เทศน์บนศาลา

กิเลสตีสองหน้า

๒๙ ก.ย. ๒๕๖๔

กิเลสตีสองหน้า

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๔

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้านะ ถ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กิเลสมันกลัว กิเลสแต่ดั้งเดิมมามันเป็นเจ้าวัฏจักร มันครอง ๓ โลกธาตุ เวลามีลัทธิศาสนาใดก็แล้วแต่ที่เขายกย่องสรรเสริญกันนั้นมันก็เป็นเรื่องของกิเลส กิเลสทั้งนั้น เป็นเรื่องของกิเลสๆ ไง 

เป็นเรื่องของกิเลส คือเรื่องการแสวงหาหนทางออก แล้วออกได้แค่นั้นไง ออกด้วยความจำนนโดยอำนาจวาสนาและการประพฤติปฏิบัติได้อย่างนั้นไง มันก็ไปยอมจำนนกับกิเลส เพราะ ไม่มีความสามารถที่จะมีความสามารถรู้เห็นกิเลสและชำระล้างกิเลสได้ตามความเป็นจริง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมต่างหาก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลากิเลสมันกลัวๆ มันกลัวธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ฟังธรรมๆ เป็นสัจธรรมอันนี้กิเลสมันวิ่งหนีเลยล่ะหางจุกตูดเลย หางจุกตูดเพราะมันเป็นสิ่งที่มันจะรู้เช่นเห็นชาติในกิริยาในการกระทำของมัน

ถ้ารู้เช่นเห็นชาติในกิริยาการกระทำของกิเลสที่มันแฝงอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมๆ ถึงได้ชี้หน้ามันไง เวลาชี้หน้ามันคอตก เวลามาร เจ้าวัฏจักรจนตรอก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพ้นจาก มือของพญามาร เห็นไหม คอตกๆ เรียกร้องให้ลูกสาวมาช่วยเหลือ มาเกลี้ยกล่อม เพื่อที่จะให้กลับมายอมจำนนกับตนอยู่เหมือนเดิม มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ แสดงธัมมจักฯ ไง จักรนั้นเคลื่อนไปแล้วไม่มีการหมุนกลับ ไม่หมุนกลับที่ไหน ไม่หมุนกลับในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ของคนอื่น ของคนอื่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปพยายามเทศนาว่าการ รื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ จนผู้นั้นมี ดวงตาเห็นธรรม ผู้นั้นสิ้นกิเลสไปเป็นแต่ละบุคคลๆ 

เอตทัคคะ ๘๐ องค์ พระอรหันต์ทั้งสิ้น แต่พระอรหันต์ทั้งสิ้น เวลาพระอรหันต์ทั้งสิ้นขึ้นมา เห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามสัจจะความจริงระหกระเหินมาก ความทุกข์ความยากนะ ความทุกข์ความยากๆ เพราะอะไร ความทุกข์ความยากเพราะอำนาจวาสนาเขาสร้างมาอย่างนั้น 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะปรารถนาเป็น อัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา เวลาเขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแต่งตั้งให้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา เนี่ยคณะสงฆ์ คณะสงฆ์ติเตียนทั้งนั้น ติเตียนมันไม่เป็นธรรมๆ ถ้าเป็นธรรมต้องเป็นประชาธิปไตย เพราะอะไร เพราะต้องตั้งพระอัญญาโกณฑัญญะ เพราะพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก ประชาธิปไตย

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ เพราะว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาให้เชื่อกรรมๆ เราเชื่อกรรมนะ กรรมคือการกระทำ ใครทำดีทำชั่วมันเป็นเวร เป็นกรรมของสัตว์โลกนั้นๆ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเขา ทำของเขามา เขาสร้างด้วยอำนาจวาสนาของเขามา เขาปรารถนาของเขามา เขาทำของเขามาสมบูรณ์แบบของเขา เขาถึงได้มา เกิดเป็นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ แล้วพร้อมกับองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไง

เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่เกิดมาเป็นสัจจะ เป็นความจริง การกระทำของเขามันสมบูรณ์แบบของเขา เป็นของเขา ไม่ใช่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าตั้งว่าสหชาติ ชาตินั้นก็ถูกต้อง เพราะว่าเขาสร้างของเขามาๆ เขาทำของเขามา อุดมสมบูรณ์ของเขามา เป็น ถูกต้องชอบธรรมของเขา แล้วเวลาการประพฤติปฏิบัติของเขา เขาก็ได้ชำระล้างกิเลสในใจของเขาตามอำนาจวาสนาของเขา ตามอำนาจวาสนาของเขา เป็นสัจจะเป็นความจริงไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมๆ ตรัสรู้ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา รื้อค้นด้วย องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าสยัมภูตรัสรู้เองโดยชอบ เพราะมันไม่มี มันไม่มีไง มันไม่มีคือมันไม่มีในชาติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะมันยังไม่มี

แต่เวลามันมี มันมี มันมีแล้วไง ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม เดิมตรงไหนเดิมตรงไหนตรงไหนเดิมมันเป็นเพลงไทยเดิมไง เพลงไทยเดิมกับเพลงไทยสากลเป็นของดั้งเดิมถึงเป็นไทยเดิม เขาก็ต้องมีการละเล่นดนตรีมันถึงมีเสียง ถ้าเครื่องดนตรีพาดไว้มันก็ไม่มีเสียง นี่ไง มันเก็บไว้มันก็เป็นเครื่องดนตรีเท่านั้น แต่มีการกระทำขึ้นมามันถึงมีเสียงขึ้นมา มันถึงเป็นดนตรีขับกล่อมมวลชนไง ถ้ามันเป็นของดั้งเดิม ดั้งเดิมตรงไหนดั้งเดิมอย่างไร?

ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงนะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนานะ คนเกิดมาๆ เกิดมาด้วยเวรด้วยกรรมของสัตว์โลก ถ้าเวรกรรมมันเกิดมา เห็นไหม องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เชื่อกรรมๆ เชื่อกรรมยังเชื่อไม่ได้เลย เวลาเชื่อกรรมๆ เชื่อกรรม กรรมคืออะไร แล้วพอเชื่อกรรมขึ้นมา แล้วมันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของคนสูงหรือต่ำ ถ้าคนที่มันต่ำต้อยขึ้นมามันก็เชื่อกรรมโดยการจะสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา เพื่อชีวิตที่ดีงามของตน นั่นเวลาคนที่จิตใจของเขามันเป็นจิตใจที่ต่ำต้อย 

จิตใจของคนนะ ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมา เห็นไหม คำว่า “มีอำนาจวาสนาเกิดในประเทศอันสมควร ถ้าเกิดในประเทศอันสมควร เกิดมาพบครูบาอาจารย์ที่ดีงาม ครูบาอาจารย์ ที่เป็นธรรมๆ ไง การเห็นสมณะเป็นมงคล มงคลอย่างยิ่ง การเห็นสมณะๆ ไง 

ถ้าจิตใจเขาสูงส่งของเขา เขาเห็นสมณะแล้วเขามีศรัทธาความเชื่อของเขา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าด้วยหลักการไง เวลาศึกษาขึ้นมาตั้งแต่ศีล สมาธิ ปัญญา ศึกษาอริยสัจ สัจธรรมความจริงต่างๆ ขึ้นมา เวลาเข้าไปแล้วมันก็เข้าไปสู่อริยสัจ หัวใจของมัน แก่นแท้ของมันนะ อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

เวลาจะล่วงพ้นได้ ล่วงพ้นได้ด้วยสติปัฏฐาน ๔ การพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงนะ นี่คือหัวใจ ศึกษามาร้อยแปดพันเก้า มันก็เข้ามาสู่หัวใจอันนี้ สู่ข้อเท็จจริงอันนี้ สู่ที่ว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอยู่ที่ไหนนี่ไง ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนาเขาศึกษาอย่างนี้แล้วเขาก็เชื่อผลของการประพฤติปฏิบัติไง

เวลาการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาต้องรู้จำเพาะตน ต้องรู้ด้วย ตัวของตนเอง ถ้ามีศรัทธาความเชื่อก็กราบเคารพครูบาอาจารย์ เห็นไหม เวลาในสมัยพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปที่ไหนมีแต่คนเคารพบูชาๆ บูชามันก็ได้บุญกุศลไง บุญกุศลของวัฏฏะ คนที่ได้ทำบุญตักบาตรองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ไปเกิดเป็นเทวดาภพนั้นชาตินั้นเพราะเขามีวาสนาแค่นั้น คำว่า “มีวาสนาแค่นั้น” มันก็ยังดีไง มันก็ยังดีว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนา 

แต่ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนา เกิดมาพบองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า มีถือลัทธิต่างๆ มากมายมหาศาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปโปรดๆ ไง ชฎิล ๓ พี่น้องก็พราหมณ์ดั้งเดิมนี่แหละ เวลาบูชาไฟๆ เดี๋ยวนี้เขาก็ยังบูชาไฟกันอยู่อย่างนั้น แล้วเขาก็เชื่อของเขาอยู่อย่างนั้น เชื่ออย่างนั้นคือผลของวัฏฏะไง มันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง

เพราะเขาก็เชื่อของเขาอย่างนั้น เพราะเขาว่าเป็นอาตมัน มันมีอยู่ดั้งเดิม มันจะเป็นอยู่อย่างนั้น เขาเคารพบูชาของเขาอยู่อย่างนั้น แล้วเวลามาเกิดในประเทศของเขาไง มันมีวรรณะ มันมีสิ่งต่างๆ แล้วเขาก็ยอมรับกันลึกๆ ในหัวใจนะ มันเป็นวัฒนธรรมไง

แต่เราเกิดมาในประเทศอันสมควร เกิดในเมืองพระพุทธ-ศาสนา พระพุทธศาสนาเวลาคนเกิดเป็นอริยทรัพย์ ชีวิต เห็นไหมเป็นอริยทรัพย์ เพราะมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ๆ อริยทรัพย์เลยนะ เพราะมันมีคุณค่าไง แล้วเวลาเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ แต่เวลาความเสมอภาค มนุษย์ไม่ใช่ดีเพราะ การเกิด เวลาเกิดเป็นอริยทรัพย์ เราจะสูงกว่าสัตว์ไง เราสูงกว่าคนโน้น สูงกว่าคนนี้เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าอนาคตังสญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทะลุปรุโปร่งผลของวัฏฏะไง 

พระโพธิสัตว์เกิดเป็นสัตว์ก็มี พระโพธิสัตว์เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดในภพชาติต่างๆ มากมายมหาศาล แล้ว ใครจะรู้ว่าใครจะใหญ่กว่าใครล่ะ นี่ไง เวลาเกิดเป็นมนุษย์เป็น อริยทรัพย์ขึ้นมา เราเป็นมนุษย์ เราก็ยิ่งใหญ่กว่าเขาไง นี่เป็นมนุษย์ไง 

ล่ามนุษย์นักล่า สัตว์มันกลัวมนุษย์ กลัวที่สุดเลยล่ะ สิ่งที่เวลาเราว่าเป็นอริยทรัพย์ เราก็ถือตัวถือตน เราก็ว่าเรา เหนือกว่าคนอื่นไง แล้วเวลาเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วเราว่ามนุษย์ด้วยกัน เราก็ยิ่งใหญ่กว่าเขาไง มันจะยิ่งใหญ่ไปกว่าใครล่ะ มัน มีแต่ดีและชั่วเท่านั้นล่ะ มีแต่ทำคุณงามความดี เห็นไหม ถ้าใครทำคุณงามความดี กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรมมันหอมทวนลมไง 

นี่พูดถึงว่า ถ้าจิตใจของมันไม่อหังการไม่คิดไป เห็นไหม การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ แต่คนเราไม่ใช่ดีเพราะการเกิด ดีเพราะการกระทำ แต่ถ้ามันดีเพราะการกระทำมันมีอำนาจ วาสนามากน้อยแค่ไหน มันจะกระทำเรื่องอะไรล่ะ กระทำเรื่องบุญและบาปล่ะ คนเราเกิดมานะ เกิดมาด้วยบาปด้วยกรรมของเขา เขามีความคิดของเขาโดยความขัดแย้งกันไปตลอดชีวิตไง แล้วมันมีแต่ความทุกข์ความยากไปทั้งสิ้นไง 

แล้วถ้ามันมีอำนาจวาสนาได้ศึกษาธรรมะๆ ศึกษาธรรมะ ธรรมะมันเข้าไปอบรมบ่มเพาะขึ้นมามันจะสังเวช มันไม่มีภพใด ชาติใด ๑ ไม่มีชาติใดภพใด ๑ ที่ได้สร้างบาปสร้างกรรมมา อย่างนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมามันต้องมีที่มาที่ไปทั้งสิ้นไง แล้วถ้ามีที่มาที่ไปทั้งสิ้น เวลามันมีสติปัญญาขึ้นมาแล้วมันสำนึกได้ มัน ธรรมสังเวช มันสังเวชๆ สังเวชถึงผลของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สังเวชถึงกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันปกครองหัวใจของสัตว์โลก มันขับไสให้ต้องดิ้นรนไปตามกำลังของมันไง 

นี่ไง ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยล่ะ คนที่จะมีกำลังมีสัจจะมีความจริงที่จะต่อต้านมัน ที่จะมีสามัญสำนึก ที่มีการประพฤติปฏิบัติ มีการแสวงหาสัจจะความจริง ฟังธรรมๆ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าไง สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วตอกย้ำมัน สิ่งที่ลังเลสงสัย มันทำให้แก้ลังเลสงสัยได้ แล้วเวลาฟังโดยธรรมข้อเท็จจริงขึ้นมา จิตใจมันผ่องแผ้ว มันสว่าง สว่างคือความเข้าใจทั้งหมดไง

ถ้ามันวางได้ ถ้ามันวางกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของมัน มันวางได้ๆ มันก็มีสามัญสำนึกของความเป็นคน เห็นไหม ถ้ามีสามัญสำนึกของความเป็นคนแล้ว คนก็เท่ากันๆ คนก็เท่ากับคนนี่แหละ แต่มันมีสูงมีต่ำ มีสูงมีต่ำด้วย เห็นไหม ด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยทรัพย์สินเงินทองมันมีสูงมีต่ำ

มีสูงมีต่ำก็เรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคน ที่ทำมาเสมอกัน ทำมาเท่ากันมันไม่มีไง คนมันไม่ได้ทำมาเสมอกัน ทำมาเท่ากัน แล้วถึงเวลาแล้วเวลาคนมาตกทุกข์ได้ยากขึ้นมา มันตกทุกข์ได้ยากขึ้นมา เวลาคนที่เขาขวนขวาย เขามีการกระทำของเขา เขาก็เป็นคนที่มีทรัพย์สินเงินทองขึ้นมามากมายมหาศาลได้เหมือนกัน มันอยู่ที่วาระเวลากรรมมันให้ผลไง กรรมดีมัน ให้ผลมันก็เป็นผลดีงามทั้งสิ้น เวลากรรมบาปอกุศลที่มันให้ผลไง มันตกทุกข์ได้ยากมันมีความทุกข์ยากทั้งนั้น 

นี่พูดถึงถ้ามีสติปัญญามีสามัญสำนึกนะ แล้วถ้ามันเห็น ถ้ามันเห็นขึ้นมา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง พระพุทธศาสนา เห็นไหม เกิดมาสังคมร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม สังคมที่มีการให้อภัยกัน สังคมที่เสมอกันไง

แล้วเวลาเรามีสติมีปัญญาของเรา เห็นไหม เรามามองสังคมสิ เวลาคนที่เขาเอารัดเอาเปรียบกัน คนที่เขาฉ้อโกง คนที่เขาทำลายกันนะ มันเศร้าใจ มันเศร้าใจนะ มันเศร้าใจว่าทำไมเขาทำกันอย่างนั้น แล้วทำกันอย่างนั้นนะ แล้วถ้ามันถึงเวลาถ้า กฎหมายยังบังคับใช้ไม่ได้ เพราะคนที่ทำเขาก็มีเวรมีกรรมต่อกัน เขาก็มีสติปัญญาของเขาหลบหลีกของเขา เรารู้ เราเห็น แต่ผล ทางกฎหมายมันไม่มีไง ไม่ใช่ไม่มี ทำไม่ถึง เข้าไม่ถึงไง เวลา เอารัดเอาเปรียบกันมันสังเวชไหม มันสังเวชเพราะเราเห็น เราก็รู้ เราก็เห็น มันไม่เป็นธรรมๆ ถ้าไม่เป็นธรรมเราก็รู้เห็นของเขา 

สิ่งที่ถ้าหัวใจเป็นธรรมนะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้ามีอำนาจวาสนาหัวใจมันสูงมันต่ำขึ้นมา ถ้าหัวใจมันสูงมันต่ำขึ้นมา เวลาเราศึกษาค้นคว้าแล้ว เวลาธรรมะ มันเข้าถึงหัวใจไง ถ้าธรรมะมันเข้าถึงหัวใจนะ เราจะแสวงหาแล้วล่ะ ถ้าคนมีอำนาจวาสนาเขาก็จะออกประพฤติปฏิบัติ แล้วถ้าคนที่เขาเห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชเป็นพระๆ บวชเป็นนักรบ จะบวชเป็นนักรบจะรบกับใครล่ะ เวลาจะบวชเป็นนักรบๆ อยากจะรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตนนี่ไง เวลาจะรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรานะ 

พระบวชใหม่ๆ เวลาพระบวชใหม่ขึ้นมา พระบวชใหม่ ถ้าเป็นอำนาจวาสนานะ มันจะมีบุญมีกุศลนะ การบวช บวชออกจากโบสถ์มาใหม่ๆ มันจะสะอาดบริสุทธิ์ไง หงส์ในฝูงกา แล้วบวชออกมา บวชออกมาโดยสังฆกรรมนะ บวชโดยความชอบธรรมนะ ญัตติจตุตถกรรมออกมาเป็นพระๆ ถ้าเป็นพระขึ้นมาเป็นหงส์เลยล่ะ 

จากฆราวาสๆ เห็นไหม ฆราวาสมีศีล ๘ เวลามีศีล ๘ ขึ้นมาทำบุญกุศลมากน้อยขนาดไหนก็ได้บุญอย่างนั้น เวลามา บวชเป็นพระศีล ๒๒๗ ศีล ๒๒๗ ขึ้นมา เห็นไหม มาบวชเป็น พระศากยบุตรพุทธชิโนรสไง เวลาบวชขึ้นมาแล้วห่มผ้าไตรจีวร เห็นไหม นี่ธงชัยพระอรหันต์ ธงชัยพระอรหันต์เลยนะ แต่ตัวเอง ยังมีกิเลสเต็มหัวใจเลย เพียงแต่ว่า เห็นไหม สถานะของเพศนักบวช เห็นภัยในวัฏสงสาร ถ้าคนมีอำนาจวาสนานี่ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ ฝากศาสนานี้ไว้กับบริษัท ๔ ไง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ถ้าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าจะปรินิพพาน เห็นไหม มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราถึงจะนิพพาน ถ้าบริษัท ๔ ของเรายัง ไม่เข้มแข็ง เรายังไม่นิพพาน เพราะเราจะวางรากฐานพระพุทธศาสนา เห็นไหม

แล้วเทศนาว่าการขึ้นมา เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหม สำเร็จเป็นพระอรหันต์มากมายมหาศาล เวลาแสดงธรรมๆ ขึ้นมา เห็นไหม นักรบ ภิกษุสำเร็จเป็นห้าร้อยเป็นพัน เวลาสำเร็จๆ พระอรหันต์มากมายมหาศาล เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์มากมายมหาศาล แต่ก็มากมายมหาศาลในชมพูทวีป ในทวีปต่างๆ มากมายมหาศาลเขาถือลัทธิอื่นของเขาไง 

ในปัจจุบันนี้ก็เหมือนกัน ดูสิ ในโลกหกเจ็ดพันล้านคน พระพุทธศาสนามีศึกษามีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากน้อย แค่ไหน แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติเอาจริงเอาจังขึ้นมา มันก็เริ่มต้น ก็จะเอาจริงๆ ไง บริษัท ๔ ไง เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมานะ เริ่มต้นก็ดีงาม พอประพฤติปฏิบัติไปๆ ล้มลุกคลุกคลานทั้งสิ้น ถ้าไม่ล้มลุกคลุกคลานมันต้องมีเพชรน้ำหนึ่งประดับพระพุทธ-ศาสนามากมายมหาศาล มีเพชรน้ำหนึ่งๆ ประดับพระพุทธ-ศาสนาไง นี่หายหมดเลย ไม่รู้ว่าหายไปไหน กิเลสมันกลืนกินไปหมดเลย เวลานักรบไง จะรบกับกิเลสๆ แล้วกิเลสอยู่ไหนล่ะ 

เวลาศึกษาเราศึกษาได้ทั้งสิ้น เรามีกิเลสในหัวใจนะ กิเลสมันตีสองหน้า กิเลสมันร้ายกาจนัก เวลาเราเป็นฆราวาส เราเป็นมนุษย์ เราอยู่ในสังคมไง เราก็ต้องการไง เราเกิดมาแล้ว เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนากล่อมเกลาจิตใจของสังคมให้อภัยทาน ให้อภัยกัน ให้เสียสละ ให้สร้างบุญกุศลไง

แต่ขณะที่ว่า เขาเป็นคนดีเป็นสัตบุรุษ เขาก็มีกิเลสเหมือนกัน เวลาพาลชน เห็นไหม เขาเป็นโจร เขาเป็นนักโทษ เขาเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ไอ้นั่นกิเลสชัดๆ เลย เวลากิเลสไง กิเลสเราก็เห็นว่ามันกิเลสชัดๆ ไง เวลาคนดีๆ ก็กิเลสเหมือนกันไง นี่พูดถึงเรื่องกิเลสโดยข้อเท็จจริงไง 

กิเลส นี่ไง ที่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมๆ แล้ว เวลาพญามาร ครอบครัวของมาร กิเลสตัณหา ความทะยานอยากในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ หักสิ้น ทำลายสิ้น สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีการไปและไม่มีการมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ จักรนี้เคลื่อน แล้วไม่มีวันย้อนกลับ ไม่มีวันเคลื่อนถอยหลังในใจขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในใจของพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลที่สำเร็จมากมายมหาศาล

แต่ในปัจจุบันนี้ในการศึกษาค้นคว้าๆ ไง เวลามันคุ้นชิน ความคุ้นชินแล้วอยู่ที่อำนาจวาสนาของคนไง อำนาจวาสนาของคนมันอ่อนแอ อำนาจวาสนาของคนไม่มีอำนาจวาสนาต่างๆ มันไม่เข้มแข็ง ไม่มีหลักการ ไม่มีวาสนาการค้นคว้าให้มีสัจจะความจริงขึ้นมาในใจของตนได้

เวลาผู้มีวาสนาๆ ในประวัติหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นขึ้นมา ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านตามความเป็นจริงของท่าน ท่าน พยายามค้นคว้าของท่าน ด้วยอำนาจวาสนา เพราะหลวงปู่ เสาร์กับหลวงปู่มั่นท่านปรารถนา เห็นไหม องค์หนึ่งปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์คือปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปในอนาคต องค์หนึ่งปรารถนาพระปัจเจกพุทธเจ้า ปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไปในอนาคต

แต่ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยผลของวัฏฏะ ด้วยองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ไง กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งๆ ก็ได้มาเจริญเพราะมีผู้มีบุญมีกุศล เห็นไหม ได้สร้างสมบุญญาธิการมามากมายมหาศาลมาประพฤติปฏิบัติไง ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาของท่าน ท่านมีการกระทำของท่าน ด้วยค้นคว้าของท่าน ด้วยสัจจะความจริงของท่านนะ 

เวลามีการกระทำมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปนะ บุคคล ๔ คู่ นี่ไง โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เวลาเจริญขึ้นมาวางข้อวัตรปฏิบัติเอาไว้ให้เราประพฤติปฏิบัติไง เวลาประพฤติปฏิบัติถ้าใครมีอำนาจวาสนาก็ปฏิบัติโดยสัจจะ โดยตามความเป็นจริง โดยข้อเท็จจริง

ไม่ปฏิบัติไปโดยกิเลสมันตีสองหน้า หน้าหนึ่งนะ เวลาเราเห็นทำความผิด ทำความผิดพลาด ตามความเห็นนั่นเป็นกิเลสแน่ๆ เวลาประพฤติปฏิบัติทำคุณงามความดีๆ ไอ้นั่นก็กิเลสเหมือนกัน เวลาทางโลกคนตีสองหน้าๆ อยู่ในสังคมใดก็แล้วแต่ เห็นไหม หน้าหนึ่งเขาทำดีกับเรา หน้าหนึ่งเขาทำทีไว้เนื้อเชื่อใจ แต่อีกหน้าหนึ่งเผลอไม่ได้เลย มันมีปัญหาตลอด นั่นกิเลส คนตีสองหน้า 

คนตีสองหน้าเวลาไปสังคมใดสังคมนั้นมีปัญหาไปทั้งสิ้น เพราะตีสองหน้า ไม่จริงใจกับใคร ไม่เป็นที่น่าไว้วางใจของสังคม นั้นเลย คนตีสองหน้าๆ เพราะคนตีสองหน้าไง เขาคิดว่าเขาเป็นคนฉลาด เขาคิดว่าเขาหาผลประโยชน์ของเขา เพราะอะไร เพราะคนมันชั้นต่ำไง เพราะมันไม่มีศีลไง

ถ้าคนมีศีลๆ มีศีล ๕ มีศีล ๘ มีศีล ๑๐ มีคุณงามความดีๆ ไง ถ้าคุณงามความดี เห็นไหม มันก็ทำคุณงามความดี มันก็เป็นความดีไง มันก็เป็นคุณธรรมไง แต่แต่ก็มีกิเลสไง มันก็เป็นกิเลสเหมือนกัน นี่พูดถึงว่าเวลาคนตีสองหน้า 

แต่ถ้าว่าเวลากิเลสตีสองหน้าล่ะ กิเลสมันเป็นเรา เวลา คนตีสองหน้า คนตีสองหน้ามันเป็นบุคคล มันเป็นสังคม มันเป็นเรื่องของวัฏฏะ นั่นน่ะคนตีสองหน้ามันไม่น่าไว้วางใจ มันไว้วางใจไม่ได้เพราะคนที่ไม่เท่าทันไง คนอ่อนแอ คนปัญญาน้อย ก็เป็นเหยื่อของเขาให้เขาแสวงหาผลประโยชน์ แล้วแต่คนเขาฉลาด คนเขาฉลาดเขาเห็นคนตีสองหน้า เขาก็ออกอยู่ห่างๆ จากเขา ไม่อยู่เข้าใกล้เขา เพราะเขาเป็นคนที่ไว้วางใจไม่ได้ เพราะ เขาเป็นคนตีสองหน้า 

แต่ถ้าเป็นกิเลสๆ กิเลสมันเป็นเรา เวลากิเลสมันตีสองหน้า เวลามันทุกข์มันยาก เราทุกข์เรายาก เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ ขึ้นมา เห็นไหม เพราะเราทุกข์เรายาก เพราะเราทุกข์เรายาก ขึ้นมาแล้ว เห็นไหม เราอยากจะมีความสุข สุขอื่นใดเท่ากับ จิตสงบไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับสิ้นกิเลสไม่มี เพราะกิเลสมันขับมันไส มันทำให้เราทุกข์เรายากอยู่นี่ เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราทั้งสิ้น ถ้าเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราทั้งสิ้น เรามีอำนาจวาสนาเราจะทุ่มเท เราจะประพฤติปฏิบัติ เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมต้องมีศรัทธา ต้องมีความเชื่อ 

ความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อของเรา เห็นไหม แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะฝึกหัดดัดแปลงจิตใจของเรา ถ้าเราจะฝึกหัดดัดแปลงจิตใจของเรา แล้วจิตใจของเรามันอยู่ที่ไหน เราจะฝึกหัดดัดแปลงอย่างไร จิตใจของเราก็อยู่ในร่างกายนี้แหละ แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์ไง มนุษย์ เห็นไหม สิ่งต่างๆ เรามี การศึกษา เรามีความรู้ มีความรู้ เรามีวิชาชีพอะไรต่างๆ มัน ก็อยู่กับโลกนี้ไง มันก็เป็นข้อเท็จจริงของการเกิดเป็นคน การเกิดเป็นมนุษย์ 

การเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาแล้วก็มีกายกับใจๆ แต่มันก็มี อีกอันหนึ่งว่ามีอำนาจวาสนาหรือไม่มีอำนาจวาสนาไง เพราะคำว่า “ที่ไม่มีอำนาจวาสนา” เห็นไหม ดูชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน เขาก็ ใช้ชีวิตของเขาโดยปกติของเขา เขาก็ใช้ชีวิตของเขาด้วยว่าเขาก็มีความสุขของเขา นั่นก็ด้วยอำนาจวาสนา หรือไม่มีอำนาจวาสนาของเขา นั่นก็เป็นผลของธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

เกิดเป็นคน เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ไม่ได้บวช ไม่ได้เป็นนักรบ เหยียบแผ่นดินผิด นี่ธรรมะของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แต่!แต่เราเกิดเป็นคน เกิดเป็นคน เรามีศรัทธามีความเชื่อของเราไง เราอยากจะประพฤติปฏิบัติไง เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม เวลาความทุกข์ความยาก ความชั่วความร้าย กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราก็รู้ว่านี่คือกิเลส นี่เป็นด้านหนึ่งของกิเลสไง 

เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เวลามันสงบระงับ มันมีวัฒนธรรม มันมีความคิดที่ดีงาม อันนี้เป็นธรรมไหม มันก็เป็นกิเลสอีกหน้าหนึ่งไง นี่ไง กิเลสมัน ตีสองหน้า กิเลสมันตีสองหน้า พอกิเลสมันตีสองหน้า เพราะ คนเราไม่มีสติปัญญา ไม่มีความสามารถตรวจสอบกิเลสของตนเอง ได้ ถ้าไม่มีความสามารถตรวจสอบกิเลสของตนเองได้ เราก็ไม่รู้ว่ากิเลสมันเป็นอย่างไรไง ก็ไม่เคยเห็นหน้ากิเลส ไม่รู้จักกิเลสเลยไง 

แต่เราศึกษาธรรมๆ จะประพฤติปฏิบัติธรรมนะ เวลาปฏิบัติธรรมขึ้นมามันจะเป็นธรรมๆ ความเป็นธรรมถ้ามันเป็นสัจจะ เป็นความจริงนะ มันเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาไง กิเลสมันตีสองหน้าๆ ไง กิเลสมัน ตีสองหน้าเพราะมันเมา เมาในทางโลกไง เวลาตีว่าเป็นกิเลส อันนั้นเราว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม เพราะมันเป็นกิเลสไง เราพยายามจะสละจะละทิ้งมันไป สิ่งนี้ไม่ดีงาม อันนี้ที่ว่ามันเป็นกิเลส นี่เป็นหน้าของความชั่ว 

แล้วถ้าเป็นความดีๆ ล่ะ ประพฤติปฏิบัติธรรม ประพฤติปฏิบัติธรรม แหม!มันเป็นคุณงามความดีหรือ คนมีธรรม คนมีธรรมไง มันก็เป็นกิเลสด้านดี 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ นะ เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ สุขกับทุกข์นี่แหละ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค เทฺวเม ภิกฺขเว เทฺวเม ภิกฺขเว ภิกษุทั้งหลายทางสองส่วนไม่ควรเสพ เพราะกิเลสมันตีสองหน้า มันตีสองหน้า สุขกับทุกข์นี่ไง 

ถ้ามันสุขกับทุกข์ขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม แสดงธัมมจักฯ ทางสายกลางๆ ทางสายกลางไม่มีหน้านะ ทางสายกลางไม่มีหน้า ทางสายกลางเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ศีลก็เป็นศีล สมาธิก็เป็นสมาธิ ปัญญามันก็เป็นปัญญา มันมีหน้ามีตาตรงไหนล่ะ 

แต่นี่เพราะว่าเมาในกิเลสไง เมาในนักปฏิบัติธรรมไง ธรรมเมา เมาในคุณงามความดีไง ว่ามันเป็นความดี อวดดี ติดดี ว่าเรามีคุณธรรมๆ มีคุณธรรม คุณธรรมที่ไหน คุณธรรมอย่างไร ทำความสงบยังไม่เป็นเลย ติดดีๆ ติดดีมันก็จำมาไง จำมา จำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใครแสดงก็ได้

ในสมัยพุทธกาล เห็นไหม ปลาตะเพียนทอง ปลาตะเพียนทองนั่นน่ะ ทีแรกก็สื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้านะ เทศนาว่าการมีลูกศิษย์ลูกหา ๕๐๐ ไปที่ไหนมีแต่คน เชิดชูบูชา หลง หลงว่าตัวเองเก่ง เอาความรู้ความเห็นเอา ประเด็นของตนใส่เข้าไปไง มันแปลกปลอมแล้ว พอแปลกปลอม แปลกปลอมเพราะทิฏฐิมานะของตนไง กิเลสมันตีสองหน้า สามหน้าไง 

ทีแรกก็พูดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพูดไปพูดมามันก็เอาความเห็นของมันยัดเข้าไป พอยัดเข้าไปมันเป็นความผิดทั้งสิ้น เวลาตายไปตกนรกอเวจีนู่นน่ะ กล่าวตู่พุทธพจน์ถ้าเป็นพระนะอาบัติสังฆาทิเสส กล่าวตู่พุทธพจน์เพราะไม่รู้จริงไง ศึกษาธรรมะ ศึกษาปริยัติๆ ศึกษามา มันความจำ ทั้งสิ้น แล้วความจำทั้งสิ้นก็ตีความผิดถูก ตีความตามความเห็นของตนไง 

แต่ถ้าเป็นกรรมฐานไม่เป็นอย่างนั้น กรรมฐาน ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องมีตัวจริง ต้องมีศีล ต้องมีสมาธิ ต้องมีปัญญา มัน ไม่มีหน้านะ ไม่มีหน้า 

เพราะมีหน้าไง เพราะมันมีหน้า กิเลสตีสองหน้า หน้าของปลาตะเพียนทองนั่น โอ้โฮมันดีงามไปหมดเลย มันสุดยอด ตายไปตกนรกอเวจีนู่นน่ะ เวลาพ้นจากนรกอเวจีเป็นชั้นๆ ขึ้นมา เวลามาเกิดเป็นปลา ปลาตะเพียนทองนะ ชาวประมงเขาไปจับได้ปลาตะเพียนเกล็ดมันเป็นทอง เขาไม่กล้าไปทำร้ายมัน เพราะว่าสมัยนั้นสังคมมันแคบไง ต้องไปถวายพระเจ้าพิมพิสาร เวลาไปถึงท้องพระโรง เวลามันอ้าปาก โอ้โฮมันเหม็นคลุ้งไปหมดเลย

กิเลสมันตีสองหน้า หน้าหนึ่งแหมแสดงธรรมะของพระพุทธเจ้าคนเขาเชื่อ มีศรัทธาความเชื่อไง เวลายัดเยียดความเห็นของตนเข้าไปไง นี่ก็เหมือนกัน เวลามันติดดี ติดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง กิเลสมันก็ติดธรรมนั้นไง มันติด มัน ติดดี ติดว่ามันเป็นผลการประพฤติปฏิบัติไง กิเลสทั้งนั้น ผลของการประพฤติปฏิบัติ 

เริ่มต้นการปฏิบัติเรานะ เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติเริ่มต้น เห็นไหม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน มาก่อน เวลาประพฤติปฏิบัติของท่านมาก่อน ท่านให้ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน การทำ ความสงบใจเข้ามาก่อนทำสัมมาสมาธิๆ เวลาจิตเป็นสัมมาสมาธิแล้วมันคัดมันเลือกมันแยกของมันไง

 เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ ดีและชั่ว บุญและบาป ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทางสายกลาง คำว่า “ทางสายกลางๆ” ทางสายกลางแสวงหาแสนยาก ทางสายกลางมันกลางของใคร เพราะคนมันมีผิดชอบชั่วดีของคน ความรู้สึกนึกคิดของคนมันแตกต่างกันไง

สัมมาสมาธิๆ พอสัมมาสมาธิ เห็นไหม เราทำความสงบของใจเข้ามา คนทุกข์คนยากๆ คนที่มีความทุกข์ความยากสะสมในหัวใจมากมายมหาศาล พอเราทำความสงบของใจเข้ามา มันโล่งโถงเลยล่ะ มันปล่อยวางทั้งหมด เพราะการปล่อยวางนั้น มันถึงจะเข้ามาเป็นสัมมาสมาธิได้ แล้วการปล่อยวางเข้ามาทั้งหมดเป็นสัมมาสมาธิ การเข้ามาถึงสัมมาสมาธิ เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ทางสายกลางไง มันไม่มีหน้า 

ถ้ามีหน้า นี่ไง ที่เราปฏิบัติกันอยู่นี่ไง หน้าใหญ่ อยากได้อย่างนู้นอยากได้อย่างนี้ คาดหมายอย่างนู้นคาดหมายอย่างนี้ เพราะมีหน้าไง ปฏิบัติธรรมคราวนี้ แหมมันต้องสำเร็จเป็น พระอรหันต์เลยล่ะ หน้ายิ่งใหญ่ยิ่งกดทับ ยิ่งปฏิบัติแล้วไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้อะไรเลยเพราะอะไร เพราะหน้ามันใหญ่ไง มันตี สองหน้า สองหน้าสามหน้ามันแบกมันหามไม่ไหว 

แต่ถ้าวางหมดไง เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ แต่คนเราไม่ใช่ดีเพราะการเกิด ดีเพราะการกระทำ การกระทำ เป็นคนดีคนชั่วก็อยู่ที่พฤติกรรม อยู่ที่การกระทำของเขา เราเป็นนักรบ เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะรบกิเลสของเรา เราก็จะปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ศีล สมาธิ ปัญญาไง เรามีสติมีปัญญาของเรา เราจะศึกษา ค้นคว้าของเราให้มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา

ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม พระพุทธศาสนา แล้วเรามีครูบาอาจารย์หรือไม่ล่ะ ครูบาอาจารย์มากมายมหาศาล เวลาสอนไปแล้วมันแตกออกไป เป็นหลายสาย แตกออกไปเป็นสิ่งที่ว่าจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยล่ะ แต่เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงๆ นะ อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ คำว่าอย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ” เพราะใครเป็นคนที่ประพฤติปฏิบัติล่ะ จิตของเราจะต้องเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตตภาวนา 

แต่ในปัจจุบันนี้ เราในสถานะของมนุษย์ สถานะของ การเป็นมนุษย์ โลกียปัญญาๆ มันเกิดมากับโลกมันเป็นโลกไง ถ้าเกิดมากับโลกมันเป็นโลก ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดมันเกิดจาก ภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากความรู้สึกนึกคิดของเราทั้งสิ้น แล้วความรู้สึกของเรามันเป็นปุถุชนคนหนา พอเป็นปุถุชนคนหนา คิดอะไรแล้วคิดโดยกิเลส คิดโดยการคาดเดาทั้งสิ้น การคิดเองการคิดขึ้นมาคิดโดยกิเลสโดยการคาดเดา มันก็ไปกว้านเอาทั้งหมดมา เข้ามาทับถมเพราะอะไร 

เพราะนี่มันวิชาชีพ คนเราเกิดมามีความรู้สึกนึกคิด สัตว์มันก็มีความรู้สึกนึกคิด แล้วความรู้สึกนึกคิดคือเรียนธรรมะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จสัมมา-สัมพุทธเจ้า มันทรงจำธรรมวินัย ทรงจำแต่มันไม่ได้อะไรเลย 

แล้วถ้ามันจะได้อะไรเลยขึ้นมา กิเลสมันยิ่งใหญ่ ยิ่งการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันเป็นที่สังคมยอมรับ เป็นสังคมที่เขาเชิดชูบูชา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็เมาในดีมันไง เพราะเมามันดี สังคมปฏิบัติเวลาไม่เอาจริงเอาจังไง เวลาสังคมปฏิบัติ ขึ้นมา เวลาปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม จะต้องสมบูรณ์แบบ จะต้องสะดวกสบาย จะต้องพอใจทุกอย่างเลย มันไปเสริมมันทั้งสิ้น เวลามันไปเสริมกิเลสพอเป็นพิธี อยากปฏิบัติแต่ปฏิบัติกันพอ เป็นพิธี พิธีปฏิบัติแล้วปฏิบัติอย่างไร 

นี่ไง กิเลสตีสองหน้า เวลาคนทุกข์คนจนคนแสวงหา ทำมาหากินกัน คนทุกข์คนยากเขาว่ามีกิเลส ไอ้เราขึ้นมา เห็นไหม มานั่งพอเป็นพิธี หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ อู้ยชุ่มเย็น ชุ่มเย็นเลย กิเลสตีสองหน้าพอกิเลสตีสองหน้าแล้วมันได้อะไรขึ้นมา เพราะกิเลสในใจเราทั้งสิ้น มันเป็นเรื่องของกิเลสในหัวใจของเรานี่ไง 

แล้วถ้าจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริง เห็นไหม มันทุกข์มันยากๆ ศึกษา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะนี่ เห็นไหม เข้าไปกล่อมดูแลหัวใจของตนไง แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยความสุขความสงบในหัวใจดวงนี้

ถ้าความสุขความสงบในหัวใจดวงนี้ ปฏิบัติเพื่อความสุขสงบในหัวใจของตน ถ้ามันจิตสงบๆ ถ้าจิตสงบมากน้อยขนาดไหน เวลาจะรักษามันต่อเนื่องไง ชำนาญในวสี ชำนาญในวสี เพราะเวลามันฟุ้งมันซ่าน มันทุกข์มันยาก เราก็รับรู้มันได้ เวลามันสงบระงับเข้ามา เราก็รับรู้ได้ แล้วเวลามันฟุ้งซ่านไม่ต้องใครไปยุ ไปแหย่มันหรอก มันฟุ้งมันซ่านโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากขึ้นมา ลุกเป็นไฟเลยอยู่ในกลางหัวใจ แต่เวลามันจะสงบ สงบ ขึ้นมา เห็นไหม เราต้องมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน

ถ้ากิเลสมันตีสองหน้ามันก็จับพลัดจับผลู จับผิดจับถูกอยู่อย่างนั้น เพราะมันรักษาหน้ามัน รักษาหน้ามันแล้วรักษาหน้า ก็รักษากิเลสนั่นแหละ เพราะกิเลสมันตีสองหน้าไง 

แต่ที่เราปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ที่กิเลสกลัวธรรมๆ กลัวธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาคปฏิบัติไง ปริยัติศึกษามา ศึกษามาก็ศึกษามาก็ท่องจำกันมาไง เวลาปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม เรามีสติปัญญาควบคุมจิตของเรา ถ้าควบคุมจิตของเราแล้ว เรามีคำบริกรรม ถ้ามีคำบริกรรมก็มีนวกรรม นวกรรมนะจิตที่เคยอิสระเคยมีกิเลสที่มันครอบงำ แล้วมันโหมใส่ให้มันทุกข์มันยากอยู่นั่นน่ะ มีสติสัมปชัญญะเพราะเรามีศรัทธาความเชื่อแล้ว มีศรัทธาความเชื่อแล้วเราฝึกประพฤติปฏิบัติของเราไง เวลาเราเป็นนักรบ นักรบขึ้นมาไง นักรบขึ้นมาเราก็แสวงหาหัวใจดวงนี้ไง ถ้าแสวงหาหัวใจดวงนี้ เห็นไหม เวลามีการกระทำๆ จิตอยู่ที่ไหนๆ ไง 

เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดนะ “ธรรมะอยู่ไหน ธรรมะอยู่ไหน” แสวงหา เราธุดงค์กันอยู่นี่ พระกรรมฐาน พระกรรมฐานที่ไปธุดงค์กันอยู่นี่ ไปธุดงค์ ไปธุดงค์หาอะไร ไปธุดงค์ไง ธุดงควัตร มันเป็นเครื่องมือ มันเป็นขัดเกลากิเลส มันเป็นเครื่องมือ แต่ ข้อเท็จจริงคือศีล สมาธิ ปัญญาที่มันเกิดขึ้นตามความเป็นจริง 

เวลาธุดงค์ไป ธุดงค์ไปนะ แสวงหาไง นิพานมันอยู่ในป่า ในเขาหรือ หลวงตามหาบัวไปหาหลวงปู่มั่นไง “มหา มาหานิพพานใช่ไหม นิพพานไม่ได้อยู่ในป่าในเขา นิพพานไม่ได้อยู่ในถ้ำ นิพพานไม่ได้อยู่ในฟากฟ้า นิพพานไม่ได้อยู่ในตำรับตำรา นิพพานไม่ได้อยู่ในทฤษฎีใดๆ ทั้งสิ้น นิพพานอยู่ในใจของคนนิพพานอยู่ในใจของคน

แล้วไปธุดงค์ในป่าในเขานะ ไปหานิพพานอย่างไรเขาไปเพื่อเป็นสัปปายะ เขาไปเพื่อขีดวงไม่ให้กิเลสมันฟู กิเลสมัน ไม่ชอบใจหรอก กิเลสมันชอบใจอยู่ที่สุขอยู่ที่สบาย อยู่ที่คนเชิดชูบูชา คนส่งเสริมนะมันชอบ ที่นี่บรรยากาศดี โอ้!ปฏิบัติดีมากเลย เพราะอาหารมันถูกปาก 

หลวงปู่หล้าท่านไปบิณฑบาตไง อะไรที่ชอบ เคยชอบมา ตั้งแต่เด็กมันก็ชอบฝังใจมาถึงตอนเป็นพระ อะไรที่มันชอบใจ ท่านจับแล้วโยนทิ้งเข้าป่าเลย ท่านดัดกิเลสในใจของท่านไง เพราะว่าหนองผือมันอัตคัดขาดแคลนอยู่แล้ว เพราะมันไม่มีตลาดซื้อขาย ใครมีสิ่งใดเขาก็ใส่บาตรตามธรรมชาติของเขา เวลาได้ สิ่งใดมาที่มันชอบใจยังโยนเข้าป่าเลยล่ะ

แต่เวลากิเลสมันตีสองหน้านะ มันพอทำเป็นพิธี แล้วพอไปที่ไหนเขาเชิดชูบูชา แหมที่นี่บรรยากาศดี อาหารมันถูกจริต มันตีสองหน้า แล้วปฏิบัติกันอย่างนี้ แล้วอย่างนี้คนที่มีอำนาจวาสนาแล้วทำ นี่มันเป็นพิธีปฏิบัติ 

เวลาเขาไปธุดงค์ๆ ไปธุดงค์มันจะได้สิ่งใด ไม่ได้สิ่งใด ก็แล้วแต่ ถ้ามันได้มันก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ แต่แต่เรามา ประพฤติปฏิบัติเพื่อเคารพบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันไม่เห็นแก่ปาก ไม่เห็นแก่ท้อง ไม่เห็นแก่ชื่อเสียงกิตติศัพท์ กิตติคุณไง เพราะ ชื่อเสียงกิตติศัพท์ กิตติคุณ นั่นล่ะกิเลสมันตีสองหน้า แล้วมันจะไปคลุกคลี แล้วมันจะไปสะสม นั่นเป็นการประพฤติปฏิบัติหรือ 

การประพฤติปฏิบัติเขาไม่คลุกคลี เขาไม่สุมหัว เขาจะ เป็นสัปปายะ เขาจะแยกตัวออกไปแล้วจะปฏิบัติเพราะอะไร เพราะสมาธิมันเกิดที่ไหน มันเกิดที่จิตของตน เวลากิเลส กิเลสมันก็เกิดบนจิตของตน เวลากิเลส เห็นไหม เจ้าวัฏจักรมันครอบงำหัวใจของสัตว์โลกอยู่แล้ว หัวใจของสัตว์โลกอยู่ใต้อำนาจของมันทั้งสิ้น แล้วเวลามันกลัวธรรมๆ แล้วกลัวธรรม ธรรมอะไร กลัวธรรมภาคปฏิบัติ เวลาตั้งสัจจะขึ้นมาแล้วไง นั่งตลอดรุ่งก็ตลอดรุ่ง เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาก็เอาจริงเอาจังขึ้นมา

เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาเพราะอะไร?

เพราะการประพฤติปฏิบัติมันมีพื้นฐานมันมีบาทฐาน ขึ้นมาก่อน ถ้ามีบาทฐานมีสติก็ควบคุมดูแลหัวใจของตน ทำความสงบใจเข้ามา ใจสงบระงับเข้าไปแล้ว ถ้าใจสงบระงับแล้ว ถ้ามัน เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงไง ถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง เวลาจับต้องขึ้นมาได้แล้ว ถ้ามันพิจารณาของมันขึ้นมา เห็นไหม มันไม่มีหน้านะ 

ทางสายกลาง ทางสายเอก ทางสายเอกยิ่งมีมากขนาดไหน เขาเก็บไว้ในใจ เว้นไว้เวลามีครูบาอาจารย์ไง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํไง การสนทนาธรรมเป็นกาล เป็นมงคล การประพฤติปฏิบัติไง แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปถึงที่สุด ให้ถึงที่สิ้นกิเลส การสิ้นกิเลสมันไม่มีหน้านะ 

ถ้ากิเลสมันตีสองหน้าๆ กิเลสทั้งนั้น หน้าหนึ่งคือบาปกรรม หน้าหนึ่งคือความเลวทราม อีกหน้าหนึ่งเป็นคนดี เป็นนักปฏิบัติ เป็นครูบาอาจารย์ 

ปลาตะเพียนทองนั่นน่ะ อ้าปาก อ้าปากเพราะมันไม่จริงไง ถ้ามันจริงจะไปตกนรกทำไม ตกนรกอเวจีนะ กล่าวตู่พุทธพจน์นะ เพราะเวลาอบรมบ่มเพาะลูกศิษย์ลูกหาก็อาศัยธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนเขาเชื่อถือศรัทธา เพราะเขาเชื่อถือศรัทธาแล้วล้อมหน้าล้อมหลัง ตัวเองก็หลงระเริงไง กิเลสในใจ ของตนมากมายมหาศาล ไม่รู้จักเลยว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ของตน

แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันชัดเจนอยู่แล้ว อริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ มันเป็นสัจจะเป็นความจริง แต่วิธีการต่างหากทำอย่างไร เวลาทำอย่างไรให้มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา 

เพราะ เพราะตนเองไม่ได้ปฏิบัติ หรือปฏิบัติแล้วไม่ได้ ข้อเท็จจริงขึ้นมา มันถึงเอาความรู้สึกนึกคิด กิเลสมันพลิกมันแพลงจนเอากิเลสทิ่มตำเป็นบาปเป็นกรรมของตน ทั้งๆ ที่ว่าเกิดมาเห็นไหมเป็นพระ เกิดมาเป็นสาวกสาวกะ ผู้ที่ทรงจำธรรมวินัย ผู้ที่เผยแผ่ธรรมจนมีคนเชื่อถือศรัทธาขนาดนั้น แต่ถึงเวลาก็ พลิกแพลงไปโดยกิเลสของตนไง 

ตกนรกๆ ผลของการตกนรก เห็นไหม หมดเวรหมดกรรม มันก็เลื่อนชั้นๆ ขึ้นมานะ อ้าปากนี้ปากเหม็นหมดเลย เวลา พระเจ้าพิมพิสาร สิ่งนี้ไม่มีใครรู้ได้ ต้องมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ถึงไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ให้ฟังไง ว่าเขาเอง เขาเคยเป็นพระ เพราะความเป็นพระนั้นเวลาบวชแล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงจำธรรมวินัยๆ แล้วก็ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาแสดงธรรมๆ เพื่อปลูกศรัทธาประชาชนไง เขาก็ศรัทธาของเขา 

เวลาความเห็นของตนในกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง กิเลสมันฟูขึ้นมาไง ก็เอาความรู้ความเห็นของตนเข้าไป นึกว่า ตัวเองมีอำนาจวาสนาไง เวลาแสดงธรรมที่มันกล่าวตู่พุทธพจน์ มันบิดมันเบือนไง ตกนรกอเวจีขึ้นมา เวลาพ้นจากเวรจากกรรมขึ้นมา เห็นไหม คนตกนรกเอวจี ปากนรก เสาเหล็กเท่าลำตาล ผ้ากาสาวพัสตร์ ธงชัยพระอรหันต์ ไปตกอยู่ ไปพาดอยู่จนแอ่น ตกนรกอเวจี ตกนรกอเวจีไง

เวลาหมดเวรหมดกรรม ผลเกิดเป็นชั้นๆ ขึ้นมาไง เวลา มาเกิดเป็นปลา ปลาทองคำๆ เพราะว่าธงชัยพระอรหันต์ไง บวชเป็นพระๆ บวชเป็นพระมันก็กิเลสมันตีสองหน้าไง หน้าหนึ่งก็เป็นคุณงามความดี ความดีที่ตัวเองทำไง หน้าหนึ่ง เห็นไหม อีกหน้าหนึ่งก็กล่าวตู่พุทธพจน์ เพราะเอาความทิฏฐิมานะของตน ใส่เข้าไปในการแสดงธรรมนั้นไง นี่ปาก อ้าปากเหม็นหมดเลย แต่เกล็ดเป็นทองคำ

นี่ นี่พูดถึงเวลากิเลสมันตีสองหน้านะ มันทำลายไปทั้งสิ้น เพราะมันไม่ใช่เป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมๆ มันไม่มีหน้า เพราะถ้ามันไม่มีหน้า มันไม่มีหน้ามันก็ไม่มีมารยาสาไถยไง มันไม่ต้องการคนล้อมหน้าล้อมหลังไง ไอ้นี่มันเป็นกระแสสังคมไง ถ้ามันเป็นจริงๆ แล้วหัวใจของตนไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาอะไรเลยหรือ

แล้วไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาขึ้นมา เห็นไหม ปุถุชน กัลยาณชน ปุถุชนคนหนาๆ ทำสมาธิก็ไม่ได้ มันคือความทุกข์ความยากทั้งสิ้น เวลาเป็นกัลยาณชนๆ กัลยาณชนเพราะอะไร กัลยาณชนเพราะมีสติ มีสติแล้วมีสามัญสำนึก ตรวจสอบค้นคว้าไง ปุถุชนคนหนาๆ หนาเพราะอะไร หนาเพราะรูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร

ถ้ามีสติมีปัญญานะ รูป รส กลิ่น เสียงมันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง รูป รส กลิ่น เสียงอันวิจิตรไม่ใช่กิเลส เพชรนิลจินดา ในโลกนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์ไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยาก ของคนต่างหากเป็นกิเลส ตัณหาความทะยานอยากของคน ต่างหากเป็นกิเลส เพราะตัณหาความทะยานอยากของตนดิ้นรน เพราะกระทบกับรูป รส กลิ่น เสียง มันถึงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันทำลายหัวใจทั้งสิ้น ปุถุชนๆ ไง นี่กิเลสถ้ามันกลัวธรรมๆ กลัวธรรมเพราะกลัวสติ กลัวสมาธิ กลัวปัญญานี่ไง 

ถ้ามีสติธรรม มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ปัญญามันก็ ใคร่ครวญ เห็นไหม ควรทำทาน ทำทานก็ต้องมีปัญญาว่าควร ทำทานที่ใด คนที่มีศีล รักษาศีล รักษาศีลก็ต้องมีปัญญาของเรา ว่าศีล ศีลก็คือศีล ศีล เห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติศีล ศีลเรา จะรักษาอย่างใด ถ้าเกิดภาวนา ภาวนามันต้องมีปัญญาทั้งสิ้นไง ถ้ามีปัญญาทั้งสิ้น เวลามีปัญญา ปัญญามันพิจารณาของมัน เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้ แห่งมาร 

ถ้าเป็นปุถุชน เสียง โฮ้มันทิ่มมันแทง รสชาติ เห็นไหม ที่นี่อากาศดี อาหารถูกปาก เวลามันรูป รส กลิ่น เสียงไง รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ถ้ามีสติปัญญามันเท่าทันตรงนี้ ทางสายกลางไม่มีหน้า 

กิเลสมันตีสองหน้า กิเลสมันตีสองหน้าแล้วมันโหดร้าย แล้วมันทำลายคนมามากมายมหาศาล เราบวชเป็นพระ เป็นนักรบ เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันยังตีสองหน้า มันตีสองหน้า เพราะอะไร มันตีสองหน้าเพราะมันไม่รู้จักรูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร 

ถ้ามันวางได้ วางได้ การวางได้มันถึงทำสัมมาสมาธิไง สัมมาสมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตไม่เอนเอียง รูป รส กลิ่น เสียง ไม่สามารถกระทบความสงบของใจได้ ใจที่มันสงบระงับแล้ว แหมมันมีความสุขเนาะ มันมหัศจรรย์

เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เห็นไหม มันเดินจงกรมเหมือนลอยไปลอยมา มันมีความสุขของมัน เพราะว่ามันเป็นอิสระไง เพราะมันเป็นอิสระนะ สิ่งที่ว่ามันทำสมาธิเป็นๆ คำว่า “ทำสมาธิเป็น” เพราะคนที่ทำสมาธิเป็น ครูบาอาจารย์ เห็นไหม

คนที่ภาวนาไม่เป็น คนที่ดื้อด้าน คนที่ทำลายตัวเอง ไอ้กิเลสตีสองหน้า เวลาครูบาอาจารย์ท่านว่านะ ซากศพเดินได้ ซากศพเดินได้เลยนะ เหมือนซากศพ คนเป็นๆ นี่ ทำข้อวัตรปฏิบัติอยู่นี่เหมือนซากศพ เพราะอะไร เพราะกิเลสมันตีสองหน้าไง มันไม่ได้ฟื้นฟูหัวใจขึ้นมาให้เป็นข้อเท็จจริงขึ้นมาเลย

ถ้ามันฟื้นฟูหัวใจขึ้นมาเป็นข้อเท็จจริง เห็นไหม มันไม่ติดหน้าไง ไม่ติดหน้าก็ไม่มีทิฏฐิมานะ ไม่เหยียบย่ำทำลายใคร ไม่ ติเตียนใคร แล้วมนุษย์ก็เท่ากับสัตว์มนุษย์ไง เวลาเท่ากับสัตว์มนุษย์แล้วรูป รส กลิ่น เสียง มันเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้ แห่งมาร ถ้าเรามีคำบริกรรมของเรา เรามีปัญญาอบรมสมาธิ ขึ้นมา มันสงบเข้ามาได้ ถ้ามันสงบเข้ามาได้เพราะอะไร เพราะ มันสงบเข้ามาได้เพราะมีคำบริกรรม ไม่ทิ้งผู้รู้ ไม่ทิ้งพุทโธนี่ไง

ถ้าไม่ทิ้งผู้รู้ ไม่ทิ้งพุทโธ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ก็ให้เป็นความจริงขึ้นมา แล้วเป็นความจริงขึ้นมามันเอาหน้าที่ไหนมา มันไม่มีหน้า ถ้ามีหน้ามันเข้าสมาธิไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันติดที่หน้า แต่ถ้าเข้าสมาธิได้ ทางสายกลางไม่มีหน้า แล้วถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนานะ ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้ามันเห็นจริงๆ นะ

นี่มันไม่เคยเห็น ถ้ามันไม่เห็นมันถึงบอกว่า “ปล่อยวางแล้ว ปล่อยวางแล้วไง ปล่อยวางแล้วมันก็เป็นธรรมแล้วไง” ปล่อยวางอะไรเอาอะไรมาปล่อยวางแล้วปล่อยวางอะไร?

นี่ไง เวลามันทุกข์มันยาก เวลาคนมันทุกข์มันยากนะ เวลาคนมันทุกข์มันยากก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าบอกนี่มันเป็นกิเลส มันเป็นกิเลสนะ มันจรมา สิ่งที่มันจรมานะ ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อ เรามีสติปัญญาเดี๋ยวมันก็เบาบางลง เบาบางลงไปแล้วถ้าไม่รักษา ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิปัญญา เดี๋ยวมันก็กระทบอีก กระทบอีกมันก็เกิดอีก ถ้ามันเกิด เวลาเกิดมันเกิดดับ เกิดดับไง แล้ววาง วางอะไรเอาอะไรวางแล้ววางอะไรมันไม่มี มันไม่มี 

อารมณ์ อารมณ์ก็เกิดดับอยู่แล้ว ความรู้สึกนึกคิดมันก็เป็นธรรมชาติของมัน แล้วมันจับต้องสิ่งใดได้ไง เพราะมันไม่รู้จริงไง มันไม่เห็นว่าอะไรเป็นกิเลส แล้วอะไรเป็นธรรม มันเป็นกิเลส ตีสองหน้า หน้าหนึ่งก็ว่ามันเป็นกิเลส หน้าหนึ่งว่าเป็นธรรม มันเป็นกิเลสทั้งคู่ เพราะอะไร 

เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว บุญและบาป ข้ามพ้นด้วยอะไร ข้ามพ้นนี่ไง เพราะถ้าทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบระงับขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมามันน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง 

แต่เวลาพูดเป็นปุถุชน เราก็พิจารณาได้ กาย เวทนา จิต ธรรม เราก็นึกได้ เราก็รู้ เราก็เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม เวลาคนที่ ประพฤติปฏิบัติใหม่ เวลาไปไหน สิ่งที่เป็นศัตรู สิ่งที่เป็นภาระหน้าที่ คือระหว่างเพศตรงข้าม เห็นแล้วมันดีมันงามไปหมด 

เออจะพิจารณาอสุภะๆ ให้เป็นของที่ไม่น่าสวยงาม” ของมันสวยงามแต่จะพิจารณาให้เป็นของไม่สวยงาม ก็พยายามๆ ไง เวลาถ้ามันสวยงามมันก็หน้าหนึ่ง กิเลสตีสองหน้า ถ้ามันไม่ สวยงามมันก็เป็นอีกหน้าหนึ่ง ถ้ามันถูกใจมันก็เป็นอีกหน้าหนึ่ง มันมีหน้ามีตาทั้งนั้น 

กลับมาทำความสงบของใจซะ ให้เป็นคำบริกรรมได้นะ เวลากำหนดพุทโธๆ เห็นไหม นี่ก็กำหนดพุทโธ เวลาครูบาอาจารย์บางสำนักท่านสอน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เห็นไหม โลงศพที่มีลายเทพพนมไง ข้างนอกเป็นลายเทพพนม ข้างในมีซากศพ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันเป็นเครื่องหุ้มห่อ หุ้มห่อเนื้อหนังมังสาอยู่ในร่างกายนี้

ร่างกายคนเหมือนกันทั้งสิ้น แต่มันมีลายเทพพนมอยู่นะ โลงศพมันมีลายเทพพนมอยู่ ถ้าเราใช้สติใช้ปัญญา สติปัญญา ถ้ามันมีกำลัง มีสติ มีกำลังนะ มันก็จะคิดเห็นตามจริงตามนั้น แต่ถ้าไม่มีกำลังนะ ก็คิดได้เหมือนกัน แต่เลื่อนลอยไง แล้วที่ว่า สิ่งที่มันสวยมันงาม มันพอใจ มันแก้ไม่ได้ไง เวลามันเป็นอุปสรรค มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องธรรมชาติเลย 

แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ธรรมะเหนือธรรมชาติไง เขาบอกว่า “ถ้ามันมีศีลมีธรรมกันหมดไปแล้ว แล้วโลกนี้มันจะไม่มีมนุษย์เลย” ให้มันไม่มีจริงๆ เถอะ มันเป็นไปไม่ได้ 

ถ้ามันเป็นไปได้ เห็นไหม ทางสายกลาง ทางสายกลางเป็นทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ถ้าในพระพุทธศาสนา โดยธรรมชาติของมันกิเลสมันก็ดิ้นรนอย่างนี้แหละ แต่ถ้ากิเลสมันดิ้นรนอย่างนี้เรามีศรัทธามีความเชื่อ เราพยายามประพฤติปฏิบัติให้ตามความเป็นจริง แล้วเราประพฤติปฏิบัติตามแบบครูบา-อาจารย์ที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านวางข้อวัตรปฏิบัติไว้เป็นเครื่องอยู่ของใจ เห็นไหม

คำว่า “เครื่องอยู่ของใจ” คนเราพระบวชใหม่ๆ ขึ้นมา มันคิดถึงบ้านทั้งนั้นนะ พระบวชใหม่มันก็เป็นฆราวาส เราเติบโต มานะ อยู่บ้านอยู่เรือนมา ๒๐ ปี แล้วถึงวันหนึ่งเราไปบวชพระ บวชพระต้องไปอยู่วัดอยู่วา มันเพศพรหมจรรย์ พอเพศพรหมจรรย์แล้วมันไม่คิดถึงบ้านถึงเรือน ไม่คิดเรื่องทางเพศฆราวาส มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราลบความคิดเราออกหมดไม่ได้ เวลาเราอยู่ทางโลกมา ๒๐ ปี เราก็มีการศึกษามีความรู้มาตลอด ๒๐ ปี มาบวชเป็นพระแล้วลบหมดเลย ขึ้นต้นใหม่ ขึ้นต้นใหม่มันก็เป็นสัจจะ เป็นความจริง ที่เราจะตั้งกับเรา แต่แต่จะบังคับว่าให้ไม่มีความรู้สึกมีความนึกคิดถึงเพศถึงการเป็นฆราวาสเลย มันเป็นไปไม่ได้ นี่ไง พอเป็นไปไม่ได้ มันก็คิดถึง คิดต่างๆ เห็นไหม ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนาน้อยมันก็คิดมาก มันก็ทุกข์มาก 

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ เห็นไหม จะบอก เป็น เครื่องอยู่ของใจ ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ของใจ เราก็อยู่ วัตรปฏิบัติของเรา เช้าขึ้นมาเราทำสิ่งใด เรามีครูบาอาจารย์เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นที่พึ่งอาศัยเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไง พอยึดเหนี่ยว จิตใจของเราแล้วนะ แล้วเราพยายามกระทำของเรา พยายามบริกรรมของเรา เห็นไหม จากที่เป็นเครื่องอยู่มันก็จะสงบระงับแล้วเป็นความจริงในใจของตน 

แล้วถ้ามันเป็นความจริงในใจของตน นี่ทางสายกลาง สมาธินี้รักษาได้ยาก หัวใจของคนรักษาได้ยาก ถ้าหัวใจของคนรักษาได้ยากแล้วทำไมต้องมาปฏิบัติล่ะ เพราะว่ากิเลสมันยิ่งใหญ่ไง 

นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาชำระล้างกิเลสแล้ว กิเลสกลัวธรรมๆ กลัวธรรมขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่กลัวอะไรเลย เพราะธรรมขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม มีสัจจะ มีขันติ มีมรรค ๘ มีอาวุธที่จะเข้าไปต่อกรกับกิเลสไง ถ้ามันจะเข้าไปต่อกร แล้วต่อกรอย่างไรล่ะ 

นี่ไง ถ้าไม่เป็นทางสายกลาง มันก็เป็นกิเลสตีสองหน้า หน้าหนึ่งก็ทุกข์ก็ยาก ก็ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้วก็ไปมัวเมากับพิธีกรรม พิธีกรรมการกระทำไง แล้วข้อวัตรปฏิบัติไม่ใช่พิธีกรรมหรือ?

ข้อวัตรปฏิบัติก็เป็นพิธีกรรมเหมือนกัน แต่พิธีกรรมนี้มันเป็นพิธีกรรมที่เรากระทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา มันไม่ใช่กิเลสตีสองหน้า นี้เป็นธรรม ทางสายกลาง ทางสายกลางที่เราไม่ติด ในสุข แล้วเราไม่ติดในทุกข์ ในสุขในทุกข์ขึ้นมามันเป็นข้อเท็จจริง อยู่แล้ว ทางสายกลางๆ คือ เพศพรหมจรรย์ เพศที่จะเข้าไปแสวงหา เข้าไปค้นคว้า เข้าไปสู่จิตของตน แล้วจิตตภาวนาๆ นี่ภาคปฏิบัติ ภาคภาวนา ถ้าจิตตภาวนา เห็นไหม มันไม่เมาไง มันไม่มัว มันไม่เมา 

ถ้ามันเมาไง นี่ธรรมเมาๆ ไง เมาในพิธีกรรมของตน เมาในพิธีนะ ไม่ใช่เมาในธรรมหรอก เพราะมันไม่มีธรรมให้เมา มันเมาในพิธีๆ เพราะตั้งพิธีไง ศาสนพิธี ศาสนพิธีมันเป็นการบัญญัติขึ้นของคณะสงฆ์นะ เพราะว่าคณะสงฆ์ พระพุทธศาสนานี่เราจะประพฤติปฏิบัติกันอย่างใด ศาสนพิธี พิธีที่เขากระทำกันในการทำบุญกุศล นั่นน่ะถูกต้องชอบธรรม เพราะคำว่า “ถูกต้องชอบธรรม” เพราะมันมาจากโลกไง

ชาวพุทธๆ เห็นไหม วัด วัดหนึ่ง เห็นไหม วัดกรรมฐานก็มีพระพุทธรูป พระพุทธรูปก็เป็นสัญลักษณ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมมุติ สมมุติๆ ขึ้นมา คนที่เขายังเป็น ชาวพุทธในทะเบียนบ้าน เขาไม่เข้าใจในพระพุทธศาสนา ไปวัดๆ เขาก็ต้องเห็นพระพุทธรูป ในประเพณีวัฒนธรรมเขา พระพุทธรูป เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ก็กราบพระพุทธรูป เป็นพิธีกรรม พิธีกรรมเวลาสวดมนต์ทำวัตรต่างๆ เป็นพิธีกรรมๆ เป็นศาสนพิธีๆ 

ถ้าศาสนพิธีขึ้นมา เวลาเรามีศรัทธามีความเชื่อ เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา การนั่งสมาธิ การบริกรรมพุทโธๆ ก็เป็นพิธี แต่พิธีมันเป็นพิธีสู้ด้วยสัจจะด้วยความจริงของตน จากพิธีๆ ไง ก็พิธีถ้าปฏิบัติให้มันเป็นความจริงแล้ว เขาพ้นจากการเป็นวิธีปฏิบัติ เพราะปฏิบัติเป็น เอาหลักความจริง ไม่ติดในพิธี ไม่ให้กิเลสมันตีสองหน้า ไปยึดสิ่งนั้นว่าเป็นพิธีกรรม ปฏิบัติพอเป็นพิธี คือการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องดีงามแล้วเป็นธรรมยังไม่ถึง

แล้วถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เวลาทางโลกๆ เห็นไหม ถ้าเราไปสังคมๆ เห็นไหม สังคมถ้ามนุษย์เพื่อนฝูงหรือคนในชุมชนตีสองหน้า ตีสองหน้ามันไว้ใจกันไม่ได้ มันทำสิ่งใด แล้ว เห็นไหม มันเป็นที่เราต้องระมัดระวังตัว มันระแวงไปหมดล่ะ เพราะเขาเป็นคนตีสองหน้า เขาแสวงหาเอาแต่ประโยชน์ของเขา เขาเอาแต่ที่เป็นสมบัติของเขาเท่านั้น อย่างอื่นเขาไม่สนใจ นั่นคือคนตีสองหน้า 

เวลาเราจะมาประพฤติปฏิบัติ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา เวลาถ้าเราเป็นคนของเรา เราจะค้นคว้าหากิเลสหรือหาธรรมในหัวใจของตน เห็นไหม กิเลสมันก็เลยตีสองหน้าเหมือนกัน แล้วกิเลสตีสองหน้าเพราะมันเป็นกิเลส กิเลสมันยิ่งใหญ่ กิเลสมันเอาแต่ควบคุมหัวใจของสัตว์โลก เจ้าวัฏจักรมันควบคุมทั้งสิ้น แล้วถ้าอำนาจวาสนาของคนมันอ่อนแอ อำนาจวาสนาของคนมันไม่มีวาสนามันไม่เห็นสัจจะความจริงไง มันเข้าถึงธรรมไม่ได้ 

ถ้าเข้าถึงธรรมไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องของพิธีปฏิบัติธรรมไง เพราะเป็นพิธีเอาพิธีนี้เท่านั้น ถ้าพิธีก็คือพิธี พิธีเราก็ทำกันได้ เห็นไหม ประเพณีวัฒนธรรมเกิดจากมนุษย์ มนุษย์มีความเชื่อ มนุษย์มีวัฒนธรรม เวลามีวัฒนธรรมแล้วแสดงออกมามันก็เป็นวัฒนธรรม วัฒนธรรม เห็นไหม การร้อง การรำ การต่างๆ เป็นวัฒนธรรมของชุมชน 

นี่ก็เหมือนกัน วิธีปฏิบัติ วิธีปฏิบัติในพระพุทธศาสนาไง ศาสนพิธี ศาสนพิธีมันเป็นพิธีการทำบุญทำกุศลของ ของชาวพุทธ ชาวพุทธตามชุมชนต่างๆ เขาก็มีพิธีกรรมของเขา ความเชื่อของเขานั่นเป็นพิธี ศาสนพิธี แต่เวลาปฏิบัติๆ ปฏิบัติพอเป็นพิธีมันก็เป็นพิธี มันไม่เข้าถึงศีล สมาธิ ปัญญาที่เป็นทางสายกลาง เพราะเป็นศาสนพิธีเป็นชุมเป็นชนขึ้นมามันก็แบ่งว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดไง มันก็จะยิ่งรักษาหน้าของตน เอาหน้าเอาตาของตนไปแบ่งการปฏิบัติเป็นฝักเป็นฝ่าย

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน มีสิทธิเสรีภาพเหมือนกัน การเกิดเป็นมนุษย์เป็น อริยทรัพย์ แต่แต่มนุษย์ไม่ใช่ดีเพราะการเกิด มนุษย์ดีเพราะการ กระทำ การกระทำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เห็นไหม การกระทำ การกระทำในใจของตน เห็นไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ไปดับที่เหตุนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพระสารีบุตร เห็นไหม ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ อารมณ์ความรู้สึก เห็นไหม อัตตานุทิฏฐิ ทิฏฐิมานะตัวตนในใจสำคัญที่สุด ไอ้ตัวตน นะ ไอ้ที่อื่นที่อย่างอื่นไม่ดีๆ นะ ไอ้ตัวไม่ดีนั่นน่ะ!

ถ้ามันเข้าถึง เห็นไหม ธรรมมันไม่มีหน้า ถ้าเป็นธรรมไม่มีหน้า แล้วถ้าไม่มีหน้าแล้วมันชัดมันเจนของมันนะ เวลาครูบา-อาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันเป็นธรรมๆ เห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันเป็นธรรม 

ถ้ามันไม่เป็นธรรม มันเป็นกิเลส แล้วเวลากิเลสมันตีสองหน้านะ โจรและมหาโจร ทางโลกนะ เวลาเขาเป็นโจรเขาปล้นชิงวิ่งราว เขาเป็นโจร แต่ถ้ากิเลสมันตีสองหน้ามันเป็นมหาโจรมันเป็นมหาโจรเพราะมันคิดว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ ไง พอสิ่งนั้นเป็นธรรมมันเป็นมหาโจร มหาโจรเพราะอะไร เพราะไม่ต้องปล้น มันปล้นศรัทธา ปล้นหัวใจของคน ปล้นคือว่ามันเอาความเชื่อไง กิเลสมันตีสองหน้า หน้าทางคุณงามความดี ความดีทางโลกมันเข้ากันได้ไง มันเป็นตรรกะ มันเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ เวลาธรรมะ ธรรมะที่เป็นนวนิยายธรรมอ่านแล้วซาบซึ้ง

หลวงตาพระมหาบัว ท่านบอกไว้ไอ้พวกนี้ฟังธรรมเป็น ฟังธรรมเป็นมันจะฟังเข้าสู่อริยสัจ มันจะเข้าสู่ความจริง แล้วความจริงมันจะสะท้อนกลับเข้ามาทิ่มจิตใต้สำนึกของผู้ฟังธรรมนั้น ผู้ฟังธรรมนั้นนะขนพองสยองเกล้า ผู้ฟังธรรมนั้นถ้ามีสิ่งใดค้างคาหัวใจ แล้วสัจธรรมอันนี้มันไปสะดุดหัวใจดวงนั้น มันจะเป็นคุณธรรมที่เคารพบูชากันสูงสุดเลยล่ะ เวลาครูบาอาจารย์ ที่แก้จิตๆ ท่านแก้กันอย่างนั้นไง ถ้ามันเป็นสัจจะมันเป็นความจริงนะ

แต่ถ้ามันเป็นมหาโจรๆ มันปล้นศรัทธา การปล้นศรัทธาคือบอกนู่นก็วางแล้ว นี่ก็วางแล้ว มันเป็นธรรม กิเลสตีสองหน้า เวลาความชั่วว่ามันเป็นกิเลส เวลาวางแล้วๆ เป็นธรรมแล้วๆ คือมันเออออห่อหมกว่าจะเป็นธรรมไง แต่มันไม่มีเหตุมีผล มันไม่มี ศีล สมาธิ ปัญญา ตามทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ทาง สายกลางในพระพุทธศาสนา ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ สมุทัยไง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ก็ไม่เห็น ทุกข์ก็ไม่รู้จัก ไม่เห็นกิเลส 

ถ้ารู้จักทุกข์ เห็นทุกข์ ทุกข์เกิดจากสมุทัย สมุทัยมันตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่าน อบรมบ่มเพาะ ท่านสั่งสอนนะ ทางสายกลาง ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันพิจารณาโดยมรรค ๘ ไง ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบไง โดยมรรค เวลามรรคสามัคคีสมุจเฉทปหาน ขณะจิต นิโรธ ดับทุกข์ 

ไม่ต้องนิโรธ ขณะไม่ต้อง ขณะของเขาก็เป็นขณะของ เขา เราไม่ต้องมีขณะก็ได้” กิเลสตีสองหน้า เพราะทางสายกลางไม่มีหน้า “ไม่มีขณะก็ได้ ไม่มีขณะก็ได้” ไม่มี 

มันเป็นการดับทุกข์ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันต้องนิโรธ ดับ! สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งหนึ่งคือการประพฤติปฏิบัติ สิ่งใดสิ่งหนึ่งคือการแสวงหา สิ่งใดสิ่งหนึ่งคือเดินสายกลาง สิ่งใดสิ่งหนึ่งคือการประพฤติปฏิบัติ สิ่งใด สิ่งหนึ่งถ้ามันเป็นจริงมันกิจจญาณ สัจจญาณ

แต่มันไม่มีไง มันไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย พอไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันก็เป็นกิเลสหมด กิเลสมันตีสองหน้า พอตีสองหน้าขึ้นมาแล้วมันก็ติดในพิธีปฏิบัติธรรม พอติดพิธีในการปฏิบัติธรรมพอเป็นพิธี พอเป็นพิธีขึ้นมาจะเอามรรคเอาผลขึ้นมาขณะไม่ต้อง ขณะไม่เกี่ยว” ไม่เกี่ยวแล้วมันก็เลยไปติดหน้าตาไง โอ๋ยมีหน้ามีตา แสวงหา พยายาม... มันเป็นเรื่องของกิเลสแสดงออก เพราะกิเลส มันสองหน้า ตัวเองไม่รู้ ตัวเองทำโดยกิเลสมันครอบงำ ถ้ากิเลสครอบงำนะ อวิชชา ไม่รู้ตัวนะที่ทำออกไปนั่นน่ะ 

แต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมท่านรู้และท่านเห็น พอท่านรู้และท่านเห็นเพราะมันมีที่มาไง มันมีที่มาจากไม่ต้องมีขณะ ไม่ต้องประพฤติปฏิบัติให้มันกระเสือกกระสน ให้มันเป็นการทรมานตน เอาตามแต่ความพอใจของตนไง พิธีปฏิบัติ คำว่า “พิธี” เราจะจัดอย่างไรก็ได้ พิธีปฏิบัติ แล้วจัดอย่างไรมันเป็นเรื่องกิเลสนะ แล้วกิเลสมันติดดีไง เมาคุณงามความดีไง แล้วไม่ใช่เมาธรรมดา ด้วยนะ เมาว่าเป็นคุณธรรมด้วย 

ถ้าเป็นคุณธรรมนะ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันตัดสังโยชน์เป็นชั้นเป็นตอนนะ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันเท่านั้น สักกายทิฏฐิความเห็นผิดในธรรมและวินัยนี้ไม่มีเลย เพียงแต่กิเลสอย่างละเอียดไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น แล้วกิเลสอย่างละเอียดมันจะขวนขวายมีจุดมุ่งหมาย มีการกระทำด้วยกำลังใจฮึกเหิมเต็มหัวใจ เพราะมีขณะดับทุกข์ ดับสังโยชน์ ๓ เพราะขณะ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส มันมีขณะมันดับ มันขาด มันมีความฮึกความเหิมความทะเยอทะยานอยากได้มากมาย

อันนี้เป็นกิเลสไหม เป็นมรรค เป็นมรรคเพราะอะไร เพราะมันการประพฤติปฏิบัติตามทางสายกลาง ทางสายกลางของพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง ธัมมจักฯ ทางสองส่วน ดีและชั่ว บุญและบาป นี่ทางสองส่วน ไม่ควรเสพ เสพ เสพทางสายกลาง ทางสายกลางที่การประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันไม่มีหน้าไม่มีตา 

ถ้ากิเลสมันตีสองหน้า มันรักษาหน้า มันแสวงหาหน้า มันจะเพิ่มหน้าของมัน มันก็เลยเป็นกิเลสเฟื่องฟู แต่แต่สังคมเป็นเหยื่อ มองไม่ออก ครูบาอาจารย์นะ ไม่ต้องมองหรอก มันขวางหู ขวางตา มันเป็นเรื่องมารยาสาไถย มันไม่มีธรรมอะไรเล้ยย มันเป็นกิเลสล้วนๆ เอวัง