป็นประโยชน์กับเราเห็นไหม มันทำลายโอกาสของเราแล้วนะ มันทำลายโอกาสเวลาของเราที่ควรจะรู้จริง ควรจะได้มาศึกษา ควรจะได้มาค้นคว้า มันรู้จริงมันก็ไม่ค้นคว้า มันก็ไม่ยอมรับสิ่งใด มันถือมั่นในตัวของมันเอง ถ้ามันถือมั่นในตัวเองมันจะเป็นประโยชน์กับใคร เห็นไหม

จงทำตัวเองให้พร่อง! จงทำตัวเองให้พร่องตลอดเวลา ให้เราขาดแคลนตลอดเวลา เราจะได้รับรู้ความจริง ถ้าใจเราไม่พร่องนะ ไม่พร่องจากอะไร ไม่พร่องจากทิฏฐิมานะ ต้องทิฏฐิมานะความรู้จริงให้มันพร่อง เพราะความรู้เราแก้ไขเรื่องชีวิตเราไม่ได้ ความรู้ของเราแก้กิเลสเราไม่ได้ ถ้าความรู้เราแก้กิเลสได้เราต้องรู้จริงมาแล้ว เราต้องไม่สงสัยในวัฏฏะ พระอรหันต์ไม่สงสัยในวัฏฏะเลย ไม่สงสัยในวัฏฏะนี้ ไม่สงสัยในตั้งแต่พรหมลงมา

ตั้งแต่พรหมลงมา เห็นไหม ดูสิ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า แม้แต่พรหม สอนตั้งแต่พรหมลงมาเลย พรหมยังไม่รู้เรื่องอริยสัจ ไม่รู้สิ่งใดๆ เลย เรื่องอริยสัจ เรื่องฌานโลกีย์ เรื่องความเห็น มันเป็นเรื่องโลก ถ้าเราไม่รู้จริงขึ้นมา เวลาเขาพูดถึงเรื่องสิ่งต่างๆ เหมือนเราไปเห็นเศรษฐี เศรษฐีเขาเอาเงินมานับ เราไปเห็นเขามีเงินมีทองมากเรานึกว่าเขามีความสุข มันเป็นไปได้อย่างไร ร่ำรวยขนาดไหน จะมีทรัพย์สินเงินทองขนาดไหน ทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์บริหารมันนี่ทุกข์มาก การแสวงหากว่าจะได้เป็นเงินเป็นทองขึ้นมาก็ความทุกข์อันหนึ่งนะ ได้มาแล้วจะเก็บรักษามันก็กลัวโจรจะปล้น กลัวจะตกหาย กลัวไปหมด วิตกกังวลไปหมดเลย มันจะมีความสุขมาจากไหน เพราะมันเป็นความจำ ไม่ใช่ความจริง

ถ้าเป็นความจริงมันเป็นกับเรา มันต้องไปรักษาอะไรมัน สลัดมันทิ้งมันยังไม่ไปเลย สลัดมัน บอกแกล้งไม่รู้มันยังรู้เลย แกล้งไม่รู้ แกล้งโง่ แกล้งไม่เข้าใจ มันก็เข้าใจ แกล้งไม่ได้ ความแกล้งมันเป็นเรื่องสมมุติ ความจริงมันแกล้งไม่ได้ ความจริงมันคือความจริง สิ่งที่มันไม่เป็นความจริงมันเป็นความทุกข์ แล้วสิ่งนั้นเราไปเอามาเป็นทิฏฐิมานะเราทำไม

เห็นไหม จะเข้าพรรษา ก่อนเข้าพรรษาเราต้องมีสามัญสำนึก สามัญสำนึกถึงเราก่อน อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนยังเอาตัวเองไม่ได้ ตนยังไม่มีที่พึ่งของตน ตนยังไว้ใจตนเองไม่ได้ ถ้าตนยังไว้ใจตนเองไม่ได้โลกนี้จะไว้ใจได้อย่างไร โลกคือหมู่สัตว์ โลกนี้คือเรา โลกส่วนโลกนะ เราคือเรา เวลาประพฤติปฏิบัติเราคือเรา เราต้องเอาตัวเรารอดให้ได้ ถ้าเราเอาตัวรอดได้ เห็นไหม เราไม่เบียดเบียนตนแล้วเราไม่เบียดเบียนผู้อื่น

ถ้ายังเบียดเบียนตนอยู่ เพราะเบียดเบียนตนเห็นไหม เวลาเราไม่เข้าใจสิ่งใด ดูสิ เวลาเราไม่เข้าใจสิ่งใด เรางงไหม เรามีความวิตกกังวลในใจไหม มันเบียดเบียนตนแล้วนะ แล้วยิ่งเกิดถ้าเป็นโทสะ โมหะ ที่จะไปทำลายเขาน่ะ มันเบียดเบียนตนก่อนแล้วนะ กรรมไม่มีที่ลับไม่มีที่แจ้ง กรรมไม่มีความลับใดๆ เรื่องการกระทำ ถ้ามโนกรรมมันเกิดขึ้นมามันเหยียบย่ำใจของเราแล้ว ใครจะรู้ไม่รู้ก็แล้วแต่มันเหยียบย่ำใจของเราแล้ว เห็นไหม มันเบียดเบียนเราก่อนนะ มันเบียดเบียนเราแล้วถึงไปเบียดเบียนคนอื่น นี่ผลของกิเลส เห็นไหม

วันนี้วันสำคัญของพุทธศาสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักร ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ๖ ปี สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ขึ้นมาก็ยังไม่รู้ แต่วันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วประกาศธรรมขึ้นมาเห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุธรรม สิ่งที่เราเตรียมพร้อม เห็นไหม

ดูสิ เจ้าชายสิทธัตถะกับปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากกันมาอยู่ ๖ ปี ๖ ปีนี่ทำความสงบของใจมาตลอด เห็นไหม รักษาใจไว้ รักษาด้วยความไม่รู้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ทำฌานโลกีย์ไง รักษาแต่ใจ รักษาแต่ความสงบ รักษาความสงบ ความสงบนี่ทำได้ อดอาหาร ๔๙ วันก็ทำได้ เข้าใจสมาบัติกับอาฬารดาบสก็ทำได้ ทำมาทั้งนั้น สิ่งความสงบ สงบมาก สงบน้อย สงบด้วยสมาบัติ สงบด้วยสมาธิ สงบด้วยกรรมฐาน สงบสิ่งใดๆ ก็คือสงบ ก็คือสมาธิไง ทำสิ่งใดก็คือโลก โลกไง สิ่งนี้เป็นฌานโลกีย์ มันเป็นเรื่องของโลก

โลกีย์เกิดจากใคร? โลกีย์เกิดจากเรา ฌานสมาบัติเกิดมาจากใคร? สมาธิเกิดมาจากใคร? ก็เกิดมาจากจิตของปัญจวัคคีย์ เกิดมาจากจิตของเจ้าชายสิทธัตถะ ฌานโลกีย์ก็เกิดจากโลก เกิดจากภพไง เกิดจากจิตไง เกิดจากความรู้สึกไง สิ่งนี้เกิดจากความรู้สึก เห็นไหม เกิดจากโลกนี้ก็ดับกับโลกนี้ เกิดจากเราก็ดับกับเรา เกิดกับเราก็เสื่อมกับเรา เจริญกับเราก็เสื่อมกับเรา สมาธิมันเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ อยู่สภาวะแบบนั้น รักษาขนาดไหนมันก็เป็นเรื่องโลกๆ เห็นไหม

แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา สิ่งที่ตรัสรู้ขึ้นมาแล้วมันเป็นอะไร เพราะตรัสรู้คือมีกิจญาณ การกระทำของจิต จิตมันมีมรรคญาณ มันมีความเป็นไปของมัน เห็นไหม ศาสนาพุทธสำคัญตรงนี้นะ ดูสิ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนอดีตชาติไปขนาดไหนมันก็ไม่ใช่ จุตูปปาตญาณ เห็นไหม จิตสงบเข้ามา เหมือนกับกาฬเทวิล เห็นไหม สงบเข้ามาแล้วระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ อนาคตได้ ๔๐ ชาติ ระลึกได้ๆ ระลึกได้อยู่แล้ว แต่ระลึกได้แล้วได้อะไร เวลาเจ้าชายสิทธัตถะระลึกบุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนไปไม่มีที่สิ้นสุด อดีตชาติย้อนไปไม่มีต้นไม่มีปลายเห็นไหม มันไม่มีจบ ไม่จบก็เลยดึงกลับ ดึงจิตกลับมา

เวลาเราภาวนากัน เวลาจิตมันรับรู้ จิตมันตื่นออกไป จิตมันรู้นิมิตเห็นนิมิตเข้าไป มันออก เห็นไหม ดึงกลับไหม? เจ้าชายสิทธัตถะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตั้งแต่ ๑๐ ชาติ เห็นไหม ตั้งแต่พระเวสสันดรไป ไปตลอด ดึงกลับ คำว่า “ดึงกลับ” ดึงกลับมาที่ผู้รู้ ดึงกลับมาที่พุทโธ ถ้ามันไปมันไม่จบ มันสาวไปไม่จบ สาวขนาดไหนก็ไม่จบ เห็นไหม แต่สาวไปไม่จบ ดึงกลับมาๆ

แต่เวลาเรามีเห็นนิมิตกัน เราเห็นรู้ต่างๆ กัน เราไม่ดึงกลับ เราไม่รู้ว่าใครเห็นด้วย เห็นเป็นศักยภาพ เห็นเป็นความรู้เป็นคุณวิเศษของเราอีกต่างหาก แต่เจ้าชายสิทธัตถะเห็นเป็นโทษ พอเห็นเป็นโทษแล้วดึงกลับมา จุตูปปาตญาณ จิตที่เกิดมาเห็นอีกก็ดึงกลับมา แต่ถึงมัชฌิมายาม สิ่งต่างๆ ขึ้นมา ถึงกับอาสวักขยญาณ อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิง สูติ อาสวะสิ้นไป อาสวักขยญาณมันทำลายอวิชชาออกไปจากใจ เห็นไหม

เวลาเทศน์ปัญจวัคคีย์ เห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุธรรมๆ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งที่เห็นมันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เกิดดับเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดาเพราะกิเลสมันไปยึด ไม่ธรรมดาเพราะเราไปรู้ เรารับว่าเรารู้ เราเก่ง เรารับรู้ต่างๆ เห็นไหม มันธรรมดาของมัน ถ้าไม่มีอวิชชาไม่มีอุปาทานไปยึดมันจะไปรู้อะไร มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาของผู้รู้จริง คนรู้จริงคนทำงานเป็นมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่คนทำงานไม่เป็นมันทุกข์หนักเลยนะนั่นน่ะ ดูคนหาเงินเป็นสิ คนที่เขามีเงินมีทอง เงินบาทสองบาทมันเรื่องหามาง่ายมาก แต่เราจะหาเงินสักบาทสองบาทเราทุกข์เกือบตาย ทุกข์เกือบตายเพราะมันไม่ธรรมดาไง แต่มันธรรมดาเพราะมันรู้จริง มันรู้จริงขึ้นมาแล้วมันวางไว้ เห็นไหม ปัญจวัคคีย์ พระอัญญาโกณฑัญญะบรรลุธรรมขึ้นมา

วันนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ได้เทศน์ธรรมจักรแล้วเป็นสิ่งที่ประกาศธรรมออกมา เราเป็นสาวก สาวกะนะ เราจะเป็นธรรมทายาท เราต้องทำของเราขึ้นมา เราศึกษาธรรมขนาดไหนเป็นสุตมยปัญญา การศึกษาขึ้นมามันไม่ทำให้กิเลสถลอกปอกเปิกหรอก มันไม่ทำให้กิเลสเจ็บช้ำเจ็บปวดไปทางไหนทั้งสิ้น มันจะเกิดทิฎฐิมานะอีกต่างหาก

ทีนี้ถ้าเราศึกษามาแล้วเรามาแก้ไขเรา เห็นไหม ศึกษามามันเป็นสิ่งที่เป็นตำรับตำรา เป็นวิธีการ เป็นแผนที่เครื่องดำเนิน แต่ในการปฏิบัติของเราเราถึงต้องตั้งสัจจะนะ ตั้งสัจจะแล้วทำใจให้พร่อง ให้พร่องคือหมั่นศึกษา หมั่นเดินจงกรม หมั่นนั่งสมาธิ หมั่นภาวนา ในการจะเข้าพรรษาพรุ่งนี้ ใครจะอธิษฐานอะไร ใครจะตั้งเป้าหมายสิ่งใด ให้ตั้งเป้าหมายขึ้นมา ตั้งเป้าหมายขึ้นมาแล้วเราทำของเราให้ได้ ถ้าเราตั้งเป้าหมายขึ้นมา เราทำของเรา เห็นไหม ตั้งขึ้นมา ทดสอบจิตของเรา เรามีโอกาสนะ

คนที่เขามีความศรัทธา เขาอยากออกมาประพฤติปฏิบัติมหาศาลเลย แต่เพราะเขาไปติดกับของโลก ไปติดกับมันนะ ขณะที่เราไม่มีสติสัมปชัญญะเราก็ใช้ชีวิตแบบโลกๆ ไป แล้วมันเป็นภาระรับผิดชอบ ไปเห็นทุกข์เข้าไง ไปเห็นทุกข์เข้าอยากคายออกมามันก็ติดคาอยู่กับชีวิตอย่างนั้นอยู่แล้ว

แต่ของเรา เราไม่ได้คากับชีวิตกับโลกเขา เห็นไหม เราเห็นอย่างนั้นเราสลัดออกมา สลัดออกมาเป็นนักบวช เป็นนักรบ รบกับใคร? รบกับความคิด รบกับความทุกข์ รบกับตัวเองไง ชนะตัวเองไง ชนะคนอื่นหมื่นแสนสร้างเวรสร้างกรรม ถ้าชนะตนเองประเสริฐที่สุด แล้วจะเอาชนะตนชนะที่ไหน เห็นไหม การเดินจงกรม การนั่งสมาธิภาวนา เอาชนะความรู้สึก ถ้าเราชนะมัน มีสติสัมปชัญญะชนะมันได้ มันจะสงบตัวเข้ามา

สิ่งที่มันฟุ้งซ่าน มันเป็นสิ่งที่ภายนอก มันส่งออก นั่งอยู่นี่ จิตเป็นสิ่งที่เร็วที่สุด เร็วกว่าแสง เร็วกว่าทุกอย่าง ความคิดคิดถึงสวรรค์ คิดถึงพรหม อเวจี มันคิดไปได้หมด เห็นไหม มันเป็นไปได้เร็วมาก แล้วถ้าตั้งสติไว้ สติเป็นเครื่องกั้น กั้นสิ่งที่ความคิดจะออกไป ถ้ากั้นความคิดอย่างนี้ไว้ได้ แล้วความคิดเห็นไหม มันสืบต่อตลอดเวลา พุทโธๆๆๆ มันสืบต่อ เห็นไหม มันเพิ่มจำนวนขึ้นมาได้ มันเพิ่มจำนวน น้ำ เห็นไหม น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน สิ่งที่เขากั้นเขื่อนกั้นฝายขึ้นมา มันจะกักเก็บน้ำไว้เป็นประโยชน์

พลังงานของใจ ตัวความรู้สึก มันกระจายไปตลอด มันส่งออกตลอด แล้วมันไม่มีสิ่งใดๆ ไปกั้นมัน ไม่มีสติเข้าไปบรรจงให้เกิดเป็นสมาธิขึ้นมา เห็นไหม สมาธิของปุถุชน สมาธิของสามัญสำนึกของมนุษย์ มันมีสมาธิอยู่แล้ว ถ้าไม่มีสมาธินะมันจะดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้หรอก แต่สมาธิอย่างนั้นเป็นสมาธิของปุถุชนไง

แต่ไอ้นี่มันเป็นกัลยาณปุถุชน มันถึงควบคุมตัวเองได้ แล้วเป็นโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค สมาธิมันจะละเอียดเข้าไปเป็นสติ-มหาสติ เป็นปัญญา-มหาปัญญา เป็นปัญญาอัตโนมัติ เป็นปัญญาที่มันเป็นไฟไหม้เชื้อ ไฟถ้ามันติดเชื้อ ถ้ามีเชื้อขนาดไหน มันจะไหม้ มันจะทำลายเชื้อนั้นเข้าไป

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราฝึกของเรา มันใช้ปัญญาของเรา กิเลสมันเป็นเชื้อ เวลาครูบาอาจารย์ท่านชำระกิเลส กิเลสมันตายต่อหน้านะ ฆ่าสิ่งใดๆ ในโลกนี้เป็นสิ่งเป็นบาปเป็นโทษทั้งหมด เว้นไว้แต่ฆ่ากิเลส กิเลสต้องฆ่า เจอกิเลสต้องฆ่ามัน เพราะสมุจเฉทปหานคือการฆ่ากิเลส ตทังคปหานคือว่าไปกดกิเลสไว้เฉยๆ ตทังคปหานเข้ารู้สัจจะความจริงแล้วปล่อยวางไว้เฉยๆ ไปรู้เท่าทันมัน ไปเห็นโทษของมันแล้วไม่ฆ่ามัน มันพลิกกลับขึ้นมามันจะกระทืบเรานะ กระทืบเลย ถ้ากิเลสมันรู้ทันเราแล้วนะ แล้วจะไปฆ่ามันอีกนะ เล่ห์เหลี่ยมของมันมันจะพลิกแพลงมากกว่าเดิมนะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันเจริญขึ้นมา สมาธิที่เราสร้างขึ้นมาแล้วน่ะ เป็นสมาธิแล้วเสื่อมไป จะทำสมาธิเห็นไหม เหมือนคนที่มีฐานะแล้วเสื่อมไป คนที่เขาไม่มีฐานะเขาเก็บหอมรอบริบขึ้นมา เขาเต็มใจทำของเขานะ เรานี่มีเงินมีทองขึ้นมาแล้วเราทำให้หลุดไม้หลุดมือขึ้นมา แล้วก็จะไปแสวงหาสิ่งนี้ขึ้นมา มันเป็นความทุกข์ความยากอันหนึ่งเลย

ฉะนั้นเราถึงต้องจงใจ เราต้องตั้งสติของเราขึ้นมา มันเป็นวาสนาของแต่ละบุคคล ผู้ที่รู้ง่าย ตรัสรู้ง่าย เห็นไหม เป็นบัว ๔ เหล่า ขิปปาภิญญา รู้ง่ายปฏิบัติง่าย ปฏิบัติยากรู้ยาก ปฏิบัติยากรู้ง่าย ไอ้สิ่งนี้มันเป็นอดีต มันเป็นสิ่งที่เราสร้างมา เราจะไม่น้อยเนื้อต่ำใจสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น รูปชั่วตัวดำของเรา เกิดมาสูงต่ำดำขาวมันมาจากอำนาจวาสนา เพียงแต่ในปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์มันเจริญ เขาไปเสริมสวยกัน ไปตัดแต่ง ไปปรุงแต่งกันมา มันก็เป็นเรื่องเปลือกๆ ไง

แต่ขณะที่เรื่องของกรรม เวลาเกิดมาสูงต่ำดำขาว สิ่งต่างๆ นี้มันเป็นสิ่งที่มันเป็นรูปธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมเห็นไหม ดอกไม้หอม ดอกไม้สวยมีกลิ่นหอม ดอกไม้ไม่สวยมีกลิ่นเหม็น นี่กลิ่นหอม กลิ่นเหม็นต่างๆ มันเป็นจริตเป็นนิสัย มันเป็นสิ่งที่เป็นคุณธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมในหัวใจ ทำไมคนอื่นเขาคิดแต่สิ่งที่ดีๆ ทำไมใจเราคิดแต่สิ่งที่เศร้าหมอง ทำไมสิ่งที่เราคิดน่ะชั่วร้าย เห็นไหม มันเป็นพันธุกรรมของจิตที่มันตัดแต่งมา กรรมมันตัดแต่งมา กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระณา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกจิตนิสัยของคนให้แตกต่างกัน

แล้วจิตนิสัยของเราเป็นอย่างนี้ มันทำอย่างนี้มันทำมาจากใคร ก็จิตมันทำมา สิ่งที่ทำมาแล้วเราจะไปตื่นเต้นตกใจกับสิ่งใด สิ่งที่ทำมากรรมมันทำมาเอง เราทำของเรามาเอง สุขทุกข์เราทำของเรามาเอง แต่ขณะปัจจุบันนี้มันเป็นปัจจุบัน สุขทุกข์มันต้องแก้กันที่สุขทุกข์นี้ สุขขนาดไหน สุขจริงหรือเปล่า ถ้าสุขจริงทำไมมันคอตก สุขจริงๆ ทำไมคอตก โลกนี้มีอะไรเป็นความสุข มันมีแต่ความทุกข์ แต่ความทุกข์นี่ทุกข์โดยความพอใจ ทุกข์โดยการนั่งสมาธิภาวนา ทุกข์เพราะมีสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ทุกข์แบบโลกเขานะ ทุกข์ด้วยแล้วสร้างเวรสร้างกรรมไปต่อๆ เนื่องด้วย ทุกข์ด้วยแล้วพลิกแพลงจะเอาชนะเขาต่อไป มันสร้างแต่ทุกข์ซ้อนทุกข์ไปด้วย

แต่ทุกข์ของเราทุกข์เพื่อเอาชนะกิเลส กิเลสมันอยู่ในตัวเราใช่ไหม กิเลสมันเป็นความเคยใจในใจเราใช่ไหม เราจะเอาชนะมัน เราจะดัดแปลงมัน เราต่อสู้กับเรา เราต่อสู้กับความรู้สึกของเราเอง จะเจ็บปวดแสบร้อน จะมีบาปมีบุญก็ใจแก้ใจ ทุกข์แก้ทุกข์ ฉะนั้นในความเป็นไป ถ้าเราแก้ทุกข์ ถ้ามีความพอใจ มีความอาจหาญ มีความรื่นเริงนะ ในทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ครูบาอาจารย์ของเราแต่ละองค์ที่จะผ่านพ้นวิกฤติมา เห็นไหม จะนั่งภาวนา เดินจงกรม แบบเอาเป็นเอาตาย เอาเป็นเอาตายเพราะอะไร เหมือนกับทางโลกเขา เขาทำธุรกิจแล้วเจริญงอกงาม มีผลกำไรมหาศาล ทุกคนอยากได้มากขึ้นก็เลยขยายกิจการของเขาไปตลอดเวลา

นี่ก็เหมือนกัน ในการนั่งสมาธิภาวนา ถ้าจิตมันมีผลงานของมัน มันขยันหมั่นเพียร ถ้าด้วยความโลภ ด้วยความอยากได้ มันก็เป็นไปตามจริงๆ ด้วยความอยากได้ เป็นตัณหาซ้อนตัณหา เห็นไหม เคยได้หนหนึ่งแล้วมีความต้องการมาก มันทำแล้วมันก็ไม่ได้ผลตามความปรารถนา ทำจนมันรู้ถูกรู้ผิดมันก็ปล่อย ปล่อยมันก็กลับมาอีกหนหนึ่ง ต้องทำอย่างนั้น

ความสมดุลไง มัชฌิมาปฏิปทาความสมดุลของจิต ถ้าสมาธิสมดุลของจิตมันก็ลง ถ้าสมาธิมันไม่สมดุล เห็นไหม อ่อนไป แก่ไป อ่อนไปคือทำแต่กามสุขัลลิกานุโยค แก่ไปคืออัตต-กิลมถานุโยค แต่อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค มันก็เป็นประสบการณ์ของตน แล้วมันก็เป็นบัว ๔ เหล่า มันก็เป็นสิ่งที่ว่าอำนาจของจิต วาสนาของจิต ไม่ต้องมีไม้บรรทัด ไม่ต้องมีสูตรทฤษฎีที่จะไปเทียบเคียงกับใคร ผิดก็คือเราผิด ถูกก็คือเราถูก เขาผิดก็คือเขาผิด เขาถูกก็คือเขาถูก ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย

จิตของเราก็เหมือนกัน ถูกก็คือเราถูก ผิดก็คือเราผิด ถ้าผิดก็ผิด เราก็หาเหตุหาผล หาช่องทางที่จะเอาชนะมันให้ได้ ถ้าชนะมันไม่ได้ก็จะแพ้มันตลอดไป ถ้าแพ้มันตลอดไป ไม่ได้แพ้ชาตินี้นะ มันจะแพ้ต่อๆ ไป! แต่ถ้ามันชนะปัจจุบันนี้มันจะไม่แพ้อีกต่อไป เพราะมันไม่มีจะแพ้ มันไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะ ถ้ามันมีผู้แพ้ผู้ชนะ มันก็จะแพ้จะชนะต่อๆ ไปใช่ไหม

แต่ถ้ามันทำลายผู้ที่มีตัวตนหมดแล้วใครจะแพ้ใครจะชนะ ถ้าเราชนะปัจจุบันนี้เราจะไม่มีผู้แพ้อีกเลย แต่ถ้าเราไม่ชนะเราจะแพ้ต่อๆ ไป แล้วจะแพ้ตลอดไป ความแพ้มันเป็นสิ่งที่พอใจไหม ความแพ้มันเป็นสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ไหม ความแพ้เป็นสิ่งที่ทุกๆ คนไม่ต้องการเลย แต่ทำไมเราแพ้ ทำไมเราอ่อนแอ ทำไมเรายอมจำนน ถ้ามีปัญญาอย่างนี้ เทียบเคียงอย่างนี้ ความเพียรเรามันจะแกร่งกล้าขึ้นมา

ความเพียรนะ ทุกคนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียรต้องไม่เป็นมิจฉาสมาธิ ไม่เป็นมิจฉาปัญญา ความเพียรต้องเป็นความเพียรที่ถูกต้อง งานถูกต้อง ทุกอย่างถูกต้อง แล้วมันจะแก้กิเลสด้วยความชอบธรรม ถ้าไม่ชอบธรรมนะมันแก้โดยวิปัสสนึก ไม่ชอบธรรมนะ เดี๋ยวกิเลสมันฟื้นตัวขึ้นมานะ เราจะล้มลุกคลุกคลานเลย

แต่เรื่องอย่างนี้มันเป็นประสบการณ์ ครูบาอาจารย์ท่านจะผ่านประสบการณ์อย่างนี้มา จะเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ น้อยนักที่ทำแล้วมันจะทะลุไปเลย ทะลุไปเลยมันมีแต่ขิปปาภิญญา เช่น องค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า เห็นไหม ตั้งแต่คืนวันวิสาขบูชา ตั้งแต่ปฐมยามนะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ มัชฌิมายาม จุตูปปาตญาณ ถึงที่สุดแล้วนะอาสวักขยญาณ คืนเดียว คือทำถูกต้องภายในคืนเดียว สำเร็จไปเลย

แต่ขณะเวลาเทศนาว่าการ มรรค ๔ ผล ๔ เห็นไหม เพราะเวไนยสัตว์ สัตว์มันมีวุฒิภาวะต่างๆ กัน ขนาดกรรมฐาน ๔๐ ห้อง การทำความสงบของใจยังต่างๆ กัน แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าเป็นพุทธวิสัย มีปัญญามาก ยังวางวิธีการไว้ถึง ๔๐ วิธีการ

แต่ในการประพฤติปฏิบัติเดี๋ยวนี้นะ ต้องอย่างนั้นๆ.. ต้องอย่างนั้นน่ะผิดทั้งนั้น เพราะ ๔๐ วิธีการเรามาลดเหลือวิธีการเดียวได้อย่างไร พระพุทธเจ้าจึงบอกถึง ๔๐ วิธีการนะ การทำความสงบของใจ เพราะจริตของคนมันแตกต่างกัน ความเห็นของคนแตกต่างกัน คนๆ เดียวกันทำซ้ำทำซ้อนกิเลสมันรู้ทัน มันยังทำลงไม่ได้เลย คนเดียวกันเวลาทำยังต้องมีหลายวิธีการพลิกแพลง เพราะกิเลสมันอยู่หลังความคิดเรา กิเลสมันครอบงำเรานะ เราทำสิ่งใดกิเลสมันรู้ก่อน

ศึกษาธรรมมากิเลสมันหัวเราะเยาะ กิเลสมันรู้ทันแล้ว เพราะกิเลสมันก็ศึกษาจากเรา กิเลสมันอยู่กับเรา แต่ธรรมะเราต้องสร้างขึ้นมา สติก็ต้องสร้างขึ้นมา ปัญญาก็ต้องสร้างขึ้นมา แล้วสร้างขึ้นมาก็เป็นโลกียปัญญา ไม่เป็นปัญญาจริงสักทีหนึ่ง ถ้าเป็นปัญญาจริงขึ้นมามันจะรู้เลย พอเรารู้เลยมันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฎฐิโก มันเป็นปัจจัตตังใครหลอกเราไม่ได้หรอก ดูสิ คนอื่นเขาจะให้เกียรติให้ศักดิ์ศรีเราขนาดไหน ถ้าเราไม่รู้ เขาชื่นชมเราอยู่ภายหลัง เราจะรู้อะไร เขานินทาอยู่เราเบื้องหลัง เราจะรู้อะไร

แต่ถ้ามันเป็นความเห็นของเรา เราเป็นคนเห็นเอง เราเป็นคนรู้เอง สรรเสริญเราก็สรรเสริญตัวเราเอง นินทาเราก็นินทาตัวเราเอง เห็นไหม สัจธรรม สันทิฏฐิโก มันเป็นอย่างนี้ มันไม่ต้องการให้ใครมาส่งเสริมใครมานินทาหรอก สิ่งนี้เป็นโลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ องค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าบอกว่าโลกธรรม ๘ เป็นธรรมะเก่าแก่ ขณะที่การประพฤติปฏิบัติของเรานะ ใครที่จะโดนโลกธรรม ๘ เท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าไม่มี

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าจะวางศาสนานะ เจ้าลัทธิต่างๆ เขาก็ต่อต้านทั้งนั้น เขาต่อต้าน ทุกคนก็มีสัทธิวิหาริก ทุกคนก็มีผู้อุปัฏฐากใช่ไหม กษัตริย์ต่างๆ พราหมณ์ต่างๆ เขาอุปัฏฐากลัทธิศาสนาอื่นก็มี องค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าเริ่มต้นมา เห็นไหม ได้ปัญจวัคคีย์ก่อน ได้ยสะ เห็นไหม แล้วก็ไปเอาชฎิล ๓ พี่น้อง ถึงมาได้พระเจ้าพิมพิสาร ก็มีฐานขึ้นมา พอมีฐานขึ้นมาก็เผยแผ่ออกมา สิ่งต่างๆ เผยแผ่ธรรมออกมา มันก็ต้องให้เขารู้จริง ให้เขาศรัทธาจริง เพราะศรัทธาจริงหมายถึงว่าเขารู้จริงเขาก็อธิบายได้ ถ้าไม่รู้จริง เห็นไหม เราเอาแก้วแหวนเงินทองไปไว้ให้กับลิง ลิงมันไม่รู้คุณค่าหรอก

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะไปอยู่กับคนไม่รู้ มันจะมีประโยชน์อะไร ธรรมะไปอยู่กับคนไม่รู้ คนไม่รู้มันเอาไปอวดอ้างเขา เวลาเขาโต้แย้งมาก็ตอบเขาไม่ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าเวลาเผยแผ่ธรรมขึ้นมา พระยสะ เห็นไหม ถึง ๖๐ องค์ ทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเป็น ๖๑ “เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก” โลกนี้เร่าร้อน เพราะ ๖๑ องค์พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ บ่วงที่เป็นโลกคือเรื่องโลกๆ เรื่องโลกธรรม ๘ เรื่องสรรเสริญนินทา เรื่องลาภสักการะ นี่บ่วงของโลก

บ่วงของทิพย์ บ่วงของทิพย์คืออะไร นรกสวรรค์สิ่งต่างๆ สิ่งที่เทวดา อินทร์ พรหม เขาส่งเสริม “เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน” พระอรหันต์ไม่ติดบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ บ่วงที่เป็นโลกคือสิ่งที่เป็นโลกธรรมที่เขาสรรเสริญเยินยอ ที่เขาเอามาส่งเสริมให้ติดบ่วงเขา บ่วงที่เป็นทิพย์ เห็นไหม สิ่งต่างๆ โลกธรรม ๘ โลกจิตวิญญาณที่เขามาฟังธรรม มาต่างๆ เยินยอสรรเสริญ เห็นไหม ไม่ติด! “เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ จงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนมาก”

กระจายออกไป ๖๑ องค์ นี่รู้จริง! ไม่ใช่ลิงได้แก้ว ถ้าลิงได้แก้ว ศึกษามานี่ความรู้ท่วมหัวแต่อธิบายไม่ได้ ลิงไม่รู้จักคุณค่าของแก้วแหวนเงินทองหรอก ผู้รู้จริงศึกษาไป ๖๑ องค์อย่าไปซ้อนทางกัน แล้ววางรากฐานของศาสนาขึ้นมาได้

ดูสิ ดูพระอัสสชิ เห็นไหม ไปได้พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะ ออกไปเผยแผ่แล้วเอาสิ่งนี้เข้ามาในศาสนา มาเป็นบุคคลากรในศาสนา แล้วเผยแผ่ออกไปเป็นศาสนา เห็นไหม ผู้รู้จริง.. เวลาผู้รู้จริงสื่อสารออกไปมันเป็นความจริงกับโลก มันเป็นความจริงกับเรา

นี่ก็เหมือนกัน ในปัจจุบันนี้เราต้องรักษาเรา เราต้องให้เรารู้ขึ้นมา การศึกษานี่ศึกษาเป็นทฤษฎี มันเป็นปริยัติ ปฏิบัติ ปริเวธ ปริยัติมันต้องศึกษา แต่ขณะศึกษาในกรรมฐานคนเรา เห็นไหม เวลาไปอุปัชฌาย์ อาจารย์ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ กรรมฐาน ๕ นี่ยอดของปริยัติ แล้วทำความเข้าใจ ตีปริยัตินี้ให้แตก ปริยัติที่ได้ศึกษามา สิ่งที่ไปได้เป็นกระดาษมาคนละใบสองใบ อันนั้นมันได้กระดาษมา มันเป็นทางโลกๆ นะ เอากระดาษมากัน มาอวดกันว่าได้กระดาษมากันคนละกี่ใบ แต่ความรู้จริงมันไม่มี ได้กระดาษมาแล้วนะ แต่วินัยยังไม่รู้เลย ธรรมวินัยผิดถูกยังลังเลสงสัยเลย

แต่เรามาประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา ผิดมันก็เจ็บ เวลาเป็นอาบัติขึ้นมา ดูสิ เราไปหยิบไฟร้อนๆ มือเราพองไหม? เวลาจิตมันไปทำความผิดขึ้นมามันยอกหัวใจ มันผิดไหม? มันผิดมันผิดที่ใจ มันรู้เองว่าผิด ถ้าถูกมันก็รู้ว่าถูก มันไม่ต้องเอากระดาษมารับรองหรอก ไอ้กระดาษใบนั้นมารับรองว่าถูกรับรองว่าผิด ไม่มีความหมายเลย แต่ความจริงมันรู้จริงขึ้นมานี่ เราตั้งใจขึ้นมาอย่างนี้ เราปฏิบัติของเราขึ้นมาอย่างนี้

ก่อนเข้าพรรษานะเราตั้งใจของเรา แล้วเราทำของเราขึ้นมา อริยทรัพย์ ทรัพย์ภายใน ถ้าทรัพย์ภายในได้ขึ้นมาแล้วนะ ทรัพย์ภายนอกมันเป็นปัจจัยนะ ดูครูบาอาจารย์ของเราสิ เห็นไหม สิ่งที่ได้ขึ้นมา มันผ่านมาก็ออกไป ผ่านมา ออกไป ออกไปเพื่อโลก เพื่อโลกไง แต่ถ้าเราเป็นกิเลสนะ มันเข้ามาแล้วมันไม่ออกเพราะอะไร เพราะเราเป็นโลก เป็นโลกเห็นไหม โลกมันอยากใหญ่ มันอยากมีศักยภาพ มันไปกักตุน พอกักตุนแล้วมันก็เป็นน้ำเน่า เพราะมันไม่ระบาย เห็นไหม

แต่ถ้ามันเป็นความจริง มันระบายออกไป มันจะไม่มีการกักตุน มันจะไหลเวียนออกไป เห็นไหม มันไหลเวียนเพราะอะไร เพราะมันรู้จริง ถ้ามันไม่ไหลเวียนมันไม่รู้จริงนะ มันมีภวาสวะ มันมีภพ มันมีเกาะมันมีดอนในหัวใจไง มันมีสิ่งต่างๆ แต่ถ้ามันเป็นความจริงมันไม่มีเกาะ มันไม่มีดอน มันว่างไปหมด มันรู้ไปหมด เข้าใจไปหมด

เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้ เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าบอกเลย “แก้วแหวนเงินทองเป็นอสรพิษ” มันกัดใจนะ ผู้ที่รักษามันก็กัดหัวใจตลอดเวลา มันกัดตลอด โลกที่เขาแสวงหากันอยู่เขาแสวงหาอะไร? เขาก็แสวงหาแก้วแหวนเงินทองนี้ล่ะ แสวงหามาเพื่ออะไร?เพื่อมากดขี่หัวใจ

แต่ครูบาอาจารย์ของเรา สิ่งที่ได้แก้วแหวนเงินทองมานี่ ได้แก้วแหวนเงินทองมามันเป็นประโยชน์กับโลก ไม่เป็นประโยชน์กับหัวใจ ไม่ใช่เป็นประโยชน์กับการนั่งสมาธิภาวนา

เวลาประโยชน์ของเรา เห็นไหม ต้องการมรรคญาณ ต้องการปัญญา ต้องการสมาธิ ต้องการสติ ต้องสติ สมาธิ ปัญญา มันจะเกิดขึ้นมาจากความเพียร มันจะเกิดขึ้นมาจากหัวใจ มันจะเกิดขึ้นมาจากภพ มันจะเกิดขึ้นมาจากภวาสวะ เราต้องไปหาศีล สมาธิ ปัญญา จากที่ไหน? ไปหาศีล สมาธิ ปัญญา จากตู้พระไตรปิฎกมันก็ไม่มี จะไปหาศีล สมาธิ จากครูบาอาจารย์ ท่านก็ยื่นออกมาได้แต่คำพูด เป็นสัญญา เป็นสิ่งชี้นำ

สิ่งที่เราจะหาได้ขึ้นมา เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะหาขึ้นมาได้จากใจของเรา เพราะใจมันรู้ ถ้ามีสติเราก็รู้ขึ้นมา มีสติขึ้นมาทุกอย่างจะเข้ามาล่วงล้ำเขตแดนของหัวใจเราไม่ได้เลย หัวใจเราจะมีความองอาจกล้าหาญ สิ่งใดที่จะเข้ามากระทบหัวใจเรา มีสติยับยั้งไว้ได้ตลอดเลย สมาธิเกิดจากใจเราขึ้นมา สมาธิมันร่มเย็นเป็นสุขในใจของเราขึ้นมา ใครจะล่วงล้ำเข้ามาในใจของเราได้อย่างไร ปัญญาเกิดขึ้นมามันแก้วเกล้า มันเป็นดาบเพชร มันจะฟาดฟันสิ่งที่เป็นกิเลสในหัวใจ มันเกิดขึ้นมาจากใจของเรา

ถ้าดาบเพชรมันเกิดขึ้นมา ปัญญาที่มันจะฟาดฟันกับกิเลสมันเกิดขึ้นมาจากเรา มันจะหามาเชือดจากที่ไหน ดาบจากข้างนอกมันเป็นดาบสมมุติ ดาบน้ำพี้ ดาบต่างๆ ที่เขาไว้ฆ่าทำสงครามกัน มันเป็นเหล็กที่เขาตีขึ้นมา มันสร้างบาปสร้างบุญสร้างกุศล มันทำลายกันได้ แต่ดาบเพชรในมรรคญาณมันฆ่ากิเลส แล้วมันเกิดมาจากใคร มันเกิดจากใจดวงหนึ่ง มันเกิดจากใจดวงนั้น แล้วมันทำลายกิเลสในใจดวงนั้น แล้วมันก็ดับไปกับใจดวงนั้น แล้วมันจะเอาสิ่งนั้นมาอวดกันได้อย่างไร มันเอามาพิสูจน์กันได้อย่างไร

พิสูจน์กันแบบว่า ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันพิสูจน์ได้กับผู้ที่เคยมีดาบนี้ ผู้ที่มีดาบแล้วฟาดฟันกับกิเลส เคยมีดาบมาฟาดฟันกิเลส ดาบนั้นเคยถือมา ใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจอีกดวงหนึ่งเขามีดาบขึ้นมา ดาบมันจะเหมือนดาบ มรรคก็คือเหมือนมรรค ความรู้คือเหมือนความรู้ ความคิดก็เหมือนความจริง เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมามันเกิดมาจากไหน มันเกิดขึ้นมาจากใจนะ มันเกิดขึ้นมาจากความจริงข้อเท็จจริงในภวาสวะ ในภพ เห็นไหม นี่กิเลส ๓ กิเลสสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ อนุสัยนอนมากับใจ ภพ ใจ ภพข้างนอก ภพข้างใน แก้ภพแก้ชาติ จะไปแก้ภพ ชาติไทย ชาติลาว สัญชาติอย่างนี้มันเป็นสัญชาติสมมุติ สัญชาติสมมุติมันสัญชาติในโลกเป็นกฎหมาย

แต่สัญชาติของมนุษย์ มนุษย์ชาติไหนเกิดมามันก็มีภพ มันก็มีความรู้สึก มันมีความยึดมันมีวิญญาณปฏิสนธิ วิญญาณปฏิสนธิคือวิญญาณเกิดไม่ใช่วิญญาณรับรู้ วิญญาณอย่างนี้มันเป็นปฏิจจสมุปบาท อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ มันเป็นปัจจยาการ มันเป็นสิ่งที่ออกมาเป็นกิเลส เป็นตัณหาความทะยานอยาก แล้วมันไล่เข้าไป เห็นไหม ปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมา ดาบเพชรมันจะไปทำลายตรงนี้ มันจะเข้าไปทำลายอวิชชา เข้าไปทำลายความจริง

เราเป็นพระเป็นเจ้านะ นี่ธรรม เวลาธรรมของภิกษุ ธรรมของนักรบเรามันต้องลึกซึ้ง ลึกซึ้งว่ามันเป็นเรื่องของใจล้วนๆ มันเป็นเรื่องของภพ เรื่องของกิเลส อวิชชามันอยู่ที่ใจ มันอยู่ที่คูหา มันอยู่ในรังของใจ เวลาจะชำระมันก็ต้องเอาใจดวงนั้น สร้างศีล สมาธิ ปัญญา ขึ้นมาทำลายคูหา ทำลายที่อยู่ของใจ ระเบิดในถ้ำคูหาของใจให้มันแสดงตัวออกมา

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส มันต้องทำเข้าไป ฟาดฟันเข้าไป เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เราก็ว่าเป็นงานหยาบๆ งานหยาบๆ นะ กิริยา..

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เดินจงกรมอยู่ตลอดเวลานะ อยู่ในวิหารแล้วอชาตศัตรูจะไปเฝ้า อชาตศัตรูระลึกได้แล้วกำลังคิดว่าจะกลับตัว อำมาตย์จะพาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พาไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางคืน ท่านเดินจงกรมอยู่ ไปหาแล้วเงียบสงัด

จนพระอชาตศัตรู “เอ๊ะ พาไปหาพระพุทธเจ้าไม่เห็นพระพุทธเจ้า หรือว่าอำมาตย์จะลวงเรามาฆ่า” จะฆ่าอำมาตย์นะ

อำมาตย์บอก “จุ๊ๆ อยู่เฉยๆ อยู่เฉยๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงกรมอยู่นั่นเห็นไหม”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “อชาตศัตรูเข้ามานี่” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเดินจงกรมเลย เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเป็นวิหารธรรม

ไอ้พวกเราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เพื่อฆ่ากิเลส คือเป็นงานอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อจะชำระกิเลสไง แต่ผู้ที่สิ้นกิเลสไปแล้วนะเขาเดินจงกรมเป็นวิหารธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเป็นวิหารธรรม เป็นเครื่องอยู่ของใจ ใจมันสิ้นกิเลส มันอยู่ในร่างกายนี้ เห็นไหม พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ สอุปาทิเสสนิพพาน จิตที่พ้นจากกิเลสแต่ยังอยู่ในธาตุขันธ์ ยังอยู่ในธาตุ ๔และขันธ์ ๕ ถึงจะต้องบริหารจัดการให้มันอยู่สุขอยู่สบายไง มันเป็นภาระ มันเป็นหน้าที่ มันต้องบริหารจัดการมันเพื่อให้อยู่สุขสบาย วิหารธรรม! แต่เรามันกิเลสล้วนๆ มันกระทืบเราอยู่ มันถึงต้องค่อยๆ ตั้งใจขึ้นมา ทำขึ้นมา จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งนะ

วันนี้วันพระ วันอุโบสถศีล เรามาลงอุโบสถ ได้ฟังธรรม ธรรมนี้ปลุกเร้า ปลุกเร้าให้ตื่นตัวนะ ตื่นตัวขึ้นมา อย่านอนหลับ อย่าให้จิตมันหลับอยู่ ให้กิเลสมันกระทืบหัวอยู่ แล้วอย่าให้กิเลสมันล้นฝั่งล้นหัวใจเป็นชาล้นถ้วย ไม่ยอมรับสิ่งใดๆ เลย ข้อวัตรปฏิบัติทุกอย่างเป็นของเล็กน้อย ทุกอย่างเป็นของไม่มีความหมาย

มีความหมายไปหมดเลยถ้าใจดวงนั้นมีความหมาย ถ้าใจมีความหมาย ศีลทุกข้อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว มีความหมาย เก็บเล็กผสมน้อยให้จิตนี้มันเข้มแข็งขึ้นมา ให้ใจมันพร่องไว้ อย่าให้ใจมันล้น อย่าให้กิเลสมันล้น ล้นออกมาจนไม่ยอมรับสิ่งใดเลย กิเลสเท่านั้นใหญ่มาก กิเลสเท่านั้นเหยียบย่ำมาก เหยียบย่ำให้ใจดวงนี้ให้อยู่ในอำนาจของมัน เหยียบๆๆ เหยียบไปตลอด แล้วทิฏฐิมานะ! รู้ทั้งรู้กิเลสมันครอบงำยังเป็นขี้ข้ามัน ไม่ยอมพลิกหัวใจ ไม่ยอมเปลี่ยนอารมณ์ ไม่ยอมทำลายรวงรังของมัน แล้วฝืนมัน สู้มัน ทำลายมันจนถึงจะยืนขึ้นมาได้

จะเข้าพรรษานะ ให้ตั้งใจ ตั้งใจขึ้นมา แล้วพรุ่งนี้วันอธิษฐานพรรษา วัดใดก็อธิษฐานที่นั่น เพราะเวลาอธิษฐานพรรษา มันวิหาเร อาวาส สิ่งนี้เวลาอธิษฐานพรรษาให้อธิษฐานเป็นอาวาส สิ่งที่อาวาสออกจากนอกเขต ถ้าคนจริง ถ้าทำจริง ทุกอย่างมันจะจริงจะจังแล้วเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันโลเล อธิษฐานแล้วก็โลเล ย้ายเขต ย้ายขอบ ย้ายมันไปบ่อย คนไม่เอาไหนมันจะไม่เอาไหนตั้งแต่เดี๋ยวนี้จนถึงที่สุด

คนตั้งสัจจะมันจริงตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แล้วมันจะได้ความจริงไปเรื่อยๆ เราอย่าให้กิเลสมันล้นฝั่ง อย่าให้เป็นชาล้นถ้วย อย่าให้ว่าเรารู้แล้ว เรารู้แล้ว ทิฏฐิมานะว่ารู้จริง.. รู้ไม่จริงเลย ถ้ารู้จริง เราจะไม่ให้กิเลสมันขี่หัวอย่างนี้หรอก ถ้ารู้จริงเราจะมีความสุขในหัวใจขึ้นมา ความสุขใดๆ ก็แล้วแต่ในโลกนี้เท่ากับจิตสงบไม่มี แค่สมาธิมันก็รู้แต่ว่ามีความสุขแล้ว ถ้ามันไม่มีความสุขมันจะติดสมาธิได้อย่างไร

แล้วถ้าเกิดถ้ามันเป็นวิมุตติสุข เห็นไหม มันพ้นจากกิเลสไปโดยวิมุตติสุขมันสุขอย่างไร ลองสัมผัสดูสิ ลองเข้าไปสิ ทุกคนมีสิทธิ เพราะทุกคนมีภพ ทุกคนมีสิ่งที่สัมผัส ทุกคนมีสิ่งที่เข้าไปแสวงหา แล้วถ้าเข้าแสวงหา พิสูจน์ศาสนาว่าพระพุทธเจ้าโกหก ว่าครูบาอาจารย์โกหก มันไม่จริง ลองทำดู แล้วพิสูจน์กัน ใครโกหก ใครมีความจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันอยู่ที่ไหน แล้วมันเป็นจริงอย่างไร มันถึงจะมั่นคงไง ศาสนามั่นคงไปตลอดนี้นะ มั่นคงในศาสนะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมเห็นไหม ๕,๐๐ ปีหมายถึงว่าอำนาจวาสนาบารมี สายบุญสายกรรม สุดท้าย ๕,๐๐๐ ปีไปแล้ว เห็นไหม พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสข้างหน้า มาตรัสข้างหน้านี่สหชาติ ผู้สร้างสมบุญญาธิการขึ้นมามันก็จะไปต่อเติมกันที่นั่น

แต่ในปัจจุบันนี้ ชีวิตนี้ ลมหายใจนี้ สิ้นสุดกันที่นี่ เอากันที่นี่ให้ได้เดี๋ยวนี้ จะไม่ต้องเกิดตายๆ อีกรอบหนึ่ง เกิดตายนี่ไปจุติในครรภ์ของมารดา ไปเกิดอยู่ในครรภ์ต้องไปนอนอยู่ ๙ เดือน ทุกข์อยู่แล้ว สิ่งนั้นทุกข์ทั้งนั้น ชีวิตที่เกิดขึ้นมานี่ นั่งอยู่นี่หายใจสะดวกสบาย ขณะอยู่ในท้องมันทุกข์ขนาดไหน แล้วยังต้องไปอีกรอบหนึ่งๆ ใครจะเอา

ถ้าใครจะไม่เอาต้องตั้งสติ แล้วตัดให้ได้ ตัดกระแสที่มันจะต้องไปอีกให้ได้ ถ้าตัดให้ได้ นี่วิมุตติสุข สุขอย่างยิ่ง สุขในศาสนานี้ เราเป็นภิกษุนะ เราเป็นธรรมทายาท เราควรมีสมบัติ เราเป็นผู้ทรง ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย ภิกษุไม่ทรงธรรมทรงวินัยจะให้มีใครทรง เราเป็นภิกษุ เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราต้องมีหลักมีเกณฑ์เพื่อเป็นหลักชัยของศาสนา หลักชัยของโลก

ตั้งใจ ทำได้ ทุกคนทำได้ ถ้าทำไม่ได้จะไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อมาบวชเป็นภิกษุ มาอดๆ อยากๆ มาอดนอน ผ่อนอาหาร มาทุกข์ทำไม อดนอนผ่อนอาหาร ทุกข์ทำไม ถ้าฆราวาสก็มีความสุข กินอิ่มนอนอุ่น ได้ไปเที่ยวเพลิดเพลินทางโลก แล้วเขาอยู่มีความสุข เขาสุขของเขาไหม แล้วเรามีศรัทธาความเชื่อ มาอดๆ อยากๆ อดอยากคือให้กิเลสมันเบาตัวลง อดอยากเพื่อขัดเกลากิเลส อดอยากเพื่อจะฆ่ากิเลส เห็นไหม

มีศักยภาพ มีความจริงขึ้นมา เราต้องทำได้ เราทำได้เพราะมีศรัทธามีความเชื่อ เป็นคนมีวาสนาถึงจะเป็นศากยบุตร ในปัจจุบันนี้เป็นสงฆ์ เป็นศากยบุตรโดยสมมุติ ถ้ามันจริงขึ้นมาเราจะเป็นจริงโดยหัวใจ เป็นพระในใจไม่ใช่เป็นพระโดยสมมุติ เอวัง