เทศน์บนศาลา

กลับบ้าน

๑๓ ก.ย. ๒๕๔๑

 

กลับบ้าน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

กิริยาของธรรม ธรรมแท้ๆ อยู่ที่ใจ กิริยาของธรรมออกมาจากใจดวงที่เป็นธรรม นั้นกิริยาหมด ฉะนั้นฟังธรรม ฟังธรรม

เพราะว่าเราหลงธรรม เรามองข้ามความเป็นจริงไป เลยเป็นทุกข์ไปหมด กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างกัน คนเราเกิดมามีทั้งกรรมดีและกรรมชั่วสะสมมา แต่การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ ช่วงเกิด เกิดเป็นมนุษย์แล้วมันมีกรรมดีมาพอสมควร แต่เกิดแล้วก็ยังมีจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันไปอีก

กรรม ให้เกิดมาแล้วจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน มีทุกข์ต่างๆ กัน มีความสุขต่างๆ กัน โลกเราถึงได้มีทุกข์ มีทุกข์มีความคลุกเคล้ากันไป แต่ส่วนใหญ่ก็ทุกข์ออกหน้า สุขหาน้อยมาก เกิดมาแล้วก็ยังต้องผจญกับความทุกข์ยาก หรือความเป็นอยู่ของเราไปตลอดไป นี่เผชิญไปเรื่อยๆ เหมือนเร่ร่อน จิตนี้เหมือนคนเร่ร่อน เหมือนสัตว์ไม่มีเจ้าของ เร่ร่อนไป เราลืมหลักความเป็นจริงไปอันหนึ่ง เราว่าเราเป็นชาวพุทธ แต่หัวใจเราเร่ร่อนไม่ใช่เป็นชาวพุทธ

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ชาวพุทธต้องถึงรัตนตรัย พระพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตเป็นแบบอย่าง ชีวิตองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างนะ เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าชายสิทธัตถะเป็นลูกของกษัตริย์ ปัจจัย ๔ สมบูรณ์มาก อาหารนี้อาหารของกษัตริย์ ในราชวังอาหารการกินนี้ต้องประณีตมาก ปราสาท ๓ ฤดู ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่มนี่ไม่ต้องพูดถึง จะประณีตมาก ยารักษาโรค ปัจจัย ๔

ปัจจัย ๔ ของกษัตริย์ ทำไมไม่สามารถทำให้เจ้าชายสิทธัตถะหลงโลกได้ เจ้าชายสิทธัตถะทำไมถึงต้องไม่หลงอยู่ในวังวนของโลก

แต่เราว่าเราเป็นชาวพุทธ “ชาวพุทธ” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย เครื่องอยู่อาศัยแต่เราไม่ใช่เครื่องอยู่อาศัย เราหลงไปในกระแสของโลก เห็นไหม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ใครหลงมากหรือหลงน้อย หลงไปในกระแสของโลก หลงไปเรื่อยๆ เหมือนสัตว์ไม่มีเจ้าของ

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าถึงรัตนตรัยถึงจริงหรือเปล่า ถ้าถึงพระรัตนตรัยจะไม่ตื่นกับกระแสโลกจนเกินไป จนไม่ต้องประสบความทุกข์เร่าร้อนจนปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้มีความทุกข์กันมาก เพราะเป็นสภาวะตามความเป็นจริงมากระตุก เป็นชาวพุทธไม่สามารถเข้าใจ เป็นชาวพุทธไม่มีสติสัมปชัญญะ การดำรงชีวิตแบบชาวพุทธ ต้องให้สภาวะตามความเป็นจริง เศรษฐกิจถดถอยนี้มากระตุกกระชากกลับ กระชากกลับมา

ขณะปัจจุบันนี้เขาบอกกันว่า การต้องกลับไปใช้เศรษฐกิจตามดั้งเดิมตามความเป็นจริง ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย แม้แต่ปัจจุบันนี้ เวลาตกทุกข์ได้ยากขึ้นมา ของที่มีอยู่ บ้านของตัวเองยังรักษาไว้ไม่อยู่ ต้องขายทิ้ง ต้องขายทิ้งเพื่อกลับไปอยู่ในที่ที่ว่าตามว่าสถานะของตัวเองจะอยู่ได้ สถานะตามความเป็นจริงนี้มันเป็นสถานะที่การหลอกลวง กระแสของโลก นี่โลกล้วนๆ เลย โลกสร้างขึ้นมา โลกปั่นขึ้นมา โยนกันไป โยนกันมาให้เป็นระบบเศรษฐกิจขึ้นมา แล้วเราก็หลงกันไป โลกนี้เป็นสมมุติอยู่โดยธรรมชาติตามความเป็นจริงอยู่แล้ว ยังทำให้สมมุติซ้อนขึ้นไปอีก ปั่นกันขึ้นมาให้เป็นกระแสเศรษฐกิจขึ้นไป

แล้วเราชาวพุทธที่ว่า ชาวพุทธที่ไม่มีหลักของใจ ไม่มีความรู้ที่ว่ารู้ตามความเป็นจริงตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ก็ตื่นเต้นไปกับเขา ต้องมีปัจจัยที่ ๕ ปัจจัยที่ ๖ ปัจจัยที่ ๘ ปัจจัยที่ ๑๐๐ โน่นน่ะ ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยก็ต้องมีปัจจัยที่ ๕ ต้องมีรถมีรา แล้วพอถึงเวลาเศรษฐกิจมันตกมา รถกับบ้าน จะรักษาสิ่งใดไว้ก่อน มีความทุกข์ไหม

แต่ถ้าเป็นความทุกข์ที่เป็นความทุกข์เมื่อก่อน ต้องตามเขาให้ทัน ต้องตามกระแสนั้นให้ทัน ในเมื่อในโลกนี้เป็นสมมุติอยู่แล้วยังต้องมีสมมุติซ้อนสมมุติขึ้นมา แล้วเราก็วิ่งเต้นเผ่นกระโดดกัน เหมือนกับสัตว์ไม่มีเจ้าของ สัตว์ไม่มีเจ้าของ ไม่มีหลักของใจ ไม่มี เป็นแค่ได้เป็นชาวพุทธตามความเป็นจริง

มันไม่มี มันเป็นพุทธ แต่ว่าพุทธ แต่ไม่รู้ว่าพุทธตรงไหน ตื่นไปกับสมมุติโลก ตื่นไป ตื่นไป จนถึงว่าสภาวะตามความกระตุกกลับที่ว่าต้องกลับบ้านเดิมไง ต้องกลับไปอยู่ในชนบท ต้องกลับไปอยู่ในตามความเป็นจริงของปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย ต้องลงไปทำมาหากินกันขึ้นมา ฟื้นฐานขึ้นมาใหม่ เพราะเราไม่เข้าใจ หรือเราวิ่งเต้นเผ่นกระโดด

แต่ในสภาวะสังคมแบบนั้น ถ้าผู้ใดมีหลักยึดตามความเป็นจริง ตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เป็นชาวพุทธ ชาวพุทธรู้จักอ่อนน้อม รู้จักถ่อมตน รู้จักเจียมตน ไม่ทำเกินสถานะของตามความเป็นจริงของตัว คนๆ นั้นก็จะต้องมีสิ่งที่เก็บหอมรอมริบไว้ ช่วงนี้เป็นช่วงโอกาสทองเลย ที่คนที่มีเก็บหอมรอมริบไว้ คอยช้อนซื้อของที่ถูกๆ ที่ว่า เพราะเขาสร้างกันขึ้นมาให้เป็นกระแสของโลก มีบ้านหลังที่ ๑ มีบ้านหลังที่ ๒ ที่พักตากอากาศ มีบ้านหลังที่ ๓ หลังที่ ๔ ถึงเวลาจริงๆ เข้า ฟองสบู่มันแตก เอาไว้ไม่อยู่เขาก็ต้องปล่อยทิ้งไป

ผู้ที่มีความเก็บหอมรอมริบ รู้จักอดออม ตอนนี้ก็ได้ประโยชน์ ได้ประโยชน์เลย ถึงบอกว่าใครมีหลักมาก ไม่ตื่นไปตามกระแส คนนั้นจะได้ประโยชน์ในช่วงเหตุการณ์แบบนี้ แต่คนที่ตื่นเข้าไป คว้าเข้าไป ช่วงนั้นคนนั้นจะเดือดร้อนมาก นี่ถึงวัดกันในหัวใจว่าคนไหนมีเนื้อหาของแก่นสารของพุทธศาสนาอยู่ในหัวใจ มีธรรมในหัวใจ คนนั้นจะมีความเดือดร้อนน้อยกว่าคนที่ว่าเป็นสัตว์ไม่มีเจ้าของ ถึงต้องให้สภาวะตามความเป็นจริงกระตุกกลับมา กลับมา กลับมาใช้ให้เป็นชาวพุทธแท้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงแม้ว่าให้มีปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยของการเป็นมนุษย์ ทำไมเจ้าชายสิทธัตถะมีอยู่พร้อม ทำไมไม่ตื่นไปกับสิ่งเหล่านี้ ทำไมออกบวชได้ ชีวิตที่เป็นแบบอย่าง ทำไมเจ้าชายสิทธัตถะชุ่มอยู่ในทั้งหมดเลย ชุ่มอยู่ในสิ่งในกามคุณทั้ง ๕ พร้อมทั้งหมด แม้แต่จะกินอาหารยังมีเครื่องประโคมคอยมีดนตรีคอยให้เคลิบเคลิ้มอยู่ ทำไมไม่เคลิบเคลิ้มไปกับปัจจัย ๔ ที่ความที่เป็นประณีตนั้นล่ะ

จะบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสร้างบารมีมา ก็ถูกต้อง สร้างบารมีมา สร้างบุญกุศลมา จนจะต้องมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ชีวิตที่เป็นแบบอย่างเราต้องยกชีวิตที่เป็นแบบอย่างเป็นครูของเราสิ นี่จะหลุดพ้นออกมา หลุดพ้นออกจากความเป็นคฤหัสถ์ ออกมาเป็นนักบวช ยังต้องแสวงหา ยังต้องไปแสวงหาอยู่อีก ๖ ปี

อันนี้ก็เหมือนกัน เราต้องดูที่หัวใจของเรา หัวใจของเรา เรากลับมาอยู่ในบ้านเดิม กลับมาอยู่ในสถานะตามความเป็นจริงในเรื่องของปัจจัย ๔ ใช่ไหม อันนั้นเป็นสภาวะของความเป็นอยู่ของมนุษย์ แต่การกลับมาของหัวใจ เจตนาที่ส่งออกไป ความคิดฟุ้งซ่านที่ส่งออกไป เราต้องดึงกลับมา จากเจตนาต้องดึงกลับมาที่ใจ

เจตนา ความคิด เจตนา เจตสิกที่ส่งออกไปจากพลังงานของใจ เราจะทำความสงบก่อน มันก็ดึงใจ ดึงอาการของจิตทั้งหมดกลับมาอยู่ที่ใจ มันเหมือนกัน ต้องกลับมาอยู่ในสถานะตามความเป็นจริงก่อน สถานะตามความเป็นจริงแล้วถึงจะเป็นต้นทุน เป็นหลักความเป็นจริงว่าเราเกิดเป็นมนุษย์มีกายกับมีหัวใจ ความเดือดร้อน ความทุกข์รวมลงแล้วต้องไปสะสมไว้ที่ใจ

คนถึงเกิดมา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ต่างๆ กันบุญบารมีถึงไม่เหมือนกัน

ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสร้างสมบารมีมา เราไม่ได้สร้างสมบุญบารมีมา เราถึงต้องทนทุกข์ยากอยู่นี่ไง

อันนั้นมันเป็นการกิเลสมันพูด ความคัดค้านความต้านทานของใจ ของกิเลสในหัวใจนะไม่ใช่ใจ กิเลสอยู่ที่หัวใจ มันคัดค้าน มันตะแบงจะให้การทำคุณงามความดี หรือจะให้เราเข้าไปใกล้ถึงความเป็นสุข ตามสุขเนื้อแท้นั้น ให้ออกไปจากตรงนั้น นี่กิเลสที่อยู่ในหัวใจมันพยายามผลักไสออกมาให้เราพ้นจากคุณงามความดีทั้งหมด

คุณงามความดีเริ่มต้นนะ แค่เข้ากลับ กลับเข้ามาถึงสถานะเดิม ต้องกลับมา เวลาเศรษฐกิจทางโลก ทางมนุษย์ ยังต้องกลับไปอยู่ตามความเป็นจริง ปัจจัยพื้นฐานการเกษตรขึ้นมาตามความเป็นจริง คือของกินของใช้ ของอยู่ของอาศัย หัวใจที่กลับมาเป็นปกติของใจก็ดึงจิตทั้งหมดกลับมาที่ใจ คือทำความสงบใจ กำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ ทำจิตให้สงบ จิตมันฟุ้งซ่านออกไป มันไปกว้านออกทั้งหมด กว้านทุกอย่างมารู้หมด มันถึงทำให้จิตนี้ไม่สงบ

ความที่ไม่สงบเพราะอะไร เพราะมันไม่มีการบังคับด้วยสติ ไม่มีการเจตนาความจริงจังว่าเราจะทำใจให้สงบ ต้องดึงกลับมาเหมือนกัน เหมือนกับสภาวะฟองสบู่แตกนี่แหละ ทำไมถึงฟองสบู่แตกถึงเข้าใจล่ะ?

ก็เพราะว่าความเป็นจริง สถานะความเป็นจริงว่ามันอยู่ไม่ได้ด้วยกระแสของสมมุติ สมมุตินี้มันอยู่ไม่ได้ มันแปรสภาพตามความเป็นจริงแล้ว แต่เราไม่เข้าใจมัน เราไปสร้างขึ้นมาเพื่อจะหลอกกันเอง ใครที่มีปัญญาก็ได้ฉลาด คนฉลาดคนมีปัญญาจะได้ประโยชน์ หลอกไอ้คนโง่เข้ามาเป็นเหยื่อ

ขณะที่เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง ขึ้นมา ทุกคนต้องวิ่งเข้าไปหาศูนย์กลางของอำนาจ ต้องเป็นที่ตลาด ตลาดการเงิน ศูนย์กลางการตัดสินใจ ผู้ที่เข้าไปเก็บหรือจับข้อมูลภายในได้ ผู้ที่ตัดสินใจซื้อและขายก่อน คนนั้นจะได้ประโยชน์ แมลงเม่าวิ่งเข้าไปนะ เป็นเหยื่อเขาทั้งหมดเลย ไปหนุนคนที่มีปัญญานั้นมาเป็นฐานของเขา ทุกข์ยากขนาดไหนที่แมลงเม่าอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบแล้วเข้าไปเป็นเหยื่อของผู้ที่เข้าไปถึงจุดศูนย์กลางของข้อมูลข่าวสาร เวลาเศรษฐกิจมันขาขึ้น ขาขึ้นที่ว่า ขึ้นๆ นั่นคือปั่นกันเข้าไปไง ความโง่และความฉลาดอยู่ในสังคมของกระแสนั้น เขามีผลประโยชน์กันอยู่ในนั้นทั้งหมด

ไอ้หัวใจเรานี่ก็เหมือนกัน มันไปคิดว่ามันจะได้เปรียบตลอดเวลา คิดว่ามันจะรู้ มันถึงกว้านเอาเข้ามา กว้านเอาความอารมณ์ต่างๆ สิ่งที่มันเคยรู้ก็เอามาฟุ้งมาซ่าน มาปรุงมาแต่งอยู่ในหัวใจ มันถึงไม่ได้กลับไปอยู่ในที่เดิม จิตนี้ก็เดือดร้อนไปสิ พยายามจะทำจิตให้สงบขนาดไหนมันก็ไม่สงบ เพราะมันไม่กลับไปอยู่ในสถานะตามความเป็นจริง

ตามความเป็นจริงจิตนี้ก็คือพลังงานตัวหนึ่งเท่านั้น กิเลสที่ทำให้ฟุ้งซ่านออกไปเพราะความจำได้หมายรู้ อุปาทาน การยึดมั่นถือมั่น ในรูป รส กลิ่น เสียง ต่างๆ แล้วเราควบคุมไม่ได้ พอเราควบคุมไม่ได้ พอเรายิ่งหลับตาลง หลับตาลงหมายถึงว่า เรารวมลงเท่าไร

เด็ก ถ้าปล่อยวิ่งเล่นมันจะลืมตัว มันจะสนุกเพลิดเพลินไปประสาของเด็ก เด็กจะอยู่ของเขาได้ แต่ถ้าเราจับเด็กให้นั่งปกติหรือจับเด็กให้นอน ต้องหลอกต้องล่อกันทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้เด็กนั้นพอใจหรือให้เด็กนั้นยอม แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ยอม การพักผ่อนของเด็กนั้นทำให้เด็กคนนั้นร่างกายสมบูรณ์ ร่างกายสมบูรณ์แล้วจะได้เจริญเติบโตต่อไปเพราะมันไม่อ่อนเพลีย

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่ทำใจให้สงบ มันจะเข้ากับไปทำให้เป็นพื้นฐานแล้วใจนั้นมันจะเป็นสงบเข้าบ่อยๆ จนเป็นสมาธิจนจิตตั้งมั่น ถ้ามันกลับมาตรงนี้แล้วมันกลับเป็นประโยชน์

แต่กิเลสมันบอกว่า ไม่ใช่ กลับไปตรงนั้นแล้วเสียเวลาเปล่า นั่งสมาธิทำใจให้สงบไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย สู้เราคิดเราใช้ปัญญาปรุงแต่งออกไปเราจะได้ประโยชน์มหาศาล เราจะคิดอะไรก็ได้

กิเลสมันหลอกขนาดนั้นน่ะ เหมือนกับข้างนอกที่สมมุติที่เขาหลอกกัน แมลงเม่าบินเข้าวิ่งเข้าไปโดนเขาเผาไฟ จนปีกเปิกไหม้หมดก็ยังดิ้นเข้าไปหา อันนี้คือกิเลส เหมือนกับเราเหมือนกัน เหมือนกับจิตที่มันไม่สงบนี่ก็เหมือนกัน มันไม่สงบเพราะว่าอันนี้คือกิเลสมันยุมันแหย่ กิเลสในหัวใจเรามันยุมันแหย่ในหัวใจเรา เราไม่รู้ตัว เราไม่เข้าใจ เราว่าเป็นเรา เป็นเรา คนทุกคนว่าเป็นเรา เป็นความคิดเป็นเรา ทุกๆ อย่างเป็นเรา เราเลยพันกันอยู่ตรงนั้นไปแก้ไม่ออก

พระพุทธเจ้าถึงสอนให้กำหนดพุทโธ ศีล สมาธิ ปัญญา

การปฏิบัติต้องมีศีลพร้อมก่อนใช่ไหม ศีล มีศีล ศีลคือการปกติของกาย แต่มันไม่ปกติของใจ เพราะเริ่มเข้ามีการบังคับ เหมือนเด็กมันจะเริ่มดิ้นแล้ว พอทำเข้าบ่อยๆ ตั้งจงใจเข้ากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ มีความมุมานะตรงนี้ไง มันก็เหมือนเรากลับไปที่พื้นฐานนั้น ฟังสิ กลับไปที่พื้นฐานเดิม กลับบ้านเรา กลับไปหัวใจของเรา กลับไปหาตนเองนั่นน่ะ

กลับไปหาตนเอง พอตนเอง ก็เหมือนกับเศรษฐกิจตอนนี้ ที่แก้ไขไม่ได้เพราะเศรษฐกิจนี้ยังไม่ลงถึงก้นบึ้งไง ยังไม่ลงถึงจุดต่ำสุดไง จุดต่ำสุดถึงจะเริ่มต้นไต่ขึ้นมาเป็นระบบเศรษฐกิจรอบใหม่ หัวใจไม่ตกลงไปถึงสมาธิ หัวใจไม่ถึงพื้นฐานของใจ มันก็วนอยู่อย่างนั้น ลงมาก็ลงไม่สงบ ถึงสงบก็ถ้าสงบเข้าไปก็สงบแบบไม่ถึงฐาน ไม่มีกำลังไปทั้งหมดเลย นี่การประพฤติปฏิบัติมันเป็นแบบนั้น ทำไมเราไม่ได้ประโยชน์ในการที่ว่าเราประพฤติปฏิบัติไง

ดูสิ ดูเวลาเห็นระบบเศรษฐกิจเห็นความเป็นไป ทุกคนเศร้าใจนะ ทุกคนเศร้าใจว่าไม่น่าเป็นอย่างนี้ ทำไมมันเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่ว่าเราเป็นชาวพุทธนะ แล้วเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ประเทศไทยก่อนนะ มันลามไปทั้งโลกเลย ลามไปหมดเลย เพราะว่าเราเผลอกันมาก เราเป็นสัตว์ไม่มีเจ้าของกันมาก หัวใจนี่เป็นสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ วิ่งเต้นเผ่นกระโดดตามกระแสของเขาไปนะ มันถึงไม่ใช่ชาวพุทธตามความเป็นจริง

ถ้าชาวพุทธจริงมันใช้ปัจจัย ๔ ตามอยู่ที่ความพอดีของตัว มันไม่ฟุ่มเฟือยไม่ฟุ้งเฟ้อขนาดนี้ มันไม่สมกับกิเลส กิเลสมันยุแหย่ นี่เหมือนกันเลย หัวใจที่ว่าเป็นชาวพุทธนะ ชาวพุทธเราในประเทศไทย ๖๐ กว่าล้านคน ทั่วโลกเขาก็มีเกือบพันล้านเฉพาะชาวพุทธ แล้วประพฤติปฏิบัติกันได้ขนาดไหน อ่อนแอที่สุดคือชาวพุทธ เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้มีอิสระ ให้คิดเอาเอง ให้พอใจแล้วปฏิบัติ เพราะการประพฤติปฏิบัตินี้มันเกิดขึ้นที่ใจ ความสุขและความทุกข์ใจนี้เป็นสำคัญ ใจนี้สำคัญกว่าร่างกาย นี้เราไปมองกันแต่วัตถุ วัตถุ วัตถุ ว่าคนที่เป็นชาวพุทธต้องมีเครื่องประดับมีเกียรติยศ มีเกียรติคุณ

ไปมองตรงนั้น ไม่ได้มองว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วมีอะไร? มีผ้า ๓ ผืน กินอาหารวันละมื้อเดียว นอนแต่พอสมควร เท่านั้น หัวใจนี้เป็นพระอรหันต์ มีความสุข ไม่มีความทุกข์ใดๆ เจือปนแม้แต่นิดเดียวเลย มีบริขาร ๘ มีผ้า ๓ ผืนเท่านั้น แต่หัวใจประเสริฐ

นั่นน่ะ ชาวพุทธอยู่ที่ตรงนั้น ไม่ใช่ว่ามีวัตถุมากแต่เป็นขี้ข้าเป็นหนี้มหาศาล ไม่ใช่ ชาวพุทธถึงมองกันที่ผิดไง หัวใจที่เป็นความสุขแท้ หัวใจที่จะเป็นหัวใจของชาวพุทธว่าเป็นธรรมไง ธรรมที่ใจ ใจกับธรรมเป็น เอโก ธัมโม เป็นหนึ่งเดียว ใจเป็นธรรม ธรรมเป็นใจนะ เป็นอันเดียวกันแล้วมีความสุขมหาศาล มันเป็นหลัก เป็นแก่น เป็นเป้าหมายของชาวพุทธทั้งหมดเลย

แล้วชาวพุทธนี่เป็นพันๆ ล้านปฏิบัติกันอย่างไร มันมีกี่องค์ที่สำเร็จสิ้นถึงใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน ใจถึงสำคัญ แต่เวลาพูด กิเลสมันพูด มันต้องเถียงตลอด มันต้องมีกิน มีใช้ มันถึงจะได้มาปฏิบัติ คนต้องมีกินมีใช้ก่อน เหลือเฟือแล้วค่อยมาปฏิบัติ แล้วประเทศไทยตอนนี้จะเอาอะไรมาปฏิบัติล่ะ ในเมื่อไม่มีเลย เป็นหนี้เขาเป็นลบขนาดนั้น ทำไมทำกันได้ล่ะ?

เพราะกิเลสมันอ้าง ความคิดในหัวใจมันอ้างไว้ตลอด มันผลักไสไม่ให้อยู่ในปัจจุบันธรรม ปัจจุบันในการประพฤติปฏิบัติไง มันอ้าง มันไส มันถึงว่ามันตื่นกระแสไปกับเขาให้เขาหลอก มันก็ยังน่าน้อยใจว่า ก็ยังเต็มใจให้เขาหลอก ก็เป็นเหยื่อเขาจนได้ นั่นมันเป็นวัตถุ ถึงว่า มันเป็นสมมุติ มันเป็นแค่เครื่องอยู่อาศัย แม้แต่กายนี้ยังไม่ใช่เราเลยนะ แล้วนับประสาอะไรกับวัตถุนอกกาย นั้นมันจะเป็นของๆ เรา ทำไมไปเห่อกับเขา ถึงว่าไม่เคยเจอความสุขแท้ เจอความสุขจอมปลอม เขายื่นมาให้ พอเขาชักกลับ ทุกคนก็สิ้นท่า

ถึงว่าไม่เชื่อเขา ไม่ตื่นตามกระแส ถึงต้องกลับมาเป็นเศรษฐกิจพอเพียง กลับมาเศรษฐกิจแบบเกษตรกรรม ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาถ้าเป็นชาวพุทธก็ใช้ ชาวพุทธนี้ไม่ใช่โง่ ชาวพุทธนี้มีปัญญาขนาดชำระกิเลสได้ ทำไมไปโง่กับสิ่งว่าที่เป็นวัตถุล่ะ สิ่งที่เป็นวัตถุ เป็นคอมพิวเตอร์ จะเป็นอะไร ที่มันเครื่องยนต์กลไกของโลก

ก็ใช้เป็น ก็ใช้ได้ ถ้าใช้เป็นประโยชน์ แต่ถ้ามันไม่จำเป็นต้องใช้ มันยังไม่ถึงเวลาใช้ เราจะไปขวนขวายมาใช้ก่อน ก็ใช้ด้วยการเป็นหนี้ ผลสุดท้ายก็ไม่มีปัญญาจะใช้เขา อันนั้นมันเป็นเรื่องของข้างนอก ที่เปรียบเทียบเรื่องของใจ ที่ว่า มันไม่สงบเพราะเหตุนั้น

ดึงกลับมา ดึงกลับมา ดึงกลับมาให้ดูความเป็นไปของใจตัวนี้ อารมณ์ที่ส่งออกไปมันก็เหมือนกับที่ว่า ชาวโลกเขาตื่นวัตถุนั่นล่ะ เพราะมันไม่เห็นพิษเห็นภัย กามคุณ ๕ เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ความคิด ความทุกข์ ความคิดความผูกพันในกามคุณ ๕ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นั่นคือกามคุณ ๕ แล้วหัวใจมันบ่วงของมาร เครื่องล่อ มันบ่วง มันพวงดอกไม้ที่ล่อใจออกไป แต่ใจกับสิ่งนั้นมันเคยเป็นเนื้อเดียวกัน มันถึงปล่อยวางสิ่งนั้นไม่ได้ มันถึงไม่สงบ มันถึง ย้อนกลับมาถึงใจของตัวไม่ได้ ไม่ย้อนกลับมาถึงความสงบอันนั้นไง

ก็เหมือนที่ว่า เขาออกไปถึงศูนย์กลางอำนาจของการเงิน พอถอยกลับมา ถอยไม่ลงนะ เวลาจะอุตส่าห์กระโดดโลดเต้นขึ้นไปจนถึงจุดศูนย์กลางของข้อมูลข่าวสาร แล้วกว่าจะทิ้งมาเฉยๆ มันทิ้งไปได้อย่างไร กว่าจะตะเกียกตะกายขึ้นมานี่ใช้ชีวิตทั้งชีวิต อายุ ๕๐-๖๐ แล้วถึงจะมาถึงตรงนั้น แล้วจะกลับไปตกงาน กลับไปอะไรไปใช้ อะไรเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัย

อันนี้ก็เหมือนกัน มันเป็นกิเลสกับใจมันซ้อนกันมา มันซับกันมา ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติแล้ว มันเป็นเนื้อเดียวกัน มันเลยไม่ยอมปล่อยวาง แต่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วบอก ตรงนี้เป็นพื้นฐานต้องจิตต้องเป็นสมาธิก่อน ต้องตัดให้ออกจากโลกียารมณ์ ถ้าจิตเป็นโลกียารมณ์ ปัญญาจะคิดขนาดไหน จะมีปัญญา จะมีเกียรติคุณขนาดไหนมันก็เป็นเรื่องของสมมุติทั้งหมด ต้องกลับมาตรงจุดตรงนี้ ให้จิตนี้เป็นสมาธิ ปล่อยวางโลก โลกียะทั้งหมดแล้วค่อยกลับมาพิจารณาปัจจัย ๔ ตามความเป็นจริงของมัน

เราพึ่งตัวเองกันไม่ได้ เราตกทุกข์ได้ยาก เรากลับไปอยู่บ้านเรา เราก็ต้องการรัฐบาล ต้องการผู้ที่มีอำนาจ ต้องการความเป็นธรรม ต้องการที่อยู่อาศัยได้ ฟังนะ ขนาดกระทรวงแรงงาน กรมประชาสงเคราะห์ จัดงบประมาณให้เป็นหมื่นๆ ล้านเลย เพื่ออะไร? เพื่อให้คนมีอาชีพ อาชีพคืออะไร? อาชีพคืออาหาร ก็ยังมีการทุจริต เห็นไหม แม้แต่เครื่องอยู่อาศัย แม้แต่ยารักษาโรค ๑,๔๐๐ ร้อยล้านนะ ก็ยังใช้กันกี่ส่วนเปอร์เซ็นต์

เราหวังพึ่งความเป็นธรรม มันก็ยังมาโกงมากินกันอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ว่าเราหวังพึ่งอาศัย ทั้งๆ ที่รู้นะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าขณะนี้เราต้องเป็นเศรษฐกิจพอเพียง ต้องกลับไปอยู่ตามความเป็นจริง แต่เวลากลับมาแล้วจะมาหวังพึ่งเขาบ้าง ก็ยังมีการโกง มีการทุจริต นั่นคือเรื่องของกิเลสทั้งหมดเลย

จิตที่มันสงบเข้ามา จิตที่กลับมาพื้นฐาน ความหลงในความเห็นของตัว จิตสงบจะเกิดนิมิต จะเกิดความเห็น จะเกิดธรรมแสดงออก เราก็ตื่นออกไปอีก แม้แต่จิตเราสงบก็เหมือนกับเรากลับมาแล้วเราจะพึ่งสภาวธรรม

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลาย ธรรม ธรรมทั้งหลาย สมาธิธรรม สมาธิกว่าเราจะกำหนดให้เป็นความสงบได้ ความสงบที่มันปล่อยออกมาจากรูป รส กลิ่น เสียง ปล่อยออกมาจากบ่วงแห่งมาร ทำจิตนี้ให้สงบเข้ามา เรากลับไปอยู่ใน...จากจิตกลับไปอยู่ที่ใจ เราว่ามันจะถึงว่าเป็นพื้นฐานแล้วมันจะได้อาศัยตัวเอง มันก็ยังมีกิเลสมาหลอกอีก ต้องยกเป็นวิปัสสนา มันหวังพึ่งใครไม่ได้ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ธรรม วิธีการ เราตถาคตเป็นผู้บอก เป็นผู้ชี้ ผู้ที่จะชำระกิเลสผู้นั้นต้องปฏิบัติ และต้องขวนขวายขึ้นมาเอง”

ในทำนองเดียวกัน เรากลับไปอยู่ในชนบท เราหวังพึ่ง หวังพึ่งที่นั่น หวังพึ่งที่นี่ แล้วมันพึ่งได้ตามความเป็นจริงไหม เขาเอาเราให้เป็นเหยื่อ ตั้งงบประมาณขึ้นมาแล้วก็หลอกกินกันอีก อันนี้ก็เหมือนกัน จิตเราว่าเราสงบ เราทำจิตให้สงบ เราว่าจิตนี้สงบแล้วมันจะรู้ธรรมเอง มันจะตรัสรู้เอง พอจิตนี้สงบแล้วจะเกิดปัญญา พอจิตนี้สงบ พอใจ พอน้ำใสจะเห็นตัวปลา

เราคิด เราคิดเพราะกิเลสเรายังไม่ได้ชำระ พอเราคิด เราคาด เราหมาย มันก็จะเป็นอย่างที่ว่า ตั้งงบประมาณเข้ามา ตั้งงบประมาณขึ้นมาแล้วก็กินกันเอง

จิตมันสงบแล้วก็เกิดนิมิตไง โอ้! เกิดนิมิตว่าตรัสรู้แล้ว รู้ธรรมแล้ว

รู้นะ เพราะอะไร เพราะใจมันสงบ มันได้ดื่มด่ำ ดื่มด่ำรสของสมาธิธรรม มันจะเวิ้งว้างนะ แต่ถ้าไม่กลับมายกขึ้นวิปัสสนานะ ตั้งงบประมาณขึ้นมา งบประมาณก็ธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมอันนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ข้ามพ้นได้มันก็ตั้งขึ้นมา แล้วมันก็โกงกินขึ้นมาเอง ว่าเป็นไปตามนั้น ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เลย

จิตนี้สงบแล้วต้องพยายาม พยามยามนะ ไม่ให้ใครเข้ามามายุแหย่ ไม่ให้กิเลสเข้ามายุแหย่ ไม่ให้กิเลสเข้ามาแบบว่าตั้งงบประมาณแล้วนะ ๑,๔๐๐ ร้อยล้านนะ แล้วเราจะแบ่งกันอย่างไร เหมือนกัน จิตนี้สงบแล้ว ไม่ใช่ว่าพอดื่มด่ำในอารมณ์ของความว่าง ในรสของสมาธิ ว่าอันนี้เป็นผลของเรา เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมตามความเป็นจริง จิตมันว่างกับอารมณ์ จิตมันปล่อยวางนั่นน่ะ แต่กิเลสมันก็มายุว่าอันนี้เป็นของของเรา

มันจะเป็นของเราได้อย่างไร มันเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายต้องแปรสภาพทั้งหมด แม้แต่สมาธินี้ก็ต้องแปรสภาพไปทั้งหมด เพราะจิตนี้ไง จิตนี้วนเข้าไปในรูปอารมณ์ของจิต มันยังไม่ได้ชำระกิเลส ต้องชำระกิเลสหมายถึงว่า เชื้อที่อยู่ในหัวใจนั้น ให้มีความเป็นธรรมตามความเป็นจริง ตามไปต้องพิจารณากาย เวทนา จิต หรือธรรม ให้พลังงานตัวที่พิจารณานั้นมันปล่อยวางตรงนี้ออกมา ตรงนี้เพราะอะไร เพราะกาย เวทนา จิต ธรรม กับใจดวงนั้นมีกิเลสนี้เป็นยางเหนียว เป็นเครื่องสมานกันไว้ เป็นเครื่องสมาน เป็นการเห็นแก่ตัว เป็นการคิดอยากใหญ่ เป็นการกว้านทุกอย่างสมบัติมาเป็นของตัว

ในเมื่อเราอยู่ในเหตุการณ์ เราอยู่ในสถานะกลางทะเลทราย เราต้องหวังมีน้ำตุนเอาไว้เพื่อจะไว้ดื่มกิน เพื่อจะให้ผ่านพ้นทะเลทรายนั้นไปได้ นี่เรามีความต้องการ ขณะที่จิตมันสงบก็เหมือนกัน ความที่เป็นตน เป็นเรา เป็นอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นมันอยู่ตรงนั้นทั้งหมด นั่นน่ะ เวลามันเข้าไปถึงตรงนั้นแล้ว มันก็จะทุจริต มันจะโกง กิเลสมันเป็นอย่างนั้นโดยธรรมชาติของมัน แล้วถึงจุดที่ว่าเราตั้งงบประมาณขึ้นมา แล้วเราจะเจือจานเขาไปตามความเป็นจริง ให้ออกไปตามเนื้อผ้าเลย มันผ่านเข้ามาถึงตัวเรามันก็อยากได้

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันสงบขึ้นมาปุ๊บ มันจะยึดอันนั้นเป็นของเราเลย ทั้งๆ ที่เป็นมรรค เป็นมรรคองค์สุดท้าย สัมมาสมาธิ เป็นสัมมาสมาธิ มรรคอริยสัจจัง มรรคคือองค์ ๘ มรรค ทางเดิน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันเป็นอริยสัจ แค่สมาธิธรรมเป็นหนึ่งในมรรค ๘ อยู่ในอริยสัจ อยู่ในมรรค ๘ อันสุดท้าย นี่มันเป็นธรรมของพระพุทธเจ้าที่ว่า วางไว้ว่าอันนี้ที่เป็นพื้นฐานทำให้ใจพ้นออกจากโลกียะ ให้ยกขึ้นเป็นวิปัสสนา

อันนี้ถ้าเรารู้สภาวะหรือเราตาม เรายอมรับ เราต้องก้มหน้าก้มตาเพื่อตน ยกตนของตนให้พ้นจากความเห็นแก่ตัว ความยึดมั่นถือมั่น ความจะทุจริต เอาธรรมของพระพุทธเจ้าโดยยึดมาก่อน เอาอนาคต เอาสิ่งที่ว่ายังไม่ถึงมาเป็นของตนในปัจจุบันนั้น มันก็เป็นการทุจริต

อันนี้ก็เหมือนกัน ความเห็นของเรา ความเห็นของเรามันยังไม่เห็น ต้องทำจิตให้สงบแล้วปล่อยวางให้หมด ถ้ามันไม่เห็นกายให้นึกขึ้นมา แต่เวทนาจะเห็นขึ้นไป เวลามันสุขนะ เวลามันสุข มันมีความพอใจ มันว่าง อันนั้นไม่ต้องปฏิเสธ เรากินข้าว ความอิ่มนั้นเป็นธรรมชาติ เรามีอาหารกินตกเข้าไปถึงตกถึงกระเพาะ ความอิ่มเป็นโดยธรรมชาติเลย ถ้าจิตนี้มีความสงบ มีความสุข อันนั้นเป็นธรรมชาติของการประพฤติความปฏิบัติ เราไม่ปฏิเสธ ปล่อยให้จิตนี้ลงสงบไปตามความเป็นจริง

อันนั้นคือว่ามันเป็นที่ว่ามันเป็นเนื้อหาเป็นสิ่งที่เราแสวงหามาได้ ไม่ได้ปฏิเสธ เราไม่ปฏิเสธก่อน เพราะจิตนั้นถอนขึ้นมา ถอนขึ้นมาจากสุขแล้ว จากสุขจะเกิดเวทนา เกิดความกระทบ เวทนาจะส่วนใดก็ได้ ถ้านั่งนานจะเจ็บจะปวด ยกขึ้นวิปัสสนา เพราะจิตที่สงบแล้วถอนออกมา อันนี้จะมีพลังงาน เหมือนกับเราตั้งงบประมาณขึ้นมาได้ มันมีพลังงาน เราดูว่าสิ่งใดที่เจ็บ สิ่งใดที่ปวด สิ่งนั้นไม่เป็นตามความเป็นจริง

ไม่ใช่ เพราะว่าเมื่อกี้มันสงบ ทำไมมันไม่เจ็บล่ะ พอถอนออกมาแล้ว คลายออกมาแล้ว ทำไมมันเจ็บล่ะ ทำไมมันเจ็บ? เจ็บนี้ ถ้าเพราะขณะที่จะพิจารณานี้...

...ก็ตั้งงบประมาณขึ้นมาได้ พอจิตนี้สงบก็ตั้งงบประมาณขึ้นมาได้ มันใช้ประโยชน์นั้นได้แล้ว นี่ก็เหมือนกัน ขณะคิดอันนั้นไม่ใช่คิดทีแรก ขณะคิด ขณะพิจารณา ถ้าว่าใช้ความคิดไม่ได้ ต้องว่าใช้ว่าคำว่า “พิจารณา” เพราะจิตนี้สงบแล้วออกมากระทบกับเวทนา กาย เวทนา จิต ธรรม กระทบ กระทบแล้วพลังงานของจิตอันนั้นมีอยู่ เราใคร่ครวญความเห็นอันนั้นกับความคิดปัจจุบันจะต่างกัน

ความคิดปัจจุบันหมายถึงว่า ถ้าจิตไม่สงบ กับความคิดที่จิตพักออกไปแล้วถอนออกมา การพิจารณานั้นมันมีพลังงาน อ้าว! ทำไมจะไม่มีพลังงาน เพราะเราตั้งงบประมาณ มีงบประมาณขึ้นมา มีตัวเงินขึ้นมาจะทำอะไรก็ได้ จิตที่มีพลังงาน เหมือนกัน จะทำอะไรก็ได้ ถ้ามันเป็นประโยชน์ ถ้ามันพิจารณา แต่เรามองข้ามไป ไปตื่นเต้นกับความสงบอันนั้น พอออกมาก็ โอ้โฮ! หลงใหลได้ปลื้ม

มันเสียดายโอกาสตรงนี้ กว่าจะทำจิตสงบนี้ก็แสนทุกข์แสนยาก ได้แล้วมันก็ดื่มด่ำรสความสงบนั้น มีความสุข แต่ไม่วิปัสสนา หรือวิปัสสนาทำไม่ได้ มันไม่สามารถเอางบประมาณนั้นจ่ายไปตามความเป็นจริง มันตระหนี่ถี่เหนียว นี่กิเลส ยางเหนียวที่มันติดอยู่ เราพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อจะชำระอันนี้ เพื่อที่จะชำระ แต่ที่ไปชำระที่ตัวเขาไม่ได้ ไปชำระที่กิเลสเราไม่เห็นกิเลส เราต้องไปชำระที่ว่าสิ่งที่มันไปกระทบ สิ่งที่มันไปแฝงไว้ กิเลสมันจะแฝงอยู่ตรงนี้

ใจกับกาย กับเวทนา หรือกับธรรมก็แล้วแต่ มันเป็นคนละส่วนกัน แต่เพราะกิเลสยางเหนียวนี้มันไปทำให้เป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าเราพิจารณาเพื่อแยกออก ขณะที่แยกออกนั่นน่ะ กิเลสมันจะรวมตัวลง มันจะแยกออกจากกัน เหมือนยางที่มันติดอยู่ เราดึงออกจากกัน ยางประกบที่เราเอาวัตถุ ๒ ชิ้นมาติดกัน เราดึงออกสิ กาวที่มันติดอยู่ มันจะเป็นเหนียวออกมา เราพิจารณาเพื่อแยกออก ไอ้ยางเหนียวนั่นคือกิเลส

แต่ถ้าไปพิจารณาที่ยางเหนียว เราไปพิจารณาไม่เห็นเพราะมัน ๒ ชิ้นนี้มันประกบกันอยู่ ถึงต้องพิจารณาเวทนา เวทนาไม่ใช่เรา คือว่าเวทนากับจิตไม่ใช่อันเดียวกัน กายกับใจก็ไม่ใช่อันเดียวกัน จิตกับธรรมก็ไม่ใช่อันเดียวกัน จิตกับจิต ในอารมณ์ที่ทุกข์ก็ไม่ใช่อันเดียวกัน

เพราะมันมีตัวจิตตัวหนึ่ง ตัวอาการขันธ์ ๕ นี้เป็นรูปที่ครอบงำอยู่จนเป็นเนื้อเดียวกันจนเรามองไม่เห็น การพิจารณา พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อจะให้มันแยกจิตกับขันธ์ ๕ ออกจากกัน กับความยึดมั่นถือมั่นนี้ออกจากกัน ใช้พลังงานตัวที่เป็นความสงบนั้น การจับต้อง การเห็น การจับต้องกาย เวทนา จิต ธรรม อันนี้จับต้องได้

ถ้าไม่เข้ามาจับต้องมันจะอยู่กับความสงบอันนั้น แล้วมันจะนึก มันจะคาด มันจะเดา มันจะหมายไปตามอันนั้น ตามที่ว่าเป็นการทุจริตอันนั้น แล้วมันก็โอ้โลมปฏิโลม พยายามยัดเยียดให้เป็นความเป็นจริง ยัดเยียดให้เขาต้องการรับว่า อันที่เขาทำนั้นถูกต้อง นี่ก็เหมือนกันพอจิตสงบแล้วคาดเดาคาดหมายไป เพราะเราศึกษามา เราอ่านตำรามา หรือเราฟังครูบาอาจารย์มา ยึดก่อนไง

แล้วพอจิตสงบมันก็ตั้งป้อมให้เป็นอย่างนั้น ความคาดหมายเป็นอย่างนั้น นั่นมันเป็นการเสียประโยชน์ นี่คือการพิจารณาแล้วไม่ได้ผล นี้คือการภาวนาไปแล้วมันไม่เป็นผลขึ้นมาตามสภาวะตามความเป็นจริง หรือว่าเรากลับไปถึงจิตแล้วนะ กลับไปภาวนาตามความเป็นจริงแล้วนะ มันก็ยังมี เพราะกิเลสนี้เข้ามายุแหย่

เราก็มองโลกภายนอกเหมือนกันเลย เพียงแต่ว่าอันนั้นมันเป็นสภาวะที่เราเกิดขึ้นมา เป็นสภาวกรรม สภากรรม กรรมร่วมของโลกของประเทศเลย เราเกิดถึงจุดนี้ แต่นี่เปรียบเทียบเข้ามาให้เห็นสภาพแบบนั้น แล้วเราก็เปรียบเทียบหัวใจของเรา ถ้าเราพิจารณาตรงนั้นออก แล้วเราจะมีความทุกข์น้อยลง เราจะรู้ยอมรับว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องกาลเวลาที่ต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว กับหัวใจของเรา ถ้าเราพิจารณาของเราเป็นของเรานะ

อันนี้ถึงบอกว่ามันเป็นปัจจัตตัง เป็นอกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา เป็นสมบัติของเราคนเดียว มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา ใจนี้ถึงก่อนทุกๆ อย่าง ใจนี้เป็นประธานทุกๆ ชนิด แล้วถ้าเราพิจารณาจนกาย เวทนา จิต ธรรม แยกออกมาจากกาย เวทนา จิต ธรรม กับใจนี้แยกออกจากกัน กิเลสขาดออกจากใจโดยธรรมชาติ โดยตามความเป็นจริง

มันเป็นประโยชน์ของใจดวงนั้น เป็นเนื้อหาสาระตามความเป็นจริงของใจดวงนั้น โลกจะสะเทือนเรือนลั่น โลกจะพลิก แผ่นดินจะถล่มทลาย อันนั้นมันเป็นสมบัติ มันเป็นเรื่องของโลกเลย แต่หัวใจที่รู้ตามความเป็นจริงออกมาแล้ว มันเป็นสมบัติของเรา สมบัติเนื้อหาสาระแท้นะ นี่ศาสนาพุทธประเสริฐ ประเสริฐมหาศาลตรงนี้ ประเสริฐมหาศาลหมายถึงว่า ยกใจของมนุษย์ ยกใจของปุถุชนขึ้นมาให้เป็นอริยบุคคลได้ เป็นอริยะนะ ไม่ใช่อริยะทางโลก เขาเรียกว่าเป็นอริยะเป็นผู้รู้ต่างๆ อริยะอันนี้ธรรมะเป็นผู้ประธานให้

เราเป็นชาวพุทธ เราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วพระธรรมอันนั้น พระธรรมอันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้วางไว้ แล้วเราเดินตามขึ้นมาจนใจเราเข้าถึงธรรมอันนั้น ฉะนั้น โลกจะถล่มทลาย สภาวะเศรษฐกิจจะล่มอีก ๔ รอบ ๕ รอบ หัวใจนี้ พ้นออกมาจากสภาวะนั้น

ต้องดึงตนกลับมาที่ใจ ดึงอารมณ์ทั้งหมดกลับมาที่ใจ แล้วพัฒนาใจของเรา พัฒนาใจของเราจนยกขึ้นมาให้เห็น ให้สามารถเข้ามาเป็นภายในนะ การวิปัสสนา ญาณอันนี้มันเกิดขึ้นมันอยู่ที่หัวใจทั้งหมด ที่อื่นไม่มี มันอยู่ที่หัวใจ เพราะศัตรูของมันก็อยู่ที่หัวใจคือกิเลส แล้วเราประพฤติปฏิบัติเพื่อใช้พลังงานของใจตัวนั้นให้เกิดธรรม จนเกิดความสงบ พลังงานที่ว่าก้าวครอบ ๓ โลกธาตุ กว้านมาเป็นสมบัติของตัว แล้วมันมีแต่ยาพิษ เราปล่อยวางทั้งหมด เหมือนกับนิวเคลียร์ มันถึงจุดระเบิดของมันแล้วมันจะกว้างออกไป ระเบิดขนาดไหน แต่กว่าจะทำถึงทฤษฎี ถึงตัวระเบิดได้

อันนี้ก็เหมือนกัน พอจิตมันระเบิดไปก่อนแล้ว ระเบิดโดยธรรมชาติของมัน คือมันคิดออกไปแล้วย้อนกลับเข้ามาทั้งหมด จนเป็นสมาธิ จนเป็นจิตตั้งมั่น จนเป็นหนึ่งเดียว มันถึงมีพลังงานมาก แล้วเรายกขึ้นวิปัสสนาอีก จนจุดหรือต่อมอันนั้น จุดหรือต่อมคือจิตที่ถึงฐานของมัน ถึงก้นบึ้งจิตที่เป็นสภาวะความเป็นจริงแล้วยกขึ้นวิปัสสนา เพราะมันต้องแก้ตรงนั้น ตรงที่เกิดขึ้น

สิ่งที่เกิดขึ้นที่กลางหัวใจแล้วออกมาเป็นกิเลส แล้วออกมาเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เราไปยึดมั่นถือมั่นเป็นความเห็นแก่ตัว เราก็ย้อนกลับไประเบิดมันตรงนั้น กลับไประเบิดตรงที่หัวใจนั้นเลย ใจนี้ปล่อยออกจากกาย ปล่อยออกจากจิตที่ยึดในกาย ปล่อยออกมาเลยนะ พอปล่อยออกมาแล้วว่างหมด เวิ้งว้างออกไป ขณะที่จิตมันรวมที่มันปล่อยว่างนะ กายนี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย มันไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว วัตถุนี้ไม่มีความหมาย

แต่หัวใจมันก็เป็นของมัน ตัวมันเองนะ มันปล่อยหมด พอปล่อยหมดมันก็รู้ตาม การปล่อยอันนี้จะเทียบที่ว่าปล่อยแบบสมาธิที่มีความว่างเลย ความว่างอันนั้นยังว่างแบบยึดมั่น ว่างแบบทุจริต เพราะกิเลสมันยังอยู่ แต่ความว่างอันนี้มันว่างเวิ้งออกไป ว่างโดยที่ว่าไม่มีอุปาทาน ไม่มีอุปาทานในกาย ย้อนกลับมา ต้องดึงกลับมาที่นี่ แล้วถึงเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธต้องแก้บนเหตุและผล ตามสภาวะตามความเป็นจริง

ชาวพุทธ จากไม่ทุกข์เรื่องข้างนอก ถึงจะมาแก้ไขกิเลสจากข้างในได้อีก แล้วมันพอแก้ไขมันเห็นสิ่งที่เกิดดับ มันจะรู้เรื่องของกรรมว่าเราเกิดตาย เกิดตายมากี่ชาติ เกิดตาย เกิดตายมากี่ชาติ ที่ว่าปฏิเสธนรกสวรรค์กันไง ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วถึงจะได้ดี เอาแต่กิเลสมาว่ากัน แต่พอมาถึงปฏิบัติเข้ามันจะยอมรับตามความเป็นจริง ยอมรับว่า เราทุกข์ยากขนาดไหน เราชำระของเราได้ขนาดไหน

พอชำระได้ สะพานที่เดินออกไปรับรู้ หรือสะพานที่เดินออกไป สิ่งที่กระแสใจออกไปรับรู้ ไปยึดเหนี่ยว เราปล่อยวางเข้ามา อันนี้มันเป็นเชื้อทำเกิดว่าเราเกิดดีและเกิดชั่ว ทำความไม่ดีไว้มันก็เกิดไม่ดีทั้งนั้นล่ะ ทำความดีไว้มันก็เกิดดี นั่นคือการเกิดนะ แต่เราทำลายออกทั้งหมด ไม่ให้ไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่ว่าออกไปข้างนอกนั่นน่ะ เราทำลายเหตุที่จะไป ทำไมเราถึงไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ว่ามันมีจริงหรือไม่มีจริงล่ะ นรกสวรรค์นั้นมันเป็นแค่พื้นฐานเป็นภพอันหนึ่งที่จิตนี้ต้องไป แต่เราทำลายถึงเหตุถึงเครื่องหมายที่จะต้องไปตรงนั้น เราเห็น ๒ ชั้น ๓ ชั้นนะ ผู้ที่ปฏิบัติเข้าไปถึงตรงนั้นจะเห็นขนาดนั้น

ถึงว่า สิ่งที่จะเป็นเชื้อไฟเรายังทำลาย นั่นน่ะ มันถึงมั่นคงไง มันมั่นคงในการที่ว่ามันเสวยสุขอยู่ในตัวมันเอง มันมีความสุข มันมีความพอใจอยู่ในตัวมันเอง มันคนอิ่มหนำคนสำราญ คนที่มีความเป็นหลัก คนที่ไม่ตื่นเต้น ไปกับเป็นเหยื่อของโลก กับที่ว่าความเป็นชาวพุทธเป็นเหมือนสัตว์ไม่มีเจ้าของ มีอะไรผ่านตาเข้ามา มีอะไรโฆษณาประชาสัมพันธ์เข้ามาก็วิ่งตามเข้าไปทั้งหมด เพราะมันไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์

แต่พอมีหลักมีเกณฑ์ มันจะแยกแยะออกว่าสิ่งใดควรและสิ่งใดไม่ควร สิ่งใดควรและไม่ควร เห็นไหม หัวใจนี้ต้องอยู่กับธรรม หัวใจนี้ต้องรักษาทำความสงบเอาไว้ตลอดเวลา รักษาทำความสงบไว้เพื่อจะให้มันละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป เพราะเปลือก ความกะเทาะเปลือกเข้าไปถึงหัวใจ ถึง เอโก ธัมโม มันเข้าไปหลายขั้นหลายตอน เป้าหมายของชาวพุทธต้องปฏิบัติเข้าไป ปฏิบัติเข้าไป เพื่อให้ใจนี้เป็น เอโก ธัมโม

เอโก ธัมโม ใจนี้เป็นหนึ่ง ใจนี้เป็นธรรม เป็นเป้าหมายของชาวพุทธ

ที่ว่าใจเป็นถึงเป้าหมาย พิจารณากาย แค่เป็นงบประมาณ งบประมาณที่ตั้งขึ้นมาแล้วพอพ้นออกไปแล้ว เรื่องในการทุจริตมันสีลัพพตปรามาสไม่มีในหัวใจ จะไม่ลูบไม่คลำในศีล วิจิกิจฉาในนั้นไม่มี มันก็ต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง ซื่อสัตย์กับตัวเอง ซื่อสัตย์กับงบประมาณที่ตัวเองตั้งขึ้นมา

เพราะว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายขององค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้าเป็นทางเดิน เราก็พยายามศึกษา อันนั้นเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้า เป็นตำรา เป็นพิมพ์เขียว เป็นข้อมูล ข่าวสาร กับหัวใจที่ประพฤติปฏิบัติ เราได้ข้อมูล ได้ข่าวสาร มาแล้วเราประกอบธุรกิจของเราขึ้นมาเอง ประกอบธุรกิจนะ เราตั้งบริษัทของเราขึ้นมาเอง จนเราตั้งได้เป็นบริษัทส่วนตัวของเรา

เป็นอิสระ อิสระจากโลกที่จะมาหลอกลวงเราได้ บริษัทของเรา ดูอย่างเช่นบริษัทสิ บริษัทที่ว่ามีปัญหาอยู่นี่ ถ้าส่วนล่าง ส่วนล่างนี่มีกำลังใจ แต่ถ้าส่วนบนไม่มีกำลังใจ ส่วนล่างจะทำอย่างไร ส่วนบนไม่เอาด้วย มันก็ไม่เป็นประโยชน์ ส่วนบนนี้เป็นนักบริหารที่ดีมาก เป็นนักบริหารที่ตัดสินใจ ข้อมูลข่าวสารทุกอย่างพร้อม ส่วนล่างนี้ใช้แล้วไม่ดำเนินการตามก็ไม่มีความหมาย

มรรคสามัคคี เรามีปัญญา เรามีปัญญานะก็ว่าเราเป็นคนฉลาด แต่สมาธิเราไม่พอ สมาธิเราไม่ดี พื้นฐานเราไม่ดี เราไม่สามารถพิจารณากายได้ สมาธิเราดีมากเลย จิตเราสงบ สงบดีมากเลย แต่เราไม่มีปัญญาการใคร่ครวญ เรามีแต่ความประมาท มรรคไม่สามัคคี ถ้าบริษัทนั้นส่วนบนก็ปัญญานะ ส่วนบนนั้นก็ดีมากเลย ส่วนล่างนะ ส่วนล่างนะ การงานชอบ ความเพียรชอบ ความวิริยอุตสาหะเราพร้อม ร่างกายเราเข้มแข็ง จิตใจเรามั่นคง ความดำริชอบ นี่ปัญญา ความดำริชอบ ความใคร่ครวญ

เราสามารถตั้งบริษัทของเราขึ้นมาได้ เป็นบริษัทที่ว่าทั้งส่วนบนและส่วนล่างนี้บริหารหรือว่าดำเนินการไปในฐานะวงเศรษฐกิจระดับนี้หมุนไปได้ เป็นบริษัทขึ้นมา ๑ บริษัท เศรษฐกิจข้างนอกจะรุนแรงขนาดไหน กระแสจะรุนแรงขนาดไหน แต่ถ้าในบริษัทของเรากลมกลืนกันขนาดนี้ มันผ่านพ้นวิกฤตได้ตลอด

บ้านของเรา จิตใจของเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้ให้ปริญญา ให้ตั้งบริษัทขึ้นมาในกลางหัวใจ กลางหัวใจนะ เพราะจิตตายเกิด ตายเกิด ธรรมนะ อยู่ในเนื้อเดียวกับจิต ตายอีก ๗ ชาติ จิตนี้ต้องตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด จากหัวใจที่ตายแล้วเกิดโดยที่ไม่มีขอบไม่มีเขต เหมือนกับสัตว์ไม่มีเจ้าของไปตลอด สัตว์ไม่เจ้าของเป็นมนุษย์ในชาตินี้ก็ทุกข์ขนาดนี้ สัตว์ไม่มีเจ้าของตายเกิด ตายเกิด พร้อมไปกับกิเลส ยังทุกข์อีกขนาดไหน แต่อันนี้บริษัทนี้ตั้งขึ้นมาแล้ว อย่างมาก ๗ ชาติเท่านั้น

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรียกว่าเป็นชาวพุทธที่เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ธรรมส่วนหนึ่งอยู่ที่ใจของเราแล้ว เป็นเนื้อเดียวกันไป เพราะเวลาคนตายแล้วเกิดนี้เกิดด้วยอำนาจของกรรม เกิดด้วยคุณงามความดีที่เกิดดีและเกิดชั่วนั้น แต่อันนี้มันก็เป็นเนื้อเดียวกัน ถึงไปด้วยกัน นี่จิตปฏิสนธิอยู่ตรงนี้ ก็ต้นฐานคือพื้นฐานคือก้นบึ้งของระบบเศรษฐกิจ ก้นบึ้งของใจ ฐีติจิตถึงต้องลงมาตรงนี้ กลับไปที่จิตเดิมของเรา แล้วจะแก้ไขกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

แต่ถ้าผู้ที่มีบารมีสมัยพุทธกาล ถึงทีเดียวสำเร็จไปเลย

แต่กึ่งนี้แล้ว กึ่งนี้ถือว่าในสัตว์โลก บุญญาธิการ บุญบารมีของเวไนยสัตว์ สัตว์ที่มันต้องมีความมุมานะ ความเป็นไปได้ ความเป็นไปได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีบารมี ท่านถึงได้ไม่หลงในปัจจัย ๔ ท่านถึงได้ออกมาบวช สำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา เราก็อ้างว่าบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่บารมีของผู้ปฏิบัติเรานี้มันมีน้อย มันไม่มี เวไนยสัตว์ สัตว์ที่มีโอกาส ปทปรมะ พวกนี้ไม่มีโอกาสเลย

เรามีโอกาสอยู่ แต่โอกาสก็ต้องกระเสือกกระสนเพราะบารมีมันต่างกัน บารมีมันน้อยกว่า ก็ต้องขวนขวายขึ้นไปเพื่อให้ถึงที่สุด ถึงที่สุดเพราะว่าการเกิดและการตาย ความประมาทเราไม่ประมาท การเกิดและการตายทุกครั้งไปจะเกิดความทุกข์ตลอด

เกิดมา คลอดออกมาในตระกูลนั้นมีแต่ความชุ่มชื่น มีแต่ความสุข คิดว่าเราจะมีผู้สืบทอดตระกูลอีกแล้ว แต่ไม่มีใครคิดเลยว่าทุกข์นี้เกิดขึ้นมาอีก ๑ ดวงแล้ว จักรวาลนี้ได้เกิดขึ้นมาอีก ๑ จักรวาลแล้ว เพราะผู้ที่เกิดนั้นจะเป็นศูนย์กลางของจักรวาลแน่นอน เขาต้องเกิดไปเป็นผู้ใหญ่ เขาต้องเป็นพ่อ จากที่เป็นลูก ต้องกลายเป็นพ่อ จากเป็นพ่อต้องมีลูก เป็นศูนย์กลางแล้ว เขามีพ่อมีแม่อยู่ เขายังต้องมีครอบครัว เขาต้องมีลูกอีก เขาเป็นศูนย์กลางจักรวาลหรือยัง?

เป็นแล้ว เขาต้องเคลื่อนออกไปเป็นปู่ เป็นย่า เขาจะตกไปอีกแล้ว ทุกข์เกิดขึ้นอีกแล้ว แต่ในความหลงใหลได้ปลื้ม การเกิดขึ้นมามีแต่ความดีใจ มีแต่ความกว้านแต่ความทุกข์เข้ามาใส่

แต่ธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “การเกิดและการตายนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง” อีก ๗ ชาติก็ยังต้องเกิดและตาย การเกิดและการตาย ฟังสิ ก่อนเกิดต้องปฏิสนธิจิตเข้ามาในครรภ์ก่อน เกิดทีหนึ่ง แล้วยังอยู่ในครรภ์อีก ๙ เดือนแล้วคลอดออกมาอีก ผ่านช่องแคบออกมาอีก เกือบเป็นเกือบตาย รอดมาถึงได้ ถ้ารอดมาก็รอด ถ้าไม่อย่างนั้นก็ตายคานั้นอีก ๑ แล้วเกิดมาแล้วก็ยังพบกระแสพบทุกอย่าง ทุกข์ไปอีก นี่อีก ๗ ชาติ แล้วทำไม่ถึงจะนอนใจ

คนเห็นตรงนี้ สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบไม่คลำ วิจิกิจฉา ไม่มี พระโสดาบันไม่มีวิจิกิจฉา ไม่มีความลังเลสงสัยตรงนี้เด็ดขาด รู้ตามสภาวะตามความเป็นจริง นี่ไง เราเกิดเป็นธรรม การปกครองโดยธรรมเราเรียกร้องความเป็นธรรม เรียกร้อง อยากให้มีรัฐบาลที่เป็นธรรม อยากมีทุกอย่างที่เป็นธรรม แต่ไม่มีเป็นธรรมเลย เพราะโลกนี้มันมีแต่เรื่องของกิเลสล้วนๆ แต่หัวใจของเราเราปฏิบัติจนได้ธรรม อีก ๗ ชาติเท่านั้นคือหัวใจที่เป็นธรรมแล้ว เข้าถึงกระแสแล้ว จิตที่เข้าถึงกระแสแล้วที่ไม่มีวิจิกิจฉาแล้ว การประพฤติปฏิบัติมันก็ต้องง่ายขึ้นเพราะมันเป็นธรรม

นั่นเป็นความคิด แต่พอปฏิบัติขึ้นไปถึงเป็นธรรม คนนี่เป็นธรรม แต่ขึ้นเป็นรัฐบาลได้ไหม มันต้องไอ้พวกไอ้เจ้าเล่ห์นั่นแหละขึ้นเป็นรัฐบาล นี่ก็เหมือนกันใจที่เป็นธรรม แต่กิเลสที่เหนือธรรมอันนี้มันมีในหัวใจ เจ้าวัฏจักรก็ยังอยู่ กามราคะก็ยังอยู่ ความหลงใหลได้ปลื้มยังอยู่อีกมากเลย ก็ต้องกระเสือกกระสนวิ่งขึ้นไป

ถึงใจนี้เป็นธรรม เป็นธรรมไง ต่างกับใจปุถุชน ต่างกับความที่เขาประพฤติปฏิบัติ ใจนี้เป็นธรรมแน่ๆ เลย แต่ธรรมขั้นพื้นฐาน ขั้นรัฐบาล ยังไม่ได้เป็นธรรมขั้นจักรวาล ขั้นรัฐบาล เพราะมีตัวตน มีรัฐ มีอำนาจเป็นผู้ปกครอง มีอำนาจก็กว้านเข้ามา จนถึงกว่าว่าเป็นมหาอำนาจ พิจารณาถึง ก็กามราคะไง ที่เป็นมหาอำนาจ มหาอำนาจปกครองโลก พิจารณาผู้ที่ปกครองโลกนี้เป็นหนึ่ง เป็นจิตเดิมแท้ เป็นจิตที่ว่าถึงฐานของจิต ถึงเป็นโลก เป็นเจ้าโลกแล้วระเบิดออกไป มันไม่กล้าระเบิดตัวมันเอง เป็นเจ้าโลก

ดูเจ้าโลกขนาดไหน ผู้ที่ปกครอง ปกครองยิ่งมากเท่าไร ทุกข์ยิ่งมากขนาดนั้น นี่เรามองเป็นวัตถุนิยม สิ่งที่เป็นวัตถุ โลกนี้ใหญ่ประชากรมากจะมีแต่ปัญหาไปหมดเลย อันนี้เป็นส่วนความเห็น แต่เจ้าวัฏจักรไม่เป็นอย่างนั้น เจ้าวัฏจักรกับนะ เจ้าวัฏจักรนี้เป็นมหาอำนาจของใจ เพราะใจนี้เป็นความว่าง ใจนี้เป็นความว่าง ผ่านจากกามราคะขึ้นมาก็มาชุ่มด้วยกาม เจ้าวัฏจักรมหาอำนาจ มหาอำนาจทำแต่ความพอใจของตัว

เพราะมหาอำนาจนั้นมีอำนาจมาก กามราคะที่ชุ่มไปด้วยจิตที่เป็นความว่าง จิตที่เป็นความว่างนี้มันชุ่มไปด้วยกามราคะ มันเหมือนกับมหาอำนาจที่มันมีอำนาจมาก มันชุ่มในตัวมันเอง การทำลายมหาอำนาจนี้ลำบากมากเลย เพราะเขาเป็นหนึ่ง เขาเป็นมหาอำนาจ แต่ทำได้ด้วยมรรคอริยสัจจัง สัจจังธรรมจักรนี้ทำลายได้ ทำลายได้ตามความเป็นจริง

เวลาโลกนี้มันหมุนกลายเป็นความทุกข์ มันก็มองเป็นระบบเศรษฐกิจ มองกันไป มองกันไปเป็นวัตถุ แต่ถ้ามองเข้ามาที่หัวใจของเราแล้ว การทำลายกามราคะ กามราคะทำลายมหาอำนาจที่ว่ามันเป็นเจ้าโลก การเกิดและการตาย การเกิดและการตายต่อไปเพราะมันมีตัวนี้ มันรุนแรงนะ เพราะเป็นมหาอำนาจ เป็นส่วนใหญ่เป็นการทำให้โลกนี้เสื่อมไป จะทำให้จุดไหนเป็นอะไรไปก็ได้ ทำให้เกิดที่ไหนก็ได้ ฉะนั้นต้องมีความจริง มีความมุมานะ มีความบากบั่น ลองผิดลองถูก จะขนาดไหน ก้มหน้าก้มตา ก้มหน้าก้มตาเหมือนกับคนที่ว่า เจ๊กงก งกๆ เงิ่นๆ ทำไปก็ต้องทำ

สิ่งที่มีอำนาจมาก เราเข้าไปถึงจุดศูนย์กลางของอำนาจ กดแค่นิวเคลียร์ก็ระเบิด สิ่งที่มีอำนาจมากมันต้องมีช่องให้เราเข้าไปได้สิ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเข้าถึงช่องนั้นได้ เข้าไปถึงตรงนั้นได้นะ อย่างงกๆ เงิ่นๆ เข้าไปก็เหมือนกับ ถ้ามันมาด้วยกามราคะ มาด้วยความอะไร เพราะเราชุ่มอยู่แล้ว แต่มันต้องมีร่องมีรอย ที่ว่ายางเหนียว ยางเหนียวที่แปะกันอยู่ อารมณ์กับความรู้สึก อารมณ์ของความรู้สึกกับใจ จะเสวยหรือจะไม่เสวย

คนเรากินแล้วมันต้องมีเบื่อต้องมีหน่าย ทำอะไรก็แล้วแต่ต้องมีร่องมีรอยเอาไว้ การเข้าไปตามร่องรอยนั้น เข้าไประเบิดตรงนั้นออก เข้าไปตามร่องรอย ร่องรอยที่เขาทิ้งหลักฐานไว้ ธรรมจักรก็หมุนเข้าไปตามร่องรอยอันนั้น เข้าไปจนถึงจุดศูนย์กลางของอำนาจนั้นแล้วระเบิดออก นั่นระเบิดออก ระเบิดออกก็ต้องพังหมด กามราคะกับใจนี้ครืน!

เวลาเราระเบิดออก โลกนี้ระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ มลภาวะ เคลื่อนในจักรวาลทั้งหมด หัวใจมันระเบิดออกจากกามราคะ ออกมาจากโลก ที่ว่าจะเกิดดับ เกิดดับ มันระเบิดออกทั้งหมด ว่างหมด เป็นเจ้าจักรวาล เรามองดูเจ้าวัฏจักรเรามองการปกครองจักรวาลนี้มันลำบากไปหมด แต่เจ้าวัฏจักรนี้มันเป็นนามธรรม มันเป็นความแบบว่า มันเป็นความอ้อยอิ่ง เป็นแสงเฉยๆ มันเป็นแสงของความสว่าง มันเป็นโอภาส ความสว่างไสวอยู่ที่กลางหัวใจ

มันต่างกัน มันต่างกับความคาดความหมาย เราคาด เราเดากัน เราคาดเราเดาว่า เจ้าวัฏจักรที่เป็นเจ้าวัฏจักร คำว่า “เป็นเจ้าวัฏจักร” คือพญามารจะต้องเป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นผี ที่เราเข้าไปแล้ว เราจะเห็นตัว เราจะต้องกลัว เราต้องเผ่นหนี เราจะทำลายทันที...ไม่ใช่ ไม่ใช่ ขนาดเราอยู่ในความว่างข้างล่าง เราก็ยังว่าความว่างเป็นเรา เรายังเคยโกง เรายังเคยทุจริตเลย แล้วพอเราไปเจอสิ่งที่ว่าเป็นต้นเหง้าเค้ามูลของมันแล้วเราจะไม่หลงใหล เป็นไปไม่ได้

มันเหมือนกับว่าสิ่งที่ว่า ไม่มีความเป็นไม่เคยเห็น ไม่มีเคยความเป็นไปว่า คาดไม่ได้เดาไม่ได้ว่ามันจะละเอียดอ่อน มันจะสุขุม มันจะคัมภีรภาพขนาดนี้เนาะ เราเข้าใจว่าเข้าไปเจอเจ้าวัฏจักรแล้วจะมีความเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เหมือนกับว่าคนๆ นี้ทุจริต คนนี้คิดไม่ดี แต่ทำไมเปลือกนอกเขานิ่มนวลมาก ทำไมเขาทำให้เราตายใจได้

นี่เหมือนกัน ถึงว่าทำลายความว่างตัวนี้ ทำลายไอ้เจ้าวัฏจักรตัวนี้ ที่ว่า เปรียบเทียบมันเป็นความนิ่มความอ่อน มันเป็นแสงโอภาสเฉยๆ แต่อำนาจของมัน เพราะมันแทรกเข้าไปได้ทุกกิริยาของจิต มันแทรกเข้าไป มันบัญชาการได้ทั้งหมด ศูนย์กลางของจักรวาลนี้มันทำให้จักรวาลนี้บิดเบี้ยวไปได้ ทำให้แรงกระแส ทำให้พลังงานในจักรวาลนี้พลิกแพลงไปตลอด

นี่ถ้าเราไปทำเจ้าวัฏจักร เอโก ธัมโม ธรรมอันเอก ถึงตรงนี้แล้วเนื้อธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน นี่คือการทำลายกิเลสออกทั้งหมด การทำลายกิเลสออกทั้งหมด เอโก ธัมโม ใจเป็นอันเดียวกับธรรม

จากที่ว่าเป็นชาวพุทธนะ หลงใหลได้ปลื้มไปกับเขา หลงใหลได้ปลื้ม เป็นเหมือนสัตว์ไม่มีเจ้าของ อันนี้ต่างหากที่ว่าเป็นสัตว์ที่มีเจ้าของแท้ สัตว์ที่ว่าแม้แต่พญามารก็ไม่สามารถเอามาเชือดได้ สัตว์เวลาเข้าโรงเชือด เขาจะป้ายสีแดงๆ ว่า ไอ้ตัวนี้ต้องตายก่อน ไอ้ ๒ ขีดเอาไว้ตายพรุ่งนี้ ไอ้ตัวต่อไปต้องตายวันนั้นๆๆ สีเขียว สีแดงป้ายไว้หมดเลย

แต่ เอโก ธัมโม นี้พญามารไม่มีสีสัน ไม่มีปูนป้ายหมายว่าจะจับได้ พ้นจากวัฏฏะทั้งหมด พ้นจากพญามารทั้งหมด เป็น เอโก ธัมโม เป็นเอกพ้นออกไป ด้วยการกลับมา เริ่มต้นจากเราหลงใหลได้ปลื้มไปกับเขา เรากลับมาใช้ชีวิตตามความเป็นจริง

การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เรากลับมาที่หัวใจของเรา เรากลับไปที่จิตเดิมแท้เข้าไปถึงก้นบึ้ง แล้วเราไปทำลายตรงนั้นหมด จนเป็นอันเอก พ้นจากทั้งหมด พ้นจากพญามารทั้งหมด แล้วเป็นหนึ่งเดียว เอโก ธัมโม เห็นไหม มีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ พญามารถึงจับต้องไม่ได้ ไม่มีใครเคยเห็น แต่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา มีอยู่ในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้า

แล้วต้องเข้าไปสัมผัสตามความเป็นจริงแล้ว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่ใจ ใจนั้นไม่สงสัยในธรรม ไม่เคยสงสัยในองค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้าว่ามีจริงหรือไม่มีจริง มันเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้า ผู้เดินตามมา เป็นความเสมอกัน ความเสมอภาคที่ไม่มีใครจะมาทำลายได้ ความเสมอภาคที่ว่าพ้นออกไปจากการเวียนว่าย จากกระแสที่ขึ้นๆ ลง จากการเราพ้น เราตื่นออกไป

เรากลับมาบ้านของเรา กลับมาอยู่ตามความเป็นจริงอยู่ในปัจจัย ๔ ตามความเป็นจริง อันนั้นเป็นเรื่องของโลก การประพฤติปฏิบัติของเราที่เรากลับมาแล้ว เรายังกลับประพฤติปฏิบัติอีก จากจิต จากเจตสิก จากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง เราย้อนกลับไปที่ใจ มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา ใจที่เป็นเอก ใจที่เป็นเจ้าของ ใจที่เป็นเริ่มต้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย เราชำระกิเลสออกทั้งหมด ใจนี้สะอาดทั้งหมด

จากเหตุการณ์ที่ผันผวน เหตุการณ์ที่ทำให้มีเกิดแต่ความทุกข์ แต่ศาสนาเราทำให้เป็นความสุขได้ทั้งหมด ถ้าเรามีความคิด เราเป็นชาวพุทธ เราประพฤติปฏิบัติให้เป็นชาวพุทธแท้ เป็นชาวพุทธขององค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นชาวพุทธแบบที่เป็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นชาวพุทธแต่ก็ตื่นไปกระแสของเขา ตื่นไปจนประเทศชาติแทบบุบสลาย แทบจะล่มจมไปทั้งประเทศชาติ แล้วยังตัวของเราก็ยังแบกทุกข์เข้ามา แบกทุกข์เข้ามาเต็มหัวใจของชาวพุทธเลย

แต่แล้วเราหลบหลีกกลับไปบ้าน กลับไปพื้นฐานของตน หัวใจก็กลับมาพื้นฐานของการประพฤติปฏิบัติ นี่มีคุณค่า คุณค่าของการประพฤติและปฏิบัติธรรมเท่านั้น จะทำให้หัวใจประสบแต่ความสุขตามความเป็นจริง แล้วสุขโดยที่ไม่มีอามิสเจือปน สุขที่ไม่มีสิ่งใดๆ เข้ามา กล้ำกรายได้ เป็นสุขแท้ๆ เป็นสุขจริงๆ เป็น เอโก ธัมโม เป็นหนึ่งเดียว เป็นในเรื่องของใจ เป็นเรื่องเป้าหมาย เป็นเรื่องที่องค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้า ต้องการให้ชาวพุทธถึงตรงนั้น

เป็นอย่างนั้นให้เหมือนกันกับองค์ท่านที่สำเร็จมาแล้ว ที่ว่าท่านมีบุญญาบารมีมาก

เราพวกเราไม่มีบุญญาบารมี ท่านก็สงสาร ท่านก็วางแนวทางไว้ เราก็มาเจอแนวทาง แล้วเราก็เจอเหตุการณ์กระทบที่ทำให้เราได้คิด ได้คิดได้ประพฤติปฏิบัติ เอามาเทียบเคียงกัน ให้เห็นเป็นวัตถุให้เห็นบุคลาธิษฐาน ให้เห็นตามความเป็นจริง จะได้มีกำลังใจประพฤติปฏิบัติ จะได้ทำแล้วแยกแยะสิ่งดีและชั่ว ถูกและผิด ได้เข้าถึงหลักตามความเป็นจริง เอวัง

เพิ่มเติมท้ายกัณฑ์

กลับบ้าน กลับมาปฏิบัติไง กลับมาที่พื้นฐาน กลับมาที่ความเป็นจริง กลับมา กลับมาหาตนเอง กลับมาหาจิต กลับมาหาพื้นฐาน กลับมา ต้นขั้ว กลับ ย้อนกลับมา ย้อนกลับมา ย้อนกลับ เดินย้อนกลับไปหาถึงความขับเคลื่อนออกมา ไม่ใช่วิ่งออกไปข้างนอก (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)