เทศน์บนศาลา

ธรรมกระดองเต่า

๖ ต.ค. ๒๕๖๔

ธรรมกระดองเต่า

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๔

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ ขนสัตว์ ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ได้ทั้งหมด เห็นไหม นี่สิ่งที่องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนา แต่แต่เวลาองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วไง ทอดธุระ ทอดธุระไง มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ 

แต่เวลามันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม คนที่สร้างอำนาจวาสนาบารมีมาร่วมเกิดสหชาติเป็นไปได้ ถ้าเป็นไปได้ๆ มันเป็นไปได้ คนที่มีอำนาจวาสนา คนที่มีบุญญาธิการ เพราะคนที่มีบุญญาธิการ เห็นไหม มันมีหลักการ มันมีความซื่อสัตย์กับจิตของเรา มีความซื่อสัตย์กับชีวิตนี้ 

ชีวิตของเรา ชีวิตของเรานี่ตกระกำลำบากมาก็ชีวิตของเราทั้งสิ้น ชีวิตของเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันทุกข์มันยากขึ้นมา นี่ทุกข์ยากมาขนาดไหน แล้วมันไม่มีต้นไม่มีปลาย เราไม่รู้เลยว่า ที่เรามานี่มาจากไหน เวลามาเกิดเป็นมนุษย์นี่ก็พ่อแม่ตั้งชื่อให้ เวลาศึกษาเล่าเรียนมา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่อุ้มชูบูชามา 

เวลาเราเติบโตมา เห็นไหม เติบโตมาเป็นเรา เป็นเราขึ้นมานี่แล้วเรามาจากไหน ก็มาจากพ่อจากแม่ แล้วมาจากพ่อจากแม่ขึ้นมา ถ้ามันมีสิ่งใดที่ขัดแย้งกับพ่อกับแม่มันก็ฝังใจมาตั้งแต่เด็กน้อย แล้วฝังใจมาตั้งแต่เด็กน้อยเราก็รู้ไม่ได้เลยถ้าไม่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในธรรมบท ธรรมบทไง เวลาใครมีปัญหาขัดแย้งขึ้นไปนี่มันไม่ใช่เป็นเฉพาะชาตินี้ มันเป็นตั้งแต่ชาตินั้น ชาตินั้น เพราะชาตินั้นก็เคยทำมาอย่างนี้ เคยทำมาอย่างนี้ มันก็มาชดใช้เวร ใช้กรรมกันอยู่อย่างนั้น ถ้าชดใช้เวรกรรมกันอยู่อย่างนั้น นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังดำรงชีพอยู่ ท่านเป็นคนชี้แจงสัจธรรมเลยว่ามันเป็นเพราะเหตุนี้ มันเป็นเพราะเหตุนี้ 

แต่ในปัจจุบันนี้ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา เวลาธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา สิ่งที่เป็นศาสดา เห็นไหม เวลาอบรมบ่มเพาะมา เพราะธรรมวินัยนั้นเวลาแสดงธรรม แสดงธรรมก็แสดงธรรมหลากหลายนัก

เวลาแสดงธรรมกับปัญจวัคคีย์นี่ธัมมจักฯ นี่อาทิตฯ อนัตฯ เห็นไหม นี่แสดงกับชฎิล ๓ พี่น้อง พวกนี้แสดงแล้วเป็นพระอรหันต์หมดเลย เป็นพระอรหันต์เพราะเขามีอำนาจวาสนาของเขา เขาพยายามประพฤติปฏิบัติกระทำของเขา แต่แต่เขา ทำแบบโลกๆ ไง เขาทำ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ สาวก สาวกะที่ได้ยินได้ฟัง สาวก สาวกะที่ได้ยินได้ฟัง

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาสิ่งที่ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประหารชีวิต ประหารชีวิตเลยคือไม่พูดด้วย ชักสะพานซะ จบ ไม่มีโอกาส สาวกสาวกะผู้ได้ยิน ได้ฟัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าชักสะพานแล้วจบครับ ไม่ได้ยินไม่ได้ฟังนี่ แล้วอำนาจวาสนาคน อำนาจวาสนาก็อำนาจวาสนาทางโลกไง 

อำนาจวาสนาทางโลกคืออำนาจวาสนาของกรรม คือมันเกิดเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง มันก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะต่อไปข้างหน้าไง ต่อไปข้างหน้าเพราะมันไม่มีต้นไม่มีปลาย ถ้ามันเป็นบุญเป็นบาปมันก็นี่ไง บุญ บุญก็พาไปสวรรค์ บาปก็ทำ ลงนรก นี่แล้วทำคุณงามความดี ความดีก็เกิดเป็นมนุษย์นี่ไง แล้วต่อไปล่ะ 

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชักสะพาน นี่ไง นี่การฟังธรรม ฟังธรรมแสนยากไง แสนยากเพราะมันไม่มีสื่อสารมวลชนในสมัยพุทธกาลไง มุขปาฐะเท่านั้น ฟังจากพระโอษฐ์จาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอ็งไม่มีโอกาสหรอก แต่ถ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณ เห็นไหม เล็งญาณ ใครที่มีอำนาจวาสนาเอาคนนั้นก่อน เอาคนนั้นก่อนถ้าเขามีอำนาจวาสนา คือว่าถ้าเขามีอำนาจวาสนา เขาจะเปิดหัวใจของเขา ฟังธรรม แล้วเวลาฟังธรรมแล้วนี่มันทิ่มแทงเข้าไปในกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเขา 

ถ้าทิ่มแทงเข้าไปในกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเขา เพราะสิ่งนี้มันเป็นอวิชชาที่พาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ที่มันทุกข์มันยากอยู่นี้ แล้วไม่มีใครรู้เห็นและไม่เห็นตัวมันได้ เวลาไม่เห็นตัวมันได้เพราะอะไร เพราะมันเป็นเราๆ พอมันเป็นเรา ใครจะชี้ความบกพร่องของเรา ใครจะทำลายตัวของเรา เราดีทั้งนั้น เรานี่อย่างกับเทวดานางฟ้าเลยแหละ นี่สมบูรณ์แบบเพราะมันเป็นเราไง

เป็นไปไม่ได้นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ ไง นี่จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดมา เห็นไหม เกิดมาจากเวรจากกรรม กรรมดีกรรมชั่ว เกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ทิฏฐิมานะความรู้ความเห็น ไม่เท่ากัน ถ้ามันเท่ากันๆ นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็จบไง

มีน้ำพริก น้ำพริกกะปิถ้วยเดียวขายได้ทั่วโลกเลย ทุกคนชอบ ทุกคนอยากกินมีไหม นี่น้ำพริกถ้วยเดียวขายได้หมดเลย ไปขายได้ทั่วโลกเลย ขายเทวดาด้วย เพราะอะไร เพราะคำสอน ชุดเดียวไง ถ้าคำสอนชุดนั้นสอนใคร ใครก็เป็นพระอรหันต์หมดไง นี่ไง ธัมมจักฯ ธัมมจักฯ สวดทุกวันอยู่นี่ไง ปัจจุบันนี้ แล้วธัมมจักฯ ก็คือธัมมจักฯ ไง ธัมมจักฯ นี่ท่องบ่นเอาไง

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ ปัญจวัคคีย์เป็นพระอรหันต์หมดเลย เป็นพระอรหันต์เลย ของ เราก็ฟัง ของเราท่องบ่นกันด้วย นี่ไง คนเราจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีเวรมีกรรมของมัน ถ้ามีเวรมีกรรมของมัน มันทุกข์ มันยากของมัน มันบีบคั้นหัวใจของเรานี้ไง เราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานี่ประเพณีวัฒนธรรม ของชาวพุทธไง มันเป็นธรรมของฆราวาส ฆราวาสธรรม เป็น ประเพณีวัฒนธรรม 

แล้วเวลาประเพณีวัฒนธรรม ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเป้าหมายไง เวลามีเป้าหมาย เห็นไหม กึ่งพุทธกาลๆ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านประพฤติปฏิบัติมา จนเป็นพระอรหันต์ เป้าหมายคือพระอรหันต์ไง พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่เลอค่า พระพุทธศาสนาศาสนานี้มีคุณค่า มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม

ถ้าตรัสรู้ธรรมเฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ถ้าเป็นปัจเจกพุทธเจ้าก็พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมโดยชอบด้วยพระองค์เอง แล้วก็สั่งสอนได้ในชีวิตของท่าน แล้วก็ดับขันธ์ปรินิพพานไป นี่ไง มีพระพุทธกับพระธรรมไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงธรรมไง แสดงธรรมก็วางธรรมและวินัยนี้ไว้ไง ถ้าแสดงธรรม สาวก สาวกะ ผู้ที่ได้ยินได้ฟังขึ้นมา เห็นไหม ได้ยินได้ฟังๆ แล้วนะ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น เกิดขึ้นคือได้ยิน ได้ฟังแล้วมันจับต้องได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง ถึงสัจจะความจริงในข้อเท็จจริงนั้น แล้วคนที่มีอำนาจวาสนา อัญญาโกณฑัญญะ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา” เขาก็จับได้ เขาจับสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจของเขาได้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการ เกิดขึ้น 

แล้วเวลาธัมมจักฯ นะ ทางสายกลางๆ โดยธัมมจักฯ ธัมมจักฯ คือมรรค ๘ ไง ถ้ามรรค ๘ ถ้ามันเป็นสัจจะ เห็นไหม จักขุญาณ เกิดญาณ เกิดแสงสว่าง เกิดความรู้ เห็นไหม นี่มันเกิด สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา เพราะธรรมะมันเคลื่อนไป มันหมุนไป มันสมุจเฉทปหาน มันดับ มันขาด นั่นล่ะขณะ มันต้องเป็นข้อเท็จจริงนั่นน่ะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มันนิโรธมันดับทุกข์ในหัวใจนั้นด้วยมรรค ๘ ที่องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงอยู่นั่นไง แล้วในปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็มีอยู่องค์เดียวนั้นน่ะ “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอๆ

มันก็เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ตรวจสอบโดยตนเองได้ แล้วให้คนอื่นทำตามแล้วทำได้ด้วย แล้วทำได้ด้วย เห็นไหม มันเป็นพยานองค์แรกไง สงฆ์องค์แรกของโลกคือพยานขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีดวงตาเห็นธรรม นี่เทศนาว่าการ จนปัญจวัคคีย์ทั้ง ๔ นั้น เป็นพระโสดาบันทั้งสิ้น แล้วแสดง อนัตตลักขณสูตร เห็นไหม เป็นพระอรหันต์เลย เป็นพระอรหันต์ๆ ไง นี่เป้าหมายของชาวพุทธไง ที่เราภูมิใจกัน

ในพระพุทธศาสนามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีแก้วสารพัดนึก มีไตรสรณาคมน์ แล้วไตรสรณาคมน์ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อ เราก็มีศรัทธาความเชื่อกัน พอมีศรัทธาความเชื่อกัน ดูพระพุทธศาสนาสิ ดูลัทธินิกายอื่นสิ เดี๋ยวนี้โลกมัน เปิดกว้างไง ถ้าเมื่อก่อนเราชาวพุทธ เราก็อยู่ในประเทศ เราก็รู้ว่า นี่หินยาน เถรวาทยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ เพราะเราศรัทธาของเรา เราเคารพบูชาของเรา เพราะเราได้การอบรมบ่มเพาะมาอย่างนี้ไง

เวลาโลกเปิดกว้างขึ้นมา เห็นไหม ดูลัทธิต่างๆ มากมายมหาศาล นี่เฉพาะพุทธศาสนานะ นี่มีลัทธิมีความเชื่อร้อยแปด พันเก้า ทางทิเบต เห็นไหม เขาใช้เสียงเพลง โอ้โฮยขับกล่อม ด้วยเสียงผู้หญิงสาวๆ โอ้ยมันบาดหัวใจๆ โอ้ยมันทึ่ง นี่ การประพฤติปฏิบัติด้วยเสียงเพลง

แต่เถรวาทเรานี่ เห็นไหม ศีล ๘ ห้ามขับร้องฟ้อนรำ เพราะสิ่งนี้เป็นการเพลิดเพลิน สิ่งนี้เป็นการติด เห็นไหม เพราะเรามีกิเลสอยู่แล้วไง แล้วเรามีกิเลสอยู่แล้ว แล้วสิ่งที่ไปกระตุ้น มันขึ้นมา เห็นไหม ให้ไปผูกพันกับมัน เห็นไหม เราไปวัดไปวาถือศีล ๘ นี่ไม่ฟังเพลง ไม่มีการละเล่นฟ้อนรำ ไม่ต้องการต่างๆ นี่ไงที่ว่าพระพุทธศาสนา นี่มีความรู้ความเห็นที่แตกต่างกันไง เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาปฏิบัติทางไหนไง ปฏิบัติทางไหนก็แล้วแต่ เห็นไหม 

แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติตามความจริงขึ้นมา เห็นไหม ถ้าบรรลุธรรมก็คือบรรลุธรรม อริยสัจมีหนึ่งเดียว อริยสัจไม่มีสอง ไม่มีสามหรอก หนึ่ง สอง สาม สี่ บุคคล ๔ คู่ต่างหาก ถ้าบุคคล ๔ คู่ขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงแล้วมันชัดเจนในหัวใจดวงนั้น มันไม่มีอะไรมืดบอด ไม่มีอะไรมาปิดบังได้ ไม่มีไม่มี!

ไอ้ที่มีปิดบังได้กิเลสทั้งนั้น หน้าไหว้หลังหลอก นี่รู้ไม่ได้ ก็อ้างอิงคนอื่นทั้งสิ้น แล้วไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นจังทั้งสิ้นเลย นั่นหน้าไหว้หลังหลอก เห็นไหม คำว่าหน้าไหว้หลังหลอก” มันก็เป็นกรรมของสัตว์

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม แต่มันอยู่ที่วาสนานะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เรามีความทุกข์ความยากในหัวใจดวงนี้ ถ้ามีความทุกข์ความยากในหัวใจดวงนี้ เห็นไหม ถ้ามันไม่มีวาสนานะ มันก็หัวหกก้นขวิดอยู่กับชีวิตนั้นไปๆ นะ 

แล้วเวลาถึงเวลานักขัตฤกษ์ เห็นไหม ถ้าเป็นชาวพุทธ พระพุทธศาสนา เห็นไหม นี่ขึ้นปีใหม่ เข้าพรรษา ออกพรรษา ก็ทำบุญของเรานะ มันก็ยังมีทำบุญกุศลอยู่บ้างนะ แต่ถ้าเขาไม่ทำบุญกุศลของเขาเลย เขาจะแห้งแล้ง เขาจะมีความทุกข์ความยากในหัวใจ ในหัวใจของเราของเขา ในหัวใจถ้ามันแห้งมันแล้งมันทุกข์มันยากนะ มันไม่ชุ่มไม่ชื่นไง ทำบุญทำกุศลขึ้นมารดน้ำพรวนดินในหัวใจของเราขึ้นมาให้มันสดชื่นมีศรัทธาความเชื่อ นี่แหละ นี่ฆราวาสธรรมๆ 

ถ้าเป็นฆราวาสธรรม ถ้ามีวาสนา คำว่า “มีวาสนา” หัวใจมันเป็นเอกเทศ มันมีสติปัญญา มันแสวงหาสัจจะความจริง ข้อเท็จจริงไง เพราะถ้าศึกษาแล้วนะ ศรัทธาความเชื่อ ในพระพุทธศาสนาเป็นหัวรถจักร เป็นอริยทรัพย์ของชาวพุทธเลยล่ะ 

ถ้าไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อ มันทอดทิ้งชีวิตเลย ทอดทิ้งชีวิตเรา วางทิ้งชีวิตเรา ทำแต่ตามความพอใจของตน แล้วความพอใจของตนมันจะพอใจเรื่องอะไรล่ะ มันก็พอใจแต่เรื่องที่กิเลสมันเป่าหูนั่นน่ะ จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้ จะเอาอย่างนั้น เป้าหมายชีวิตไง นี่แล้วก็ดำเนินชีวิตนั้นไป 

ถ้ามันประสบความสำเร็จ มีอำนาจวาสนา มันก็เป็น บุญกุศลของเขา คำว่าบุญกุศล” นะ บุญกุศลคืออำนาจวาสนา คือจังหวะและโอกาสของเขา แล้วถ้าเขาทำของเขา มันเป็น ผลประโยชน์ของเขา แล้วของเขามันปฏิเสธไม่ได้ไง นี่เพราะอะไร กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เราเป็นคนทำมา ของที่ทำมา มันถึงเป็นของบุคคลคนนั้น ของที่ไม่ได้ทำมา ไม่ได้ทำมา เราทำ อะไรมา เราก็ไม่ได้ทำอะไรมา ก็เพิ่งมาเกิดทำอะไรมา มันก็ทำบุญทำบาปมาหัวใจนั้นไง 

เวลามันทำบุญทำบาปมาในหัวใจดวงนั้น แล้วมีโอกาสอย่างนั้น แล้วโอกาสอย่างนั้นถ้ามันสืบต่อจากคุณงามความดี ต่อเนื่องไป เขาได้สร้างบุญกุศลของเขา อย่างเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย แล้วมันลุ่มๆ ดอนๆ เว้นไว้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วเท่านั้น จะต้องเป็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลแน่นอน 

แต่ถ้าเป็นสาวก สาวกะ ผู้ได้ยินได้ฟังๆ แล้วค่อยพยายามสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเรา เราพยายามสร้างของเรา คุณงามความดีของเรา ถ้าสร้างคุณงามความดีของเราเป็นอะไร เป็นบุญ ไง อาศัยบุญกุศลเพื่อบรรเทาทุกข์ในหัวใจดวงนี้ อาศัยบุญกุศลไง ให้ไม่เป็นอกุศล เวลาทำบาปทำกรรมขึ้นมาแล้ว พยายามปิดบังไม่ให้ใครรับรู้ เห็นไหม 

ดูสิ ฝ่ายสืบสวนสอบสวนไง เขาต้องสืบสวนสอบสวนใครเป็นคนทำผิดๆ ไอ้คนทำผิดพยายามกลบเกลื่อน เพราะอะไร เพราะนั่นเป็นบาปไง เวลากรรมมันให้ผลๆ ถ้ามันทันในชาตินี้ มันก็ให้ผลตามข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้าในชาติปัจจุบันนี้หลบเลี่ยงได้ กลบเกลื่อนได้ไง นี่ไง มันไม่พ้นเวรพ้นกรรมไง แล้วเวลา กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ทำมาแล้วไง แล้วมาเกิดในปัจจุบันนี้ มันเป็นอะไรมาๆ

แต่ถ้าเราทำของเราแล้ว เราเชื่อในพระพุทธศาสนาแล้วเราแก้ไข สิ่งใดที่มีเกิดความบาดหมาง บาดหมางในชาติปัจจุบันนี้ มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันนี้เราก็แก้ไขด้วยสติด้วยปัญญาของเรา แล้วถ้าแก้ไขด้วยสติปัญญาของเรา เราอยู่ ในชนชาติใดชุมชนใดๆ กฎหมายประเทศใหญ่ๆ แต่ละรัฐ กฎหมายเขาก็แตกต่างกัน กฎหมายมันคุ้มครองเรา เราก็พยายามรักษา ผลประโยชน์ตามกฎหมายนั้นตามความเป็นธรรม

แต่เราไม่ไปทำร้ายเขา ไม่ไปทำให้เป็นเวรเป็นกรรมเพิ่มมา กับเรา เราต้องรักษาสิทธิของเราๆ นี่เป็นธรรม เป็นธรรมในปัจจุบันนี้ไง แต่แต่มันมีอดีตมา ถ้ามีอดีตมา เห็นไหม สรรพสิ่งใด ที่มันเคลียร์ได้ ปัญหามันแก้ไขได้ มันก็แก้ไขได้ด้วยทำปัจจุบันนี้ แล้วถ้าทำปัจจุบันนี้ถ้าเราทำคุณงามความดี เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่มันทำได้ไหม

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวรย่อมระงับ ด้วยการไม่จองเวร ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติเท่านั้น พระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่จองเวรนอกนั้นจองทั้งนั้น ไม่มีทางหรอก บอกไม่จองๆ ไม่จองมันก็คิด ไม่จองมันก็สะสมในใจ มันไม่อยากทำเขา แต่มันก็ตะขิดตะขวงใจอยู่อย่างนั้น เพราะอะไร 

เพราะมันมีกิเลส เพราะมันมีพญามาร กิเลสในหัวใจ ดวงนั้น กิเลสในหัวใจนะ หลวงตาท่านสอน น่ากลัวที่สุด กิเลสมันทำร้ายคนไม่ได้นะ ทำร้ายคนอื่นไม่ได้ เพราะมันเป็นนามธรรม แต่มันทำลายคนคนนั้น แล้วอาศัยคนคนนั้นไปเบียดเบียนคนอื่น มันอาศัยคนคนนั้นแล้วเวลาทำไปแล้ว คนคนนั้นน่ะสร้างเวรสร้างกรรม

ดูความอหังการ ดูกิเลสในใจของสัตว์โลก สิ่งที่มันน่ากลัวๆ นี่ไง ธรรมะถึงพยายามกล่อมเกลา พยายามแก้ไขไง นี่ไง ในครอบครัวของคน เห็นไหม พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เวลามีลูกเกิดขึ้นมาแล้ว เราพยายามเลี้ยงดูของเราขึ้นมา พยายามอบรมบ่มเพาะขึ้นมาให้เป็นคนดีๆ เราปรารถนาให้เป็นคนดีเท่านั้นแหละ ถ้ามันดีแล้วสิ่งที่มันจะตามมา มันก็เป็นความดีของเขา ให้เขาดำรงชีพของเขาในชีวิตนี้ได้ นั่นก็เป็นบุญเป็นกุศลของเขา 

ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เห็นไหม พ่อแม่จะอบรมบ่มเพาะ คุ้มครองดูแลลูกของตนให้เป็นคนดีขึ้นมาๆ แล้วก็ภูมิใจนะ ลูกหลาน เราเป็นคนดีมันมีความสุข เชิดหน้าชูตา แล้วเวลากิเลสในหัวใจของสัตว์โลกใครไปบ่มเพาะมัน ใครไปดูแลมัน ไม่มี สัตว์อนาถาทั้งนั้น สัตตะผู้ข้อง จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเกี่ยวข้อง กับพญามารมาทั้งสิ้น แล้วมันเป็นอิสระไม่ได้ 

การจะเป็นอิสระเป็นอิสระอย่างไร สิ่งที่มันเป็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ มันเป็นเพราะบุญและบาปต่างหาก คนดีๆ คนดีเขาก็ทำบุญกุศลของเขามา พระโพธิสัตว์ๆ เห็นไหม พระโพธิสัตว์นี่ พระเวสสันดรทำดีมาขนาดไหน เพราะเขาทำดีมา ทำดีมาเป็นชาติสุดท้ายแล้ว เขาก็ยังทำดีต่อเนื่องของเขาไป นั่นเพราะบุญกุศลของเขา

นี่ชูชกๆ นั่นน่ะ เขาก็เป็นคู่จองเวร จองเวรจองกรรมกันมาตลอด ก็ทุกภพทุกชาติเหมือนกัน เขาก็ล้างผลาญมาด้วยทุกภพ ทุกชาติเหมือนกัน นี่ไง สิ่งที่มันเป็นอยู่นี่มันก็เป็นเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเขาต่างหาก นี่ไง กิเลสใน หัวใจของคน กิเลสในหัวใจมันถึงน่ากลัวมากไง มันน่ากลัวมากเพราะอะไร 

เพราะคนคนนั้นไม่มีอำนาจ ไม่มีสติปัญญาเท่าทันมันแน่นอน แล้วมันต้องขับไสบุคคลคนนั้นให้ไปตามอำนาจของมันทั้งสิ้น แต่มันมีแบ่งที่บุญและบาป ดีและชั่ว แต่มันก็ลุ่มๆ ดอนๆ ทุกคนนะ นี่พูดถึงว่า สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง

แล้วสิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พอเราเกิดในพระพุทธศาสนา เห็นไหม ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อของเรา เราอยากจะประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราอยากจะประพฤติปฏิบัติของเรา เห็นไหม เราอยาก จะประพฤติปฏิบัติของเราเพราะอะไร เพราะชีวิตนี้มันคืออะไร ความจริงมันคืออะไร 

จริงตามสมมุตินะ โลกนี้โลกสมมุติ โลก โลกคือสมมุติบัญญัตินี่สมมุติทั้งสิ้น แต่จริง จริงตามสมมุติ จริงตามเวรตามกรรม เวลาเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เรามีอายุขัยของเรา การมีอายุขัยของเรา เพราะอายุขัยคือสมมุติ สมมุติว่าอายุสั้น อายุยาวไง ชีวิตเราจะให้ยั่งยืนมากน้อยขนาดไหน นี่จริงตามสมมุติ เรื่องโลกๆ ทั้งสิ้น อยู่กับโลก เกิดมากับโลกก็อยู่กับโลกไง แล้วถ้าอยู่กับโลกแล้ว เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วมาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่โลกกับธรรม โลกคือโลกนะ ไม่ใช่ธรรม 

ธรรมเหนือโลก แล้วธรรมเหนือโลกๆ มันเกิดมาอย่างไรล่ะ เกิดมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มันต้องมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็น พระโพธิสัตว์ๆ คำว่า “พระโพธิสัตว์” ยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่มาก เฉพาะองค์ที่มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์มากมายมหาศาลเพราะอะไร เดี๋ยวก็อธิษฐาน เดี๋ยวก็ลา นี่มันไปไม่สุด 

ดูเช่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นก็ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน แต่ถึงที่สุดแล้วนี่ได้สร้างเวรสร้างกรรม ได้สร้าง คุณงามความดี สร้างบุญกุศลๆ จนมาเกิดเป็นหลวงปู่มั่นไง จิตใจก็จะมาสร้างสมบุญญาธิการ ถ้ามาบวชเป็นพระมันก็ส่งเสริมใน พระพุทธศาสนา พระโพธิสัตว์ๆ สร้างคุณงามความดีพาประชาชน ทำบุญกุศล สร้างสิ่งศาสนวัตถุ เห็นไหม นี่พระโพธิสัตว์ๆ 

พระโพธิสัตว์จะเข้าสู่มรรค ๘ ไม่ได้ พระโพธิสัตว์จะเข้า ได้แต่ฌานสมาบัติเท่านั้น ได้แต่อภิญญาเท่านั้น แล้วพระโพธิสัตว์ที่รุ่งเรือง พระโพธิสัตว์ที่สร้างสมบุญญาธิการมา เขาทำสิ่งใดมา มันชัดเจน แล้วบุญกุศลของเขานี่มากมายมหาศาล จะทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ จะทำสิ่งใดเป็นบุญเป็นกุศล แล้วจะมีคนเชื่อถือศรัทธามากมาย นี่เวลาสร้าง นั่นความเป็นพระโพธิสัตว์ ก็เป็นเรื่องของทาน เรื่องของโลก 

แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ เห็นไหม โลกกับธรรมๆ จริงตาม สมมุติๆ มันจริงทั้งนั้น แต่เราจะเอาจริงอะไรล่ะ ถ้าเอาจริงตามสมมุติ ก็จริงตามโลกไง โลกเป็นใหญ่ไง ถ้าโลกเป็นใหญ่มันก็ ต่อเนื่องนั้นไปไง 

แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเห็นการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเป็นความทุกข์ความยากทั้งสิ้น เกิดแต่ละภพแต่ละชาติมันก็ต้องกระเสือกกระสนไปทั้งสิ้น หลวงปู่มั่นท่านเกิดมา ท่านมีโรคประจำตัวของท่าน โรคถ่ายท้อง เกิดมาเป็นมนุษย์ยังมีโรคประจำตัวอีกด้วยนะ เวลาออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ถ่ายเป็นเลือดเลย ถ่ายเป็นเลือดโรคประจำตัว 

พระสารีบุตรก็มีโรคนี้แหละ พระสารีบุตรก็มีโรคประจำตัว โรคถ่ายออกมาเป็นเลือดนี่ พระโมคคัลลานะไปเยี่ยมไง นี่โดยปกติมันจะหายด้วยวิธีใด เวลามันหายขึ้นมาเพราะว่ามันต้องมี ข้าวยาคูรองท้องไว้มันจะบรรเทาได้ บรรเทาได้ พระโมคคัลลานะ ดลใจเทวดา ให้เทวดาไปดลใจคฤหัสถ์ ให้เช้ามาทำข้าวยาคู ไปถวายพระสารีบุตร พระสารีบุตรไม่แตะเลย เพราะอะไร เพราะการดลใจไม่เกิดจากศรัทธาความเชื่อของเขาโดยความเป็นจริง 

แค่อย่างนี้พระอรหันต์ถือว่าเป็นความเศร้าหมอง ท่านไม่ แตะเลยนะ โอ๋ยถ้าเป็นพวกเราเอา ๕ ชุด เพราะอะไร เพราะตามวินัยไง ภิกษุไข้ ภิกษุไข้มารยาสาไถย ภิกษุไข้จะทำอะไรก็ได้ แต่คนเขาเป็นธรรมๆ เพราะอะไร 

เพราะธรรมมันเหนือโลกไง ในใจของพระสารีบุตรกับในใจของพระโมคคัลลานะมันเป็นคุณธรรม มันเป็นธรรมธาตุ ถ้าธรรมธาตุพระอรหันต์มันมีความสุขความสงบในใจของตนเป็นพื้นฐาน วิมุตติสุข วิมุตติสุข วิมุตติสุข สุขโดยหัวใจดวงนั้นอิ่มเต็มบริบูรณ์สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว 

ธาตุขันธ์ๆ ถ้ามันจะเป็นโรคถ่ายท้องมันเป็นเรื่องธรรมชาติของโรคภัยไข้เจ็บไง โรคภัยไข้เจ็บมันเป็น เดี๋ยวมันก็บรรเทา มันก็ หายของมันโดยธรรมชาติของมันไง ถ้ามันเป็นแล้วมันไม่หาย มันก็ตาย ก็เรื่องธรรมดาไง มันเป็นวาระไง

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้านิพพานไง เออให้สมควรเวลาของเธอเถิด เห็นไหม ให้สมควรแก่เวลา สมควรแก่เวลาจะอยู่ สมควรแก่เวลาจะตาย สมควรเวลาจะไป สมควรเวลาที่จะมา สมควรแก่ธรรม 

พระอรหันต์เขามีความสุขของเขาในหัวใจของเขา เต็มเปี่ยม นี่ไง แต่ของเราล่ะ ของเรามีแต่ความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากเพราะกิเลสในหัวใจของสัตว์โลกน่ากลัวนัก หัวใจของสัตว์โลกแล้วคนที่จะประพฤติปฏิบัติ คนที่จะแสวงหาในการกระทำมันจะทำอย่างไร เวลาจะทำอย่างไรมันก็อยู่ที่วาสนาไง 

ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ นรกสวรรค์ไม่มี มรรคผลนิพพานจะมีได้อย่างไร กึ่งพุทธกาลแล้วพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว สองพันกว่าปีจะมีตรงไหน มันมีได้อย่างไร มันไม่มี

โอ้ยไบร์ตมาก ลงในทะเบียนบ้านไม่นับถือศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น ถือวิทยาศาสตร์ยอดเยี่ยม ทุกข์เกือบตาย แต่ไม่มีสติสัมปชัญญะรู้จักทุกข์ของตัวไง เห็นความเป็นอยู่ของตนว่ามัน เป็นความสุขไง เห็นผิดชอบชั่วดีต่างจากความเป็นจริงไง เห็น ผิดชอบชั่วดีโดยกิเลสมันปั้นแต่งให้ หลอกลวง หลอกลวงให้อยู่ในอาณัติของกิเลสต่อเนื่องไป ว่าสิ่งนี้เป็นคุณเป็นประโยชน์ เป็นปัญญาชน มีสติปัญญาเลอเลิศ แล้วเอ็งก็เป็นขี้ข้า กิเลสในหัวใจ ของสัตว์น่ากลัวนักๆ ก็เป็นขี้ข้าให้มันควบคุมบังคับบัญชาต่อเนื่องไปๆ กิเลสมันปิดหูปิดตาไง เพราะอะไร เพราะลงในทะเบียนบ้านเลยนะ ไม่นับถือศาสนาใดๆ เท่

แต่เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนานะ เรามีความทุกข์ความยากของเรา โดยประเพณีวัฒนธรรมเราก็เห็นอยู่แล้ว ทุกหมู่บ้านก็มีวัดมีวาทั้งสิ้น แล้วถ้ามีพระที่เป็นสมณะที่ เราได้เห็นได้ทัศนาได้เห็นสมณะเป็นมงคลชีวิต มันก็เป็นบุญกุศลของเรา ถ้าเราไปอยู่วัดใดวัดนั้นมันหยำเป วัดโดยทั่วไป เพราะว่า เพราะบวชเป็นพระแล้ว พระก็มาจากคน ถ้าพระมาจากคน พระที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม พอเป็นพระแล้ว ก็คิดว่าตัวเองนี้ยิ่งใหญ่ ได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้ว ทุกคนต้องเคารพบูชา ทุกคนต้องนอบน้อมบูชา บูชาอะไร

มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา นี่ไง ประชาธิปไตย ถ้าประชาธิปไตยก็เป็นสิทธิ์ของเขา เขานอบน้อมบูชา เขายกมือไหว้ขึ้นมา ใจเขาคัดค้านก็ได้ ถ้าเขาจะบูชาๆ มันบูชา เรามีคุณงามความดีมากน้อยแค่ไหนให้เขาบูชา

หลวงตาพระมหาบัวท่านสอน เราเป็นปัญญาชนใช่ไหม เรายิ่งมาบวชเป็นพระ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าแล้ว เราค้นคว้าหาความผิดของเรา ถ้าเราหาความผิดของเรา เราเห็นความผิดของเรา คนอื่นเขาก็เห็น

นี่ไง ถ้าเรามีอำนาจวาสนาขึ้นมา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราก็พยายามจะประพฤติปฏิบัติของเราไง ประพฤติปฏิบัติของเราก็ค้นคว้าหาความผิดของเราไง แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ถ้ามันถึงที่สุดแห่งทุกข์ไง เราค้นหาความผิดของเราไม่ได้ ใครมันจะหาเจอ พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลเวลานิพพาน มารค้นหาใหญ่เลย พระพุทธเจ้าบอก “มาร เธอไม่ต้องค้นหาหรอก ไม่เจอ หาไม่เจอหรอก” ถ้ามันค้นหาไม่เจอ ใครจะเจอ 

แต่นี่มันไม่ค้นนะสิ มันไม่ค้นแล้วมันยังเพิ่มของมันอีกด้วย นี่ไง ถ้าชุมชนใด หมู่บ้านใด ถ้าเราเจอสิ่งนั้น มันก็เป็นเวร เป็นกรรมของสัตว์ ของสัตว์จริงๆ เพราะเขาเกิดมาอย่างนั้นไง คนเขาเกิดมามันเป็นสิทธิของบุคคลทั้งสิ้น

เวลาแก้ความรู้สึกนึกคิดของคนมันยากนักๆ ไง เราเกิดทิฏฐิมานะขึ้นมา เราเอาทิฏฐิมานะมาโต้แย้งกัน แล้วมันยิ่งเกิดการขบเหลี่ยมกันมากมายมหาศาล แต่ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราเลือกเอา เราขวนขวายเอา เราพยายามแสวงหาของเรา ขอให้เราได้เจอครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงๆ ถ้ามันเจอ อำนาจวาสนามัน ก็เป็นไปได้ไง 

แล้วถ้ามันเป็นกิเลสในหัวใจของเรานะ เราก็อยากแสวงหาครูบาอาจารย์ที่ว่าเป็นจริงๆ แต่เรามีกิเลส เรามีความไม่รู้ในหัวใจของเรา เราก็ไม่รู้มันจริงตรงไหนเหมือนกัน อะไรจริง อะไรปลอม มันก็หาอยู่นะ หาของจริงๆ แต่ไม่รู้อะไรจริง มันเป็นวาสนาของคนนะ 

ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นๆ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติตามความจริงของท่าน แล้วเวลาปฏิบัติตามความจริงของท่าน เห็นไหม ทำปฏิบัติแล้วท่านห่วงใย ห่วงใยศาสนทายาท ท่านพยายามอบรมบ่มเพาะๆ เวลาอบรมบ่มเพาะขึ้นไป เห็นไหม เวลาไปไหน “ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นๆ” กิตติศัพท์ กิตติคุณ เลอเลิศ นี่ไง มันเป็นที่น่าไว้วางใจไง 

แต่แต่ท่านก็เป็นธรรม ความเป็นธรรมๆ ของท่าน เราจะไปศึกษาค้นคว้าจากท่าน เรามีพื้นฐานอะไร ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอรหันต์นะ เวลาท่านมองผู้ที่จะสืบทอด สืบทอดอย่างไร มีอำนาจวาสนาอะไรจะสืบทอด มีวุฒิภาวะอะไรที่ จะรับรู้อะไรได้ ถ้าไม่มีวุฒิภาวะจะรับรู้อะไรได้ มันจะปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติแล้วมันจะเข้าไปถึงสัจธรรมตรงไหน ถ้ามันจะเข้าถึงสัจธรรมของมัน มันต้องมีเชาวน์มีปัญญาของมัน มันมีวาสนาของมัน

ถ้ามีวาสนาของมัน เห็นไหม ดูสิ ประชาธิปไตยมันร้อยแปด ถ้าลองคำว่าประชาธิปไตย” คือมันไม่เห็นตามข้อเท็จจริง แล้วมันจะแถว่าเอาตามกิเลสในหัวใจ ตามทิฏฐิมานะที่เราชอบ ประชาธิปไตยคือสิทธิ์ของเราไง สิทธิ์ของกิเลสไง กิเลสมันจะดิ้นมันจะรน กิเลสมันจะถืออิสระของมันไง แล้วเป็นจริงไหม

แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ เห็นไหม เป็นธรรมๆ เราจะบวช เป็นพระ เราเป็นธรรม ชีวิตนี้มันคืออะไร แล้วสิ่งที่แสวงหา แสวงหาที่ไหน ถ้าแสวงหาแล้วมันต้องแสวงในพระพุทธศาสนา แล้วถ้าแสวงในพระพุทธศาสนา แล้วพระพุทธศาสนามันอยู่ที่ตู้พระไตรปิฎกหรือพระพุทธศาสนามันอยู่ที่พิธีการบวชใช่ไหมพระพุทธศาสนามันอยู่ในใจของพระเราทั้งหมดหรือ?

พระพุทธศาสนา เราศึกษาในพระพุทธศาสนา พระพุทธ-ศาสนา เห็นไหม เราเป็นชาวพุทธไง เรามีรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งไง ครูบาอาจารย์ของเราอยู่ป่าอยู่เขาอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ เวลาทำวัตรสวดมนต์ขึ้นมา นึกรูปเคารพแล้ว กราบเลย ไอ้สิ่งนี้มันเป็นสัญลักษณ์ มันเป็นสิ่งที่ว่าเราต้องมีลักษณะในการกระทำนักบวชของชาวพุทธ

แต่ถ้าเป็นชาวพุทธ ถ้าชาวพุทธเราก็ทำ ที่พูดนี้ไม่ใช่พูด ให้ลบหลู่ ไม่ใช่พูดให้ไม่เห็นด้วย แต่ไอ้นี่มันเป็นเรื่องสมมุติ แล้วถ้าติดแล้ว มันก็ติดพิธีกรรมอยู่ข้างนอกนั่นไง มันก็ติดพิธีกรรม ยังไม่ได้ทำพิธีกรรมสมบูรณ์แบบแล้วจะภาวนากันอย่างไร มันก็ติดอยู่นั่นแหละ

แต่ถ้ามันไม่ติดไง เราก็ทำประเพณีวัฒนธรรมๆ ไง มันเป็น เรื่องศาสนพิธี เป็นเรื่องของโลก ถ้าสังคมที่เป็นโลกมีเด็กน้อย มีผู้ที่มีศรัทธาใหม่ เราก็ควรทำ ทำเป็นแบบอย่างให้เขาดู แล้ว ทำแล้ว ถ้าเขาเจริญงอกงามขึ้นมา เขาก็จะมีปัญญาของเขาขึ้นมา มันเป็นข้อเท็จจริงอย่างนั้น นี้เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะปฏิบัติในพระพุทธศาสนา เวลาปฏิบัติในพระพุทธศาสนาไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ถามว่า “ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานแล้ว แล้วชาวพุทธระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า จะไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไหนองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมันมีอยู่ในพระไตรปิฎกเลย “ให้เขาไปกราบไหว้สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ที่เกิด ตรัสรู้ แสดงธรรม ปรินิพพาน

เราชาวพุทธๆ ก็แสวงหากันไง เห็นไหม เรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ เพราะอะไร เพราะเขาเป็นโลก ถ้าไม่มีที่เกิด ที่ตรัสรู้ ที่ปรินิพพาน แล้วมันจะมีจริงหรือเปล่า มันจะเป็นอย่างนั้น หรือเปล่า นี่ไง ถ้าจะแสวงหาในพระพุทธศาสนาไง

แต่ครูบาอาจารย์ของเรานะ ให้หายใจเข้านึกพุท แล้วหายใจออกนึกโธ ถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเป็นชาวพุทธ เรามีรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แล้วเราจะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรากำหนดหายใจเข้าออก เห็นไหม เรากำหนดเนี่ยพุทธานุสติ สติระลึกถึงองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ เวลาพุทโธๆ บริกรรมพุทโธ กำหนดอานาปานสติ พอจิตมันสงบเข้ามา จิตมันสงบเข้ามา ถ้ามันสงบนะ เวลามันเป็นสัมมาสมาธิ เวลาจิตมัน สงบแล้วมันมหัศจรรย์กว่านั้น

มีมากมายที่ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แล้วกลับมาเล่าให้ ฟัง “แหมมันปลื้มใจ โอ๋ยน้ำตามันจะไหล โอ๋ยมันเชื่อมั่น ในพระพุทธศาสนา” สองวันลืมแล้ว จะต้องไปใหม่แล้ว เสียค่าเครื่องบินไง

แต่ถ้าเราหายใจเข้านึกพุธ หายใจออกนึกโธ พอจิตมันสงบระงับเข้ามานั่นความจริง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วถ้าจิตสงบเข้ามา อ๋อจิตมันสงบอย่างนี้เอง สงบตามความเป็นจริง ถ้าสงบตามความเป็นจริง เห็นไหม เราได้เฝ้าองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าไง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ใครทำความสงบของใจเข้ามามันก็เห็นรากเหง้า มันยังไม่เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาเขาปฏิบัติกันๆ ก็ปฏิบัติทางโลกๆ ไง

ถ้าปฏิบัติ เห็นไหม ในแนวทางของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่ มั่น ในกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านถึงได้วางข้อวัตรปฏิบัติไว้ไง ข้อวัตรปฏิบัตินี้เป็นเครื่องอยู่ของใจ เป็นเครื่องอยู่ของใจ แล้ว ถ้าเครื่องอยู่ของใจ เราปฏิบัติของเรานะ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามา 

ถ้าจิตสงบ จิตสงบ จิตสงบแล้วเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม การรักษาหัวใจ สมถกรรมฐาน ในปัจจุบันนี้นะ เวลากรรมฐานเรารุ่งเรืองขึ้นมา เห็นไหม สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เริ่มต้นขึ้นมาทำสมถกรรมฐานคือทำความสงบใจ ให้ได้ก่อน ถ้าใจสงบแล้วนะ ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ อันนั้นเขาจะเกิดวิปัสสนากรรมฐาน

แต่ส่วนใหญ่แล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่เป็นหรอก แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้ด้วย ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้ด้วย คือ พฤติกรรมที่มันแสดงออกมันบอกเอง มันบอกเอง เพราะเวลา จิตมันสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงานที่ท่านยกขึ้นสู่วิปัสสนาแล้วมันจะเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมันจะชัดเจนของมัน 

แม้แต่การทำสมาธิ เรายังต้องรักษา รักษาของเรา รักษาความสงัดความวิเวกในการกระทำ เพราะจิตมันเจริญแล้วเสื่อมเพราะอะไร กิเลสในหัวใจของคนน่ากลัวนัก กิเลสในหัวใจของคนน่ากลัวนัก ถ้ากิเลสมันยังไม่รู้เท่าไม่รู้ทันขึ้นมา มันก็ปล่อยให้เราทำได้ แต่เวลาทำแล้วเรามีความสุขขึ้นมาเพราะอะไร เพราะกิเลสมันก็กระเทือนมันเหมือนกัน

พอกิเลสมันกระเทือนมัน มันก็พลิกมันก็แพลง ล้มลุก คลุกคลานทั้งสิ้น การรักษาใจนะ การรักษาสมาธิ รักษาสมาธิให้เป็นสมาธิอยู่ มันก็รักษาได้ยากอยู่แล้ว แล้วรักษาได้ยากอยู่แล้วนะ ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนามันเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งเลย ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่เป็นไง ก็ติดในสมถะ ติดอยู่ในความสุข ความสงบ ไม่มีวาสนาไง ไม่มีวาสนามันก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น 

แต่ถ้ามีวาสนานะ มันพยายามหา พยายามค้นคว้าของตนให้เป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้าเป็นสัจจะความจริง จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นอาการของจิต คือ จิตเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงๆ ถ้าตามความเป็นจริงมันสะเทือน มันสะเทือนกิเลสไง กิเลสในหัวใจของคนน่ากลัวนัก จับต้องตัวมันได้ จับมันได้เลยล่ะ จับกิเลสได้เลย พอจับกิเลสได้ โอ๋มันเป็นผลงานนะ

การประพฤติปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก มันยากอยู่สองคราว คราวหนึ่งคราวเริ่มต้น กับอีกคราวหนึ่งคราวจะ สิ้นสุดแห่งทุกข์ มันยากอยู่สองคราว คราวนี้มันยากมันลำบากเพราะจับมันได้ยาก เพราะจับมันไม่ได้ เพราะกิเลสเป็นเรา เราเป็นกิเลส แล้วสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือกิเลสในหัวใจของคนไง แล้วมันก็ปลิ้น มันก็ปล้อน มันก็หลอก มันลวงอย่างนั้น โดยที่ไม่มี วาสนาด้วยนะ ไม่อยากจะพูดถึงว่า ในแนวทางปฏิบัติมากมายมหาศาล อันนั้นมันแค่เท่าทันอารมณ์เท่านั้นแหละ การปฏิบัตินะ การปฏิบัติถ้าไม่มีอำนาจวาสนา ในสำนักปฏิบัติทั่วๆ ไปนะ ไม่มีอะไรเลย เป็นแค่พิธีกรรมปฏิบัติ ศาสนพิธี ศาสนพิธีไง

ถ้าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ไม่ปฏิบัติ ก็ไม่มีใครกล้าประพฤติปฏิบัตินะ กลัวบ้า กลัวบ้าเพราะอะไร เพราะกลัวผี กลัวผีเพราะอะไร กลัวผีเพราะไม่ถึงพระรัตนตรัย ไม่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้ามันถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่กลัวผี เพราะผีนี้เป็นพวกสัมภเวสี พวกจิตวิญญาณต่างๆ เพราะเราถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมๆ สั่งสอนไว้หมดแล้ว ใครทำบุญก็ได้บุญ ใครทำบาปก็ได้บาป ใครทำชั่วก็ได้ชั่ว ใครทำดีก็ได้ดี มันเป็นข้อสัจจะ มันเป็นข้อเท็จจริงอยู่แล้ว มันมีอยู่ในวัฏฏะ มันมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน มันเป็นข้อเท็จจริง ในธรรมชาติของมัน 

แล้วเราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีหัวใจที่ถึงพระพุทธศาสนา ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คุ้มครองดูแล มันจะไปกลัวอะไรกับผี ผีเผอ ไม่กลัว มันจะหาผีหากิเลสในใจตัวเองต่างหาก ถ้ามันหาผี หากิเลสในใจของตน มันจะกลัวผีกลัวสางที่ไหน นี่ไง ถ้ามันไม่ กลัวผีกลัวสางขึ้นมา มันก็เป็นชาวพุทธไง

แต่ไอ้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นผี เห็นสาง เห็น กลัวร้อยแปด นั่นมันเป็นพิธีกรรมนะ พิธีประพฤติปฏิบัติ ศาสนพิธี เห็นไหม ชาวพุทธเราไม่รู้จะทำสิ่งใดก็มีศาสนพิธี แล้วไอ้นี่แค่พิธีปฏิบัติ พิธีปฏิบัตินะ โดยคนที่ทุกข์คนที่ยากนะ เวลาเข้ามา ในพระพุทธศาสนาแล้วตรึกในธรรม ตรึกในธรรม เห็นไหม ตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันวาง มันวางทุกข์ได้ 

แนวทางปฏิบัติในโลกนี้ทำได้แค่นี้แหละ ทำได้แค่นี้ ทำ ได้แค่เท่าทันความคิดของตน แล้วมหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์ ยอดเยี่ยม แล้วทำซ้ำทำซากคือสิ้นกิเลส เพราะทำได้แค่นั้น แล้วก็ คิดว่านั่นเป็นธรรม นั่นเป็นธรรมนะ เพราะอะไร เพราะนี่ไง กิเลสในหัวใจของสัตว์โลกน่ากลัวนัก แล้วสิ่งที่ทำได้ ทำได้แค่นั้น แล้วนี่โลกเป็นใหญ่ไง

แล้วถ้าเป็นพระกรรมฐานๆ พระกรรมฐานที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอบรมบ่มเพาะขึ้นมา เห็นไหม มีวัตรปฏิบัติขึ้นมา ให้ประพฤติปฏิบัติเป็นบุคคล ๔ คู่ขึ้นไป จนถึงที่สุด แห่งทุกข์ไง 

แล้วถ้าตัวเองประพฤติปฏิบัติไม่ได้มันก็ไปทำแบบนั้น เข้ากับโลก ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาฆ่ากิเลสก็ไม่เคยเห็นกิเลส ฆ่ากิเลสก็ไม่รู้กิเลสอยู่ที่ไหน แล้วกิเลสที่มันอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกมัน น่ากลัวนะ น่ากลัวว่าเราบวชเป็นพระ เราต้องเหนือกว่าโลก แล้วเราไม่มีอะไรที่เหนือกว่าโลก เราก็เลยไปเอาโลกเป็นใหญ่ไง ไปคลุกคลีตีโมงกับเขา มันเท่าทันกิเลส มันใช้สติปัญญาแล้วมัน วางได้หมดแล้วแหละ มันวาง ก็มันเท่าทันอารมณ์อย่างนั้น

อันนี้เวลาพระกรรมฐานเวลาใช้ปัญญาวิมุตติ เขาเรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิ ตรึกในธรรม ตรึกในธรรมด้วยสติด้วยปัญญา แล้วมีสติควบคุมไป ถ้าเท่าทันมัน มันก็ทันอารมณ์ พอทันอารมณ์มันก็ปล่อย มันก็วางไง พอวาง “โอ้โฮยเมื่อก่อนทุกข์มาก เดี๋ยวนี้ไม่มีความทุกข์เลย โอ้โฮพระพุทธศาสนานี้ยอดเยี่ยม

ได้แค่นั้น เข้าไปสู่ความจริงไม่เป็น เพราะอะไร

เพราะในวงกรรมฐานนะ เวลาพุทธานุสติให้กำหนดพุทโธๆ พอจิตสงบแล้วมันมหัศจรรย์กว่านั้น ความมหัศจรรย์เพราะว่าเท่าทันอารมณ์ เขาเท่าทันอารมณ์ไง แต่กรรมฐานๆ หายใจเข้า นึกพุท หายใจออกนึกโธ จิตถ้ามันสงบแล้ว รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เวลาจิตมันเสวยอารมณ์ๆ ก็เสวยโดยสัญญานี่แหละ สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ สังขาร มันปรุงมันแต่ง ถ้าเวลามันเท่าทันของมันแล้วมันเท่าทันขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มันทำงานไม่ได้ พอขันธ์ ๕ ทำงานไม่ได้ ตัวมันเองจะเป็นสัมมาสมาธิ ตัวมันเองจะเป็นอิสระของมันไง

มันไม่ใช่เท่าทันอารมณ์ไง ไอ้เท่าทันอารมณ์นั่นน่ะเป็นแค่สัญญาอารมณ์ทั้งสิ้น แล้วสัญญาอารมณ์หลายๆ รอบขึ้นมา มันบอกนี่เป็นธรรม มันเป็นธรรม มันเป็นธรรมเพราะอะไร มันเป็นธรรมเพราะเราวางไง เพราะธรรมะมันมีอยู่โดยดั้งเดิมไง แล้วถ้าเป็นธรรมๆ นะ จิตมันประภัสสรนะ จิตมันเป็นประภัสสรนะ มันยังไม่เคยรู้เคยเห็นมันประภัสสรแล้วนะ ไอ้นี่อ้างอิง จิตประภัสสรนั่นน่ะมันกระดองเต่า มันกระดองเต่า 

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม เวลาปฏิบัติขึ้นมา เวลาเต่า เห็นไหม ด้วยสติด้วยปัญญาการเท่าทันอารมณ์ไง ถ้าใครมีทุกข์มียากก็หดตัวเข้ามา เต่ามันมีแขน มีขา มีหัว เวลาเจออะไรก็หดหัว หดหัว หดขาเข้ามาเลย “โอ้โฮธรรมมันมีอยู่โดยดั้งเดิม” ธรรมะกระดองเต่า มันจะธรรมะอะไรกระดองเต่า เขาเอาไว้หลบภัย

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายมหาศาล เวลาท่านยกตัวอย่างไง ถ้าเราเจอภัย เห็นไหม ท่านเปรียบเหมือนเต่า เต่าถ้ามันเจอภัยขึ้นมา มันจะหดแข้งหดขา เข้ามา มันอยู่ในกระดองของมัน แล้วใครทำอะไรมันไม่ได้ มันก็ หดอยู่อย่างนั้น หดอยู่อย่างนั้นมันพ้นภัยไหม นี่พูดถึงว่าท่านเปรียบเทียบถึงอารมณ์ เปรียบเทียบถึงหัวใจของคน เปรียบเทียบถึงความโง่เขลาที่ไม่รู้เหนือรู้ใต้แล้วออกไปเสวย ออกไปหยิบ ไปจับ ไปคว้า ให้มันทุกข์ให้มันยาก 

แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ ขึ้นมา เห็นไหม เรามีสัญญาอารมณ์ เราเท่าทันของเรา เราเห็นเหตุเห็นผล เรามีความจำเป็นอะไร ต้องไปหยิบไปจับ ตีนเต่ามันก็แค่เดิน ปากเต่าก็ไว้กินกล้วย กินอาหารไง เวลาภัยมามันก็หดเข้ามาเลย หดเข้ามา 

วางแล้ว จิตเป็นประภัสสร

ธรรมกระดองเต่ามันประภัสสรตรงไหนเต่าทั้งตัวอยู่ นั้นนั่นมันประภัสสรที่ไหนประภัสสรมันคืออะไร ประภัสสรมันคืออวิชชา ประภัสสรมันคือกิเลส เอ็งรู้จักกิเลสไหม เพราะ ไม่เคยเห็นกิเลสไง เพราะไม่เคยเห็นกิเลส ไม่รู้จักกิเลส มันเลย สวมเขาไง สวมรอยว่าเป็นธรรม กิเลสทั้งนั้น นี่ไง ถ้ามัน ไม่เป็นธรรม 

ถ้าเป็นธรรมๆ นะ เรามีครูบาอาจารย์ของเรา แล้วครูบา-อาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติท่านไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับโลก ไม่มีเทศบาลหนึ่ง เทศบาลสอง ธรรมะไม่เกิดในที่ชุมชน ธรรมะไม่ได้เกิดด้วยการคลุกคลีกัน มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปได้ถ้า มีสติมีปัญญามีการแสวงหามีความจริงใจอย่างนี้ไง มันแค่เบสิก แค่พื้นฐานว่า เราจะแสวงหานะ ถ้าแสวงหาแค่พื้นฐาน แสวงหา เราจะเข้าไปในชุมชนหรือเราจะเข้าไปที่วิเวก

โอ๊ยก็ฉันปฏิบัติมาแล้ว ฉันอยู่กับครูบาอาจารย์มา ฉันวิเวกมาตลอด” วิเวกก็สักแต่ว่าทำ วิเวกไปอยู่กับครูบาอาจารย์ มีครูบาอาจารย์ก็ไปอาศัยท่านอยู่ก็เท่านั้นแหละ 

แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา มันเป็นจริงที่หัวใจดวงนี้ ถ้ามันเป็นจริงหัวใจดวงนี้มันเห็นคุณค่า คนที่เขาเห็นคุณค่า เห็นไหม สิ่งที่วัตรปฏิบัติขึ้นมา เขาให้เพื่ออ่อนน้อมถ่อมตน เพื่อให้เข้าสู่ สัจธรรม ไม่ใช่เพื่อการันตีว่าตนเองมีคุณธรรม หลวงปู่มั่นท่าน พูดไง “ให้มีข้อวัตรปฏิบัติติดหัวใจมันไว้ แล้วให้มันเทียบเคียงกับที่มันทำมันจริงหรือเปล่า นี่ที่มันทำอยู่จริงไหม” เพราะมันไม่จริงนะ มันถึงไม่มีข้อเท็จจริง 

เวลาประพฤติปฏิบัติบุคคล ๔ คู่ มันต้องขึ้นไปอีกมากมายมหาศาลเลยนะ มันมีสมถกรรมฐาน วิปัสนากรรมฐาน วิปัสสนา-กรรมฐานเวลายกขึ้นไปแล้ว นี่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มันเป็นสเต็ปๆ เป็นขั้นตอน เพราะ คำว่าเป็นขั้นตอน” เพราะมรรคหยาบ มรรคละเอียด มันโอ๊ยมันมากมาย มากมายอีกมหาศาลเลย 

ถ้ามันจะทำข้อเท็จจริงว่า คำว่า “เป็นธรรม” ไง คำว่า “เป็นธรรม” ธรรมคือมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา คือมรรคผลไง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ตามข้อเท็จจริง ที่มันเกิดขึ้นตามความเป็นจริง นี่ภาคปฏิบัตินะ ถ้าภาคปฏิบัติพระกรรมฐานเขาทำกันอย่างนี้ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น อบรมบ่มเพาะมามันถึงมีเพชรน้ำหนึ่งๆ เพชรน้ำหนึ่งมันเคี่ยวกรํามา จนเป็นสัจจะเป็นความจริงไง

ไม่ใช่ไปออเซาะฉอเลาะอยู่กับโลกเขา นั่นมันพิธีปฏิบัติ พิธีปฏิบัติธรรมไง นี่ไง ชาวพุทธๆ เรามีศาสนพิธี ศาสนพิธีขึ้นมาก็เพื่อชาวพุทธจะมีพิธีกรรมขึ้นมาไง ถ้าไม่มีพิธีกรรมขึ้นมา เราจะเข้าวัดเข้าวาประกอบพิธีกรรมให้มันสำเร็จลุล่วงไปให้ได้บุญกุศลอย่างไร ถ้าได้บุญกุศลอย่างนี้มันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม เวลาเขาทำบุญกุศลของเขา แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ มันก็เป็นภาวะรกรุงรังไปหมดเลย เขาถึงให้เป็นวัดบ้าน วัดฝ่ายปฏิบัติ วัดบ้านวัดฝ่ายการบุญกุศล 

วัดป่าๆ เขาไม่ต้องการอย่างนั้น วัดป่าๆ เขาไปด้วย ความสงบความระงับ วัดป่าเขาเคารพบูชาในสถานที่ไง ในสถานที่ วัดวาอารามเป็นที่อยู่ผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีลก็ต้องความสงบความสงัดไง ลูกศิษย์กรรมฐานเขาถึงไปวัดไปวาด้วยความสงบระงับ เขาไปด้วยความเคารพบูชา แล้วเวลาเขาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม เขาไม่ส่งเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจไง นี่แค่เบสิก 

ไอ้ธรรมะกระดองเต่านั่นน่ะ ตีฆ้องร้องป่าวเลยนะ กระดองเต่าตีแล้วเสียงดังจะปฏิบัติแล้วนะ จะเดินจงกรมแล้วแหละ พร้อมกันหรือยัง” ตีระฆังๆ นี่วางให้หมด หดแข้ง หดขา หดหัวเข้ามาเลย “วางแล้ว ธรรมะมันมีอยู่ดั้งเดิม มันอยู่ที่เรา

โง่ได้ขนาดนั้นโง่ได้ขนาดนั้นโง่ได้ขนาดนั้นคนฉลาดแสดงออกมาด้วยความฉลาด คนโง่แสดงออกด้วยความโง่เขลา ความโง่เขลาเพราะไม่เคยเห็นข้อเท็จจริงในการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงนะ 

สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ควรทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจแล้วนี่ถ้าใจสงบระงับจนตั้งมั่นแล้ว ถ้ามีอำนาจวาสนาจะเห็นสัจจะตามความเป็นจริง เห็นสัจธรรม เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง

ถ้ามีวาสนาแสดงว่าบุคคลคนนั้นได้สร้างอำนาจวาสนาของเขามา อย่างเช่น ที่ว่าเราเกิดเป็นมนุษย์ บุญและบาป คนสร้างบุญมาคนนั้นมีอำนาจวาสนาในการประกอบสัมมาอาชีวะ ประสบความสำเร็จโดยชอบ คนที่สร้างเวรสร้างกรรมมาโดยบาปกรรมตกนรกอเวจี เห็นไหม นี่พระโมคคัลลานะ เห็นไหม ได้เคยทำลายชีวิตของแม่ ตกนรกอเวจี ตกจนพ้นจากนรกอเวจี ขึ้นมา ใช้เศษเวรเศษกรรมขึ้นมา จนมาสร้างอำนาจวาสนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย นี่ไง จนเป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์เดชรองจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

สิ่งที่เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม สิ่งเป็นจริงๆ สิ่งที่ว่าบุญหรือบาปที่เขาได้สร้างของเขามา ถ้าเขามีบุญกุศลของเขา เขาก็ได้สร้างได้ทำตามอำนาจวาสนาของเขา คนเวลาทำ สิ่งใดแล้วมันขาดตกบกพร่องขึ้นมานี่ขาดตกบกพร่องในปัจจุบันนี้ มันก็ทุกข์มันก็ยาก มันทุกข์มันยาก ตั้งแต่ทุกข์ยาก ตั้งแต่ตก นรกอเวจี ตั้งแต่ที่มันทุกข์มันยาก นี่มันเศษกรรมต่างหาก

นี่ไง ถ้ามันมีบุญมีกุศลมีจิตใจที่เป็นธรรม จิตใจที่อยากจะออกค้นคว้าออกแสวงหา เห็นไหม แบบพระโมคคัลลานะไง เขามีหลักเกณฑ์ของเขา เขาประพฤติของเขา เขามีสติปัญญาว่า เวลา กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อๆ ถ้ามันถูกมันผิดไง 

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปอยู่กับสัญชัย สัญชัยหลอกอยู่ตั้งหลาย...หลอกจนจะหมดพุง แล้วยังจะหลอกต่อไป แต่เขามีสติมีปัญญานะ “อันนี้ไม่ใช่แล้วล่ะ ถ้าเราหาครูบาอาจารย์ที่ใช่แล้ว เราอย่าทิ้งกันนะ” เวลาไปเจอของจริง เห็นไหม ธรรม ทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุมีผล

เราวางแล้วแหละ เราวางเรื่อยๆ วางบ่อยๆ” เพราะอะไร “เพราะธรรมะมันมีอยู่แล้วไง” มันเป็นกระดองเต่า เราหดเข้ามาๆ มันก็จบไง เวลาเขาจะฆ่าเต่านะ เขาจับโยนใส่ไฟเลย เขาต้มเป็นๆ เลยนะเต่า มันปลอดภัยแล้วแหละ เพราะเราวางหมดแล้ว มันเป็นได้แค่นั้นเองหรือ ไอ้นี่มันคนที่มีวาสนาหรือไม่มีวาสนา ถ้ามีวาสนาเขาก็ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติแบบนั้น ถ้าเขาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติแบบนั้นมันก็เป็นพิธีกรรมประพฤติปฏิบัติ

เพราะเกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราถึงชื่นชมหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านมาฟื้นฟูในการประพฤติปฏิบัติ ท่านมาฟื้นฟูว่าให้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่สมบูรณ์แบบไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม กราบธรรม พระสงฆ์ๆ นี่พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก ถ้าสงฆ์จริงๆ มันควรมีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ ถ้ามีคุณธรรมขึ้นในหัวใจมันจะกราบองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าจากหัวใจเลย ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้กราบจากมือ ไม่ได้กราบ ใจมันกราบหมดก่อนแล้ว มันไม่ฝืนธรรมฝืนวินัยหรอก ธรรมและวินัยเป็นศาสดา

นี่ไง เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านพูดไง “เหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้วแสดงธรรม” พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างหนึ่ง ธรรมและวินัยบอกไว้อย่างหนึ่ง มันทำอีกอย่างนะ มันทำตามกิเลสในหัวใจที่น่ากลัว กิเลสที่น่ากลัวมันบังคับให้ทำจนตัวเองก็ทนไม่ไหวแล้วทำออกไป คนที่มีหูมีตาเห็นแล้วเศร้า ปลงธรรมสังเวช ปลงธรรมสังเวช 

นั้นมันโมฆบุรุษตายเพราะลาภนะ วิ่งไปเพราะอยากได้ลาภ อยากได้สักการะ อยากให้คนนับถือบูชา แล้วทิ้งพฤติกรรมของสงฆ์ ทิ้งๆ ศากยบุตร จับชายจีวรพระพุทธเจ้าอยู่แล้วไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าเหมือนเท่ากับอยู่ห่างไกล ไอ้นี่ ห่มจีวรอยู่เลย ห่มผ้ากาสาวพัสตร์นะ แต่วิ่งแต๊ดๆ ไปตามโลก “เราวางแล้ว เราวางแล้ว จิตมันประภัสสร มันมีอยู่โดยดั้งเดิม

จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตนี้ไม่เคยตาย ถ้าจิตนี้ ไม่เคยตาย มันตายไม่ได้ไง มันตายไม่ได้เพราะอะไร เพราะมัน เป็นผู้รู้ นี่ผู้รู้ เวลาผู้รู้ เห็นไหม ผู้รู้คือจิต ที่ไหนมีจิตที่นั่นมีภพ ความรู้สึก ภวาสวะ กิเลสมันมี ๓ มีภวาสวะ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ อาสวะ ๓ ภวาสวะคือภพ ถ้าภวาสวะคือภพนี่ภพที่เป็นนามธรรม มันเสวยภพเสวยชาติ มันถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง นี่แล้วใครไปทำลายมันล่ะ 

สิ่งที่จะทำลายได้คือมรรค ๘ อาสวักขยญาณขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำลายอวิชชา ทำลายภวาสวะ นี่ทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยากโดยมรรคญาณ นี่ญาณในธัมมจักฯ ในมรรค ๘ ถ้ามัน เป็นจริงขึ้นมา มันเป็นจริงอย่างนั้น จิตนี้ทำลายไม่ได้ ความรู้สึกมันเป็นนามธรรม ความคิดแก้ไขได้โดยเหตุโดยผล นี่โดยเหตุผลเราเจรจากันด้วยข้อเท็จจริง เราเปลี่ยนแปลงความคิดได้ แต่เราฆ่าความคิดเขาได้ไหม เราทำลายความคิดคนอื่นได้ไหม 

แม้แต่ แม้แต่อภิญญาไง รู้วาระจิตก็รู้วาระจิต หลวงปู่มั่นนี่เวลาลูกศิษย์ลูกหาไปกราบท่าน “แหมจิตของตนเองไม่ดู จะให้ครูบาอาจารย์ดูให้” นี่มันแค่ดักแค่รู้ไง ทำลายได้ไหมผู้รู้ ทำลายไม่ได้ จิตทำลายไม่ได้ จิตไม่เคยตาย แต่ภวาสวะ กิเลส อวิชชาตายได้ ตายได้ตายด้วยมรรค ๘ ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงไง

ฉะนั้น ว่า “จิตเป็นประภัสสร มันมีอยู่โดยดั้งเดิม” ดั้งเดิมอย่างไร ดั้งเดิมมันก็กระดองเต่าไง นี่หดหัวหดขาเข้ามาเลย แล้วอยู่ในกระดองเต่านะ นิพพาน ดั้งเดิม ใครๆ เขาเคารพบูชา เขาจะเอาไปต้มอยู่เนี่ย กิเลสมันกำลังจะเผาไฟอยู่เนี่ย มันเคารพบูชาอะไร อ้าวใครเคารพบูชา นี่มันไม่มีพื้นฐานอะไรเลย

นี่ไง “จับชายจีวรอยู่ ไม่ประพฤติปฏิบัติตามเรา ถือว่า อยู่ห่างไกลมาก” ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกคติธรรมเรื่องของกระต่าย เรื่องของเต่า เรื่องต่างๆ ท่านยกคติธรรมเพื่ออบรมบ่มเพาะสงเคราะห์ผู้ที่เห็นผิด ผู้ที่ไม่รู้จัก ว่าผู้รู้หรือนามธรรมจะแก้ไขอย่างไร ท่านยกเป็นบุคลาธิษฐาน ธรรมาธิษฐาน เพื่อให้ผู้ที่ฝึกหัดได้เห็นเป็นภาพชัดเจน

อ๋อทำอย่างนี้ใช่ไหม หดเข้ามาอย่างนี้ใช่ไหม” มันเป็น บุคลาธิษฐาน ธรรมาธิษฐาน ในพระไตรปิฎก เรื่องเต่าหดหัว แต่มันไม่ใช่บอกว่า “มันมีอยู่แล้ว ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม จิตประภัสสร” มันฟ้องถึงว่าทำสมาธิไม่เป็น

ถ้าทำสมาธิเป็นนะ เวลาจิตมันลงสู่สมาธิมันสว่างไสว สว่างไสวประภัสสรหรือเปล่าเวลาจิตมันรวม มันเป็น มันมีแสงสว่าง มันประภัสสรหรือไม่แล้วเวลาจิตมันชำระกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เวลามันไปถึงตัวจริงของจิตประภัสสร มันเป็นอย่างไรจิตตัวจริงของจิตประภัสสรน่ะ จิตประภัสสร จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้เศร้าหมองด้วยอุปกิเลส 

อุปกิเลส กิเลสอย่างละเอียดที่ห่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้ว ไม่รู้จักมันล่ะ ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ด้วยนะ แหมชี้โน่นก็กิเลส นี่กิเลส วางให้หมดเลย แล้วเรามาอยู่ธรรมกระดองเต่า แต่เวลา อุปกิเลส แสงสว่าง ความว่าง ความสุข อุปกิเลสทั้งนั้น

เวลาพระกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ที่ท่านอบรมบ่มเพาะ ใครทำความสงบแล้วอย่าคุย อย่าโม้ ใครฝึกหัดใช้ปัญญาแล้ว อย่าพูด เพราะการพูดนั่นน่ะมันเป็นพลังงานที่ส่งออก แล้วพอพูดแล้ว พูดแล้วมันเคยตัวไง เขาห้ามพูด ห้ามส่งออก ห้ามเทศน์ด้วย เขาพยายามจะสร้างขึ้นมาให้มันมั่นคงขึ้นมาในใจของตน ถ้าใจมั่นคงขึ้นมามั่นคงด้วยอะไร มั่นคงด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยการรักษา จิตเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เจริญอย่างไร 

คนที่ทำงานมาแล้ว นักกีฬาหรือชีวิตของคนทุกคนต้องมีอุปสรรค องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ขั้น ๑ ขั้น ๒ ขั้น ๓ มาอยู่ถ้ำสาริกา ๓ ปี กว่าจิต มันจะรวม เวลาจิต เห็นไหม เวลาพิจารณาไปแล้ว เวลากาย กับใจมันแยกออกจากกัน โลกนี้ราบหมดเลย มันเป็นอย่างไรเวลามันขาด ขาดอย่างไรเวลาพิจารณาไปแล้วมันเป็นอย่างไรไม่รู้จักหรือ?

นี่ไง ห่มจีวรผ้ากาสาวพัสตร์แล้วพยายามจะไปสู่โมฆบุรุษไปสู่สำนักปฏิบัติทั่วๆ ไปที่เท่าทันอารมณ์ของตน นั่นจะไปเป็นโมฆบุรุษไง ตายเพราะลาภสักการะ ตายเพราะว่า “เราวางแล้ว” เขาก็วาง เขาวางอารมณ์เหมือนกัน 

ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิคือปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าปัญญาอบรมสมาธิแล้วทำบ่อยครั้งเข้าๆ ด้วยอำนาจวาสนาของตน สมาธิจะมั่นคงและดีงามขึ้น แล้วถ้าสมาธิมันดีงามขึ้นแล้ว มันเป็นสมถ-กรรมฐานก็ยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน มันก็จะเป็นสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระ ถ้ามันไม่เข้าสู่วิปัสสนากรรมฐาน มันเป็นสุตมยปัญญา มันอยู่ฝ่ายปริยัติ มันอยู่ฝ่ายคามวาสี วัดบ้านๆ 

หลวงปู่มั่นท่านพูดไว้แล้ว “ต่อไปวัดป่าจะกลายเป็น วัดบ้าน วัดบ้านมันจะกลายเป็นวัดบ้า

วัดป่านี่ เห็นไหม มีข้อวัตรปฏิบัติแล้วพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบระงับแล้ว ถ้ามีครูบาอาจารย์ เห็นไหม ท่านพยายามให้โอกาสพยายามคุ้มครองดูแลนะ พยายามแสวงหา ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนาอย่างที่ว่านี่มันจะเห็นตามความเป็นจริงเลย แต่ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนาก็รำพึง รำพึงคือคิดในสมาธิ 

สมาธิมันคิดไม่ได้ สมาธิมันเป็นหนึ่งจะคิดได้อย่างไร” 

เอ้าคิดไม่ได้ก็คือคิดไม่ได้ไง คิดไม่ได้ก็ฝึกหัดใหม่ เด็กๆ มันได้ตังค์มันเก็บซ่อนอย่างดีเลย มันกลัวหาย คนทำสมาธิใหม่ๆ เป็นอย่างนั้นน่ะ “โฮยฟุ้งซ่านเกือบตายกว่าจะทำสมาธิได้ แล้ว ทำสมาธิจะให้คิดอีกหรือ โอ้ยมันก็ต้องกลับไปฟุ้งซ่านอย่างเดิมใช่ไหม

ไม่ใช่สมถกรรมฐานมันก็อยู่ในสมถกรรมฐาน สมถ-กรรมฐานเป็นพื้นฐาน พื้นฐานก้าวหนึ่งของพระกรรมฐาน การยกขึ้นสู่วิปัสสนาคือความฝึกหัดจิตยกขึ้นสู่ขั้นของปัญญา สมถกรรมฐานขั้นของทำความสงบ ขั้นของสมาธิ 

ไม่มีสมาธิเราจะไม่เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง เราจะจับกิเลสของเราไม่ได้ 

สัมมาสมาธิเป็นผู้จับ เป็นผู้จับ เป็นพื้นฐาน เป็น ภวาสวะไง นี่เป็นพื้นฐานที่เราจะชำระล้างจิตตภาวนาในจิตของ ตน สมาธิจับยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนาขั้นของปัญญา ปัญญาเท่านั้นเป็นผู้ประหัตประหาร ปัญญาเป็นผู้ตัด แต่ต้องเป็นภาวนามยปัญญา ไม่ใช่สุตมยปัญญา ไม่ใช่โลกียปัญญา 

สุตมยปัญญา โลกียปัญญา เห็นไหม สิ่งที่เป็นปัญญาโลกๆ เป็นปัญญาโดยสัญชาตญาณ กิเลสมันร่วมด้วย มันมีสมุทัยมี ตัวตน มีกิเลสเป็นผู้บงการ เป็นไปไม่ได้ แต่ที่มันจะเป็นไปได้นี่ มันต้องมีความสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน แล้วถ้ามัน ยกขึ้นสู่วิปัสสนาโดยปัญญาญาณ ปัญญาญาณ ฟังสิ ปัญญาญาณ ไม่ใช่ปัญญาท่องจำ ไม่ใช่ปัญญาสัญญา 

ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติท่านห่วงใยตรงนี้มากที่สุด หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกว่า หลวงปู่มั่นเวลาเทศน์ถึง ที่ไฮไลต์ ถึงที่ความจำเป็นของขั้นของปัญญา ท่านจะก้าวข้ามไปก้าวข้ามไป ท่านบอก “ไม่ได้กิเลสมันร้ายนัก กิเลสในหัวใจสัตว์โลก ร้ายนัก มันจะจำ พอมันจำแล้วมันจะไปสร้างภาพ มันไปสร้างภาพ มันจะสร้างขณะ มันจะสร้างโอกาสด้วยการฆ่ากิเลส” 

นี่ไง ครูบาอาจารย์ที่เป็นข้อเท็จจริง หลวงปู่มั่นท่านจะละไว้โดยการรู้เท่ารู้ด้วยกันกับผู้ที่มีคุณธรรมเหมือนกัน หลวงตา พระมหาบัวท่านก็บอก “ถ้าพูดไปเดี๋ยวมันเป็นสัญญา” ท่านเทศน์ หม้อจิ๋ว หม้อจิ๋วไม่อัดเทปนะ เราเคยอยู่กับท่านนะ เทศน์บนศาลาท่านสั่ง “ปิดเทป!” ไอ้พวกเราก็ไม่ปิดนะ ดื้อ อยากจะได้ของดีเก็บไว้ไง “ปิดเทป!” ไม่ปิด “ไม่ปิดจับปาทิ้งเดี๋ยวนี้” โอต้องรีบๆ ปิดเลย 

นั่นน่ะหม้อจิ๋ว ท่านไม่ให้เก็บไว้ เพื่อถ้ามันหม้อจิ๋วก็เฉพาะ สงเคราะห์ สงเคราะห์คนที่กำลังประพฤติปฏิบัติ สงเคราะห์คนที่ ติดขั้นอย่างนั้น แล้วถ้าคนอื่นมันได้ยินนะ นี่ไง ปฏิบัติพอเป็นพิธี แล้วมันก็เอาการปล่อยวาง “วางแล้ว วางแล้วนะ วางแล้วมัน จิตประภัสสร” ประภัสสรมันก็เลยกลายเป็นกระดองเต่า กระดองเต่าเพราะมันหดแข้งหดขาเข้ามา แล้วมันบอกว่ามันปลอดภัยไง มันไม่เคยเห็นพรานหรอก เดี๋ยวเขาจะจับมันไปต้ม มันจะโดนต้มอยู่แล้วนะมันยังไม่รู้ตัวเลย 

แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงนะ ความที่ว่ามันเป็นความสำคัญ เวลาครูบาอาจารย์ ทำไมหลวงปู่มั่นท่านพูดกับหลวงตาไง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วนะ เก็บใส่ลิ้นชักสมองไว้ อย่าให้มันออกมา แล้วลั่นกุญแจมันไว้ แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงแล้วมันจะเป็นอันเดียวกัน

ปริยัติที่เรียนมานั่นน่ะ นั่นธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครโต้แย้งได้หรอก แต่กิเลสที่มันร้ายนัก กิเลสที่มันอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก มันไปเลหลัง มันไปเหมารวมว่ามันแน่ มันรู้ มันเก่ง มันเลยไม่เก่งเลย ไม่เก่งเพราะอะไร 

เถยจิตนะ จิตที่มันเถยฯ จิตที่มันอยากได้ เถยจิตคือมัน ก้าวล้ำหน้าพฤติกรรมกิริยาของเรา ความอยากได้ ความอยากรู้ ความอยากเห็น มันแสดงออก ถ้าคนมันไม่อยากได้ ทำไมโลกเขามา ทำไมไปแสดงกิริยาแบบว่าโลกมันยิ่งใหญ่เหลือเกิน

หลวงตานะ ทิ้งเข้าป่าทิ้งเข้าป่า!” ของอะไรมามันก็ไม่มีค่าหรอก มันไม่มีค่าเกินธรรมะในหัวใจของคนที่มีธรรมได้ เพียงแต่อยากสงเคราะห์โลก การสงเคราะห์โลกคือให้เขาได้ สร้างบุญสร้างกุศลของเขา เนื้อนามันควรเป็นประโยชน์กับใครบ้าง 

ถ้าเขาฉลาดเขาก็พยายามฝัง เห็นไหม หาเงินมาได้ ๑ บาท เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่สลึงหนึ่ง ทำธุรกิจการค้าสลึงหนึ่ง เลี้ยงครอบครัวสลึงหนึ่ง เหลืออีกสลึงหนึ่งฝั่งดินไว้ไง เนื้อนาบุญของโลกคนที่ฉลาดเขาจะฝังทรัพย์ของเขาในเนื้อนานั้น สงเคราะห์เขา ไม่ใช่ว่าเห็นอะไรแล้วก็ตาลุกตาวาว เถยจิต มันอยากได้อยากดี ไอ้ธรรมกระดองเต่าขายขี้หน้าอายชาวโลกเขาเอวัง