เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ ก.ย. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระใหญ่ด้วย วันนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนา ศาสนาเป็นนามธรรม ศาสนาเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าคนไม่ไปสนใจ ศาสนาๆ ก็อยู่ของเขาอย่างนั้น

ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่เพราะคนไปสนใจศาสนา ศาสนาถึงมีคุณค่าขึ้นมา มีคุณค่าเพราะเราไปสนใจ มีคุณค่าเพราะหัวใจของเราสนใจในศาสนา ถ้าหัวใจเราไม่ไปสนใจในศาสนา ศาสนาก็มีอยู่โดยดั้งเดิม แต่เพราะพวกเรามองข้าม นี่ไงวันสำคัญทางศาสนา

คนต้องสำคัญก่อน ถ้าคนมีความสำคัญ คนมีความตั้งใจ คนมีความสนใจ แล้วค้นคว้าขึ้นมาเห็นไหม ศาสนธรรมคือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับใจจะเป็นอันเดียวกัน จะมาสถิตในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าใจของผู้ที่ไม่ประพฤติปฏิบัติ ศาสนาก็มีอยู่ เหยียบย่ำศาสนาอยู่ทุกวัน เหยียบไปเหยียบมา โดยที่ไม่เห็นคุณค่าของมัน

แล้วเวลามาพูดถึงธรรมะนะ บอกว่า ธรรมะ ธาตุ ๔ .. ดิน น้ำ ลม ไฟ

เราบอกว่า “ถ้าดิน น้ำ ลม ไฟ นะ เอาดิน เอาน้ำ เอาลม เอาไฟ แล้วมาผสมกัน กวนกันให้มันขึ้นมาเป็นคน มันเป็นคนขึ้นมาไม่ได้ !”

ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นคนขึ้นมาไม่ได้ เห็นไหมเขาสอนเลย เทศน์สอนเลย คนเราประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ พอพูดถึงเรื่องจิต..ไม่รู้เรื่อง !.. ดิน น้ำ ลม ไฟ มันเป็นคนไม่ได้

แต่เพราะมีปฏิสนธิจิต.. มีปฏิสนธิจิต ! จิตปฏิสนธิวิญญาณ มีปฏิสนธิวิญญาณเข้าไป นี่เขาทำกิฟท์ ทำอะไรกันเห็นไหม นิวเครียสในตัวสเปิร์ม ให้เข้าไปผสมกับไข่ ถ้าไม่มีวิญญาณปฏิสนธิเห็นไหม ต้องมีไข่ ต้องมีปฏิสนธิ มันต้องกำเนิด ๔ การกำเนิดอย่างนั้น มันต้องมีปฏิสนธิวิญญาณเข้าไปในนั้น ถ้าไปเกิดๆ เป็นเด็กขึ้นมาเห็นไหม มันถึงเป็นคน เป็นคนเพราะอะไร เพราะปฏิสนธิวิญญาณนี่ เราทำบุญทำบาปมันอยู่ที่ใจ พออยู่ที่ใจ ใจมันสะสมเห็นไหม

ครอบครัวไหนที่มีมั่งมีศรีสุข ลูกไม่ค่อยมีหรอก เพราะคนทำบุญมันน้อย แต่คนทุกข์คนยาก.. เราไปธุดงค์แถวชายแดน ไปดูสิ เวลาเดินมานะเหมือนแม่เป็ดเลย เรียงแถวมาเลยนะ.. เป็นอย่างนั้นเลย ทำไมไปเกิดนักเกิดหนาอย่างนั้นเห็นไหม เพราะอะไร เพราะกรรมมันพาเกิด.. กรรมมันพาเกิด ไม่ใช่ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วเป็นคน

ปฏิสนธิจิตต่างหาก ! จิตต่างหากนั้นเป็นสัตว์ สัตตะผู้ข้อง ถ้าสัตตะผู้ข้อง มันไปเกิดตั้งแต่พรหมลงมา สัตตะผู้ข้อง สัตตะบนโลก โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือจิตวิญญาณแล้วมันเวียนตายเวียนเกิด มันเกิดในไข่ พอเกิดในไข่ มันก็เกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาด้วยอะไร ด้วยมรรคญาณ.. มรรคญาณ โดยธรรมจักร เวลาจิตเห็นกาย พอจิตเห็นกายเห็นเป็นวิภาคะ.. วิภาคะเป็นวิปัสสนา วิปัสสนามันจะคืนสู่สภาพเดิมของมัน

คืนสู่สภาพเดิมของดิน น้ำ ลม ไฟ มันเห็นด้วยจิต จิตที่เป็นมรรคญาณ มันไปเห็นสัจธรรม สัจธรรมผู้ที่รู้จริงเห็นจริง มันเห็นโดยสัจธรรมนะ แต่จะเห็นโดยวิทยาศาสตร์เห็นไหม

คนตายไปแล้ว ๗ วัน ๘ วัน มันต้องเน่า ต้องเปื่อยไป มันก็คืนสู่สภาพเดิมของมัน แต่สู่สภาพเดิมโดยวัฏฏะ ! สู่สภาพเดิมโดยธรรมชาติ ! สู่สภาพเดิมโดยที่ใครไม่ได้ประโยชน์อะไรกับมันเลย มันเป็นผลของวัฏฏะนะ ชีวิตนี้เป็นผลของวัฏฏะ

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วพบพุทธศาสนา แล้วพอตายไปจิตมันออกไปแล้ว ตัวจิตมันออกไปเกิดสถานะอื่นแล้ว แล้วธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มันกองอยู่ที่นี่เป็นซากศพ แล้วซากศพมันคืนสู่สภาพเดิม จิตดวงที่ออกจากร่างไปไม่ได้อะไรไปเลย มันได้แต่บุญกุศลหรือบาปอกุศลที่มันสร้างไป

แต่ถ้าเป็นมรรคญาณ เรานั่งอยู่ มีชีวิตอยู่ มีลมหายใจเข้า - ลมหายใจออกอยู่ มีสติสัมปชัญญะอยู่ มีสติ มีมหาสติ มีสติอัตโนมัติ เราเป็นผู้รู้ เราเป็นผู้เห็น เราเป็นผู้แยกแยะ เราเป็นผู้จัดการ เราเป็นผู้กระทำ

มันจะเป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ ต่อเมื่อผู้เห็น ผู้รู้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันถึงจะเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ! แต่ไอ้พวกเราพวกขี้เถ่อ ! มันไม่ใช่ดิน น้ำ ลม ไฟ มันติดข้อง มันแบกรับเห็นไหม

ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ ๕ เป็นภาระ เป็นผู้รับผิดชอบ แต่ของเรามันเป็นขันธมารไง มันเป็นมารเหยียบย่ำเราไง ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มันเหยียบย่ำเรา เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวปวด เดี๋ยวโอย เดี๋ยวเป็นกังวล เดี๋ยวเป็นทุกข์เป็นยาก เป็นห่วงเป็นใย

ขณะคนแก่เห็นไหม “เวลาตายแล้วอย่าไปป่าช้านะ ฉันกลัวผี !” มันตายไปแล้วมันจะไปกลัวผีที่ไหน ก็มันเป็นผี.. ผีมันออกจากร่าง

ศาสนาผีเป็นศาสนาดั้งเดิม เมื่อก่อนจะเกิดพระพุทธศาสนาโดยธรรมชาติของคนถือผี อย่าว่าแต่ประเทศที่ศิวิไลขนาดไหนเลย ไปดูดึกดำบรรพ์ถือผีหมด ไหว้ภูเขา ไหว้ไฟ ไหว้เมฆหมอก.. ทั้งนั้น ! โดยดั้งเดิมของสัตว์โลก ของมนุษย์ ถ้ายังไม่มีศาสดา ถือศาสนาผีเป็นศาสนาทั่วโลก !

โดยสามัญสำนึกของคนกลัวผี แล้วผี.. ผีตัวเราเห็นไหม ถ้ากลัวผีเหมือนกับวิทยาศาสตร์.. วิทยาศาสตร์เห็นไหม ที่ว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นวิทยาศาสตร์ นี่คือศาสนาผีไง ศาสนาผีคือศาสนาอ้อนวอน ศาสนาผีคือการอ้อนวอนไม่มีเหตุมีผล ให้เชื่อตามๆ กันไป

แต่พุทธศาสนา ศาสนาแห่งปัญญาไม่ให้เชื่อ ! ทเวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนเธอไม่ควรเสพ อกาสิ เม เมื่อก่อนธรรมะยังไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เกิด คนเรายังโง่อยู่ ยังกราบภูเขา กราบพระอาทิตย์ กราบไฟ สมัย ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ศาสนาเจริญแล้ว เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเครื่องประกัน เพราะอะไร เพราะเป็นผู้รู้จริง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงธรรมจักรเห็นไหม เทวดาส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไป เพราะเทวดาก็คือผี ผีเพราะเป็นจิตวิญญาณเหมือนกัน แต่เป็นสถานะของเทพ ถ้าไม่ดีเขาว่าเป็นเปรตเป็นผี ถ้าดีเขาว่าเป็นเทพ เป็นเทวดา มันก็จิตวิญญาณอันเดียวกัน

เห็นไหม ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ… มันก็ศาสนาผี ถือกันแบบผีๆ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่ปัญญาที่รู้จริงโดยภาวนามยปัญญา ปัญญาที่รู้จริงของสัจธรรมดวงนั้น ใจดวงนั้น

พระไตรปิฎกเป็นกิริยาของธรรม เป็นธรรมและวินัย เป็นศาสดา คือเป็นทฤษฎี แต่ผู้รู้จริง ใจเท่านั้นที่จะรู้จริง ! ใจเท่านั้นที่จะรู้จริง ! แล้วใจต้องรู้จริง ถ้าใจรู้จริงขึ้นมามันจะซาบซึ้งกว่านี้เยอะ มันซาบซึ้งกว่าทฤษฎี อันนี้มันถือทฤษฎีเห็นไหม แล้วปัญญาชน.. ปัญญาชนไง

ศาสนาพุทธ พุทธที่ไหน .. พุทธอ้อนวอนเอา อ้อนวอนเอามันก็ผี ! ศาสนาผีเห็นไหม ผีทั้งนั้นเลย !

แต่ถ้ามีปัญญาใคร่ครวญ มีพุทธะ มีผู้รู้ ผู้รู้ใคร่ครวญเข้ามา ตั้งแต่สุตมยปัญญา คือการศึกษาเล่าเรียน การฟังกันมานี่คือผี ผีเพราะอะไร ผีเพราะว่าใจไม่มีเหตุมีผล ใจไม่รู้จริง ถือเหมือนกับวิ่งคบเพลิง ยื่นต่อๆ กันไป.. ยื่นต่อๆ กันมา เราก็จับมา แล้วก็วิ่งต่อไป ก็เท่านั้น !

คบเพลิงมันมาจากไหน คบเพลิงประกอบไปด้วยอะไร ไฟที่ติดมันติดมาอย่างไร แล้ววิ่งๆ ทำไม วิ่งด้วยเหตุผลอะไร วิ่งไปแล้วมีประโยชน์อะไร ส่งต่อไปแล้วใครจะรับต่อไป นี่ไงศาสนาพุทธ มันเป็นศาสตร์อย่างนี้ไง

ถ้าศาสนาพุทธเข้าใจ มันถึงสัจจะ ถ้าคนไปเอาผลมาเป็นเหตุ นี่ไงสักแต่ว่า โน่นก็สักแต่ว่า พระพุทธเจ้าสอนว่าให้ปล่อยวาง.. ก็วางหมด อากาศมันก็ว่าง อวกาศไม่มีอะไรเลย

“โมฆราช ! เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ”

กลับมาถอนไอ้ตัวที่รู้ว่าว่าง ถ้ามันว่างอยู่นี่มันเป็นอะไร อากาศมันก็ว่าง สรรพสิ่งมันก็ว่างเห็นไหม

นี่ถือศีล.. ถือศีล โต๊ะนี้ก็ถือศีล ศาลานี้ก็มีศีล ๕ นะ ศาลานี้มันไม่เบียดเบียนใครเลย มีแต่คนมาอาศัยมัน จะทำจิตวิญญาณให้เป็นสสาร เป็นวัตถุหรือ ถ้าสสารเป็นวัตถุเห็นไหม

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส.. จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส.. จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส.. จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส..

สสารที่มีชีวิต พุทธะนี่มันเป็นสสารด้วย เพราะเป็นสันตติ มันเกิดดับ.. เกิดดับ.. เกิดดับ มันมหัศจรรย์กว่าสสารที่ไม่มีชีวิต สสารต่างๆ นี้มันไม่มีชีวิตนะ มันเป็นสสาร มันเป็นวัตถุ แต่วิญญาณที่เป็นวัตถุแล้วมีชีวิต แล้วสืบต่อ เกิดขึ้นจากใจ สันตติ เกิดดับ.. เกิดดับ.. ที่เร็วมาก แล้วความสงบของใจเข้าไปจับมันได้ เข้าไปรู้ไปเห็นมัน มันจะเป็นความมหัศจรรย์ เป็นความลึกลับ มันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก

น่าทึ่งด้วยอะไร น่าทึ่งด้วยความรู้จริงที่สติ มหาสติ ในหัวใจของเรา ที่เข้าไปรู้จริง ไม่น่าทึ่งเลย ! ให้อาจารย์องค์ไหน เก่งขนาดไหน เทศน์ให้เราฟัง เราฟังแล้วซึ้งใจเฉยๆ แต่เราไม่เคยเห็น เราไม่เคยจับต้องได้ เราก็ซึ้งใจชั่วครู่ชั่วยาม เดี๋ยวก็จืดจางไป

แต่สิ่งใดถ้าเกิดจากเรา มันจะฝังใจเรา เพราะมันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นการเกิดที่ใจ รู้ที่ใจ จับต้องที่ใจ มันถึงสละได้ที่ใจ มันถึงแก้ไข นี่ไง ! นี่ไง ! สัจธรรม.. สัจธรรมมันอยู่ที่นี่ สัจธรรมมันอยู่ที่สัตว์โลก สัตว์โลกคืออะไร สัตว์โลกคือปฏิสนธิจิต สัตว์โลกไม่ใช่มนุษย์นี่นะ มนุษย์นี้เป็นวาระหนึ่ง ถ้าสัตว์โลกเป็นมนุษย์ก็ได้ แต่เป็นวาระหนึ่งใช่ไหม

แต่สัตว์โลกที่จริงๆ คือตัวจิต เพราะตัวจิตมันเกิดตาย ! เกิดตาย ! สัตว์ตัวนี้มันเกิดตาย แต่มนุษย์เวลาตายจากมนุษย์ไปแล้ว ไปเกิดเป็นอะไรล่ะ เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหมก็ได้ เกิดเป็นอะไรก็ได้ การเกิดใหม่ก็คือจิตตัวเดิม.. จิตตัวเดิม ! แต่ได้สถานะใหม่ ! เวียนเกิดเวียนตาย นี่ไงผลของวัฏฏะ มันจะหมุนไปในวัฏฏะนี่ไง

แล้วมันไปหยุดการหมุนของวัฏฏะ .. วัฏฏะ ! วิวัฏฏะ ! พ้นจากการหมุน พ้นจากการสืบต่อ พ้นจากแรงดึงดูดของกิเลส ของอวิชชา พ้นจากแรงดึงดูดทั้งหมด แล้วมันทำอย่างไร

ธาตุ ๔ .. คนมันเกิดจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ.. ดิน น้ำ ลม ไฟ มันเป็นสูตรสำเร็จ มันเป็นการศึกษาศาสนาแบบผีๆ ! ผีๆ คือไปก็อบปี้มาไง ไม่มีเหตุมีผล ไม่มีตรรกะ ไม่มีการใคร่ครวญ ไม่มีการแยกแยะ ไม่มีความรู้จริง

ถ้าเป็นความรู้จริงขึ้นมา เราต้องค้นคว้าของเรา นี่ศาสนาพุทธนะ ! พุทธะ.. ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ใช่หลับใหลไป ท่องกันปากเปียกปากแฉะ หลับใหลไปกับอวิชชา หลับใหลไปกับกิเลสเห็นไหม สิ่งนั้นหรือเป็นศาสนา !

นี่ชาวพุทธเรามันเปลือกๆ นะ แต่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงก็ต้องยอมรับ เราเป็นผู้ใหญ่มา เราก็ผ่านจากการเป็นเด็กมาใช่ไหม คนที่เกิดมานั่งอยู่ที่นี่ ต้องเป็นทารกมาแล้วทุกคน จิตที่มันจะเข้ามาศึกษาในศาสนา มันก็เข้ามาศึกษามาจากอวิชชานี่แหละ แต่ในเมื่อศึกษาด้วยอวิชชาแล้วนี่ มันต้องพัฒนาเห็นไหม จากทารกต้องเป็นเด็ก ต้องเป็นวัยรุ่น ต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา

จิตก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธเราต้องศึกษา แล้วศึกษาที่ไหน เห็นไหม ดูสิ พระเราต้องศึกษาในโคนต้นไม้ ศึกษาที่ไหน ก็ศึกษากลางหัวใจนี่ไง จิตมันสงบไหม จิตมันคิดขึ้นมา มันคิดเป็นโลกียปัญญา คือคิดมาจากฐานความคิดเราไหม จิตถ้ามันว่าง แล้วจิตที่มันคิดเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่มันฟาดฟันกิเลส ที่มันหลุดออกมา มันเป็นอย่างไร มันแตกต่าง ..

ถ้ามันไม่มีความแตกต่าง ทำไมพระพุทธเจ้าบัญญัติปัญญาไว้ ๓ .. สุตมยปัญญา .. จินตมยปัญญา .. ภาวนามยปัญญา

แล้วภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันจับต้องอย่างไร อาจารย์ที่รู้จริงจะอธิบายได้ชัดเจน รู้ได้ชัดเจน ถ้ารู้ไม่ชัดเจน เขาไม่เคยรู้มา เขาไม่เคยเห็นมา เขาจะอธิบายชัดเจนได้อย่างไร

การชัดเจนเห็นไหม .. จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง .. ใจที่สะอาดบริสุทธิ์แบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ วางธรรมวินัยไว้ให้เป็นมรดก พระรัตนตรัย แก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เราเคารพบูชา

ถ้าเราเข้าไม่ถึง มันยังเป็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ถ้าเข้าถึงนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือพุทธะ คือธาตุรู้ คือสสารที่รู้ คือพุทธะ คือพระพุทธเจ้าอยู่กลางหัวใจของเราทุกๆ คน แต่เราไม่เคยเห็น เราอยากไปกราบพระพุทธเจ้าที่อินเดีย แต่เราลืมพุทธะเห็นไหม ดูสิ เขาบอกว่าลืมพระอรหันต์ในบ้าน คือลืมพ่อลืมแม่

นี่ก็เหมือนกัน ลืมหัวใจของตัว หัวใจของตัวคือพุทธะ แต่พยายามเปิดตู้พระไตรปิฎก ศาสนาอยู่ในตู้พระไตรปิฎก มันไม่ได้อยู่ที่หัวใจ แต่ถ้าเปิดพุทธะนะ ตู้พระไตรปิฎกที่เคลื่อนที่ ! ตู้พระไตรปิฎกที่มีชีวิต ! ตู้พระไตรปิฎกที่สื่อสารได้ อธิบายได้ พูดได้ อยู่กลางหัวใจของเรานี่ ขอให้รู้จริงเถิดเห็นไหม นี่ศาสนาพุทธอย่างนี้ ไม่ใช่ศาสนาผี เอวัง !