เทศน์บนศาลา

ธรรมแท้จริง

๑๙ ธ.ค. ๒๕๖๔

ธรรมแท้จริง

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๔

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่ .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมามากมายมหาศาลกว่าจะรื้อค้นธรรมะนี้ขึ้นมา ธรรมะเป็นสัจธรรม เป็นสัจธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมนี้เป็นสิ่งที่เราแสวงหา การแสวงหา แสวงหาด้วยความชอบธรรม ถ้าแสวงหาด้วยความชอบธรรม เราตั้งใจด้วยสัจจะด้วยความเป็นธรรม ถ้าความเป็นธรรมๆ ธรรมะคืออะไร ธรรมะคือสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่คืออะไร ยิ่งใหญ่เพื่อให้เราเข้าใจ ให้เราแสวงหา ให้เรามีการกระทำ เพื่อให้หัวใจดวงนี้มีธรรมๆ

เพราะหัวใจดวงนี้มันเป็นสิ่งมีชีวิต จิตที่ไม่เคยตายๆ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะตามแต่ยถากรรม ถ้าเราเป็นชาวพุทธไง เราชาวพุทธเราเชื่อเรื่องเวรเรื่องกรรม เราจะสร้างคุณงามความดีของเรา เราจะสร้างบุญกุศลของเรา จิตใจของเราก็ยังมีที่พึ่งที่อาศัย แต่คนที่เขาไม่เชื่อในพระพุทธศาสนา เขาเชื่อในลัทธิ ลัทธิความเชื่อของเขา ลัทธิความเชื่อของเขา เขาก็ว่าทำดีๆ ของเขา แต่ก็ทำความดีทำดีในทางโลกนี้ไง ทำความดีทางโลก ทำดีทางโลก ทางโลกก็สิ่งที่เราเห็นกัน สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่ว่าเป็นคุณงามความดีๆ มันก็ระดับของทานไง

ระดับของทาน ระดับของศีล ระดับของการภาวนา การภาวนาๆ มีในพระพุทธ-ศาสนา เวลาพระพุทธศาสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ที่ไหน ก็ตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวน เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วไปเห็นสมณะไง เห็นสมณะที่เขาประพฤติปฏิบัติของเขา นี้คือทางออกๆ 

แต่แต่ทางออกเป็นทางออกในความเห็นในมุมมองของเจ้าชายสิทธัตถะ แต่ไม่ใช่ทางออกสิ่งที่เห็นว่าเป็นสมณะๆ สิ่งที่ว่าเป็นเทวทูต สิ่งที่ว่าเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายนั้นก็เป็นเทวดาเป็นเทวทูตมาทำให้เห็นธรรมด้วยบุญด้วยกุศลของท่าน ได้เห็นสมณะๆ เห็นสมณะมันจะเป็นทางออกว่าสิ่งที่แสวงหาความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เวลาออกประพฤติปฏิบัติ ๖ ปี ๖ ปี มันก็ค้นคว้าเข้ามาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาไง 

ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครอบครัวของมารๆ สิ่งที่จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีมาร มันมีอวิชชา มีความไม่รู้ มันถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะโดยสัจจะโดยความจริง มันเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ไม่มีใครเคยค้นคว้าแสวงหาสิ่งนี้ได้ในสัจจะในความจริง เพราะเขาไม่มีอำนาจวาสนา 

ผู้ที่ตรัสรู้เองโดยชอบ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้นสร้างบุญสร้างกุศลคุณงามความดีของท่านมา ด้วยอำนาจวาสนาของท่าน ด้วยจิตที่มีกำลังของท่าน ท่านมีการกระทำของท่านในหัวใจของท่าน นี่ไงเวลาองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นกิเลสแล้ว วิมุตติสุข วิมุตติสุขไง วิมุตติสุขคือมันเป็นความสุขเหนือโลก เหนือสงสาร เหนือวัฏฏะ

แต่ถ้าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ว่ามีสุขมีทุกข์ มันสุขทุกข์ในเวทนาไง เวลาสุขทุกข์ในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา เราเข้าได้เท่านี้เท่านั้น ถ้าเราเข้าได้เท่านี้เท่านั้นมันก็อยู่ที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากของใครหยาบละเอียด ถ้ามันหยาบๆ ความที่ประสบความสำเร็จทางโลก ของแค่หยาบๆ มันก็เป็นความสุขของเขา มันเป็นความพอใจของเขา เขามีอำนาจวาสนาของเขาเท่านั้น คนที่ละเอียด เห็นไหม เขาก็มีความสุขโดยความประณีตของเขา เขาว่าสิ่งนั้นเป็นความสุขของเขา ความสุขนี่ความสุขประจำธาตุขันธ์ 

เวลาว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์เป็นภาระเป็นหน้าที่ เวลาครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านบอกว่า “ขันธ์ทำงานๆ” นี่ขันธ์ทำงานโดยข้อเท็จจริง กายกับใจ กายกับใจไง ร่างกายมีธาตุ ๔ ธาตุ ๔ เป็นมหาภูตรูปเป็นเรื่องของร่างกาย เวลาขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไง ขันธ์ ๕ นี่เป็นนามธรรม สิ่งนี้เวลาขันธ์มันทำงานๆ ไง เวลาขันธ์มันทำงานมันทำงานโดยธรรมชาติของมัน เพราะ เพราะมันไม่มีอวิชชา มันไม่มีกิเลส ไม่มีครอบครัวของมารคอยครอบงำ มันเลยเป็น ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ที่เป็นภาระ 

แต่จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาโดยสัจจะโดยความจริงขึ้นมานั้นเป็นขันธมาร ความรู้สึกนึกคิดเป็นมารหมดเลย เพราะมารมันครอบงำไง พอมารมันครอบงำมันก็เลยเป็นอวิชชาไง อวิชชาก็เป็นความมืดบอดไง มืดบอดก็ความไม่เข้าใจของเรานี่ไง เพราะความไม่เข้าใจๆ แต่แต่เรามีอำนาจวาสนานะ เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา 

พระพุทธศาสนานี้ยิ่งใหญ่มาก ยิ่งใหญ่ที่จะปราบพญามารในหัวใจของสัตว์โลก ในหัวใจของสัตว์โลกนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนะ “เราเป็นผู้ชี้ทางๆ” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม โดยอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสวยวิมุตติสุขๆ นี่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเป็นวิวัฏฏะ นี่เหนือวัฏฏะ เหนือโลก เหนือสงสาร

เวลาเป็นวิวัฏฏะขึ้นมา เห็นไหม เป็นสัจจะเป็นความจริงในใจขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ก็กราบธรรมสัจธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมๆ นี่สิ่งที่เป็นสัจธรรมในใจมันถึงเป็นพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมา เราเกิดมา เห็นไหม เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเข้ามาที่นี่ๆ สอนเข้ามาที่นี่โดยสัจจะโดยความจริงมันมีข้อเท็จจริงๆ ข้อเท็จจริง เวลาในสมัยพุทธกาลนะ เวลาองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมๆ เวลาได้ปัญจวัคคีย์ ได้ยสะเป็น ๖๑ องค์ “เธออย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนักๆ ให้แยกกันไป” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปเอาชฎิล ๓ พี่น้องเป็นพระอรหันต์หมดเลย พระอรหันต์กับพระอรหันต์ พระอรหันต์มันมีวิมุตติสุข แต่เดิมมันเร่ามันร้อน ชฎิล ๓ พี่น้องบูชาไฟอยู่ สำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ สำคัญตน สำคัญตนโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ 

แต่แต่ด้วยการบำเพ็ญตบะธรรม เป็นพราหมณ์บูชาไฟๆ การบูชาไฟก็คือการควบคุมกิเลสไว้ในร่องในรอยไง ก็คิดว่าตัวเองมีคุณธรรมๆ ทั้งๆ ที่มีอภิญญาด้วยนะ เพราะบูชาไฟมันเป็นกสิณ มันเพ่งกสิณจนจิตสงบระงับได้แล้วสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปทรมาน ทรมานแล้วทรมานเล่าจนบอก “เธอไม่ใช่พระอรหันต์” คอตกเลย เพราะมันไม่ใช่จริงๆ แต่มันไม่มีใครบอก แล้วความสำคัญตน ความสำคัญตนว่าตนยิ่งใหญ่ แล้วตนยิ่งใหญ่ก็เชื่อมั่นในความเห็นของตนๆ นี่ไงมันถึงไม่ใช่เป็นสัจจะเป็นความจริง 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศน์อาทิตฯ ตาเป็นของร้อน กายเป็นของร้อน หูตาจมูกลิ้นกายใจเป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะโทสัคคินา โมหัคคินา โลภัคคินา เวลามันร้อน ร้อนเพราะโลภะ โทสะ โมหะ ถ้ามันร้อนเธอทำไมไม่ทิ้ง เวลามันทิ้งๆ มันมีสติมีปัญญาเข้าใจแล้วมันปล่อยมันวางตามความเป็นจริงอันนั้น พอปล่อยวางตามความเป็นจริงอันนั้นมันก็เลยสิ้นกิเลส พอสิ้นกิเลสไปเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ความเป็นพระอรหันต์พอเป็นพระอรหันต์แล้วจบ เพราะมันเป็นวิมุตติสุขมันทำลายอวิชชาในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติโดยความเป็นจริง มันก็เป็นสัจธรรม มันก็เป็นคุณธรรมในหัวใจดวงนั้นแล้วเสวยวิมุตติสุขๆ มันเป็นความสุขจริงๆ ในใจดวงนั้น 

นี่พูดถึงว่า ความเป็นจริงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนามันเป็นข้อเท็จจริงนะ แล้วพระอรหันต์มากมายมหาศาล เวลาพระอรหันต์มากมายมหาศาลเพราะอะไร เพราะสหชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณนะ ผู้ใดมีอำนาจวาสนาแล้วอายุสั้นเอาคนนั้นก่อน นี่มันเป็นวาสนามาก 

แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณๆ ผู้ที่เขามีวาสนา แต่ของเขาบารมีของเขายังไม่ถึงนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องให้เขามีอำนาจวาสนาเต็มจำนวนอำนาจวาสนาของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้แสดงอริยสัจ มันก็เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมามันเป็นสัจจะความจริงที่ไหน เป็นสัจจะความจริงในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ในหัวใจผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นถ้าเขามีอำนาจวาสนา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม นี่ชี้ทางบอกไง “เราเป็นคนชี้ทางเท่านั้น ในการประพฤติปฏิบัติมันต้องเป็นหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นรู้แจ้งในใจของผู้นั้น” 

นี่โมฆราช โมฆราช ไปขอฟังธรรมๆ ไง “เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิในหัวใจของเธอ” เราจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วเราก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็พยายามจะมองว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นอนิจจัง มันเป็นอนัตตา มันก็เป็นความว่าง ว่างของใครนี่ไงถ้ามันไม่มีอำนาจวาสนา เห็นไหม ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา 

ในสมัยพุทธกาลมากมายมหาศาล พระที่ประพฤติปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ขึ้นมานะ ก็มีวิมุตติสุขในหัวใจของท่าน แล้วท่านนิ่งของท่านนะ นี่ความเป็นสัจจะเป็นความจริงในหัวใจของท่าน มันมีความสุขในหัวใจดวงนั้น มันไม่ต้องไปให้ใครมานับหน้าถือตา เคารพบูชาตามแต่ศรัทธาของเขา เพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระสารีบุตร มีพระโมคคัลลานะ มีอัครสาวกต่างๆ ที่มีอำนาจวาสนาบารมีมากมาย

นี่พระอรหันต์ ในสมัยพุทธกาล คนที่ผิดปกติเป็นพระอรหันต์เขาไปล้อเล่นกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าเขาจะเป็นบาปเป็นกรรมของเขาไง “นั่นพระอรหันต์นะ” เขาไม่เห็นแสดงตนเลย เขาเป็นความปกติเพราะอะไร เพราะในใจของเขามีวิมุตติสุข แต่พระที่ประพฤติปฏิบัติ ฉัพพัคคีย์ สัตตรสวัคคีย์นี่เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้วไม่ได้มรรคได้ผลตามความเป็นจริงมากมายๆ จนทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติวินัยๆ วินัยนี่ห้าม ห้ามทำสิ่งที่กิเลสมันพยายามแสดงออกไง กิเลสมันเห็นแก่ตัว กิเลสมันทำร้ายตัวมันเอง กิเลส เห็นไหม เห็นครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติตามความเป็นจริงแล้วมันไม่พอใจต่างๆ ไปทำกระทบกระทั่ง ไปกล่าวตู่ไปต่างๆ มากมายมหาศาล ในพระไตรปิฎก นี่สมัยพุทธกาลไง 

สมัยพุทธกาลนะ ถ้าพูดถึงผู้ที่สัจจะเป็นความจริงมันก็เป็นความจริงนะ พอเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม เวลาล่วงเลยมา ล่วงเลยมา เวลามันเป็นยุคเป็นสมัยเป็นกาลโลกเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา สังคมมันเจริญขึ้นมาต่างคนต่างมีความรู้ความเห็นของเขาไป ในการนับถือพระพุทธศาสนามันก็เป็นสัญลักษณ์ๆ เท่านั้น เป็นสัญลักษณ์นะ 

แล้วเวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง มันเป็นสัญลักษณ์ เวลาพระจอมเกล้าฯ ท่านออกบวชของท่าน แล้วมันเป็นสัญลักษณ์ไง ธรรมและวินัยก็จารึกไว้เป็นอย่างหนึ่ง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติก็ปฏิบัติตัวเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นธรรมเนียมเป็นประเพณีวัฒนธรรม แต่สัจจะความจริงๆ เป็นอย่างไร มันก็อยู่ในตำราไง ผู้ที่ค้นคว้าๆ ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมาเขาจะค้นคว้าของเขา เวลาทำสังคายนาเพื่อทำความสะอาดบริสุทธิ์ เพื่อความถูกต้อง แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เพื่อปฏิบัติให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงนั้น

เวลาภาคปริยัติๆ ไง เขาบอก ภาคปริยัตินี่ชัดเจน การประพฤติปฏิบัติก็จะชัดเจน แล้วภาคปริยัติมันชัดเจน มันชัดเจนอยู่ในตำรับตำรานั่นไง แล้วความเชื่อในความเรียวแหลมของศาสนา เห็นไหม มันก็เป็นแค่สัญลักษณ์ๆ เวลาสัญลักษณ์ขึ้นมา คนที่ฝักใฝ่ตามความเป็นจริงขึ้นมา เขาจะค้นคว้าหาสัจจะความเป็นจริงขึ้นมา ทำสังคายนาๆ สังคายนาให้มันถูกต้องชอบธรรม 

แต่ในความจริงๆ สังคายนาที่ไหน ยุคที่เจริญที่สุดคือยุคขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า สหชาติๆ ใครได้เกิดร่วมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วมีอำนาจวาสนา ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณๆ ผู้นั้นเขาเคยมีอำนาจวาสนาอย่างใด พันธุกรรมของจิตของเขามีเวรมีกรรมสิ่งใด เวลาแก้จิตๆ เวลาแสดงธรรมๆ เข้าไปสู่หัวใจดวงนั้นไง มีดวงตาเห็นธรรมๆ มากมายมหาศาล ถ้าเวลาเกิดร่วมกับองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า

แล้วจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ศาสนาพุทธ พระพุทธศาสนาของเรา ๒,๕๖๐ กว่าปี กึ่งกลางพุทธศาสนาศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เวลาเจริญๆ เจริญต้องมีผู้มีบุญมีกุศลมาเกิด เวลามีบุญกุศลมาเกิด สิ่งนี้ฟื้นฟูมาเรื่องธรรมและวินัย เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเกิดขึ้นมา ท่านก็ศึกษาค้นคว้าของท่านเพื่อประโยชน์ในหัวใจของท่าน เวลาออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมายังคิดเลยว่าเพราะความปรารถนาๆ หลวงปู่เสาร์ ท่านปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหมือนกัน เวลาปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มาสร้างสมบุญญาธิการไง 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การเป็นพระโพธิสัตว์ที่สร้างสมบุญญาธิการมาเพื่อมีอำนาจวาสนา เพื่อมาแสวงหา มาขุดค้น มาเพื่อสัจธรรม ธรรมะมีอยู่ดั้งเดิมๆ แล้วดั้งเดิมของใคร ใครมีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหนที่จะเข้าถึงสัจธรรมอันนั้น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็สร้างบุญกุศลของท่านมา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ในเมื่อสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ๆ ก็จะต้องดำเนินการเป็นพระโพธิสัตว์ต่อเนื่องไป

แต่ด้วยวาสนาด้วยบุญกุศล เห็นไหม เวลาท่านพิจารณาของท่านเอง “ถ้าจะปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ก็ต้องสร้างคุณงามความดี เป็นหัวหน้าชักชวนให้คนทำบุญทำกุศลต่อเนื่องไป แล้วทำต่อเนื่องไปๆ จนกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละองค์จะมาพยากรณ์ ถ้าพยากรณ์แล้ว ก็จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปภายภาคหน้า เปลี่ยนแปลงไม่ได้

แต่ถ้าการสร้างสมบุญญาธิการๆ ก็เหมือนเรานี่แหละ ทำดีทำชั่ว ถ้าทำชั่วก็เป็นบาป ทำดีก็เป็นบุญเป็นกุศล การสร้างอำนาจวาสนาบารมี ความเป็นพระโพธิสัตว์ก็สร้างคุณงามความดีต่อเนื่องไป ทำดีต่อเนื่องไป แต่แต่ถ้ามีสติปัญญามันกลับมาทบทวนไง ถ้าเราสร้างคุณงามความดีต่อเนื่องไป อนาคตเราก็จะได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า 

แต่เวลาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์เป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์นะ เวลา เห็นไหม ในสมัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เป็นศาสดาเหมือนกัน แล้วเวลาสาวก สาวกะไง พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เอตทัคคะแต่ละองค์ๆ เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่อำนาจวาสนาแตกต่างกัน” 

เวลามันทบทวนมันคิดแล้วนี่ก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ถ้าเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ถ้ามีอำนาจวาสนาก็จะประพฤติปฏิบัติในภพชาตินี้ให้สิ้นกิเลสไป นี่พอทบทวน ทบทวนแล้ว เวลาทำความสงบของใจๆ ใจสงบระงับมาแล้วเวลาพิจารณากายไปแล้วนี่ด้วยความเป็นพระโพธิสัตว์นั้นไง มันก็ปกติ เพราะมันก็ต้องพิจารณาเป็นฌานเป็นสมาบัติไป เพราะเป็นความเป็นพระโพธิสัตว์ๆ จะเข้าสู่อริยสัจไม่ได้ 

ถ้าจะเข้าสู่อริยสัจถ้าเป็นพระโสดาบันอีก ๗ ชาติ คำว่า “๗ ชาติๆ” นี่เพราะ เพราะถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย มันไม่ใช่ ๗ ชาติ ๘ ชาติ ถ้าเป็นพระโสดาบันมันจะอีก ๗ ชาติ มันถึงขัดแย้งกันไง พอมันขัดแย้งกันถึงว่าตัดสินใจลาพระโพธิสัตว์นั้น เวลาลาพระโพธิสัตว์นั้น เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาในอะไร ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ถ้าเห็นสัจจะเป็นความจริง นี่ยกขึ้นสู่วิปัสสนา นี่ขั้นของการภาวนา ขั้นของวิปัสสนา ถ้าขั้นของวิปัสสนามันใช้สติใช้ปัญญาเห็นกายแล้วใช้สติใช้ปัญญาพิจารณาแล้ว เอ้ออันนี้มันถูกต้องๆ ถูกต้องเพราะอะไร 

นี่ เห็นไหม สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เวลาเป็นสมถกรรมฐานคือทำความสงบของใจเข้ามาๆ พระโพธิสัตว์ที่กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ เขาก็ทำความสงบใจเหมือนกัน ถ้าทำความสงบของใจก็เป็นฌานเป็นสมาบัติ ถ้าเป็นฌานเป็นสมาบัติเพราะมันไม่เข้าสู่อริยสัจไง เพราะอะไร เพราะอำนาจวาสนาบารมีของการบำเพ็ญเพียรมา ความเป็นพระโพธิสัตว์มันมีอำนาจวาสนา มันมีบุญกุศล มันต้องต่อไปภายภาคหน้า 

เวลาจิตมันติด จิตที่มันมีบุญมีบาปนะ ถึงที่สุดแล้วเวลาลาความเป็นพระโพธิสัตว์นั้น เวลาจิตสงบแล้วเวลาน้อมไปสู่กาย น้อมไปสู่กายเห็นกายขึ้นมา พิจารณากาย พิจารณาด้วยกำลัง กำลังคือสัมมาสมาธิ แล้วสัมมาสมาธินี่ดำริชอบ สมาธิ ดำริชอบ ชอบในการวิปัสสนา เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เราประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมาแล้ว ท่านวางข้อวัตรปฏิบัติไว้ วางข้อวัตรปฏิบัติไว้เป็นเครื่องอยู่ของใจๆ 

แต่เวลาสมัยที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน พระพุทธ-ศาสนาเป็นแค่สัญลักษณ์ๆ ผู้ที่ดำรงชีพในการเป็นนักบวช เป็นพระ ในบริษัท ๔ ก็ทำประกอบกันเป็นประเพณีวัฒนธรรมเท่านั้น เพราะมันไม่เข้าสู่อริยสัจ มันไม่เข้าสู่ความจริง มันไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบไง เวลาศึกษาค้นคว้ามันก็เป็นตำรับตำรา ตำรับตำรามันก็เป็นภาคปริยัติ 

แล้วภาคปริยัติขึ้นมา เห็นไหม ปริยัติขึ้นมา ศึกษามาๆ ศึกษาแล้วนี่เวลาปฏิบัติขึ้นมามันมีใครเป็นคนคอยชี้แนะเป็นคนคอยบอกทาง เพราะ เพราะในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เราเป็นคนชี้ทางเท่านั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นต้องขวนขวายแสวงหาให้เป็นข้อเท็จจริงขึ้นมาจากใจดวงนั้นเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แก้จิตดวงนั้นต่างหาก” เวลาเป็นสัจธรรม มันเป็นสัจธรรมโดยข้อเท็จจริง

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เห็นไหม พอจิตมันสงบแล้ว จิตสงบแล้วพิจารณาไปขนาดไหน มันก็เป็นการพิจารณาแบบพระโพธิสัตว์ แบบโลก แบบกิเลส แบบมีอวิชชาแบบมีครอบงำอยู่ แต่ความอันนั้นมันเป็นปรับทัศนคติในใจนั้น จากการที่สร้างบุญญาธิการๆ ปรารถนาว่าเราอยากจะสิ้นกิเลสในชาตินี้

ความปรารถนาในการสิ้นกิเลสในชาตินี้ การลา การเปลี่ยน เปลี่ยนทิศทางของพลังงาน เปลี่ยนทิศทางของจิตนั้นเพื่อเข้าสู่อริยมรรค เข้าสู่สัจจะ เข้าสู่ความจริง ถ้าเข้าสู่สัจจะ เข้าสู่ความจริง เห็นไหม เพราะเวลาหลวงปู่มั่นท่านทำความสงบใจของท่านเข้ามา พอจิตสงบแล้วเพราะการศึกษาในภาคปฏิบัติ ถ้าจิตสงบแล้วนี่สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน ใช้สติใช้ปัญญาไปขนาดไหน เวลามันคลายตัวออกมามันก็เหมือนเดิม เหมือนเดิม เห็นไหม 

เพราะเป็นการสร้างสมบุญญาธิการ เวลาท่านลา ลาความที่การสร้างสมบุญญา-ธิการนั้นให้บุญให้การสร้างสมบุญญาธิการนั้นมาหนุน มาเกื้อมาหนุนให้เป็นวิปัสสนา ไม่ใช่สร้างสมบุญญาธิการไว้ให้สมความปรารถนาในการเป็นพระโพธิสัตว์ พอเปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนการกระทำนะ เวลาจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นกายยกขึ้นสู่วิปัสสนา ใช้ปัญญาพิจารณาแยกแยะมันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาในอริยสัจ ปัญญาในข้อเท็จจริง “เอ้ออย่างนี้ใช่

อย่างที่ไม่ใช่ๆ มันก็เป็นการพิจารณา เป็นการพิจารณากาย พิจารณากายเพื่อความเป็นสมถะ พิจารณากายเพื่อความสงบระงับ นี่การพิจารณากายอย่างนั้น การพิจารณากายแบบการเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาลาแล้วๆ ปรับทัศนคติขึ้นมาให้เป็นสัจจะให้เป็นความจริง แล้วถ้าเห็นกายพิจารณากาย พิจารณากายโดยมรรค โดยมรรคไง 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่อาสวักขยญาณทำลายอวิชชา ทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้ามันชอบธรรม 

ถ้าไม่ชอบธรรม ไม่ชอบธรรม เห็นไหม มันก็เป็นเรื่องโลก เป็นเรื่องพระโพธิสัตว์ไง เป็นเรื่องการสร้างอำนาจวาสนาบารมีไง แต่พอปรับทัศนคติขึ้นแล้ว ถ้ามันเป็นความชอบธรรม ถ้าเป็นความชอบธรรมมันก็เข้าสู่มรรค ถ้าเข้าสู่มรรคมันก็เป็นภาวนามยปัญญา มันก็เป็นวิปัสสนา การเป็นวิปัสสนาๆ นะ มันอยู่ที่สติอยู่ที่ปัญญาในการทดสอบตรวจสอบในการประพฤติปฏิบัติของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา เห็นไหม มันไหลไป มันไหลไปตามกิเลส ให้กิเลสมันชักนำไป แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไปก็ไหลไปตามกิเลส กิเลสพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงอย่างไร ด้วยวุฒิภาวะที่อ่อนแอก็เชื่อความเห็นของตนๆ มันเชื่อความเห็นของตนมันก็เท่ากับเชื่อกิเลส

แต่เวลาถ้าเราไม่เชื่อความเห็นของตน เราพิจารณาว่ามันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง เรานี่รู้ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ท่านพิจารณาของท่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลามันเป็นสัจจะเป็นความจริงนี่ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ เวลามันเป็นสัจจะเป็นความจริง มันเป็นตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วครั้งชั่วคราว ปล่อยวางแล้ว เพราะว่ากิเลสมันเหนียวมันแก่นของกิเลส กิเลสมันเหนียวแน่นนัก สิ่งที่แก้ยากที่สุดคือกิเลสของคน กิเลสของคน แล้วนี่มันเป็นกิเลสของเราไง เวลาเราพิจารณา เราใช้สติปัญญาของเราไป กิเลสมันก็อยู่กับเรา นี่ไงเวลาถ้ากิเลสมันอยู่กับเรา เราถึงจะต้องทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา 

เพราะใจถ้ามันสงบ เห็นไหม ใจมันสงบระงับเข้ามามันมีกำลังของมัน แล้วถ้าออกฝึกหัดใช้ปัญญา ออกฝึกหัดใช้ปัญญาให้มันกลมกลืน ให้มันเข้ากัน ให้มันเป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงมันก็เข้าสู่มัชฌิมาปฏิปทาทางสายกลาง ในการประพฤติปฏิบัติในการพิจารณาต่างๆ เห็นไหม เดี๋ยวก็ได้ เดี๋ยวก็ไม่ได้ พิจารณาไปแล้วกำลังส่วนใดที่มันพลิกแพลงของมัน เห็นไหม ก็แก้ไขสิ่งนั้นให้มันสมดุลพอดีของมัน 

ถ้ามันสมดุลพอดีของมันพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจะปล่อยวางๆ อันนี้เป็นตทังคปหานปล่อยวางชั่วครั้งชั่วคราวๆ แล้วแต่ มันมีความสุขของมันนะ มันมีความรู้สึกของมันนะ รสของธรรมชนะรสทั้งปวง รสของสมาธิธรรมก็เป็นเรื่องหนึ่ง รสของปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาในชำระล้างกิเลสมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องใดก็แล้วแต่ ถ้ามันไม่ถึงที่สุด มันไม่สมดุลพอดีของมัน มันก็ยังไม่ถึงรอบวงจรของมัน มันก็ยังคาของมันอยู่อย่างนั้นแหละ

พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าโดยอำนาจวาสนาของตน พิจารณาโดยความรอบคอบ เวลาถึงที่สุดมันพิจารณาของมันไป เวลามันรวมลงเป็นสัจจะเป็นความจริง เวลามันเป็นมัชฌิมาปฏิปทาสมดุลพอดีของมัน เวลามันขาดเวลาขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ เวลาขาด อะไรขาดก็ให้มันขาดไป สิ่งที่ขาดไปคือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สังโยชน์ ๓ ตัว เวลามันขาดออกไป มันขาดออกไปจากใจ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ จิตมันรวมลงมันมหัศจรรย์ของมัน นี่ความเป็นพระโสดาบันๆ 

ความเป็นพระโสดาบันมันเป็นที่ไหนจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันไม่มีต้นไม่มีปลาย มันไม่มีขอบไม่มีเขตของมัน เวลามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมานะ เวลาสังโยชน์มันขาดไป พระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติ มันรู้ขึ้นมาท่ามกลางหัวใจดวงนั้น มันรู้ท่ามกลางหัวใจดวงนั้นเพราะมันได้ชำระล้างกิเลสด้วยความสมุจเฉทปหาน ขณะจิตมันขาดออกไป เวลามันขาดออกไป สิ่งที่เป็นธรรมๆ ขึ้นมาเป็นธรรมในหัวใจขึ้นมา ๒๕ เปอร์เซ็นต์ มันเป็นธรรมของมันอยู่แล้ว มันมีองค์คุณธรรมในใจขึ้นมา มันพาดกระแส จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันไม่มีต้นไม่มีปลาย กลับเกิดอีก ๗ ชาติเนี่ย ตัวเราเองเป็นผู้รู้เอง 

ขณะที่เป็นปุถุชนคนหนานะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย เราจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้หรอก แล้วเราไม่รู้สิ่งใดเลย นี่ปุถุชนคนหนาไง เราไม่รู้สิ่งใดเลยว่าใจของเรามันมืดแปดด้าน แล้วมันไม่มีต้นไม่มีปลาย จะจับต้นชนปลายได้อย่างไร 

เวลาทำความสงบของใจเข้ามา สมถกรรมฐานจิตสงบระงับเข้ามา เห็นไหม นี่ตัวจิต จิตเป็นสัมมาสมาธิ เวลาจิตเป็นสัมมาสมาธิ จิตแก้จิต จิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริง เวลาเห็นจิต เห็นกาย เห็นเวทนาตามความเป็นจริงขึ้นมา แล้วมันใช้สติใช้ปัญญาพิจารณามันนะ มันเป็นวิปัสสนาคือภาวนามยปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้งในจิตของตน 

เวลามันรู้แจ้งในจิตของตน รู้แจ้งขนาดไหน กิเลสมันก็พลิกมันก็แพลง เวลามันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ว่าเห็นกิเลส เห็นกิเลส เห็นกิเลสเห็นอย่างไร เห็นกิเลสแล้วเวลายกขึ้นสู่วิปัสสนา ธรรมะๆ ธรรมะคือมรรค ๘ มรรค ๘ ที่มันประหัตประหาร มันเข้าไปแยกแยะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน ในใจของตนนะ มันแยกมันแยะขึ้นมาถ้ามีกำลังแล้วปัญญามันพร้อมเพรียงมันปล่อยวางๆ ถ้ามันชัดมันเจนของมันปล่อยวางๆ

คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาก็ว่าปล่อยวางอย่างนี้เป็นปล่อยวางหน ๑ ก็เป็นโสดาบัน ปล่อยวางหน ๒ ก็เป็นสกิทาคามี ปล่อยวางหน ๓ ก็เป็นพระอนาคามี ปล่อยวางหนที่ ๔ ก็เป็นพระอรหันต์ แต่ไม่ได้อะไรเลย เวลามันหลงมันหลงตัวมันเอง เพราะไม่มีอำนาจวาสนา เพราะจิตใจมันอ่อนไง

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านไม่หลงของท่าน พิจารณาไปแล้ว ขนาดว่าพิจารณากายไปแล้วถ้ามันไม่เข้าสู่อริยสัจ “เอ้ทำไมมันเป็นปกติ ออกมาแล้วไม่เห็นมีสิ่งใดมีคุณค่าขึ้นมาในใจ” เวลาลาพระโพธิสัตว์แล้ว แล้วกลับไปพิจารณาไง พิจารณาไปแล้วเพราะอะไร เพราะดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ เพราะมันเป็นทางสายกลาง เพราะมันเป็นมรรค มรรคเป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นมรรค ๘ มรรคที่เกิดขึ้นจากการกระทำ มรรคเกิดขึ้นจากสติ สมาธิ ปัญญาที่เราฝึกฝน ที่เราสร้างสม ที่เรามีการกระทำขึ้นมา 

เวลามันฟาดฟันกับกิเลส มันใช้สติปัญญาแยกแยะ แยกแยะกิเลส กิเลสที่มันเกาะเกี่ยวอยู่ในหัวใจดวงนี้ กิเลสมันผูกมัดๆ ผูกมัด ผูกมัดหัวใจไว้ เวลาพิจารณามันแยกออกจากกัน แยกออกจากกันด้วยอะไร แยกออกจากกันด้วยดำริชอบ ด้วยสติ ด้วยปัญญาที่คุ้ยเขี่ยแล้วพยายามแยกแยะมัน นี่ไงเวลามันพลิกมันแพลงมันประหัตประหารกัน สิ่งที่มันผูกมัดๆ มันสำรอก มันคายออกๆ โดยสัจจะ โดยความจริง โดยข้อเท็จจริง มันก็เห็นสัจจะความจริงมันก็ปล่อย มันก็ปล่อย 

เวลาพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยอาการของมันที่เข้มข้นเข้มงวดขึ้น เวลามันสมุจเฉท เวลามันขาด รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวงไง รสของคุณธรรมในหัวใจของตนอันนั้นไง มันมีคุณค่าไง แล้วทำความสงบของใจให้มากขึ้นๆ เวลาย้อนเข้าไปสู่การค้นคว้าการขุดคุ้ยการแสวงหา ถ้าจิตมันสงบคือสงบไง พระโสดาบันก็คือพระโสดาบันไง 

แต่พระโสดาบันจะยกขึ้นสู่บุคคลคู่ที่ ๒ จะทำอย่างไร

บุคคลคู่ที่ ๒ เวลาจิตมันสงบระงับแล้วก็พยายามค้นคว้าหาสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ถ้ามันได้สัจจะความจริงมันจับมันต้องของมันได้ พิจารณากาย กายนอก กายใน กายในกาย ในกายเหมือนกัน แต่มันในกายในคนละสถานะ ในสถานะเบื้องต้นมันเป็นกายหยาบๆ กายสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เวลามันจับ มันจับพิจารณา 

ถ้ามันจับกายได้กายที่มันละเอียดลึกซึ้งขึ้น เวลามันจับของมันได้มันพิจารณาของมัน มันเป็นความยึดมั่นถือมั่นในกายนั้น นี่ใช้สติใช้ปัญญาอย่างที่เคยภาวนาแล้ว เคยภาวนาขั้นต้นมา เพราะขั้นต้นเราภาวนาไม่เป็นไง เราก็ผิดพลาดของเรามาตลอด แต่พอเราแยกแยะ เราฝึกฝนจนมันภาวนาเป็น เวลาภาวนาเป็นพิจารณาของเราแล้วพอมันสมุจเฉทแล้วมันขาดนั้นคือผลงาน นั้นคือสิ่งที่ว่าเราได้ฝึกฝน ฝึกฝนหัวใจของเราจนภาวนาเป็น

คนว่าภาวนาเป็นๆ มันจะเป็นพระโสดาบัน แล้วเวลายกขึ้นสู่วิปัสสนาต่อเนื่องไป มันภาวนาเป็นแล้วมันแยกแยะโดยประสบการณ์ของจิตนั้น ถ้าประสบการณ์ของจิตนั้นพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลามันพิจารณาไปแล้ว เวลามันขาด ขาดเหมือนกัน เวลามันขาดกายกับจิตนี้แยกออกจากกันโดยสัจจะโดยความจริง โลกนี้ราบหมดเลย มันมีความมหัศจรรย์ๆ ความมหัศจรรย์เพราะมันแตกต่างกันไง

พระโสดาบันก็มีคุณสมบัติละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เวลาพิจารณาด้วยคุณธรรมในหัวใจดวงนั้น จิตแก้จิต จิต จิตที่เป็นสัมมาสมาธิจิตที่ยกขึ้นสู่วิปัสสนาเวลามันพิจารณาของมันไป เพราะมันต้องจับกิเลสได้ มันต้องเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง มันจับต้องของมันได้ นั้นคือตัวกิเลส นั้นคือจำเลย จิตมันมีกิเลสครอบงำมันอยู่ มันพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลาด้วยความสมดุลและด้วยความพอดีของมัน มันจะเกิดขณะ เกิดการกระทำที่มันแยกออกจากกันด้วยอำนาจของมรรค จิตนี้แยกออกจากกัน โลกนี้ราบหมด กามราคะ ปฏิฆะอ่อนลง โลกนี้มีความมหัศจรรย์ในหัวใจมากมายมหาศาล แล้วมันมีคำตอบจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นมีวุฒิภาวะมีความสมดุลแค่ไหน มันมีความสุขของมัน แล้วมันจะติดของมัน 

ถ้าติดของมัน ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณ เล็งญาณๆ มันใช่หรือไม่ใช่ มันจริงหรือไม่จริง แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านทำในหัวใจของท่าน มันยังไม่รู้จริงในครบวงจร มันก็ยังติดของมัน เห็นไหม กว่าจะแสวงหาจะค้นคว้า ให้ขุดคุ้ยค้นคว้าหากิเลส จับต้องได้

งานในการประพฤติปฏิบัติ ในการทำความสงบของใจนี่อย่างหนึ่ง นี้คือกำลัง แล้วในการค้นคว้าแสวงหาสิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนนั้น นั้นเป็นงานขุดคุ้ยหากิเลสนั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง แล้วขุดคุ้ยหากิเลสถ้าจับกิเลสได้ แล้วยกจิตของตนขึ้นสู่วิปัสสนานั้นเป็นอีกประเภทหนึ่ง แล้วพอยกขึ้นสู่วิปัสสนาแล้วมันยังเป็นสติ มหาสติ 

ในขั้นโสดาบัน ในขั้นสกิทาคามีนี่เป็นสติปัญญา ในขั้นของอสุภะๆ มันเป็นอนาคามิมรรคมันจะเป็นมหาสติ ถ้ามันเป็นมหาสติ มหาปัญญา มหาสติ มหาปัญญามันถึงขุดคุ้ยสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง กายนอก กายใน กายในกาย กายในกาย กายที่ละเอียด กายที่เป็นกามราคะ กายที่มันพอกพูนอยู่ในใจดวงนั้นถ้ามันจับต้องได้ การจับต้องได้ การหากิเลสได้มันเป็นความมหัศจรรย์ๆ

คนที่ไม่เคยภาวนาจะไม่รู้ว่าสิ่งใดมีคุณสมบัติอย่างใด คุณสมบัติของจิต คุณสมบัติของสัมมาสมาธิ คุณสมบัติของสติ คุณสมบัติของสมาธิ คุณสมบัติของปัญญามันเป็นอย่างใด

แต่ถ้ามันขุดคุ้ย มันค้นคว้าได้ มันเป็นความมหัศจรรย์เพราะอะไรเพราะจิตมันจับต้องสิ่งใดไม่ได้มันก็ติดอยู่ในตัวของมันเอง ทั้งๆ ที่กามราคะ ปฏิฆะนี่อ่อนลง แต่อ่อนลงเพื่ออะไร ถ้ามันอ่อนลง อ่อนลงนี้แล้วเราใช้สติปัญญาสมุจเฉทปหาน กายกับจิตแยกจากกัน โลกนี้ราบ ราบ ราบแล้วมันเหลืออะไร นี่ไงราบก็คือราบ แต่กิเลสที่มันละเอียดลึกซึ้งอยู่มันไม่ให้เห็นหรอก เวลาขุดคุ้ยค้นคว้าถ้ามันไปเจออสุภะได้ โอ้โฮหัวใจมันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ หวั่นไหวไปหมด 

แต่แต่เราเจอขุมทรัพย์ ขุมทรัพย์ ขุมทรัพย์ที่จะฝึกหัดค้นคว้าเพื่อจะให้ทำลายกามราคะ ถ้ามันค้นคว้าจับต้องได้มันสะเทือนหัวใจมาก แล้วเวลามันพิจารณาของมันไปมันเป็นมหาสติ มหาปัญญา เวลาเป็นมหาสติ มหาปัญญา พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันพลิกมันแพลง เพราะเพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง มันอยู่ตรงนี้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะชำระล้างกิเลสนะ แล้วกิเลสมันขาดไป พญามารคร่ำครวญๆ ร้องไห้เลย “เจ้าชายสิทธัตถะจะพ้นจากมือเราไป” ลูกสาวของมาร “พ่อพ่อไม่ต้องเสียใจ เดี๋ยวพวกดิฉันจะไปเอาคืนมาเอง” เนี่ยตรงนี้เวลากามราคะไง กามราคะ ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันอยู่ตรงนี้ตรงนี้ถึงยิ่งใหญ่มาก ตรงนี้เป็นการต่อสู้ที่รุนแรงมาก

พระปฏิบัติ เขาจะเห็นการประพฤติปฏิบัติที่เข้มข้นเข้มงวดตรงนี้สูงสุด ถ้าสูงสุดพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความเป็นมหาสติ มหาปัญญานะ คนภาวนาไม่เป็นมันไม่รู้หรอก แล้วมันไม่รู้หรอกขั้นใดเป็นขั้นใด มันเข้าใจไม่ได้หรอก แต่ความเข้าใจมันเข้าใจที่ว่ามันเป็นน้ำป่า มันเป็นความรุนแรงของกิเลส เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเป็นลูกของพญามาร มันยิ่งใหญ่ มันครอบคลุมหัวใจทั้งสิ้น 

แต่ด้วยการฝึกหัดของเราไง แต่ขั้นเริ่มต้นเตาะแตะๆ มานี่ มันพัฒนาของมัน มันเข้มแข็งขึ้น สติปัญญามันเข้มข้นขึ้น มันพัฒนาของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาจนมันเป็นมหาสติ มหาปัญญา มันพลิกแพลง มันแก้ไขของมัน จะหลอกจะพลิกจะแพลงอย่างไร มันก็ต่อต้าน ต่อต้านยับยั้งแล้วเพื่อมีกำลังขึ้นมาด้วยการแยกแยะด้วยการพิจารณา พิจารณาแล้วถ้าใช้กำลังมากแล้วก็กลับมาทำความสงบใจเข้ามา ทำความสงบใจเพื่อสร้างกำลังขึ้นมาเข้าไปแยกแยะ เข้าไปต่อสู้ มันจะพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงแก่นของกิเลส 

กิเลสจะไม่หลุดลอยออกจากใจของสัตว์โลกโดยอัตโนมัติ กิเลสไม่มีความปล่อยวางให้ใครมีอำนาจเหนือกว่ากิเลส กิเลสแม้แต่จิตดวงใดก็แล้วแต่ที่จะพ้นจากน้ำมือของพวกพญามาร พญามารมันยังเช็กแล้วเช็กอีก เป็นไปไม่ได้หรอกที่ธรรมะจะผุดขึ้นเอง ธรรมะจะเป็นของมันเอง ธรรมะจะมีอยู่ดั้งเดิม เป็นไปไม่ได้หรอก มันไม่มีอยู่จริง 

มันเป็นความจริงจากการประพฤติปฏิบัติ มันเป็นความจริงจากคนที่มีอำนาจวาสนา มันเป็นความจริงจากการกระทำที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง โดยมีครูบาอาจารย์ที่ดีงามคอยแก้ไขคุ้มครองดูแล แล้วมันเป็นการกระทำโดยการกระทำตามความเป็นจริงของจิตของเรามากกว่า เวลาพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลามันขาด มันสะเทือนเลื่อนลั่นหมดล่ะ ขาดนะ เวลาขาด กามราคะ ปฏิฆะขาด สมุจเฉทปหาน ขณะจิตชัดเจน

ถ้าไม่ชัดเจนมันขาดไม่ได้ มันขาดหลอกๆ เยอะ ขาดหลอกๆ คือมันพลิกมันแพลงไง หลอกแล้วหลอกเล่า ถ้ามันมีสติมีปัญญาทบทวนแล้วนะ สิ่งที่มันโดนหลอกไปแล้วก็เป็นอดีตไป เราก็ทบทวนใหม่ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลามันขาดสะเทือนหัวใจมาก เพราะพระอนาคามีจะไม่กลับมาเกิดบนกามภพ ตั้งแต่เทวดาลงมาไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ถ้าไม่กลับมาเกิดแล้วมันเกิดที่ไหน เกิดบนพรหมไง เวลาเกิดเป็นพรหม ฤาษีชีไพรที่เขาทำสมาธิๆ ถ้าเขาอยู่กับสมาธิเขาก็เกิดเป็นพรหม แต่พรหมที่มีกิเลสไง

แต่ถ้าเป็นพระอนาคามี พรหม ๕ ชั้น สุทัสสา สุทัสสีนั่นน่ะ ๕ ชั้นนั้นจะไปเกิดที่นั่น ถ้าเป็นความจริงนะ ในพระพุทธศาสนาชัดๆ ไม่มีอ้อมค้อม ไม่มีมารยาไม่มีสาไถย มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกที่พญามารครอบครัวของมารครอบงำจิตดวงนั้น แล้วจิตดวงนั้นประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เป็นการกระทำขึ้นมา เห็นไหม ด้วยอำนาจวาสนาของตน พัฒนาจิตของตน ตั้งแต่ปุถุชน กัลยาณชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล เวลามันขาด พอขาดไปแล้วมันชัดเจนในหัวใจ 

ถ้ามันขาดไปแล้วนะ ด้วยกิเลสสิ่งที่ละเอียดเราก็ยังไม่เข้าใจ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ นั่นน่ะคือเศษส่วน เศษส่วนสุทัสสา สุทัสสีที่ว่านี่เศษที่มันคาอยู่ในใจ ถ้าพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงที่สุดว่างหมดเลย ความว่างหมดเลยว่างในอะไร ว่างในกามราคะไง เพราะอะไร เพราะว่างเหลือใครล่ะ ถ้าว่างก็เหลือจิตเดิมแท้ไง จิตเดิมแท้คืออวิชชาไง แล้วหาไม่เจอหรอก ติดหมด ติดทั้งนั้น ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยให้อุบาย คอยให้วิธีการ

ถ้ามันมีอุบายคอยให้วิธีการ นี่ว่างๆ ว่างจากอะไร นี่ไงโลกนี้เป็นความว่าง โลกนี้เป็นความว่าง แล้วโลกไหน นี่เพราะอะไร เพราะมันเกิดบนพรหมไง พรหมมีขันธ์เดียว มันเป็นจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส อุปกิเลส แล้วจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส แล้วมันจะข้ามอย่างไร

เวลามันขุดคุ้ยค้นคว้า ถ้าคนมีอำนาจวาสนามันจะหันกลับ นี่ธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือทวนกระแสกลับเข้าไปสู่ใจของตน เข้าไปสู่จิตเดิมแท้ของตน จิตเดิมแท้จะเข้าไปสู่จิตเดิมแท้ได้อย่างไร มันเป็นสสาร เป็นพลังงานเฉยๆ แล้วมันพลังงานคืออะไร ก็เกิดบนพรหมไง ถ้ามีอำนาจมีวาสนามันจะทวนกระแสกลับ ถ้าทวนกระแสกลับ ถ้าเข้าไปเห็นอวิชชา ไก่ตาแตกเลยนะ เป็นไก่ตาแตก จิตเห็นจิต มันยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปใหญ่เลย 

แค่มีความสามารถรู้จักจิตของตนโดยความเป็นจริงนี่ โอ้โฮมันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์เหลือล้น ล้นฟ้าอยู่แล้ว แล้วถ้าจับมันได้ล่ะ นี่ปัญญาที่พิจารณาเป็น ปัญญาที่พิจารณามันปัญญาในขันธ์ ปัญญาในขันธ์กับปัญญาญาณแตกต่างกัน 

มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนจิตไม่ได้อีกเลย” 

อาสวักขยญาณ อาสวักขยญาณ ญาณอย่างใดที่จะเข้าไปสู่อวิชชาดวงนั้น การเข้าการจับอวิชชาการเข้าไปเห็นอวิชชาแล้วการพิจารณาโดยภาวนามยปัญญา ปัญญาญาณ ไม่ใช่ปัญญาในขันธ์ ๕ ปัญญาที่ยังคิดนี่หยาบเกินไป มันเป็นสิ่งที่เข้าไม่ถึง เข้าไม่ได้ เข้าไม่ได้เลย อวิชชาเป็นหนึ่งเดียว แล้วสิ่งที่เข้าไปสู่อวิชชาแล้วใช้ปัญญาญาณ สิ่งที่ไม่ใช่ปัญญาขันธ์เข้าไปสู่อวิชชาทำลายอวิชชาโดยสัจจะโดยความจริงสิ้นไป

นี่นี่พูดถึงในการประพฤติปฏิบัติของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ของครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงมันเป็นสัจจะเป็นความจริงอย่างนี้ ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงอย่างนี้นี่การประพฤติปฏิบัติโดยกรรมฐาน โดยสัจจะโดยความจริง ถ้าโดยสัจจะโดยความจริงมันเป็นความจริงในหัวใจมันเป็นวิมุตติสุข วิมุตติสุข สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี และอันนี้มันสงบแล้ว มันสงบระงับจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากด้วย 

สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือการทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบระงับแล้วนี่ยกขึ้นสู่วิปัสสนามันเป็นขั้นเป็นตอนของขั้นของปัญญา แล้วขั้นของปัญญา ปัญญาจะเกิดขึ้นเองที่ไหน จะเกิดขึ้นเองไม่มี ปัญญาต้องฝึกหัด ถ้าปัญญามันฝึกหัด มันจะเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนามัน ไม่ใช่เกิดจากสัญญา มันไม่ใช่เกิดจากความจำมา ความจำมา จำมามากแค่ไหนมันก็ลืม นี่ความจำไม่ใช่ความจริง 

ถ้าความจริง ความจริงมันเกิดจากภาคปฏิบัติ เวลาเกิดจากภาคปฏิบัติมันเป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้ามันไม่เป็นสัจจะมันไม่เป็นความจริง เห็นไหม นั่นล่ะ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส นี่อุปกิเลสๆ กิเลสมันหลอกตัวของมันอยู่วันยังค่ำ แต่ถ้ามันความจริงมันเกิดขึ้นจากเรา เราฝึกหัดเราภาวนาของเรา ถ้ามันเป็นความจริงแล้วเรามันก็เป็นความจริงในหัวใจ 

แต่ถ้ามันไม่จริงล่ะ มันหลอก มันหลอกมันลวงมาทั้งสิ้น เวลามันหลอก หลอกตัวเองนะ เวลามันหลอก หลอกแล้วตัวเองก็ไม่เข้าใจไง ถ้าตัวมันเองมันเข้าใจ มันจะเกิดความจริงขึ้นมาในใจดวงนี้ ถ้าใจดวงนี้เป็นความจริงแล้วจบ ถ้าใจมันไม่จริงมันกะล่อนมันปลิ้นปล้อน มันปลิ้นปล้อนมันหลอกลวงตัวมันเอง ถ้ามันหลอกลวงตัวมันเองมันไม่เข้าใจตัวมันเอง ถ้ามันไม่เข้าใจมันก็หลอกลวงไปตลอดเวลา ตลอดเวลามันเข้าถึงความจริงของตัวมันเองไม่ได้ ถ้ามันภาวนาไม่เป็นไง การภาวนาไม่เป็นมันเข้าถึงหัวใจตัวนั้นไม่ได้

สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ความที่ทำเป็นความสงบ เวลาทำสมาธิๆ ก็เป็นความสุขอันหนึ่ง แล้วขั้นของปัญญาๆ มันก็เป็นปัญญาอีกขั้นหนึ่ง ถ้าภาวนาไม่เป็นมันก็จบไง มันไปไม่ได้ มันไปไม่ได้เพราะมันภาวนาไม่เป็น ถ้ามันภาวนาเป็นมันจะเป็นชั้นเป็นตอนๆ ของมันขึ้นมา ถ้าเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา มันก็เป็นภาวนามยปัญญา

ถ้ามันภาวนาไม่เป็นมันเป็นสัญญา สัญญาเป็นความจำไง พอเป็นความจำมันไม่เข้าสู่ความจริง มันเข้าสู่ความจริงไม่ได้ มันก็เลยไม่เป็นภาวนามยปัญญา มันเป็นสัญญา มันเป็นความจำ ถ้ามันจำมา เห็นไหม มันเลยแก้กิเลสไม่ได้ ถ้ามันแก้กิเลสไม่ได้มันก็เลยไม่ใช่การภาวนามยปัญญา มันเป็นสัญญา สัญญาแก้กิเลสไม่ได้ 

ถ้ามันเป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันถึงจะแก้กิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาๆ มันเกิดจากการกระทำของจิตนั้น จิตที่มีอำนาจวาสนา จิตถ้าไม่มีอำนาจวาสนามันเป็นความจำทั้งสิ้น ความจำๆ ไม่ใช่ความจริง ความจริงมันเกิดจากภาวนา 

การศึกษาๆ เป็นภาคปริยัติ ปริยัติศึกษาๆ ศึกษามาเพื่อภาคปฏิบัติ ถ้าศึกษามาเป็นภาคปฏิบัติขึ้นมาแล้ว ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม สัมมาสมาธิ ถ้าทำสมาธิได้สมาธิจะมีกำลังของตัวเองขึ้นมา ถ้าสมาธิมีกำลังของตัวเองขึ้นมาจะมีความสุขในใจของตน แค่ทำสมาธิมันก็มีความสุขแล้ว สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตยกขึ้นสู่วิปัสสนา จิตยกขึ้นสู่วิปัสสนามันถึงจะเป็นความจริง มันมีสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน 

สมถะยังทำไม่ได้ สมาธิยังทำไม่ได้ ถ้ารู้จักสมาธิไม่ได้มันจะเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาได้อย่างไร มันก็เป็นสัญญาทั้งสิ้นไง ถ้าเป็นสัญญาทั้งสิ้นมันก็เป็นความจำ มันไม่ใช่ความจริง มันเป็นความจำ เพราะเป็นความจำมันถึงไม่ได้แก้กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะมันเข้าสู่ใจไม่ได้ มันเข้าสู่ขันธ์

ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ ถ้าขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันสู่ภาวนามยปัญญา ปัญญามันพิจารณาของมัน มันเห็นตามความเป็นจริงแล้ว ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ 

แต่ถ้าเป็นสัญญา ขันธ์ ๕ เป็นเรา มันจำมาทั้งนั้น ถ้ามันจำเขามาทั้งนั้นมันถึงเข้าสู่ใจไม่ได้ไง ถ้ามันเข้าสู่ใจ ใจของตัวเองไม่ได้ สิ่งที่มันจะเป็นความจริงมันเลยไม่มี มันไม่มีมันก็เป็นความจำไง ความจำมันก็ไม่ได้แก้กิเลสไง พอไม่ได้แก้กิเลส มันก็ไม่รู้ไม่เห็นกิเลส มันไม่รู้จักกิเลส มันไม่รู้เห็นกิเลส มันถึงไปยอมจำนนอยู่กับกิเลส แต่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรม มันไม่ใช่มันไม่ใช่มันเป็นความจำ

ถ้ามันเป็นความจริงนะ ความจริงมันเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติ แล้วจากภาคปฏิบัติมันเห็นเป็นตัวเป็นตน มันชัดเจนของมัน มันจับต้องได้ มันจับกิเลสได้ ไอ้นี่มันไม่เห็นกิเลส มันไม่รู้จักกิเลส มันไม่เห็นหน้ากิเลสไง แล้วกิเลสเป็นอย่างไรมันก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้ามันเป็นความจริงมันเห็นหน้ากิเลส เวลาเห็นหน้ากิเลส แม้แต่ทำความสงบของใจเข้ามาๆ ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามา เวลาเป็นสัมมาสมาธิกิเลสมันสงบตัวลง มันยังมีความสุขเลย เวลาถ้าเราไม่เท่าทันมัน กิเลสเป็นเรา เราเป็นกิเลส กิเลสมันยิ่งใหญ่ในกลางหัวใจของเรา ปฏิบัติขนาดไหนมันก็เป็นสมาธิไม่ได้ เวลาสมาธิมันเสื่อมไง 

ทำความสงบของใจๆ ถ้าจิตสงบแล้วมีความสุข มีความสุขมาก ถ้ามีความสุขมากนะ แล้วถ้าเข้าใจว่าสิ่งที่เป็นความสุขมันเป็นธรรมๆ ไม่ใช่มันเป็นสมาธิ แล้วสมาธิเวลาถ้ามันเป็นจริงเป็นจังมันละสังโยชน์ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะอ่อนลง รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ รูปราคะ อรูปราคะนั่นน่ะ นี่ไงพอบอกว่าเวลาเป็นฌานเป็นสมาบัติไง เป็นฌานเป็นสมาบัตินะ รูปราคะ อรูปราคะนั่นน่ะ นั่นน่ะสมาธิเป็นรูปกับอรูปนั่นน่ะ นั่นเป็นสมาธิทั้งสิ้น รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้ในตัวของตน 

ถ้าความรู้ในตัวของตนนะ มันมีสติมีปัญญาขึ้นมามันรู้เท่าในใจของตนขึ้นมา มันจะยกย้อนกลับมาสู่ใจของตน ถ้ายกย้อนกลับเข้ามาสู่ใจของตน ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนามันเห็นชัดหมดล่ะ ที่มันไม่เห็นชัดเพราะมันไม่รู้ เพราะมันไม่รู้มันไม่เคยเห็นไง เพราะมันไม่รู้มันไม่เคยเห็นมันถึงได้จนตรอก จนตรอกให้กิเลสมันขี่หัวไง เวลากิเลสมันขี่หัวแล้วก็คิดว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม มันเป็นธรรมมาจากไหน มันไม่มีธรรมในหัวใจเลย 

ถ้ามันมีธรรมอยู่ในหัวใจนะ มันมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์แบบ แล้วมันมีคุณธรรมในใจของตน มันเคารพบูชาครูบาอาจารย์ทั้งสิ้น ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ เป็นธรรมเพราะท่านประพฤติปฏิบัติมาตามความเป็นจริง

แต่ของเรามันไม่ใช่ มันกิเลสล้วนๆ ไง พอมันเป็นกิเลสล้วนๆ มันอ้างอิง มันอ้างว่าเป็นธรรมๆ มันเอาธรรมมาจากไหน มันไม่ใช่ธรรม ก็เพราะมันไม่ใช่ธรรม มันถึงเป็นกิเลส กิเลสมันครอบครองใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น เวลาจิตใจมันครอบครองในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นมันโดนกิเลสครอบงำ พอกิเลสครอบงำแล้วอ้างอิงว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ มันไม่ใช่ธรรม

ถ้ามันเป็นธรรมมันจะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นชั้นเป็นตอนของมันขึ้นไป ถ้ามันมีศีล ศีลมันสมบูรณ์แบบของมันนี่ไง ถ้าทุศีลๆ ไง มันความหลงผิด จิตที่ไม่มีธรรมในหัวใจของตนมันเป็นอวิชชา อวิชชาคือความลุ่มหลง ถ้ามันหลงผิดในใจของตนแล้วมันจะเอาความจริงมาจากไหน เพราะมันหลงผิด ความหลงผิดนั้นเวลาทำสมาธิมันก็เป็นมิจฉา ความมิจฉาสมาธิ พอมิจฉาสมาธิเวลามันออกมันก็ออกเป็นอภิญญา ส่งออกหมด จิตส่งออกนอก จิตส่งออกนอกเป็นอวิชชา จิตมันส่งออกนอก 

ถ้าเป็นสัมมาสมาธิมันย้อนกลับเข้าสู่ใจของตน ถ้าสัมมาสมาธิมันย้อนกลับเข้าสู่จิตของตน มันขุดคุ้ย ค้นคว้า มันแสวงหากิเลสๆ ถ้ามันไม่เห็นกิเลสมันไม่มีอำนาจวาสนานะ คนที่มีอำนาจวาสนามันจะเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริง แต่คนถ้าไม่มีอำนาจวาสนามันเห็นเป็นอภิญญา มันมีกำลังของมันแล้วมันส่งออก ส่งออกไปรับรู้เรื่องโลกภายนอกทั้งสิ้น มันไม่เข้ามาสู่ใจของตน ถ้ามันไม่เข้าสู่ใจของตนมันชำระล้างกิเลสในใจของตนไม่ได้แม้แต่น้อย มันไม่เห็นกิเลส มันไม่รู้จักกิเลสไง

แต่ถ้ามันเห็นใจของตนนะ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันเห็นอะไร มันเห็นกิเลส ถ้ามันเห็นกิเลสไง สิ่งนี้มันเป็นสังโยชน์มันครอบงำใจดวงนั้น ถ้าสิ่งที่เป็นสังโยชน์มันครอบงำใจดวงนั้นมันครอบมาจากอะไร มันครอบมาจากอวิชชา อวิชชาเป็นเจ้าวัฏจักร อวิชชามันมีครอบครัวของมารนะ ครอบครัวของมารมันมีลูกของมันนะ มีลูก มันมีหลาน มีเหลนของมัน

นางตัณหา นางอรดี ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเป็นลูกของอวิชชา แล้วอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในหัวใจของตน มันยึดมั่น ยึดมั่นเพราะความไม่เข้าใจความเป็นจริงอันนั้น มันก็ยึดมั่นถือมั่นด้วยความหลงผิดของมัน ด้วยความหลงผิดนะ ด้วยความหลงผิด ด้วยอวิชชา ยังไปยึดมั่นซ้ำสองๆ ซ้ำสองซ้ำสามการยึดมั่นในใจของตน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำซ้ำจนแก้ไขไม่ได้

มันผิดพลาดในหัวใจของตนนั้น ถ้ามันผิดพลาดในหัวใจของตนนั้นมันถึงไม่เป็นสัจธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อบูชากิเลส มันไม่ปฏิบัติธรรมเพื่อบูชาธรรม ถ้าปฏิบัติธรรมเพื่อบูชาธรรมนะ มันบูชาธรรม มันเคารพมันบูชา การเคารพบูชามันจะมีสติสัมปชัญญะรักษาหัวใจของตน ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบระงับแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา การยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาในอะไร นี่วิปัสสนาเพื่อค้นคว้าหากิเลสของตนให้เจอ ค้นคว้าหากิเลสของหัวใจของตนให้เจอ แล้วกิเลสตัวมันอย่างไร 

เราก็ว่ากิเลสเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่จริงๆ แล้วมันยึดมั่นถือมั่นในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรมเรานี่แหละ ถ้ามันยึดมั่นในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรมของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม เวลาจิตสงบแล้วให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง สิ่งที่มันเป็นสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ เห็นไหม สิ่งที่เป็นสติปัฏฐาน ๔ เราจับต้องได้ เราพิจารณา เราแยกแยะเข้ามา กิเลสที่มันฟักตัว มันหลอก มันซ่อนตัวอยู่ในสติปัฏฐาน ๔ นั่นน่ะ เวลาเราจับต้องได้แล้วมันสะเทือนหัวใจเลย มันสะเทือนหัวใจเพราะอะไร มันสะเทือนหัวใจเพราะมันสะเทือนกิเลสไง 

ถ้ามันสะเทือนกิเลส ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันจะรู้เลยว่า เวลาจับต้องกิเลสได้มันจับอย่างไร แล้วถ้าเห็นกิเลสเห็นอย่างไร ไม่รู้จักกิเลสไม่เห็นกิเลสแล้วมันแก้กิเลสได้อย่างไร มันจับต้องได้ นี่พิจารณากายๆ แยกแยะเข้ามา ถ้าเวลาแยกแยะแล้ว เห็นไหม จากสมถกรรมฐานให้เป็นวิปัสสนากรรมฐาน เวลามันแยกมันแยะของมัน มันพิจารณาของมัน แยกส่วนขยายส่วนของมันออกไป แยกส่วนขยายส่วนออกไป แยกออกไปๆ เวลาแยกออกไปนี่แล้วมันเหลืออะไร

เวลามันแยกออกไปโดยธรรมชาติของมัน แยกออกไปโดยธรรมชาติของมันแล้วมันเหลืออะไร ถ้ามันรู้มันเห็นของมัน เวลาพิจารณาของมัน เวลามันจนตรอกเข้าไป ด้วยกำลังของมรรคไง แล้วด้วยกำลังของมรรคพิจารณาเข้าไปจนถึงที่สุดแล้วนี่เวลาสมุจเฉทมันขาดนี่เป็นชั้นเป็นตอน เป็นชั้นเป็นตอนแบบที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพิจารณาของท่านมา เวลาพิจารณาของท่านมาแล้วมันเป็นสัจจะเป็นความจริงในหัวใจของท่าน ถ้าเป็นสัจจะความจริงของท่าน ท่านถึงได้มาอบรมบ่มเพาะ

สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานคือทำความสงบของใจเข้ามา เขาบอก “มันเป็นสมถะ สมถะไม่มีความจำเป็น ต้องใช้ปัญญาไปเลย ใช้ปัญญาไปเลย” ปัญญา ถ้าใช้ปัญญาไปเลย คนที่มีอำนาจวาสนาเข้ามามันก็ใช้เป็นปัญญาอบรมสมาธิ คนเป็นนะ ใช้ปัญญาไป ปัญญาไป มันเป็นปัญญาขั้นของปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นปัญญาของปุถุชน มันเป็นปัญญาของมนุษย์นี่ล่ะ 

แต่เวลามันพิจารณาของมันไปแล้วนะ มันพิจารณาไปนี่ปัญญาอบรมสมาธิๆ ถ้าจับต้องพิจารณาของมันต่อไปนี้มันจะเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาที่จะชำระล้างกิเลสมันเกิดจากความมีสมถกรรมฐานเป็นพื้นฐาน พอเป็นพื้นฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนาแล้วนี่มันจะเกิดเป็นภาวนา-มยปัญญา เพราะอะไร เพราะมันมีสัมมาสมาธิเป็นตัวหนุนไง สัมมาสมาธินี่ สัมมาสมาธิมันปลอดภัย มันรอดปลอดพ้นจากกิเลสที่สมุทัยที่มันเจือปนมา

ปัญญาโดยสามัญสำนึก ปัญญาของคน ปัญญาที่ใช้ปัญญาๆ อยู่นี่ มันเป็นปัญญาของกิเลส มันเป็นปัญญาของสมุทัย ปัญญาที่มันมีสมุทัยเจือปนมา ถ้าสมุทัยเจือปนมามันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ไปไม่ได้ มันเป็นมรรคที่สมบูรณ์แบบไปไม่ได้ มันเป็นมรรค-สามัคคีไม่ได้

มรรคสามัคคีๆ มรรคสามัคคีคือมรรคมันสมบูรณ์แบบของมัน มันถึงสามัคคีมันถึงรวมเป็นหนึ่งเพื่อสมุจเฉทปหาน ประหารกิเลสในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ถ้ามันปฏิบัติเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เห็นไหม มันเป็นมรรค ๔ ผล ๔ ไง ถ้ามันเป็นความจริง

แต่ถ้ามันไม่เป็นความจริง มันเป็นเรื่องของกิเลส กิเลสมันพลิกมันแพลงมันหลอกมันลวงนะ ถ้ากิเลสมันพลิกมันแพลงมันหลอกมันลวงในผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น เวลากิเลสมันหลอกมันลวงมันพลิกมันแพลงขึ้นไปมันเอาความจริงขึ้นมาไม่ได้หรอก เพียงแต่อาศัยว่าอยู่กับครูบาอาจารย์มา ถ้าอยู่กับครูบาอาจารย์มาได้ฟังสิ่งใดมา สิ่งนั้นมันเป็นความจำ ความจำไม่ใช่ความจริง ความจำนะ จำแล้วเดี๋ยวก็ลืม แล้วมันเป็นอุปกิเลส ๑๐ มันเป็นอุปกิเลสกิเลสอย่างละเอียด

กิเลสหยาบๆ เราสำรวมระวังขึ้นมานะ เราจะรักษากิริยา รักษามารยาท ให้เราสงบเสงี่ยมไง ในพระไตรปิฎกนะ สันตกายๆ นี่เขานิ่งของเขาอยู่อย่างนั้น จนประชาชนทั่วไปเขาบอก “นี่พระอรหันต์ๆ” จนร่ำลือไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ไม่ใช่หรอก สันตกายไม่ใช่พระอรหันต์ สันตกายยังภาวนาไม่เป็น แต่โดยบุญกุศลของเขา เขาเคยเกิดเป็นเสือมา ๕๐๐ ชาติ เขาสงบเสงี่ยมมาก

เวลาเขาร่ำลือไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าให้เรียกสันตกายมา แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาเรื่องกาย การวิปัสสนาการใช้ปัญญาพิจารณากาย สันตกายก็นั่งฟังไปด้วย ด้วยที่เขามีอำนาจวาสนา เขาสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นเสือไง เวลาจะออกหาเหยื่อ เขาต้องนอนสงบนิ่งไง ท่าสงบนิ่งตื่นมาอยู่ในท่านั้น เขาออกล่าเหยื่อจะได้เหยื่อทุกที ถ้าเขาตื่นขึ้นมาแล้วนะ ถ้าร่างกายเขาไม่อยู่ในสภาพนั้น เขาจะนอนต่อไป เขาเลยนุ่มนวลนิ่งอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้มีสติปัญญาชำระล้างกิเลสเลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกมา แล้วก็เทศนาเรื่องการพิจารณากายๆ เขานั่งฟังของเขาด้วยไง สันตกายก็นั่งฟังด้วย พิจารณาตามไปด้วย เป็นพระอรหันต์เลย มันต้องมีมรรคมีผล มีการประพฤติปฏิบัติตามเป็นจริงขึ้นมา มันถึงมีเหตุทำให้การพิจารณากายนี้สมบูรณ์แบบ สมบูรณ์แบบจากการพิจารณาโดยจิต จิตพิจารณากาย จิตพิจารณาเวทนา จิตพิจารณาธรรม จิตพิจารณาจิต จิตพิจารณา พิจารณาเพื่อแก้ไขจิต

จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ เห็นไหม สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเพราะอวิชชามันปิดบังทำให้มืดบอด แต่ถ้าฝึกหัด ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นไปนะ ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าใจสงบระงับแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันต้องยกขึ้นสู่วิปัสสนา การวิปัสสนาคือภาวนามยปัญญา ปัญญาในการชำระล้างกิเลส ถ้าไม่มีภาวนามยปัญญามันเป็นสมถะ มันทำความสงบของใจบอกว่า “ธรรมะมีอยู่ดั้งเดิม ปล่อยวางๆ ปล่อยวางเข้าสู่สัจธรรม” มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปได้ฤาษีชีไพรเขาเป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว ฤาษีชีไพรในสมัยพุทธกาลน่ะ 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษามา ๖ ปี ฝ่ายที่ปฏิบัติเขาปฏิญาณตนเป็นพระอรหันต์มากมายมหาศาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เชื่อใครเลย ศึกษาใครมาแล้วไม่มีใครมีความรู้จริงสักคนหนึ่ง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาแล้วย้อนกลับมาในใจของตน มันพึ่งใครไม่ได้แล้วล่ะ ต้องค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เวลาเข้าสู่อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เวลาเป็นสัจจะ เป็นความจริงขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้สอนการพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรมโดยสัจจะโดยความจริง 

แล้วใครพิจารณาจิตครับ จิตพิจารณา จิตของเราเนี่ย จิตแก้จิต การพิจารณา การพิจารณาคือภาวนามยปัญญาเกิดจากการภาวนา การภาวนาเพื่อการรู้แจ้งในใจของตน ถ้าเป็นการรู้แจ้งในใจของตน เห็นไหม การชำระล้างกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป อย่างเช่น โสดาบันละสังโยชน์ ๓ สกิทาคามี กามราคะ ปฏิฆะอ่อนลง เวลาพิจารณา เวลากามราคะ ปฏิฆะขาดไปนี่เป็นพระอนาคามีไม่เกิดบนกามภพอีกแล้ว เกิดบนพรหม 

แล้วพิจารณาเศษส่วนที่ในหัวใจของตน เพราะพรหม ๕ ชั้น แล้วเวลาพิจารณาเข้าไปนะ ถ้าจะไปเจออวิชชาได้ เจ้าวัฏจักรไม่ให้เห็นหน้าหรอก แล้วไม่มีใครเคยเห็นมัน แล้วไม่มีใครรู้จัก แต่เวลาเป็นความจริงๆ จะไปรู้จักใคร จิตแก้จิต ต้องรู้จิตของตน รู้จักอวิชชาในใจของตน ถ้าเห็นอวิชชาในใจของตนเห็นเจ้าวัฏจักร เห็นเจ้าวัฏจักรแล้ววิธีการชำระล้างจิตแก้จิตทำอย่างไร พลิกจากกิเลสเป็นธรรมพลิกอย่างไร พลิกทีเดียวจบ ถ้าจบแล้ว เห็นไหม สิ้นกิเลส

การสิ้นกิเลสในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่เป็นธรรมๆ ธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด แล้วมันเป็นยุคเป็นสมัย ยุคสมัยพุทธกาล กึ่งพุทธกาล นี่ยุคปลาย กึ่งพุทธกาลปลายๆ พุทธกาลแล้วต่อไปเอาที่ไหน ฉะนั้น เราถึงไม่นิ่งนอนใจ เราจะเอาสัจจะ เอาความจริง เราจะค้นคว้า เราจะประพฤติปฏิบัติด้วยอำนาจวาสนาของเรา เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา นี้เป็นอำนาจวาสนา แล้วอำนาจวาสนาของเรา เราต้องแก้ไขของเรา เรามีอำนาจวาสนานะ หน้าที่การงานของคนเกิดมาเลี้ยงชีพ เขาต้องมีหน้าที่การงานของเขา

แต่ของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะแก้ แก้กิเลสในใจของเรา เป็นงานที่หนักหน่วงกับทางโลกมากนัก เพราะมันเป็นงานเอาชนะตนเอง การทำงานนะ มันเป็นการทำงานบริหารต่างๆ มันบริหารจัดการโดยแง่มุมของทางการบริหารจัดการทางโลก แต่หัวใจของเราใครจะแก้ไขแทนเราไม่ได้เลย เราจะต้องเข้าไปเผชิญหน้ากับสัจจะ เผชิญหน้ากับสัจจะความจริงในใจของตน เราก็ต้องเผชิญกับกิเลสในใจของตน แล้วกิเลสของคน มันเป็นที่จริตเป็นที่นิสัยอำนาจวาสนาของคนมากน้อยขนาดไหน ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เรามีอำนาจวาสนา 

เราพยายามฝึกตนขึ้นมา งานแก้กิเลสเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก จบที่นี่แล้วนะ เราไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เราไม่ไปข้างหน้าและเราไม่ไปข้างหลัง แล้วปัจจุบันนี้แค่หมดอายุขัย ก็จบเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้าไม่จบที่นี่ มันไปไม่มีต้น ไม่มีปลาย ไม่มีที่สิ้นสุด เว้นไว้แต่เป็นพระอริยบุคคลแต่ละขั้นแต่ละตอน มันมี ๗ ชาติเกิดบนกามภพแล้วก็ไม่เกิดอีกเลย แล้วไม่เกิดเป็นวิมุตติสุข เป็นวิมุตติสุขสุขโดยดั้งเดิม เอวัง