ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

คุณวุฒิ

๒๘ ก.พ. ๒๕๕๓


คุณวุฒิ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ถาม : การภาวนาขั้นต้น กระผมได้ภาวนาเริ่มต้นด้วยการบริกรรมพุทโธ แต่ไม่จริงจัง ทำๆหยุดๆมาตั้งแต่เด็กหลายครั้ง เคยพบอาการที่นั่งๆอยู่แล้ว มีอาการที่เหมือนความรู้สึกจิตกับกายมันแยกออกจากกัน บางครั้งเป็นตอนนั่งภาวนา บางครั้งเป็นตอนนั่งเล่นๆ เช่น นั่งพักผ่อน ต่อมามันเปลี่ยนจากพุทโธไปเป็นลมหายใจของมันเอง ก็เลยนั่งภาวนาโดยอาศัยลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ ปัจจุบันทำทุกวัน สวดมนต์นั่งภาวนาและเดินจงกรม การนั่งภาวนาช่วงหลังนี้ หลังจากนั่งได้ไม่ทันนาน จิตก็รวมลงได้แบบเบาๆเกือบทุกวัน รู้สึกว่าสงบ สว่าง บางวันรู้สึกเหมือนจิตกับกายแยกกันอยู่กันต่างหาก แต่บางวันก็รู้สึกเหมือนเพียงสงบอยู่กับความสว่าง บางทีก็ยกกระดูกขึ้นมาดูแต่ละวันไม่แน่นอนเหมือนกัน มีบางครั้งที่รู้สึกว่า คำพูดที่พูดออกจากปากกับจิตใจมันขาดออกจากกันไม่ผูกมัดกัน เหมือนไม่ได้พูดออกจากตัวเรา ต่างจากการพูดในเวลาปกติแต่เป็นอยู่ไม่นานเกิน ๑ นาทีก็กลับมาเหมือนเดิม ขอโอกาสให้อาจารย์เมตตาวินิจฉัย สุดท้ายแล้วแต่จะพิจารณา

หลวงพ่อ : ไอ้ของอย่างนี้นะเวลานั่งไปเนี่ย เวลาจิตมันสงบ มันก็สงบได้บ้าง ถ้างั้นการภาวนาขั้นต้นนั่งมาตั้งแต่เด็กเห็นไหม แล้วจิตกับกายบางทีมันแยกออกจากกันความรู้สึกเนี่ยมันเป็นไปได้ร้อยแปดนะ ความรู้สึกของคนมันเป็นไปได้ร้อยแปด พอดีเรานั่งไปเหมือนความรู้สึกว่ากายกับจิตมันแยกออกจากกัน เป็นเหมือนกับความรู้สึกเห็นไหม เป็นเหมือนกับความรู้สึกแต่ไม่ใช่ความจริง ถ้าความจริงเนี่ยการที่กายกับใจแยกออกจากกันได้ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ เนี่ย มันจะเป็นกิจจะลักษณะ มันเป็นไปตามความเป็นจริง อย่างเช่นเราเป็นผู้ใหญ่ทำงาน มันจะมีผลงานของมัน แต่เด็กทำงานเนี่ยทำงานแบบเล่นสนุก นี้ว่าคำว่าเล่นสนุกเด็กมีอำนาจวาสนาของเด็กเกิดมาเห็นไหม พ่อแม่รักพ่อแม่ดูแลอันนี้หนึ่ง

สองเกิดจากเด็กที่มีอำนาจวาสนาบารมีต่างกัน สังเกตได้ไหมว่าเด็กบางคนเกิดมาจะมีไอคิวดีมาก เด็กบางคนเกิดมาปานกลาง เด็กเกิดมาบางคนเห็นไหมว่าพ่อแม่ เลี้ยงยากว่างั้นเถอะ นี่มันเป็นบารมีของเขาเหมือนกัน เวลาเกิดมานี่มันมีบารมีของพ่อแม่ด้วย บารมีของลูกด้วยแต่มันบาลานซ์กัน บาลานซ์กันโดยธรรม ถ้าบาลานซ์กันโดยธรรมเราเกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกกัน แต่ในตัวของตัวเองทุกคน คือทุกดวงจิตเนี่ยมันมีกรรมของมันแต่ละดวงไม่เหมือนกัน แต่ละดวงนี้มันเกิดขึ้นมาเห็นไหม สิ่งที่มันเป็นเด็ก พอเป็นเด็ก พอภาวนาเนี่ยบางวันก็กายกับจิตแยกออกจากกัน พอมันนั่งสบายๆก็แยกออกจากกัน บางทีทำเกือบเป็นเกือบตายมันไม่ได้ ถ้าอาการอย่างนี้เวลามันเกิดขึ้นมาเราจะบอกว่า อาการของส้มหล่น ส้มหล่นมันหมายถึงอำนาจวาสนาบารมีของคนๆนั้น เวลาคนๆนั้นมีอำนาจวาสนาบารมีพอไปถึงจุดนั้นปั๊บมันจะแยกกัน จะแยกกันอย่างนี้ คำว่าส้มหล่นคือเราควบคุมไม่ได้ไง เราควบคุมมันไม่ได้เราบริหารจัดการมันไม่ได้หรอก ถ้าเราควบคุมบริหารจัดการไม่ได้เนี่ย มันเป็นมรรคไม่ได้หรอก

เพราะการเป็นมรรคเนี่ย มันเป็นสมาธิ สมาธิมีสติควบคุมทั้งหมดเวลามันเป็นปัญญาเกิดขึ้นมาเนี่ยมันจะมีสติควบคุมไปทั้งหมด ทีนี้อาการเกิดขึ้นมาอย่างนี้ เพราะถ้าอาการเกิดขึ้นมาอย่างนี้แล้ว ถ้าเราพิจารณาแล้วเนี่ย มันเหมือนกันไง หลวงตาบอกว่า สมมติมันมีน้อย สมมติคือภาษาพูดนี่ภาษาตายตัว พอพูดภาษาตายตัวเนี่ยความรู้สึกของคนมันกว้างขวางมากกว่านั้น พอกว้างขวางมากกว่านั้นปั๊บ คนไปรู้ไปเห็นเข้า แล้วมาพูดเป็นคำๆเดียวกันไง

เห็นไหม อย่างเช่นเด็กพูดเนี่ย เด็กไปไหนกลับมาก็บอกพ่อแม่ว่าไปข้างนอกกลับมา ทีนี้คนในบ้านไปไหนกลับมาก็บอกไปข้างนอกกลับมาหมือนกันทุกคนเนี่ย แต่… แต่เด็กมันไปเที่ยวไปเล่นของมัน ผู้ใหญ่ไปทำธุรกิจของเขา เห็นไหม ผู้ใหญ่ ออกไปแล้วกลับมาเนี่ย ใช่ ออกไปแล้วกลับมาเหมือนกัน แต่ไปทำธุรกิจไปทำหน้าที่แตกต่างกัน

การที่บอกว่ากายกับจิตแยกออกจากกัน เวลาคนพูดกัน โยมพูดกันเนี่ยเราไม่ฟังหรอก เราฟังนะ โอ้โฮ ใครมาก็บอกว่า จิตแยกออกจากกันเลย อู๊ย ปล่อยวางหมดเลย เราฟังไว้เพียงแต่ฟังไว้เป็นภาษาพูดไง โทษนะไม่เชื่อหรอก ไม่เชื่อเพราะอะไรไม่เชื่อเพราะมันทำอย่างนั้นนะ คนจะทำอย่างนั้นได้จริง คนลงทุนลงแรงอย่างเช่น อย่างดีๆเนี่ยเราเดินออกไปกลับมา เราบอกเราได้เงินมาล้านนึงเนี่ย ใครจะเชื่อไหมว่าเราได้เงินมาด้วยวิธีการใด โยมเดินออกไปแล้วเข้าบ้านบอกมีเงินมาล้านนึง โยมเชื่อไหม แล้วล้านนี้มาจากไหนละ แต่ถ้าคนเขาไปเบิกเงินมาล้านนึงจริงๆนะ เขาไปธนาคารเขากดมาล้านนึง กลับมาบ้านบอกได้มาล้านนึงเนี่ยเขากดมาล้านนึงจริงๆ เนี่ยจะเชื่อนี่เราจะต้องดูตัวเงินว่ามันมีตัวเงินจริงรึเปล่า แล้วไปกดมาโดยสิทธิของเรา หรือเอาบัญชีไปแอบโกงใครมาหรือเปล่า

คำพูดคำนี้หมายถึงว่า เวลากายกับจิตแยกออกจากกันนี่อย่างไร ทำไมถึงแยกมีเหตุมีผลอย่างไรถึงแยก เราออกไปเราจะเบิกเงินธนาคารเนี่ย ในธนาคารมีเงินอยู่หรือเปล่า ที่ให้เราไปเบิกน่ะ ในธนาคารเรามีเงินไม่ถึงไปเบิกนะ เขาตีกลับหมดละไม่ให้เบิกหรอก แต่ถ้าในธนาคารเราเงินล้นเหลือนะเราจะเบิกเล็กๆ น้อยๆ นะสบายมากเลย

ฉะนั้นกายกับจิตแยกจากกันเนี่ย มันต้องมีพื้นฐาน โธ่ คนภาวนานะ ครูบาอาจารย์ท่านบอกคนภาวนาเนี่ย ดูออกง่ายๆ เลยถ้าภาวนานี่สติสัมปชัญญะมันจะดีมาก เวลาเขามาจะนั่งสงบเสงี่ยมของเขา ไอ้เราภาวนามาเนี่ย โอ้โฮ ยิ่งกว่าเด็ก เด็กมันคึกคะนองใช่ไหม เรามาถึงวัดนะเนี่ยนักภาวนานะ แต่อยู่กัน อู้หูย… คลุกคลีกันอย่างนี้ อย่างนี้ไม่ใช้นักภาวนา นักภาวนานะ จิตของเขานี่ ความสงบของเขานี่ เขาจะดูแลของเขาอย่างไร แล้วเขาดูแลของเขามาแล้วเนี่ย เวลาเขาแสดงออก เขาแสดงออกอย่างไรแล้วแสดงออกมาเนี่ย นี้ไงดวงตาเป็นหน้าต่างของใจ ความคิดของเราคิดอย่างไรดวงตามันแสดงออกมา ความรู้สึกในจิตเนี่ยจิตมันมีอย่างไร มันแสดงออกมาอย่างไรมันจะเป็นจริงของมันอย่างนั้น

ถึงบอกว่ากายกับจิตแยกออกจากกันเนี่ย นี่ให้วินิจฉัย วินิจฉัยก็บอกว่า สิ่งที่เป็นนี่นะ มันเป็นแบบว่าคนมีบุญ คนมีบุญทำอะไรก็ประสบความาสำเร็จไปเรื่อยๆ คนมีบาปทำอะไรมีแต่ความทุกข์ความยาก ทำอะไรมีแต่อุปสรรคไปทั้งนั้นเลย การภาวนาของเรา… เนี่ย บัว๔ เหล่า บัวใต้น้ำ บัวเหนือน้ำ บัวระดับน้ำ นี่บัว๔ เหล่า จิตของเราถ้ามันมีกุศลขึ้นมามันจะดีไปหมด แต่..แต่ชั่วคราว ความดีความชั่วของคนนะ มันใช้ไปแล้วมันหมดไง ไม่ใช่ว่าเราทำความดีนะดี… เรายกตัวอย่างบ่อยนะ เช่น อาจารย์สิงห์ทอง อาจารย์สิงห์ทองเนี่ยเป็นคนดื้อ เวลาจะบวชนะ หลวงตาเล่าให้ฟัง เวลาจะบวชญาติพี่น้องบอกว่า บวชไม่ได้หรอก ถ้าเอ็งบวชครบพรรษานึงนะ ให้กลับมาขี้รดที่นอนของญาติ ท้าพนันกันนะ เอ้าก็ไปบวชภาวนา พอภาวนาไปนะ สวดมนต์สมาธิก็ลง จะทำอะไรมันดีไปหมด สมาธิมันง่ายๆสบายไปหมด เอะ อย่างนี้บวชตลอดชีวิตก็ได้

มันมีความสุขนะเวลาคนมันประสบความสำเร็จ มีความพอใจมันมีความสุขทั้งนั้นนะ ถ้ามีความสุขอย่างนี้เราอยู่ตลอดชีวิตก็ได้ มันมั่นใจปั๊บปฎิญาณตนเลย ตั้งสัจจาธิฏฐานว่าจะบวชตลอดชีวิต ไม่สึกอีกแล้วเท่านั้นแหละ สมาธิหายเกลี้ยงเลย หายหมดเลย ก็แต่เดิมก็อยู่ชั่วคราวอยู่เพื่อจะสึก เพื่อความสบายใจ กิเลสนะอย่างว่าแหละ กิเลสมันได้เขกหัว กิเลสมันนอนหลับสบายดี

ด้วยอำนาจวาสนาด้วย พออาจารย์สิงห์ทองนั่งเครื่องบินมากรุงเทพแล้วตก เผาแล้วเป็นพระธาตุ คือบารมีพระอรหันต์ ท่านจะได้เป็นพระอรหันต์ เพราะจะได้เป็นอยู่แล้ว บารมีเต็มมา พอเต็มมา พอจะบวชเพราะคนจริงคนจัง ญาติพี่น้องบอก เอ็งบวชไม่ได้หรอก ถ้าบวชเอ็งอยู่ไม่ได้หรอก ท้าพนันกันนะว่าถ้าบวชได้พรรษานึงเนี่ยให้กลับมาขี้บนที่นอน ท่านก็กลับนะ นี่หลวงตาเล่าเอง ท่านก็กลับไปที่ท้าพนันนะแล้วไปขี้ใส่ที่นอน ที่ได้สัญญากันไว้จริงๆ ท่านทำจริงๆ ด้วย

อาจารย์สิงห์ทองเนี่ยท่านนิพพานไปแล้ว ท่านเป็นสิ่งที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ เราเอามาเป็นคติเป็นตัวอย่างเป็นคติธรรมให้เราเชื่อมั่น ให้เราได้มีความภูมิใจ ให้เราได้เห็นตัวอย่างที่ดีงาม ที่ผู้ทำแล้วประสบความสำเร็จไปแล้ว แต่ชีวิตของท่านที่จะประสบความสำเร็จนั้น ท่านบอกว่า พอจะตั้งสัจจาธิฏฐานว่าจะบวชตลอดชีวิตแล้ว เพราะมันง่ายมาก โอ้โฮ สวดมนต์ก็ทำสมาธิได้ สวดมนต์ก็จิตลงนะ จะทำอะไรก็สมาธิลงหมด โอ้โฮ มันดีไปหมดเลย สุดยอดเลย ถ้าอย่างนั้นเราทำได้อย่างนี้ก็ตั้งสัจจะเลยว่าจะไม่สึก จะบวชตลอดชีวิตเท่านั้นก็หมดเลย เกลี้ยงเลย แล้วก็มาล้มลุกคลุกคลาน มาฝึกขึ้นมาเอาจริงขึ้นมา เพราะตั้งสัจจะแล้ว

นี่เราจะบอกว่า ถ้ามีบารมีอย่าเข้าใจว่ามันจะอยู่กับเราตลอดไปนะ เงินทองใช้จ่ายไปมันก็ร่อยหรอไปเป็นธรรมดา ความตั้งใจความจริงจังของเราความอุกฤษฏ์ของเรามันใช้ไป มันก็เสื่อมมันก็กัดกร่อนใจเราเป็นธรรมดา ใจเรานี่จะโดนกัดกร่อน ใหม่ๆก็ทำด้วยความมั่นคงด้วยความจริงจังด้วยความมุมานะ แล้ววันเวลาก็จะกัดกร่อนใจไปเรื่อยๆ กัดกร่อนใจเราไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะไม่สู้

ฉะนั้นบอกว่า เวลาพิจารณาไปแล้วกายมันแยกเลย มันทำได้ง่าย เนี่ยอย่างนี้จะหลอกมาให้บวช พอบวชเสร็จแล้วนะ ภาวนาไม่ได้ก็มานั่งคอตก ของอย่างนี้มันต้องเพิ่มไง ต้องทำบ่อยๆทำมากๆเข้า ฉะนั้นว่ากายมันแยกนี่ มันแยกได้ เราจะบอกว่ามันเป็นไปอย่างที่เขาพูดมาเนี่ยมันเป็นไปได้ แต่มันเป็นเรื่องผิวเผินนะ มันเป็นเรื่องผิวๆเผินๆ มันเป็นเรื่องความรู้สึก มันไม่ลงสู่ฐีติจิต มันไม่ลงสู่สมาธิ ถ้าจิตลงสู่สมาธิแล้วจิตออกทำงานมันจะไม่ทำงานแบบเราทำงานกัน โดยสามัญสำนึกเราเหมือนเด็กๆเลยเล่นขายของไปวันนึง พ่อแม่ก็ตบมือให้ เด็กมันทำอะไรประสบความสำเร็จ พ่อแม่ดีใจ เด็กก็เฮไปทั้งวัน

เราภาวนากันเป็นอย่างนั้นนะตอนเนี้ย อะไรก็สบายๆว่างๆเนี่ย เด็กเล่นขายของไม่ใช่ความจริง ถ้าจะเป็นความจริงนะมันจะต้องเป็นผู้ใหญ่อาบเหงื่อต่างน้ำ เด็กมันเข้ามาในนี้เด็กส่งเสียงดัง เด็กเล่นกันเนี่ยมันไร้เดียงสา ทุกคนจะดีใจมีความสุขทั้งนั้นนะ ถ้ามีผู้ใหญ่อยู่คนนึงแก่จะเข้าโลงอยู่แล้วนะมาส่งเสียงดังอยู่ตรงนี้นะ แล้วมานอนกลิ้งเนี่ย โยมเห็นว่าเป็นอย่างไร เราต้องอัปเปหิเขาออกไปใช่ไหม มันทำอย่างนั้นไม่ได้

จิตก็เหมือนกัน ในเมื่อมันเป็นเด็กไร้เดียงสาเนี่ย ว่างๆนั่งสมาธิขึ้นง่ายๆนี่มันเป็นเรื่องฝึกหัดพื้นฐานที่เด็กมันเริ่มทำงาน ทุกคนภาวนาต้องเป็นแบบนี้นะไม่ใช่ว่าทุกนิยมอะไรๆก็ต้องเคร่งครัด ไอ้นี่พูดเวลาพูดก็พูดกันไปอย่างนั้นนะ แต่การภาวนาเนี่ยจะเคร่งครัดไม่เคร่งครัดมันก็เริ่มต้นจากเด็กไร้เดียงสาทั้งนั้นนะ มันเริ่มต้นจากสามัญสำนึก เริ่มต้นจากอารมณ์เรานี่แหละ เริ่มต้นจากความทุกข์เรานี่แหละ เริ่มต้นจากสิ่งที่มันกวนใจเรานี่แหละ ในการปฏิบัตินะ มันไม่ใช่อย่างอื่นหรอก แต่มันต้องพัฒนามันขึ้นไป มันถึงจะเป็นสัจจะความจริงไง

ฉะนั้นเดี๋ยวมันก็ว่างเดี๋ยวมันก็ปล่อยวางเนี่ย ตั้งสติไว้แล้วกำหนดพุทโธหรือกำหนดลมหายใจเข้าไปเรื่อยๆ ถ้าเข้าไปเรื่อยๆเข้าไปสู่ความจริงนะ ตอนนี้จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา ผู้ใหญ่ทำงานนะ มันจะได้ผลตอบแทนตามข้อเท็จจริง แล้วผู้ใหญ่ทำงานในที่ทำงานของแต่ละบุคคลเห็นไหม ในสังคมทุกสังคมนี่มันจะมีการขัดแย้งกัน ความแตกต่างมันมีหมดล่ะ แล้วความแตกต่างถ้าเราแตกต่างโดยสติปัญญาเราแตกต่างโดยเราไม่มีทิฐิมานะความแตกต่างนั้นมันจะเป็นมุมมองให้เราได้ฝึกปัญญาให้กว้างขวางออกไป ได้ฝึกความรู้ความเห็นของเราออกไป ความแตกต่างอย่างนั้นมันไม่มีความผิด แต่ถ้าไปยึดว่าความคิดเราถูก ความคิดเราถูก นั่นคือตัณหาความทะยานอยาก มันจะถูกไม่ถูกมันต้องตรวจสอบก่อน

ฉะนั้นกำหนดลมหายใจเข้าไปไอ้ที่มันจะปล่อยวางกายเนี่ยเพราะธรรมะพระพุทธเจ้าว่าไว้อย่างนั้น เราพูดบ่อยนะ ว่างๆเนี่ย ในโอ่งในไหก็ว่าง ดูในโอ่งในไหสิ มันว่างๆอยู่นั้นนะ ตั้งไว้นะมันไม่มีอะไรเลย แล้วเราก็ว่างๆว่างๆเนี่ย มันทำให้จิตใจเรามันเป็นโอ่งเป็นไหเป็นวัตถุธาตุเนี่ย ไร้สาระ! ไร้สาระเลย

แต่ถ้าเป็นสมาธินะ “ อึ๊ ” โอ่งไหมันไม่มีชีวิต จิตใจร่างกายเรามันมีชีวิต มันมีธาตุรู้นะ แล้วธาตุรู้ มันก็ต้องรู้ว่าสมาธิเป็นอย่างไร ธาตุรู้เราจะรู้ตัวเองว่าอะไรเป็นความว่าง แล้วความว่างมันว่างจากอะไร ใครเป็นคนควบคุมมัน ใครเป็นคนดูแลมัน ใครเป็นคนบริหารจัดการมัน เวลามันเสื่อมไปเนี่ย พอมันเป็นสมาธิว่างๆนะ เวลามันฟุ้งซ่านขึ้นไปนะก็มึงว่างๆอยู่เมื่อกี้แล้วทำไมมึงทุกข์ล่ะ เวลามันเสื่อมไปเรารู้นะ เวลาฟุ้งซ่านทุกคนนะรู้ แต่ว่างๆเนี่ยบอกว่าอันนี้ก็ว่างอันนั้นก็ว่าง ทำไมบริหารจัดการมันไม่ได้ มันถึงเป็นมิจฉาไง

สมาธิมีสัมมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิ มิจฉาสมาธิคือสมาธิผิด ว่างๆๆเนี่ยไม่มีสติไม่มีการควบคุมเป็นมิจฉาสมาธิ มันมีมิจฉาก็มีสัมมานะ ทุกอย่างมีถูกกับผิด ไม่ใช่ว่าทำอะไรก็จะถูกไปหมด เห็นเขาเป็นนายกรัฐมนตรีเซ็นต์ชื่อกัน จะไปเซ็นต์ชื่อกับนายกรัฐมนตรีบ้าง มีสิทธิอะไรจะไปเซ็นต์ นายกรัฐมนตรีเขาเซ็นต์เนี่ยมันมีผลทางกฎหมาย ไอ้เราจะไปเซ็นต์เนี่ยจะมีผลทางกฎหมายอะไรล่ะ เราเซ็นต์แล้วก็เซ็นต์ชื่อเราเฉยๆนะ นี้ก็เหมือนกัน ไม่มีสติไม่มีปัญญา มันเกิดขึ้นไม่ได้ นี่พูดถึงการภาวนาขั้นต้น…

ถาม : ไปก่อนเดี๋ยวมีข้างหลังนี่ดุเดือด อันนี้พูดถึงเขาชมมาเฉยๆนะ กราบนมัสการด้วยเศียรเกล้า มีโอกาสฟังเทศน์ มีโอกาสฟังธรรมะของหลวงพ่อแล้วมันดีขึ้น ถูกใจมาก บัดนี้ลูกได้มีหลักมีเกณฑ์ยึดขึ้นมาแล้ว ลูกอยากจะเพียรบูชาธรรมปฏิบัติธรรมให้สิ้นกิเลสเลยนะเจ้าคะ

หลวงพ่อ : เอ้าขอเชิญเลยเนอะ อันนี้จบนะ ต่อมาอันนี้จะพูดหน่อยนึงเพราะว่าเขาถามมาจะได้ตอบไปให้ถูก

ถาม : สภาวะพระอรหันต์นมัสการพระอาจารย์ที่เคารพ ผมเป็นผู้ฟังเทศนาทางอินเตอร์เน็ต ขอกราบนมัสการถามอาจารย์ดังนี้

๑.ในหนังสือหลวงปู่ฝากไว้มีผู้ถามหลวงปู่ดูลย์ว่า หลวงปู่มีโกรธหรือไม่ หลวงปู่ตอบว่า มี แต่ไม่เอา ขอให้อาจารย์กรุณาอธิบายคำที่หลวงปู่ตอบครับ มีแต่ไม่เอาหมายความว่าอย่างไร เพราะตามที่ได้ศึกษามาพระอรหันต์ท่านไม่มี ท่านได้ละกิเลสหมดสิ้นแล้ว แต่พอมาอ่านที่หลวงปู่ดูลย์ตอบว่า มีแต่ไม่เอา เลยทำให้สับสน จริงๆแล้วพระอรหันต์ท่านยังมีโกรธ แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอาการนั้นๆ หรือว่าความโกรธได้ถูกทำลายสิ้นไปหมดแล้ว และไม่สามารถมีอาการโกรธเกิดขึ้นได้เลย อย่างไรถึงจะถูกต้องครับ

๒.อยากให้ท่านอาจารย์กรุณาบอกทางปฏิบัติให้ผู้ปฏิบัติที่ได้พระอนาคามีแล้ว และปฏิบัติต่อไปให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้น มีเทคนิคการปฏิบัติอย่างไร นมัสการด้วยความเคารพ

หลวงพ่อ : ไอ้สองเนี่ย ให้กรุณาบอกผู้ปฏิบัติที่ได้พระอนาคามีเนี่ย อยากรู้ว่าใครได้ แล้วจะตอบใคร ใครได้พระอนาคามี พระอนาคามีมันมาจากไหนล่ะ มันมีแต่ขื่อคาแขวนคออยู่ไง ขื่อคาที่แขวนคออยู่นั้น เนี่ยคาอยู่อย่างนั้นนะเห็นอยู่ แต่ คามีคามีเนี่ย คามีอย่างใด

เนี่ยมันเหมือนปัญหาขุดหลุมพรางให้ตกลงไปในหลุมพราง เพราะคำพูดธรรมมะเนี่ยนะมันเป็นดาบสองคม พูดออกไปแล้วเนี่ย อย่างที่หลวงตาท่านบอกว่ามีสติพอหรือเปล่า ถ้ามีสติพอ มันควรหรือไม่ควร ฉะนั้นถ้าบอกว่ามี ก็แสดงว่าเจ้าของจดหมายนี้เป็นพระอนาคาหรือ ถึงได้ถามปัญหาพระอนาคา แล้วอะไรเป็นพระอนาคา อนาคาเป็นอย่างไร ถ้าอนาคาเป็นอย่างข้อที่หนึ่งเนี่ย มีแต่ไม่เอาไม่มีใครรู้หรอก แล้วรู้ไม่ได้ด้วย คำว่ามีแต่ไม่เอา ฉะนั้นคำว่ามีแต่ไม่เอาแล้วมันมีอะไรล่ะ

เรามองกันไม่เป็นไงเมื่อก่อนเราจะไม่เข้าใจกัน ไม่เข้าใจคำว่าสิ้นกิเลสเนี่ย อาการสิ้นกิเลสเนี่ย ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วเนี่ยเป็นอย่างไร แล้วผู้ที่ไม่สิ้นกิเลสเนี่ยความรู้สึกโกรธแค้นโกรธเคืองอาฆาตมาดร้ายเป็นอย่างไร เพราะว่าอาการอย่างนี้เป็นอาการของความโกรธทั้งหมด อาการโกรธไปหมดนะ

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่น เนี่ยหลวงปู่มั่นท่านพูดเนี่ย ถ้าท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ท่านจะสอนหลวงปู่ขาว สอนหลวงปู่แหวน สอนครูบาอาจารย์ของเราให้เป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ฉะนั้นหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์แน่นอน ถ้าหลวงปู่มั่นไม่เป็นพระอรหันต์จะเอาอะไรมาสอนลูกศิษย์ให้เป็นพระอรหันต์ เพราะลูกศิษย์เนี่ย เพราะท่านสิ้นชีวิตไปแล้วเผาแล้วเป็นพระธาตุหมดเลย

แล้วคำว่าเป็นพระธาตุเนี่ย พระธาตุสมัยก่อนนั้นยังไม่มีใครถือตรงนี้เป็นประเด็นใช่ไหม การเผาก็เผาโดยธรรมชาติ การเผาโดยปกติ แต่พอบอกว่าเผาแล้วกระดูกเป็นพระธาตุทุกคนว่าเป็นพระอรหันต์ การเผามันก็มีเทคนิค เดี๋ยวนี้ ปุถุชนนี่แหละไปเผาที่สิงคโปร์เนี่ย เขาใช้ความร้อนที่สูงมากเนี่ยทำให้เป็นแก้วได้หมดแหละ นี่การเผาทางวิทยาศาสตร์เขาทำของเขาได้

ฉะนั้นที่ว่าหลวงปู่มั่นสอนให้เป็นพระอรหันต์ สิ่งที่กระดูกเป็นพระธาตุนี่มันเป็นสิ่งที่ปลายเหตุ หลวงตาท่านบอกว่าในวงกัมมัฏฐานในวงของครูบาอาจารย์ของเราเนี่ยในวงของกัมมัฏฐานจะรู้ว่าวุฒิภาวะของใครเป็นอย่างไร เป็นอย่างไรตรงที่แสดงธรรมนี้ไง เป็นอย่างไรตรงที่แสดงออก เพราะใครจะเป็นหมอ คนไข้มาให้หมอรักษาเนี่ย ถ้าหมอรักษาคนไข้นั้นไม่ได้ คนนั้นจะเป็นหมอได้ไหม ถ้าเราเป็นหมอเรารักษาคนไข้ไม่ได้เลย คนนั้นสมควรได้เป็นหมอไหม คนนั้นเป็นหมอไม่ได้ เพราะเขารักษาคนไข้ไม่เป็น

ครูบาอาจารย์ของเรานี่ท่านจะเป็นพระอรหันต์ หรือที่ฝึกลูกศิษย์ลูกหาของท่านมาเนี่ย ท่านเหมือนหมอ ท่านวินิจฉัยโรค ท่านเป็นคนบอกโรคหรือท่านไปวินิจฉัยโรคมา ถ้าสิ่งนี้รักษาอย่างนี้ หลวงปู่มั่นถึงว่าเป็นพระอรหันต์ พอมันเป็นพระอรหันต์เนี่ยครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าหลวงปู่มั่นเทศน์นะ เทศน์ตามปกติ หลวงปู่มั่นก็เทศน์ให้ถึงที่สุดอยู่แล้ว เทศน์ให้ถึงที่สุดทุกกัณฑ์เลย หลวงปู่มั่นเทศน์ถึงนิพพานเลย ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงนิพพานหมดแหละ แต่ฟังแล้วมันก็เป็นทางวิชาการ ผู้เทศน์ เทศน์ออกมาจากความจริง

แต่เราไม่เป็นนะ เราไม่เป็นเราก็เอาตามวิชาการ พอวิชาการแล้วก็เทศน์ ตามความเมตตานั้นแหละ หลวงตาท่านบอกว่า ฟังแล้วมันไม่ถึงใจ ฉะนั้นถ้าวันไหนหลวงปู่มั่นจะเทศน์ท่านจะไปไขก๊อก ไขก๊อกหมายถึงว่าไปถามปัญหาธรรมนี่แหละ ถามให้มันผิดๆไป มรรคมี ๘ ใช่ไหม มรรคมี ๑๐ ใช่ไหม มรรคมี ๕ใช่ไหม ถามให้มันผิดนั่นละ

ถ้าหลวงปู่มั่นบอกว่า ไม่ใช่! ถ้าไม่ใช่แล้วสิ่งที่ตรงข้ามกับไม่ใช่คืออะไร ฉะนั้นท่านจะพรั่งพรูออกมาเต็มที่เลย พอท่านพรั่งพรูเต็มที่ ท่านบอกเห็นไหมว่าฝนจะตก ฟ้ามันต้องร้องก่อน เมฆต้องครึ้มก่อน ถ้าไม่มีเมฆจะเอาเม็ดฝนมาจากไหน ถ้ามีเมฆฝนฝนจะตกมาจากก้อนเมฆ ก้อนเมฆที่มันมารวมตัวกันที่มีน้ำหนักพอ แล้วมากระจายออกเป็นเม็ดฝน

นี่สิ่งที่ธรรมะออกมา มันออกมาจากไหน มันออกมาจากใจของพระอรหันต์ทั้งนั้นแหละ ถ้าออกมาจากพระอรหันต์มันก็เป็นการทำตามหน้าที่ แต่ว่าฟ้าฝนมันตกมันไม่ครึ้มมันไม่ได้จำนวนน้ำที่เพียงพอ มันไม่สมเจตนา ถึงไปไขก๊อก ไปไขก๊อก ถ้าได้ฟ้าผ่าฟ้าร้องแล้วนะ เทศน์ออกมามันจะซึ้งใจมากเลย คำว่าซึ้งใจมากมันจะออกมาด้วยอาการรุนแรง หลวงตาท่านบอกว่าเวลาหลวงปู่มั่นจะเทศน์นะ ท่านจะมีกริยาของท่านออกไปนะ มือท่านปัดกระโถนกลิ้งไปเลย

อาการอย่างนี้เป็นอาการโกรธหรือเปล่า อาการที่พระอรหันต์บอกว่ามีโกรธแล้วไม่เอาเนี่ย อาการเป็นอย่างไร อย่างนี้อาการโกรธเป็นพลังของธรรม หลวงตาท่านบอกว่ามันเป็นพลังของธรรม เหมือนกับท่อน้ำ… ดูสิ แม่น้ำแม่กลองเสียอีกแล้ว สิ่งที่มันไหลลงแม่น้ำแม่กลองคืออะไร มันคือน้ำเสีย น้ำเสียจากโรงงานมันไหลมาเนี่ยคือน้ำเสียทั้งนั้นเลย นั้นคือความรู้สึกความนึกคิดของปุถุชน ปุถุชนเป็นคนหนาด้วยกิเลส แต่เวลาเราใช้น้ำกันอยู่เนี่ยเราต้องใช้น้ำสะอาดใช่ไหมน้ำบริโภคของเราเนี่ย มันมาจากไหนมันก็มาจากแรงดันของก๊อกเนี่ย

นี้ก๊อกน้ำเปรียบเหมือนร่างกาย ท่อน้ำเปรียบเหมือนร่างกาย น้ำนั้นเปรียบเหมือนหัวใจ ถ้าน้ำนั้นสกปรก เห็นไหมปุถุชนนะออกมาด้วยว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งใดเลยแต่ถ้าเป็นพระอรหันต์จะรักษา จะรีไซเคิลน้ำ จะทำความสะอาดน้ำนั้นจนเป็นน้ำสะอาด การทำความสะอาดด้วยมรรคญาณ มรรคญาณคือน้ำสะอาด คือทำให้จิตนั้นสะอาดบริสุทธิ์

คำว่าสะอาดบริสุทธิ์มันก็หมายถึง ฐีติจิต จิตเดิมแท้ มันก็ว่ากันไป อันนี้มันภาษาสมมติไง เราจะอธิบายให้เห็นสิ่งที่ว่าโกรธมีไหม แต่ไม่เอา เพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านพูดเป็นโศลก ท่านพูดสั้นๆ พอคนฟังมันต้องขยายความแล้วขยายความไม่เป็น โกรธมีไหมมีแต่ไม่เอา คำว่ามีแต่ไม่เอาเนี่ย เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง อธิบายให้ฟังว่ามีได้ยังไง มันมีอย่างแรงดันของน้ำเนี่ยมันมี น้ำเสียมันก็มีแรงดันของน้ำ น้ำสะอาดมันก็มีแรงดันของน้ำ ถ้าน้ำไม่มีแรงดัน น้ำจะเคลื่อนที่ไปได้อย่างไร

ถ้าเป็นน้ำสกปรกมันก็เป็นโกรธไง เป็นโทสะโมหะไงเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้าแรงดันของน้ำที่สะอาดล่ะแรงดันนั้นเป็นความโกรธไหม เนี่ยพลังของธรรมไง คำว่าพลังของธรรมเนี่ย มันมี… แต่คนไม่เข้าใจว่าพลังของธรรมกับพลังของกิเลสมันแตกต่างกันอย่างไร เราถึงไม่เข้าใจเห็นแต่ว่าเป็นพลังเฉยๆ พลังนั้นคือความโกรธไง พลังที่ดันน้ำเสียนั้นเป็นพลังของความโกรธแน่นอน แน่นอนเพราะมันเป็นโทสะ โมหะ มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาทะยานอยาก แต่ถ้าเป็นพลังน้ำที่มันสะอาดล่ะน้ำนี้ไม่มีพลัง ดูสิ ทำไมหลวงปู่มั่นจะเทศน์นะทำไมหลวงตาบอกว่าเทศน์แล้วมันไม่ซึ้งใจมันต้องเปิดก๊อกให้ได้ คือเข้าไปถามให้มันผิด ถามให้แสดงสิ่งที่ตรงข้ามออกมา สิ่งที่ตรงข้ามก็คือธรรมะไง แล้วสามารถที่มันดันออกมาน่ะ เราจะเห็นมันเป็นความโกรธไหม มันเป็นความเมตตานะ มันเป็นแรงดันแรงขับของธรรมะ

ดูสิ เขาคุยเหยียดหยามกันนะ ว่าเราไปหาครูบาอาจารย์นี่โอ๊ยสงบเสงี่ยมเรียบร้อยนะ ถ้าเรียบร้อยนะพระพุทธรูปเรียบร้อยกว่าอีกไม่ขยับเลย แล้วไปหาหลวงตาถามคำสองคำ โอ้โฮ ไหลมาเชียวนะ เขาบอกว่าหลวงตานี่โกรธมากไง หลวงตาท่านพูดประจำไอ้พวกนี้มันไม่รู้จัก ไม่รู้จักสิ่งที่พลังงานออกมาขณะนั้น มันว่าเป็นความโกรธไง โกรธมีหรือไม่มี เพราะโกรธมีหรือไม่มีเนี่ยมันจะเข้ากับสอุปาทิเสสนิพพานกับอนุปาทิเสสนิพพาน นี่ไง ถ้าพูดถึงนิพพานก็คือนิพพาน ไม่ใช่นิพพานของผู้มีกิเลสนิพพานของเสขะ อเสขะ ไม่มี! พระพุทธเจ้าพูดถึงนิพพานก็คือนิพพาน พูดถึงเสขะบุคคลคือผู้คนที่ยังศึกษาอยู่ไม่มีนิพพาน ไม่มี! โสดาบันก็คือโสดาบัน สกิทา คือสกิทา อนาคา คือ อนาคา ถ้ามันมีนิพพานเนี่ยทำไมต้องบอกว่าอยากให้กรุณาบอกการปฏิบัติของพระอนาคาในเมื่อมันมีนิพพานอยู่แล้วนะ อนาคามันก็มีนิพพานอยู่แล้ว มึงก็เข้านิพพานสิ มึงจะมาถามทำไม! มึงมาถามทำไม!

นี่ไงเพราะว่ามันไม่ใช่เสขะ อเสขะ เสขะคือบุคคลต้องศึกษา อเสขะ คือบุคคลที่ไม่ต้องศึกษา อเสขะ คือ พระอรหันต์ที่มีชีวิต คือสอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันที่ตายแล้วคืออะไร ท่อน้ำคือร่างกาย น้ำคือจิตใจ สิ่งที่มันสกปรกเป็นน้ำเสีย ท่อระบายน้ำเสีย พวกเราเนี่ยท่อระบายน้ำเสีย อารมณ์ความโลภความโกรธความหลงคือน้ำนั้น ท่อคือร่างกายนั้น มันเป็นน้ำเสีย มันก็วนเวียนของมันไป แต่ถ้าปฏิบัติจนสิ้นกิเลสแล้วน้ำนั้นสะอาด ท่อน้ำที่มีอยู่เนี่ย สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ไง

น้ำที่สะอาดนั้นมันมีโอกาส เพราะยังมีท่อน้ำยังมีน้ำอยู่ให้เราได้สัมผัส สอุปาทิเสสนิพพาน คือ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เป็นภาระ ภารา หเว ปัญจักขันธา สะ คือ เสพ สะ คือ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ สะ คือท่อน้ำกับน้ำนั้น แต่เวลาตายแล้วเห็นไหม ท่อน้ำนั้นกับน้ำนั้นน้ำจะระเหยไปในอากาศ ท่อน้ำนั้นโดนเผาทำลายไป จะไม่เหลือสิ่งใดเลย อนุปาทิเสสนิพพาน คือ พระอรหันต์ที่สิ้นชีวิตแล้ว มีเท่านี้ ไม่ต้องไปเถียงกันให้เป็นประเด็นขึ้นมา สังคมเถียงกันขึ้นมาเพราะอะไร เพราะตาบอดกับตาบอดมันเถียงกัน คนตาบอดกับตาบอดมันก็ต้องเถียงกันไปไม่มีวันที่สิ้นสุด

ฉะนั้นเวลาเป็นพระโสดาบันนะ พระโสดาบัน คือ พาดสู่กระแสนิพพาน พาดสู่กระแส กระแสนิพพานไม่ใช่นิพพาน กระแสนิพพานจะเข้าสู่นิพพานเป็นพระโสดาบันนี่ อีก ๗ ชาติจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ สกิทาคามีนี่อีก ๓ ชาติ อนาคามีนั้นไม่เกิดอีกแล้ว พอตายไปก็ไปอยู่ตั้งแต่สุทธาวาสขึ้นไป เนี่ย จะไปข้างหน้า พอสิ้นชีวิตไป เห็นไหม ดูท่อน้ำ มันยังมีเห็นไหม ท่อน้ำมันยังมีตรงไหน ในเมื่อน้ำมีน้ำเป็นประโยชน์ ในเมื่อจิตใจมีความรู้สึกมี มารมันหัวเราะเยาะ สิ่งที่มี มันมีภวาสวะ มันมีภพ มันมีสถานที่ตั้งแห่งความคิด ภวาสวะคือภพเนี่ย ภพคือตัวจิตเนี่ย แล้วตัวจิตมันเป็นอย่างไร

ฉะนั้นบอกว่า โกรธมีแต่ไม่เอา ฉะนั้นพระอรหันต์ยังมีโกรธหรือ ในเมื่อโกรธมันไม่มี มันเป็นภาษาสมมติไง ภาษาสมมติคือ ภาษาโลก แต่ความจริงความรู้สึกเนี่ยมันมีอีกมหาศาล อันนี้ที่เขามาอ้างอิงกันบ่อย อ้างอิงกันว่าใบไม้ในป่ากับใบไม้ในกำมือ พระพุทธเจ้าพูดเอง พระพุทธเจ้าบอกว่าในพระไตรปิฎก คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ยเหมือนใบไม้ในกำมือ คือเป็นส่วนที่พระพุทธเจ้าพอจะสื่อกับเรา เพื่อให้เราจำกันได้เท่านั้นเอง แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้ คือพุทธวิสัยอีกมหาศาลเลย มันเป็นอจินไตยเลยที่เราจะคำนวณถึงความรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่ได้เลย สูงส่งกว่าเรามหาศาลเลย

ฉะนั้นสิ่งที่ใบไม้ในป่ามันอีกมหาศาล ฉะนั้นคำว่าใบไม้ในป่าเห็นไหม สิ่งที่ไม่มีในพระไตรปิฎกที่ผู้รู้จริงรู้อีกมหาศาล แต่ทีนี้มาบอกว่าพุทธพจน์ พุทธพจน์ พุทธพจน์น่ะ สาธุทุกคนเคารพทั้งนั้นนะด้วยความเคารพพระพุทธเจ้า พอพุทธพจน์ปั๊บมันก็เป็นเพียงใบไม้ในกำมือเท่านั้น แล้วคอยไปจำกัดคำพูดให้มันอยู่ในเท่านั้นไง

ฉะนั้นย้อนกลับมาที่ว่าเนี่ย ในเมื่อพระอรหันต์ถ้าโกรธยังมีอยู่ เป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร โกรธยังมีอยู่จะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร อันนี้ท่านบอกว่าโกรธมีไหม มีคือพลังงานแรงขับของน้ำดีไง แต่ไม่เอา เพราะท่านไม่อธิบายเองไง อยู่ที่ว่าผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์เราเนี่ย ดูสิ ดูเช่นเราพูดบ่อยนะ เช่นหลวงตาเราเนี่ยพระอรหันต์ไหม อธิบายนี่ อู้ฮู เป็นคุ้งเป็นแควเลย เพราะคำนี้เราได้ยินมาจากครูบาอาจารย์ที่ท่านพูดต่อๆกันมาว่า

หลวงปู่คำดีท่านพูดเองว่าหลวงตาเป็นพระอรหันต์ประเภทธัมมปฏิสัมภิทาญาณ คือ ผู้แตกฉานในธรรม นี่เป็นคำพูดของหลวงปู่คำดีนะ ไม่ใช่คำพูดของพระสงบ เดี๋ยวจะเอาพระสงบไปยิงเป้าอีก เป็นคำพูดของหลวงปู่คำดี หลวงปู่คำดีบอกว่าเป็นพระอรหันต์ประเภทธัมมปฏิสัมภิทาญาณแล้วดูหลวงปู่ลีสิ หลวงปู่ลีผาแดงก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน หลวงปู่ลีเราเชื่อมั่นกัน ครูบาอาจารย์หลวงตาท่านค้ำประกันเอง ว่าหลวงปู่ลีท่านเป็นพระอรหันต์ ดูการแสดงออกสิเห็นไหม มันแตกต่างกันไหมล่ะ งั้นย้อนกลับมาที่หลวงปู่ดูลย์เนี่ยท่านพูดของท่านอย่างนี้ แค่หลวงตากับหลวงปู่ลีความรู้ความสามารถก็แตกต่างหลากหลาย หลวงปู่ดูลย์ก็เรื่องของท่าน จริงๆแล้วมัน… เราเป็นพระนะ เราอยู่ในสังคมสงฆ์เราก็จะพูดข้อเท็จจริงทั้งนั้นแหละ เพราะหลวงปู่ดูลย์เราก็สาธุนะ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพนับถือเราก็เคารพนับถือ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องอะไรของเราเลยเนอะ มันไม่ต้องเอาหัวไปยุ่งด้วยเลยเนอะ บางทีกูไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องนี้เลยเนอะ

แต่… ในเมื่อมันถามมาก็ตอบไง มีโกรธหรือไม่มีโกรธละ เพราะพูดไปทางใดทางนึงเนี่ยก็เข้าทางเขา เข้าทางหมดเห็นไหม นี่ถึงไม่พูดให้เข้าทางใครเลย พูดไม่ให้เข้าทางใครเลย พูดข้อเท็จจริง ว่าความจริงมันเป็นอย่างไร มีหรือไม่มีละ พระอรหันต์มีโกรธหรือไม่มีโกรธ ถ้ามีโกรธเป็นพระอรหันต์ได้ไหมไม่ได้ ไม่ได้ก็ลองเข้าไปหาหลวงตาสิ กระเด็นเลยล่ะ เข้าไปสิ เข้าไปถ้าผิดเข้าไปละไม่เหลือ…

แล้วนั่นโกรธหรือเปล่าละ ไม่โกรธ แต่ท่านชี้ถึงความบกพร่องของเรา เราเข้าไปหาท่านนะเหมือนกับเราเป็นลูกศิษย์ เราเข้าไปหาอาจารย์ของเราเห็นไหม สำนักปฏิบัติสำนักที่มีนักปราชญ์ เราเข้าไปเนี่ยเขาก็จะให้ความรู้กับเรา เขาจะให้ความบกพร่องกับเรา สิ่งที่เราเข้าไปเนี่ยมันมีความบกพร่องแม้แต่การก้าวเดินเข้าไปในสำนักของท่าน ท่านก็รู้แล้วว่า การก้าวเดินของเราเนี่ย อย่าลากเท้าให้ส่งเสียงดังสิ การก้าวเดินก็ควรยกเท้าให้พ้นจากพื้น ถ้าเสียงลากพื้น ลากเสียงดังขึ้นมาเนี่ย มันไปรบกวนผู้ที่ปฏิบัติรู้จักไหม

ท่านก็จะสอนแล้ว แม้แต่การเดินก้าวไปในสำนักของท่านเนี่ยท่านจะบอกเราเลยว่าถูกหรือผิดอย่างไร แล้วให้เราดัดแปลงของเราให้เราพัฒนาตัวของเราให้เราเป็นคนดีหรือไม่เป็นคนดี แต่เราไม่ไปดูเจตนาที่ท่านสอนเราเลย เราไปดูแต่ว่านี้เป็นโทสะ นี่เป็นความโกรธ เด็กมันจะมีอุบัติเหตุของมัน คนที่เลี้ยงดูมันนะ หนูอย่าไปนะ ตรงนั้นมันเกิดอุบัติเหตุนะ เด็กมันจะเชื่อเราไหม เด็กมันจะเกิดอุบัติเหตุมันต้องใช้เสียงดัง ใช้สิ่งใดที่ให้เด็กออกจากอุบัติเหตุนั้นไป

การสอนของครูบาอาจารย์เนี่ย จิตมันโดนกิเลสครอบงำอยู่ มันไม่ฟังใครหรอก อาจารย์จะพูดร้อยคำแสนคำก็แล้วแต่นะ เหมือนกันเลย เหมือนกับที่เราเป็นเลยเพราะกิเลสเนี่ยมันไม่รู้จักตัวมันเอง แล้วมันจะให้คะแนนตัวมันเองสูงมาก คำพูดของครูบาอาจารย์เป็นอย่างหนึ่งมันจะเคลมมาเป็นความเห็นของเราทันทีเลย ฉะนั้นถ้าครูบาอาจารย์ไม่มีหลักมีเกณฑ์ ครูบาอาจารย์ลูบหน้าปะจมูก เกรงอกเกรงใจอยู่ กิเลสมันขี่หัวเอา

สำนักปฏิบัตินั้น ไม่ควรเป็นสำนักปฏิบัติ สำนักปฏิบัติใดคนทำถูกทำผิดครูบาอาจารย์ต้องชี้นำต้องแก้ไขแนะนำให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง ให้เข้าสู่กระแสของธรรม มันถึงจะเป็นครูบาอาจารย์ของเราที่จะชักนำเราเข้าสู่การประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าสำนักใดมีการเอาอกเอาใจ โอ้โลมปฏิโลมถนอมกิเลสไว้ รักษากิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราไว้ เราต้องเสียเวลาไปหาอาจารย์อย่างนั้นไหม ถ้าเราไปหาครูบาอาจารย์ก็เพื่อชี้ข้อบกพร่องของเรา ชี้ความผิดของเรา แนะนำให้เราเข้าไปสู่ข้อเท็จจริงอันนั้น มันถึงควรจะเป็นครูบาอาจารย์เราจริงไหม เป็นความโกรธหรือเปล่า เป็นความโกรธไหม

เขาพูดกันมาประจำว่าหลวงตาเรานี่ขี้โมโห โกรธรุนแรง ท่านให้ประโยชน์เราทั้งนั้นเลย ชีวิตๆหนึ่งกว่าจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจากน้ำเสียทำให้เป็นน้ำดีขึ้นมาได้จะต้องลงทุนลงแรงขนาดไหน แล้วการลงทุนลงแรงนั่นคือการประพฤติปฏิบัติตามข้อเท็จจริงขึ้นมา ถ้าประพฤติปฏิบัติตามข้อเท็จจริงขึ้นมา มันจะมีประสบการณ์ตามข้อเท็จจริงนั้น แล้วคนที่ได้ทำอย่างนั้นมาเนี่ย ไอ้พวกเรามันมีแต่เอาน้ำสกปรกทั้งนั้น บอกว่าอันนี้สะอาดรึยัง มันเหม็นฟุ้งไปทั่วประเทศนะ กลิ่นมันเหม็นคลุ้งไปหมดเลย

ว่างๆๆ เข้ามาแมลงวันก็มาตอมเต็มตัวแล้ว ยังบอกว่างๆๆอยู่ แล้วจะบอกให้มันถูกต้อง มันจะถูกต้องไปไม่ได้ แล้วเราก็ชอบกันอย่างนั้นใช่ไหม แล้วถึงบอกว่าโกรธมี แต่ไม่เอาอันนี้มันเป็นคำพูดของท่านนะ ฉะนั้นสภาวะของพระอรหันต์แล้วไม่มีใครเป็นแล้วจะบอกได้อย่างไร ไม่มีใครบอกได้ ไม่มีหรอก ตัวเองนะจะบอกตัวเองได้

ถ้ายังมีความลังเลสงสัย ยังมีตะกอนในใจอยู่ เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ พระอรหันต์จะไม่มีสิ่งใดตกตะกอนอยู่ในใจเลย แม้แต่ไม่มีตะกอนในใจแล้วจิตเดิมแท้นี้ผ่องใสจิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้เนี่ย ใสๆขนาดไหนก็แล้วแต่เนี่ย จิตเดิมนี้ผ่องใส จิตเดิมแท้เนี่ยเป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ความผ่องใสความว่างนั่นแหละ ถ้ามันว่างจริงนะ ถ้าว่างจริงเนี่ย พูดคำเดียวเนี่ยรู้เลยละ เพราะความว่างมันก็เหมือน…เราพูดบ่อยว่าความว่างนี่คือทุน ถ้าใครไม่มีทุนประกอบธุรกิจไม่ได้ ปกติเราเนี่ยเป็นคนเร่ร่อน เรานี้เป็นคนพเนจรเป็นคนอนาถา เราไม่มีทุนสิ่งใดๆเลยเราจะทำอะไรกัน แต่เราทำความสงบของใจได้นี่ เราจะมีทุนมีรอนของเรา แล้วทุนรอนอันเนี่ย ถ้าออกวิปัสสนาเนี่ย มันจะไปเกิดมรรคญาณ เกิดมรรคเกิดผลกับเราขึ้นมา

ฉะนั้น สิ่งนี้มันถึงเป็นความจริง ฉะนั้นเพียงแต่ว่าเวลาเราตอบปัญหานะ ถ้าพูดอย่างนี้เลยเนี่ย การปฏิบัติเบื้องต้นเนี่ยแล้วเขาจะปฏิบัติอย่างไรล่ะ ฉะนั้นเวลาการปฏิบัติเบื้องต้น เราถึงบอกว่าอะไรก็ได้ ตั้งสติให้ได้ มันก็เริ่มต้นจากจิตของเรา เริ่มต้นจากความรู้สึกของเรา การปฏิบัติทั้งหมดเริ่มต้นจากความรู้สึกของเรานะ เริ่มต้นจากความรู้สึกของเรา เพราะความรู้สึกนี้เกิดจากจิต

ถ้ามันเริ่มต้นจากความรู้สึกของเราเนี่ย ถ้าเราทำตรงนี้จนมันสะอาดบริสุทธิ์มันจะเข้าไปสู่จิตเดิมแท้ของเรา แล้วจิตเดิมแท้ของเราเนี่ยได้ออกใช้ปัญญาของเราเนี่ย อันนั้นคือ โลกุตรธรรม คือโลกุตรปัญญา คือปัญญาที่เกิดจากจิต ปัญญาที่เกิดจากต้นขั้ว เกิดจากกิเลส กิเลสมันอยู่ที่จิต เวลาปัญญาเกิดจากจิตมันจะเข้าไปชำระกิเลสแต่ปัญญาเกิดจากความคิด ความคิดคือเงาของจิต เป้ามันคนละเป้าไง ถ้าความคิดมันเกิด ความฟุ้งซ่านมันเกิด เวลาสงบตัวลงเนี่ย ผลของการสงบตัวมันก็ไปอยู่ที่อาการของจิต ไปอยู่ที่เงา

มันเหมือนความสกปรกในบ้านเรา เราต้องเข้าไปทำความสะอาดในบ้านเราไม่ใช่ไปทำความสะอาดเงาบ้าน แสงแดดมา เงามันทอดไปโน้นเนี่ยไปทำความสะอาดอยู่ที่เงาบ้าน บ้านจะสะอาดได้ไหม บ้านเราสะอาดไหมเราได้เข้าบ้านไหม เราได้เข้าไปทำความสะอาดในบ้านหรือเปล่า นี่ไงถ้าเป็นสมาธินี่ฟังทีเดียวก็รู้ ทางโลกเข้าใจได้นะ เป็นคนจริงหรือไม่จริง ถ้าเป็นจริงจะเป็นความจริง ถ้าไม่เป็นความจริงมันก็เนี่ย ถึงบอกว่า อันนี้ถามว่าเรื่องสภาวะนะ เราจะตอบว่านี่เป็นคุณวุฒิ คุณวุฒิ วุฒิภาวะของผู้ที่มีคุณธรรม วุฒิภาวะของเรามันไม่มี มันก็ต้องงงไปอย่างนี้นะ เอวัง