เทศน์บนศาลา

กิเลสว่าสมมุติ

๒๔ ต.ค. ๒๕๖๕

กิเลสว่าสมมุติ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๕

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ ธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่ได้ยินได้ฟังนี้แสนยาก แต่กิเลสได้ฟังทุกวัน ยิ่งสุมหัวนินทากาเลได้เต็มที่เลย

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมามากมายมหาศาล ถึงได้มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่จะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง สร้างสมบุญญาธิการมาขนาดไหน

แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า มันมหัศจรรย์ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า วางธรรมวินัยนี้ไว้ๆ ให้บริษัท  ได้ประพฤติปฏิบัติให้เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจของตน ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจของตน เห็นไหม วิมุตติสุขแบบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่า “วิมุตติสุขๆ” มันมีเฉพาะในพระพุทธศาสนานี้เท่านั้น

แล้วในพระพุทธศาสนา เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมามีพระพุทธเจ้ากับพระธรรมเท่านั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ ไง พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม มีพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมาเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา สมบูรณ์แบบในพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระสงฆ์ๆ พระสงฆ์ เห็นไหม สาวก สาวกะผู้ที่ได้ยินได้ฟังขึ้นมา ถ้าผู้ได้ยินได้ฟังขึ้นมา ใครจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจของตนเห็นไหม นี่เป็นอัครสาวก เป็นสาวก สาวกะที่ได้ยินได้ฟัง แล้วประพฤติปฏิบัติจนหัวใจของตนสิ้นสุดแห่งทุกข์ ความสิ้นสุดแห่งทุกข์มันมีคุณค่าแค่ไหน มันมีคุณค่ามาก มันมีคุณค่ามากเพราะอะไร

จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตดวงเดียวนะ บุคคลคนหนึ่งเท่านั้นเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดมานั่งบนกองกระดูกของตนนะ สิ่งที่ว่าเวลาตายไปๆธาตุ  มันย่อยสลายไป ไปสู่ความเป็นจริงในธาตุ ธาตุ  ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุ ที่มันย่อยสลายไป แล้วเราก็เกิดมานั่งอยู่บนกองกระดูกของตน จิตดวงเดียวเท่านั้น แล้วดูสิ  -  พันล้านคน แล้ว  -  พันล้านคนนี่เราเห็น แล้วสัตว์ล่ะแมลงล่ะ เวลาเทวดา อินทร์ พรหมล่ะ อีกมากมายมหาศาล

จิตดวงเดียวแท้ๆ แล้วจิตดวงเดียวนี้มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาเป็นเรา เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นบุญกุศลมากมายมหาศาล แต่แต่กิเลสมันปิดหัวใจนั้นไว้ๆ ไง ยิ่งกึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง น่าเห็นใจมาก ถ้าคนอยู่ทางโลกไง เวลาพระ  -  แสนองค์พระที่ดีก็มี แต่พระที่ทำตัวเหลวไหลก็เยอะ แล้วมันน่าไว้วางใจตรงไหน มันไว้วางใจไม่ได้เลยเพราะอะไร เพราะเราก็ไม่มีวาสนาไง

แต่ถ้าเรามีวาสนานะ มันได้ยินได้ฟังไง หลวงตาพระมหา-บัวท่านบอกว่าท่านได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่มั่นตั้งแต่ท่านยังเป็นเด็กๆ อยู่เลย ถ้าเป็นเด็กๆอยู่เลย ท่านได้ยินกิตติศัพท์ กิตติคุณของหลวงปู่มั่นอยู่แล้ว แต่ท่านก็ใช้ชีวิตฆราวาสของท่านไง

แต่เวลาท่าน ด้วยอำนาจวาสนาของท่าน ถึงเวลาท่านได้บวชขึ้นมา บวชขึ้นมาแล้วก็มีการศึกษาจนจบเป็นมหา เป็นมหาแล้วจะออกประพฤติปฏิบัติ “แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ” ทั้งๆ ที่คนมีวาสนาขนาดนั้น แต่กิเลสมันก็ครอบงำของมันอยู่อย่างนั้นแล้วเวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา ต้องมีคนยืนยันว่า “สัจธรรมมันมีอยู่จริง นิพพานมันมีอยู่จริง ปฏิบัติแล้วไม่สูญเปล่า” ทั้งๆ ที่เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มันมีคุณค่ามากมายมหาศาล แต่กิเลสในหัวใจของคนมันก็บิดพลิ้วออกไป ให้เราหลงระเริงไป ให้อยู่ในอำนาจของกิเลสไง

เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เวลาไปหาหลวงปู่มั่นไง ให้ยืนยันว่าสัจจะความจริงมันมีอยู่ ทั้งๆ ที่ว่าเราก็ศึกษา เราก็ค้นคว้า มันก็น่าเชื่อถือน่าไว้วางใจนั่นแหละ แต่กิเลสนี้มันไว้วางใจอะไรไม่ได้เลย เวลาหลวงปู่มั่นท่านยืนยัน นิพพานอยู่ที่หัวใจ มันไม่อยู่ที่ใดๆ ทั้งสิ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อหัวใจของสัตว์โลกนี้ ถ้าหัวใจของสัตว์โลกนี้ถ้ามีอำนาจวาสนาไงเวลาไปฟังธรรมฟังจากหลวงปู่มั่นขึ้นมา เห็นไหม จะเอาจริงเอาจังขึ้นมา จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ให้มันเป็นความจริงความจังขึ้นมาในหัวใจของตน

เวลากึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญที่ไหน เจริญในหัวใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ถ้าไม่มีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา มันจะเอาอะไรมาสอน เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูด “กำลังเราไม่พอๆ” เวลาท่านยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ บุคคลที่  บุคคลที่  บุคคลที่  เทศนาว่าการได้จะแจ้งฉะฉาน แต่คู่ที่  มันเป็นอย่างไรล่ะ ถึงได้ว่า “กำลังไม่พอๆ” ไปเพิ่มกำลังของตนขึ้นมา เวลาเพิ่มกำลังของตนขึ้นมา เวลามันถึงที่สุดแล้วไม่เคยพูดถึงกำลังไม่พอแล้วมีสิ่งใดในพระ-พุทธศาสนา แล้วสงสัยสิ่งใดว่ามา

เวลาว่ามาขึ้นมา เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านไปถาม “นิพพาน สัจจะความจริง ประพฤติปฏิบัติแล้วจะมีอยู่จริงหรือไม่ มีอยู่จริงหรือไม่มีอยู่จริง

เป็นสัจจะเป็นความจริงในหัวใจของท่านขึ้นมา ถ้ามันเป็นสัจจะในหัวใจของท่าน จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งไง ใจดวงนั้นได้เผชิญกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากมา แล้วได้เผชิญกิเลสตัณหาความทะยานอยากมาแล้วสู้มันโดยวิธีอย่างใด แล้วแพ้ แพ้อย่างไร แล้วชนะ ชนะอย่างไร เวลาสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้ว สิ้นสุดแห่งทุกข์ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้ามาอนุโมทนา มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม วิมุตติสุขๆ มันมหัศจรรย์ของมันมาก ถ้าความมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์ๆ ในหัวใจของตน หัวใจที่ยิ่งใหญ่นี้ ดูสิ เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเชื่อหรือไม่ว่ามีภพมีชาติ ชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า อดีตชาติมีจริงหรือเปล่า เราก็ลังเลสงสัย แล้วเราก็ไม่เชื่อ แล้วถ้าเชื่อไปแล้วมันก็จะเป็นคนครึ คนล้าสมัย ถ้าบอกว่าภพชาติมันมีปัจจุบันนี้ชาติเดียว แหมมันดูเป็นวิทยาศาสตร์ มันดูเท่ แต่เราก็ยังสงสัยไง

แต่ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมนะ เวลาตรัสรู้ธรรม เทวดา อินทร์ พรหม อนุโมทนาขนาดไหน เวลาแสดงธัมมจักฯ ขึ้นมา เทวดาส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเลย ส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเพราะว่าเพราะด้วยความภูมิใจไง จะอยู่ในภพชาติใดมันก็มีทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริงนะ เทวดา อินทร์ พรหมก็มีทุกข์ของเขานะ เทวดา อินทร์ พรหมนะมีนางฟ้า มีเทพบุตร เขาก็มีคู่ของเขา เวลาเขาต้องพลัดพราก ทุกข์ไหม

คนเรามันจะตายทุกข์ทุกคน ละล้าละลังๆ เว้นไว้แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาผู้ที่มีอำนาจวาสนาขึ้นมา ฟังเทศน์ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเชื่อมั่นในวัฏฏะ เห็นไหม ได้สร้างบุญสร้างกุศล เวลาเขาไป เขาก็ไปดีของเขา นี่ไง เวลาทำบาปอกุศล เทวทัตตกนรกอเวจีเลย สิ่งที่ตกนรกอเวจีมันไปไหน แล้วพระพุทธศาสนามันเชื่อไม่ได้เลยใช่ไหม เพราะเชื่อไม่ได้เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรานี่ไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมทะลุปรุโปร่งหมด มันมาจากไหน มาอย่างใด ด้วยอำนาจวาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระโมคคัลลานะ พระ-สารีบุตร อัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ในธรรมบทมากมายเลย เวลาพระโมคคัลลานะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า “โมคคัลลานะถามทำไม เธอก็เห็นกับตาอยู่แล้ว” เป็นพระอรหันต์ อัครสาวกเบื้องซ้ายมีฤทธิ์มีเดชนะ มีฤทธิ์ได้เหาะเหินเดินฟ้าได้ พลิกแผ่นดินได้ทั้งนั้น แต่ปัญญาก็ไม่เท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปเห็นสิ่งใดมาก็รู้ก็เห็นนั่นแหละ ก็ไปถาม “มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ” “ก็มันเป็น เธอก็เห็นอยู่ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ

เวลามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมันมหัศจรรย์นะ มหัศจรรย์เพราะอะไรเพราะมันสิ้นกิเลสไง เวลาสิ้นกิเลสไม่มีความลังเลสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีความลังเลสงสัยแล้วพระโมค-คัลลานะถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไม อ้าวก็ปัญญามันไม่เท่ากันไง ไม่ได้สงสัย ไม่ได้สงสัยในอริยสัจ ในสัจจะในความจริงของตน ไม่ได้สงสัยในบุคคล  คู่ในหัวใจของตน แต่อนาคตังสญาณ เห็นไหมมันมหัศจรรย์ขนาดไหน

คนสร้างบุญสร้างกุศลแล้วถ้าไปเกิดอย่างนั้นหรือ เทวดา อินทร์ พรหม แค่ระงับความโกรธก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดา แค่มีศรัทธาความเชื่อก็ไปเกิดเป็นเทวดาเพราะเขามีศรัทธามีความเชื่อของเขา เขาอบรมบ่มเพาะหัวใจของเขาเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่ไอ้เรามันมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากไง อกุศลมันเที่ยววิเคราะห์วิจารณ์

เวลา เห็นไหม เวลาทำอนันตริยกรรม ทำอนันตริยกรรมๆ ถ้าทำอนันตริยกรรม กรรมมันฝังในหัวใจนั้นมากมายมหาศาล ถ้าอนันตริยกรรม กรรมมันรุนแรงเวลากรรมมันรุนแรงขึ้นมา สิ่งที่มันอยู่ในหัวใจอันนั้นมันครอบงำหัวใจดวงนั้น ถ้ามันครอบงำหัวใจดวงนั้นมันก็เชื่อในความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้นไปไง มันไม่เห็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในข้อเท็จจริงนั้น มันก็มีความทุกข์ความยากในหัวใจดวงนั้น ถ้าหัวใจดวงนั้นมันทุกข์มันยากของมันขึ้นมา กิเลสมันครอบงำไง

แต่ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริง บุคคล  คู่ ถ้าบุคคล  คู่ขึ้นมา ตั้งแต่ปุถุชนคนหนา ปุถุชนคนหนามันต้องทำความสงบของใจเข้ามาๆ ถ้าใจสงบระงับเข้ามาถ้ามันทำของมันได้กัลยาณชน เพราะทำสมาธิได้ มันมีมาตรฐานของมัน

แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันไม่มีสัจจะไม่มีความจริงอะไรขึ้นมา มันก็เหลวไหลทั้งสิ้น ถ้าเหลวไหลทั้งสิ้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ฤาษีชีไพรก็มีการประพฤติปฏิบัติของเขาอยู่แล้ว อภิญญา การระลึกชาติได้ ๓๐ ชาติ ๔๐ ชาติ มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาผู้ที่เขาเป็นนักบวชอยู่แล้ว

แต่ในปัจจุบันนี้เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อว่ามีอดีตชาติ เราไม่เชื่อนะ เราเชื่อแต่ภพชาตินี้เท่านั้น มันเป็นวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งใดที่มันรับรู้ไม่ได้โดยญาณของตนรับรู้ไม่ได้ แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เพราะสมัยพุทธกาลวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญนะ การเหาะเหินเดินฟ้าจริงๆ มันก็เป็นของจริง แต่แต่มันก็มีเจ้าลัทธิต่างๆเล่นแร่แปรธาตุเหมือนกัน คน คนเหมือนกัน มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากเหมือนกัน มีความมืดบอดในใจเหมือนกัน แล้วเวลาไม่มีอำนาจวาสนาก็เชื่อแบบนั้นว่ามันเป็นคุณวิเศษ มันเป็นความมหัศจรรย์

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ แล้วไม่เชื่อ ไม่เชื่อ เขาจะส่งเสริมขนาดไหนไม่เชื่อทั้งนั้น ไม่เชื่อเพราะอะไร ไม่เชื่อเพราะได้สร้างอำนาจวาสนามาไง เป็นพระโพธิสัตว์ๆ เวลาเกิดที่ลุมพินี เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” เกิดมาเป็นทารก เกิดมาเป็นราชกุมารยังเด็กๆ อยู่ เดินได้ ก้าว เปล่งวาจาเลยว่า “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” อันนี้มันเป็นการยืนยันถึงอำนาจวาสนาไง มันเป็นการยืนยันว่าได้สร้างบุญกุศลมา เห็นไหม บารมีเต็มไง

ขนาดบารมีเต็ม เวลาออกบวชออกประพฤติปฏิบัติอีก  ปี สมบุกสมบันกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนขนาดไหน ท่านสมบุกสมบันกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของตน เห็นไหม อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาครอบครัวของมารในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้น หมดสิ้นจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสวยวิมุตติสุขๆ ไม่มีสิ่งใดให้เป็นข้อสงสัยใดๆ ในหัวใจทั้งสิ้น อนาคตังสญาณจบกระบวนการเลย

นี่พูดถึงความสุขนะ ความสุขตามข้อเท็จจริง เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาเราพูดถึง เห็นไหม พูดถึงเวลาแสดงธรรมๆ นี่นิพพานนิพพานมันคืออะไร นิพพานมันก็เหมือนกับเวลาบนอากาศ เมฆหมอกมันบังมืดมิดไปหมด เวลาเมฆหมอกมันผ่านไป เมฆหมอกมันเคลื่อนไป พระอาทิตย์สว่างไสวไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากก็คือเมฆหมอกไง มันปิดบังดวงอาทิตย์นั้นไว้ไงนี่มืดจนไม่มีพลังงานไม่มีแสงอะไรถึงโลกนี้ไง เวลาเมฆหมอกมันจางไป โอพระอาทิตย์นี้แจ่มใส นั่นเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาสวักขยญาณในใจขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เวลาเทศนาว่าการขึ้นมา เห็นไหม เปรียบเทียบไง นี่เปรียบเทียบขึ้นมาจากอะไร จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นสัจจะเป็นความจริง ธรรมและวินัยแสดงไว้อย่างนั้นว่าเวลานิพพานๆ มันก็เหมือนเวลาเมฆหมอก เมฆหมอกมันคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลามันเคลื่อนตัวของมันไป เวลาเมฆหมอกมันเคลื่อนไปแล้วพระอาทิตย์แจ่มใส มันแจ่มใสเพราะอะไร มันแจ่มใสเพราะว่าอาสวักขยญาณในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

เวลาเทศนาว่าการมา ธัมมจักฯ ไง เทฺวเม ภิกฺขเว ทาง  ส่วนที่ไม่ควรเสพทาง  ส่วนที่ไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค การทำตนให้ลำบากเปล่า  ปีที่ไปประพฤติปฏิบัติของเขามา เวลาทำทุกรกิริยา เห็นไหมพยายามทรมานกิเลสว่าเป็นกิเลสๆ มันไม่มี เวลาอดกลั้น อดอาหารก็ ๔๙ วันกลั้นลมหายใจจะค้นหา หากิเลส หาไม่เจอ หาไม่มี

ถึงสุดท้ายแล้ว เราก็ประพฤติปฏิบัติเข้ามาเต็มที่แล้ว เวลาทรมานหัวใจ เห็นไหม ที่พวกฤาษีชีไพรที่เขาทำของเขาแล้วนี่ระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ ๕๐ ชาติเวลาระลึกได้เป็น ๑๐๐ ชาติ ,๐๐๐ ชาติ นั่นมันก็เป็นฤทธิ์เป็นเดชเป็นอภิญญาทั้งสิ้น มันไม่เข้าสู่อริยสัจใดๆ ทั้งสิ้น เวลาไปศึกษาค้นคว้ามากับเขาแล้วไง เราศึกษาแล้วมันไม่มีสิ่งใดเป็นสัจจะเป็นความจริง การทำทุกรกิริยาขนาดไหน มันก็ไม่เป็นสัจจะไม่เป็นความจริงขึ้นมา เวลากิเลส กิเลสมันอยู่ที่หัวใจๆ ไง

เราจะประพฤติปฏิบัติของเราเอง กำหนดอานาปานสติ ทำความสงบใจเข้ามาๆ เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ นั่นอดีต อนาคตมันก็ใช้ไม่ได้ เวลาถ้ามันจะเป็นปัจจุบัน มันจะเป็นปัจจุบันอย่างไร เวลาอาสวักขยญาณทำลายอวิชชา นี่ เห็นไหม อวิชชาอย่างไร อวิชชา เทฺวเม ภิกฺขเว ทาง  ส่วนที่ไม่ควรเสพ นี่อดีต อนาคต ระลึกชาติ ๔๐ ชาติ อนาคตได้กี่ร้อยชาติกี่พันชาติ มันก็ระลึกได้ของมัน ถ้ามันมีสัมมาสมาธิ มีกำลังในหัวใจของตนที่จะเป็นความจริงได้แต่ไม่มีอำนาจวาสนาขึ้นมาจนเข้าสู่ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ดำริชอบงานชอบ เพียรชอบ

เวลาเข้าสู่มรรคๆ เข้าสู่ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากพุทธะ ปัญญาที่เกิดจากหัวใจของตนไง ภาวนามยปัญญาที่จะมาเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นที่ในหัวใจดวงนี้ไง ถ้าเกิดขึ้นที่ในหัวใจดวงนี้ สิ่งที่ว่าทางสายกลางๆ แล้วกลางอย่างไร แล้วจะเข้าอย่างไรเข้าสู่ทางสายกลางไง มันเข้าสู่ทางสายกลางไม่เป็น เข้าสู่ทางสายกลางไม่ได้ ฉะนั้น เวลาเข้าสู่ทางสายกลางได้โดยสัจจะโดยความจริง โดยธรรมจักรนั้น เวลาเมฆหมอก เวลามันปิดมันบังขึ้นมา นี่ปิดบังดวงอาทิตย์ ปิดบังหัวใจของตน เพราะดวงอาทิตย์มันก็มี เมฆหมอกมันก็มี

นี่ในปุถุชนคนหนาเกิดมามันก็มีเวรมีกรรมในหัวใจทั้งสิ้น มันก็มีเมฆมีหมอกมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากปกคลุมหัวใจของตน แล้วมันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา บุคคล  คู่อาสวักขยญาณทำลายหัวใจกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน เนี่ยพระอาทิตย์แวววาว เวลาเป็นสัจจะเป็นความจริงในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในหัวใจของครูบาอาจารย์ของเรา ท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของท่าน ท่านมีเหตุมีผลของท่าน

แล้วเวลา เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านอบรมบ่มเพาะแหวกจอกแหนๆแหวกจอกแหนก็ใช่ เวลาจอกแหนๆ จอกแหนมันเกิดมาได้อย่างไร

เวลาของเรา เวลาคนมีความสุข คนประสบความสำเร็จในชีวิตมันก็มีความสุขไปทั้งสิ้น แล้วความสุขมันมาจากไหน มาจากอำนาจวาสนาของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น นี่ความสุขๆ นี่ไง เวลามันเกิดความทุกข์ล่ะ ความทุกข์ความยากขึ้นมา เวลาทำสิ่งใดแล้วมันบีบมันคั้นในหัวใจของตน มีแต่ความทุกข์ความยากทั้งสิ้น มันไม่มีความสุขเลย แล้วความสุขความทุกข์มันเกิดจากไหน มันก็เกิดกับชีวิตของตนนั่นไง

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาครูบาอาจารย์เปรียบเทียบ เห็นไหม กิเลสมันเหมือนจอกแหนๆ เวลามันมีจอกมีแหนขึ้นมา เห็นไหม ถ้าเราฝึกหัดขึ้นมานี่จอกแหนมันปกคลุมหัวใจเรามากมายมหาศาล เราจะหาสัจจะหาความจริงมาจากไหน ถ้าเราเกิดทางโลก ทาน ศีล ภาวนา ใครมีอำนาจวาสนาก็ทำบุญกุศลของตน สร้างคุณงามความดีของตน ถ้าสร้างคุณงามความดีของตนมันก็ประสบความสำเร็จในชีวิต

ชีวิตนี้การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายขึ้นมา ถ้าเรามีอำนาจวาสนาขึ้นมา เราก็พยายามจะหาสัจจะหาความจริงในชีวิตนี้ เราเกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา สิ่งที่มีคุณค่าคือชีวิตของตนไง ชีวิตของตนถ้าเราใช้ชีวิตแบบฆราวาส เราใช้ชีวิตแบบทางโลก เราก็ต้องแสวงหา หาปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีพ หาสิ่งใดเพื่อประสบความสำเร็จในชีวิต กิเลสตัณหาความทะยานอยากจะมีมากน้อยขนาดไหนมันก็คอยกระตุ้น คอยบังคับบัญชา คอยหลอกใช้ให้เราแสวงหามาเพื่อบำรุงบำเรอมัน แล้วมันก็อ่อยเหยื่อให้มีความสุขๆนี่คนที่มีวาสนาทางโลกไง

แต่ถ้าเรามีอำนาจวาสนาขึ้นมา เห็นไหม เราประสบความสำเร็จในชีวิต ในทางโลกเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา สิ่งที่มีคุณค่าคือธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตนี้เกิดตาย เกิดตาย เกิดตายไม่มีต้นไม่มีปลาย แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ภัทรกัป องค์ พระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้ข้างหน้า ธรรมะกว่าจะเกิด

กว่าจะเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แต่ละภพ แต่ละชาติ มันมีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน ถ้ามีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน เราก็สร้างบุญกุศลของเรา ทำคุณงามความดีของเรา ถ้าทำคุณงามความดีของเรา เราอยากจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติไง แหวกจอกแหนๆ ถ้ามันแหวกจอกแหนๆ เวลามันเห็นสัจจะเป็นความจริง จอกแหน ที่ไหนมีจอกมีแหนที่นั่นต้องมีแหล่งน้ำ ถ้าแหล่งน้ำสิ่งที่มีชีวิตไง ต้องมีจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีกายกับใจๆ นี่ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ ก็รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่หัวใจดวงนี้ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าไม่มีกำมือในเรา แบตลอดไง รอแต่ผู้ที่มีสัจจะมีความจริงขึ้นมาจะมาพิสูจน์สัจจะความจริง แสวงหาสัจจะความจริง แล้วแสวงหาสัจจะความจริง ก็แสวงหาได้ที่หัวใจของตน การประพฤติปฏิบัติมันจะพยายามเข้าสู่หาใจของตน แล้วใจของตนอยู่ไหนล่ะ เราก็โลเล เราก็ไม่แน่ใจ เราก็รวนเรตลอดเวลา ทำสิ่งใดก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาไง

เราถึงยืนยันว่าแหวกจอกแหน แหวกจอกแหน แหวกจอกแหนมันก็เจอน้ำมันก็เห็นน้ำ แหวกจอกแหนมันมีน้ำใสๆ ไง ดูจอกแหนสิ เวลาน้ำท่วม เห็นไหมมันพัดพามา เห็นไหม ผักตบชวา จนไปไม่ได้เลย แน่นไปหมดตามลำคลอง ตามทางคมนาคม เรือไปไม่ได้ ติดหมดล่ะ แหวกจอกแหน เวลาแหวกแล้วมันก็มีน้ำนั่นแหละ

นี่ก็เหมือนกัน แหวกจอกแหนๆ ถ้ามันเห็นน้ำของมัน ถ้าเห็นน้ำขึ้นมามันก็มีความสุขในชีวิตของเรานี่ไง สัมมาสมาธินี่ถ้ามันมีสัจจะมีความจริง กายกับใจๆ ก็จอกแหนกับน้ำนั่นไง ถ้ามันเห็นน้ำเห็นท่าของมัน แล้วมีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหนที่จะทำลายจอกแหนนั้น ถ้าทำลายจอกแหนนั้นเป็นบุคคล  คู่ คู่ที่  คู่ที่  คู่ที่  คู่ที่  ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงไง

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงมันมีสัจจะมีความจริงของมันอยู่แล้ว แล้วแสดงธรรมๆ เห็นไหม เป็นธรรมและวินัยให้เราได้ศึกษา ให้เราได้ค้นคว้า ถ้าศึกษาค้นคว้า ถ้าเอาความจริงขึ้นมามันจะเป็นความจริงของเราขึ้นมาในหัวใจของตน ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจของตนมันพูดเหมือนกัน

ปริยัติ คนที่เขาเรียนปริยัติ เขาก็เรียนปริยัติของเขา เวลาปริยัติเขามีการศึกษา เขาจบ  ประโยคต่างๆ เขารู้ของเขาหมดล่ะ แต่เขาทำสมาธิไม่เป็นจอกแหนก็คือจอกแหน น้ำก็คือน้ำ เป็นข้อเท็จจริงอยู่แล้ว นี่ข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงในสมมุติไง

แต่ความเป็นจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในใจพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเวลาท่านประพฤติปฏิบัติเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เวลาหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราที่ท่านประพฤติปฏิบัติเวลาสิ้นกิเลส โลกธาตุนี้ไหวเลย เวลาจะปฏิบัติเป็นสัจจะเป็นความเป็นจริง เป็นพระอรหันต์นะวิมุตติสุข ทำลายกามภพ รูปภพ อรูปภพ

เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามาแล้วถ้ามันเห็นกิเลสของมันไง เห็นจอกแหนไง แล้วถ้ามันจับของมันได้ไง พอจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงๆ เขาเห็นกิเลส

แต่คนที่ประพฤติปฏิบัติไม่เป็น มันไม่เห็นตามความเป็นจริงไง มันสมมุติแหวกจอกแหนๆ จอกแหนก็คือจอกแหน น้ำก็คือน้ำ ไอ้นี่มันเป็นธรรมาธิษฐานเป็นธรรมๆ เป็นธรรมขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เป็นธรรมๆ เพราะใจท่านเป็นธรรม ใจท่านเป็นธรรมเพราะท่านมีเหตุมีผลๆ ท่านก็เห็นสติปัฏฐาน  ตามความเป็นจริง

ถ้าเห็นนะ ถ้าท่านเปรียบเทียบ กิเลสเป็นจอกเป็นแหน ถ้ากิเลสเป็นจอกเป็นแหนแล้วจะทำลายมันอย่างไร เวลาทำลายแล้ว เวลาสมุจเฉทปหาน ขณะจิตคือนิโรธ ดับทุกข์ ถ้ามันดับทุกข์ ดั่งแขนขาดๆ คือกิเลสมันขาดไง ถ้าเห็นกิเลสตามความเป็นจริง กิเลสจริงๆ เวลาใช้สติใช้ปัญญาโดยสัจจะโดยความจริง เวลาโดยสัจจะโดยความจริง เวลาสมุจเฉทปหาน ขณะจิตคือนิโรธ มันดับทุกข์ แล้วมันดับทุกข์ ทุกข์คืออะไร

ทุกข์ ทุกข์คือตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัณหาความทะยานอยาก อยากได้อยากดีนะ อยากมีธรรมๆ แต่มันไม่มี อยากไง ไม่อยากมีกิเลส แต่มีกิเลส แล้วภวตัณหามันอยู่เฉยๆ เฉยๆ นั่นคืออวิชชา เพราะอะไร เพราะมันไม่รู้ ถ้ากิเลสมันเป็นสมมุติ ธรรมะก็เป็นสมมุติ มันเป็นสมมุติทั้งนั้น

แล้วสมมุติ เห็นไหม ดูสิ ดูฤๅษีชีไพรที่เขาประพฤติปฏิบัติ เขาเหาะเหินเดินฟ้า เขาระลึกชาติได้ ๔๐ ชาติ อนาคตได้ ๔๐ ชาติ แต่เขารู้อะไร เขายังทำอัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค ดีกว่าภิกษุ ดีกว่านักบวช ดีกว่านักปฏิบัติในกึ่งกลางพระพุทธ-ศาสนาที่ว่าตนเองฉลาด มีสติ มีปัญญา อีกมากมายมหาศาลเพราะเขายังมีข้อเท็จจริงในใจของเขา

ภพชาติก็ไม่เชื่อบุญบาปก็ไม่เชื่อ!

ถ้าเชื่อมันจะย้อนกลับมา นี่ไง แล้วเวลาถ้ามันพิจารณาของมันไง แหวกจอกแหนๆ ถ้ามันจับจอกแหนของมันได้แล้วมันพิจารณาของมันได้ ถ้ามันทำลายจอกแหน เห็นไหม เวลาสมุจ-เฉทปหานเวลามันขาด เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอีก  ชาติ มันเกี่ยวพันกัน นี่ผลของวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพนี่ผลของวัฏฏะ สิ่งที่จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเป็นสัจจะเป็นความจริงของมันอยู่อย่างนั้น เพียงแต่ว่า เพียงแต่จิตของตน จิตของปุถุชนคนหนาทำบุญกุศลขึ้นมาก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติไป เวลากิเลสมันขาดๆ กิเลสมันขาดกับปุถุชนคนหนามันไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยหรือ

ฤาษีชีไพรที่เขาปฏิบัติไม่เป็น เขาระลึกอดีตชาติได้ อนาคตอีก ๔๐ ชาติได้แต่เขาก็ทำลายอวิชชา ทำลายจอกแหนในใจของเขาไม่เป็น ทำลายจอกแหนของเขาไม่ได้ ถ้าเขาทำลายจอกแหนของเขาไม่ได้ เขาก็ไม่มีเกี่ยวพันกับวัฏฏะ

ถ้ามันเกี่ยวพันกับวัฏฏะ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาโลกธาตุนี้ไหวหมดเลย เพราะมันจบสิ้นวัฏฏะที่ภวาสวะ ที่ภพ ที่จิต ถ้าจิตมันมีเหตุมีผลของมัน มีการกระทำของมัน มันเป็นขั้นเป็นตอนของมันขึ้นไป ถ้ามันเป็นขั้นเป็นตอนของมันขึ้นไป มันก็เป็นข้อเท็จจริงไง

แต่คนที่ปฏิบัติไม่เป็นไง “นั่นก็กิเลส นี่ก็กิเลสนะ นั่นก็จอกแหน แหวกจนไม่มีจอกไม่มีแหน” แหวกไปเถอะ แหวกไปจนตาย มันมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะมันสมมุติว่าจอกแหนเป็นกิเลสไง จอกแหนๆ ขึ้นมาเขาเอาไว้เป็นอาหารสัตว์ มันก็เป็นจอกเป็นแหนของมันอยู่อย่างนั้น

แต่คนที่เขาเห็นกิเลส เขาเห็นกิเลสเขาเปรียบเทียบไง นี่ธรรมาธิษฐานไง นี่ไงเมฆหมอกๆ ที่มันปิดบังดวงอาทิตย์ แล้วไอ้พวกกิเลสสมมุติ สมมุติว่าเป็นกิเลสไงมันก็ว่าเมฆหมอกนั้นมันเป็นกิเลส เวลาเมฆหมอกมันกระจายตัวไปแล้วพระอาทิตย์ก็แวววาว มันก็ผ่องใส ไปสมมุติว่าเมฆ เมฆมันเป็นกิเลส ทำฝนเทียมนี่เขารอเมฆนะ เลี้ยงให้มันอ้วนๆ ใช้สารเคมีเลี้ยงให้มันอ้วนๆ แล้วให้สันดาป ให้มันมีน้ำหนัก แล้วให้ตกเป็นเม็ดฝน เขายังทำประโยชน์

มันเป็นธรรมาธิษฐาน มันเป็นสัจจะเป็นความจริงของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติได้จริง แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติได้จริง องค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ในพระไตรปิฎก มีไอ้พวกกิเลสสมมุติๆ สมมุติว่าธรรมนะ กิเลสสมมุติมันก็ได้ธรรมะสมมุติไง นี่จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าว่าเป็นพระอรหันต์นะ พระพุทธเจ้าบอกให้พระอานนท์บอก “อย่าให้มันเข้ามา ให้เข้าไปเที่ยวป่าช้าก่อน

เพราะในหมู่บ้านสมัยโบราณเขาจะมีที่ทิ้งศพของหมู่บ้านนั้น เพราะมันมีคนเกิดคนตายอยู่แล้ว แล้วประเพณีของเขา เขาไม่เผาใดๆ ทั้งสิ้น เขาไปทิ้งไว้ ก็ให้พระอรหันต์เข้าไปพิสูจน์ตัวเองก่อน พอไปถึงนี่เห็นความสั่นไหวของใจนี่จบเลย รู้ด้วยตัวเอง นี่เพราะอะไร เพราะมันสมมุติไง กิเลสสมมุติมันไม่มีข้อเท็จจริง

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเหตุมีผลมีการกระทำ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชา เจ้าวัฏจักร ลูกสาวมันกามภพ รูปภพ อรูปภพ ลูกสาวของมัน เห็นไหม นางตัณหา นางอรดี ความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วออกไปมันเป็นลูกของมัน เป็นหลานของมัน หลานของมัน เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติเห็นไหม สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แล้วเวลามันขาด นิโรธมันดับไปเลย ขาดไปจากหัวใจ ดั่งแขนขาด

ความรู้ความเห็นนะ เพราะความรู้ความเห็นเพราะมนุษย์ปุถุชนคนหนา ไม่มีต้นไม่มีปลาย การเวียนว่ายของตนไม่มีต้นไม่มีปลายทั้งสิ้น แล้วเวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันก็มีบุญและบาป นี่จิตตคหบดีได้ไปเกิดบนสวรรค์ เทวทัตลงนรกอเวจีเพราะอะไร เพราะทำกรรมของตนไว้ไง เพราะการกระทำกรรมของตนมันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันไม่มีต้นไม่มีปลาย จนถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าจะแหวกจอกแหนๆ มันก็ต้องแหวกจอกแหน จนเข้าใจว่าจอกแหนเกิดจากน้ำ

ความทุกข์ความยาก ความลำบากลำบนของเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยากบีบคั้นขึ้นมานั่นคือจอกแหน แล้วมันบีบคั้นใคร เพราะจอกแหนมันเกิดบนน้ำไง แล้วถ้ามันเห็นน้ำ มั่นใจในน้ำนั้น น้ำนั้นมีอำนาจวาสนาขึ้นมา น้ำนั้นพลิกแพลงขึ้นมา จะทำลายจอกแหน แล้วทำลายอย่างไร

แล้วเวลามันทำลายแล้ว สมุจเฉทปหาน มันขาด นิโรธ เขาวัดกันตรงนั้น ถ้ามันดับทุกข์ แล้วดับทุกข์แล้วนี่อกุปปธรรม พระโสดาบันเกิดอีก  ชาติ สกิทาคามี อีกชาติเดียว เวลาพิจารณาจอกแหนๆ พิจารณาไปแล้ว เห็นไหม กามราคะปฏิฆะ เวลามันขาด มันกังวานกลางหัวใจ ไม่เกิดแล้วบนกามภพ เวลาจะเกิดก็ไปเกิดบนพรหมไง พรหม  ชั้น แล้วพรหม  ชั้นอีก ๘๐,๐๐๐ ปี

ครูบาอาจารย์ท่านถึงบอก “มันเสียเวลา” หลวงตาพระ-มหาบัวท่านไปเสียดอกนั่นน่ะ เวลาท่านเห็นของท่านแล้ว เวลา เห็นไหม โลกนี้ว่างหมด จิตมันมหัศจรรย์ทะลุปรุโปร่งหมด ธรรมมันเกิดไง สิ่งที่สว่างไสวนั้นเกิดจากจุดและต่อมเวลาจุดและต่อมแล้ว แล้วเวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา มันก็โรคเสียดอกขึ้นมาแล้วเวลาโรคเสียดอกเขาตายกันหมด ไอ้นี่มันก็บีบคั้นเข้ามาๆ “ไม่อยากตาย ไม่อยากตาย” ถ้าตาย เห็นไหม เกิดบนพรหม รู้

ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันมีมาตรฐาน มันมีบุคคล  คู่มรรค  ผล  มรรค  ผล  มันต้องมีเหตุมีผลของมัน ไม่ใช่กิเลสสมมุติ ตัวเองสมมุติขึ้นมาแล้วไม่มีสัจจะไม่มีความจริงในหัวใจใดๆ ทั้งสิ้น กิเลสสมมุติ ธรรมก็สมมุติ แล้วธรรมสมมุติมันไม่มีผล ไม่มีสมุจเฉทปหาน สังโยชน์ไม่ได้ขาดออกไป

สังโยชน์ ๑๐ เวลากามภพ อรูปภพ เห็นไหม กามราคะ ปฏิฆะ เวลามันขาดว่างหมดๆ มันว่างอย่างไร แล้วเวลาธรรมมาเตือน เห็นไหม สว่างไสวขนาดไหนมันจะมีไง มันเกิดจากจุดและต่อม แล้วจุดและต่อมมันคืออะไร ท่านถึงเทศนาว่าการไง ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ ผมสำเร็จวันนั้นเลย เพราะหลวงปู่มั่นจะชี้ทันทีเลยแล้วท่านเชื่อมั่นของท่านไง

เวลาศึกษามาค้นคว้ามา ศึกษาค้นคว้ามาแล้ว ศึกษาจนเป็นมหา เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา “ถ้ามันไม่มีล่ะ” ได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์ กิตติคุณมาตั้งแต่เด็กๆ ฉะนั้น เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมาก็ต้องหาบุคคลที่มีคุณธรรม บุคคลที่มีสัจจะมีความจริง ถ้าไม่มีสัจจะไม่มีความจริงทำไมสังคมเขายอมรับ ทำไมนักปฏิบัติทั้งสิ้นทำไมยอมรับความเป็นหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนั้น ท่านถึงไปหาไงมหา มหามาหาอะไร” “ถ้าจะหานิพพาน นิพพานอยู่ที่ไหน

นิพพาน เห็นไหม จอกแหน จอกแหนกับน้ำ น้ำเป็นอย่างไร แล้วมันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาตรงไหน อบรมบ่มเพาะเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา ท่านก็ทำของท่านขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา ไอ้ความที่ทำขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมานั่นน่ะเป็นข้อเท็จจริง ในเมื่อข้อเท็จจริง ผู้ชี้กับผู้กระทำ อาจารย์กับศิษย์มันมีเหตุมีผลไง มันมีข้อเท็จจริงไง มันลง หัวใจลงหมด ถ้าหัวใจมันเคารพบูชา มันเป็นธรรมขึ้นมา แค่สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสก็จบแล้ว

ใจที่เป็นธรรมจะไม่มีการเนรคุณ ไม่มีการย้อนศร ไม่มีการแทงข้างหลัง ไม่มีธรรมมันเป็นธรรม ไอ้นี่มันไม่มี

นี่ไง เวลาท่านไปหาหลวงปู่มั่นไง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนกามราคะปฏิฆะ นี่สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สังโยชน์  ขาดไป พอขาดขึ้นไปนะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา สังโยชน์อย่างละเอียด เวลามันขาด ว่างหมด ว่างหมดเพราะอะไร ว่างหมดเพราะไม่เกิดกามภพแน่นอนอยู่แล้ว

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิมุตติสุขๆ มันทะลุปรุโปร่งหมด คนเราเกิดมา เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา แล้วถ้าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายล่ะ มันไม่มี ถ้ามีขึ้นมาก็มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกมาประพฤติปฏิบัติไง นี่เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายใช่ไหม ใช่คนเกิดมาต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายทั้งสิ้น ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายมันก็เป็นผลของวัฏฏะไง

ถ้าอยู่ในโลกนี้ทำบุญทำกุศล ทำบาปอกุศล มันก็เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดา แล้วไม่มีต้นไม่มีปลาย เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย บุพเพนิวาสานุสติญาณ จตูป-ปาตญาณ ไม่มีต้นไม่มีปลาย อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จบ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เพราะทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายหัวใจของตน ทำลายจิตเดิมแท้ทำลายสิ่งที่ว่าสว่างไสว ทำลายทั้งหมด

เวลามันสว่างไสวๆ สว่างไสวนี่ธรรมะมาเตือน คนที่มีบุญมีอำนาจวาสนา ธรรมเกิดๆ ธรรมมาเตือนเลย ไอ้สว่างไสว ไอ้ที่ว่ามันใช่ๆ นั่นน่ะ นี่ขนาดว่าทำลายกามภพ อรูปภพแล้วนะ ทำลายกามราคะ ปฏิฆะแล้ว สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะขาด สะเทือนหมด สะเทือนที่ไหน สะเทือนที่ภวาสวะ สะเทือนที่หัวใจ เวลามันทำลายไง สิ่งที่ทำลายแล้วมันสว่างไสว ธรรมะยังมาเตือน เตือนเสร็จแล้ว “ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ เราจะสำเร็จในวันนั้น” หลวงปู่มั่นท่านนิพานไปแล้ว ต้องค้นคว้าเอง แสวงหาเองไง

ฉะนั้น เวลาไป ไปเสียดอกจะสิ้นชีวิต “ไม่อยากตายๆ” รู้หมด คนที่จะประพฤติปฏิบัติถ้ามีมรรค  ผล  ในหัวใจ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันไม่ใช่คำร่ำลือมาจากไหน มันจะเป็นกังวานที่กลางหัวใจดวงนั้น ถ้าหัวใจดวงนั้นเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม แล้วเป็นสัจจะเป็นความจริง “ไม่อยากตายๆ” แล้วพยายามศึกษาค้นคว้าของตนเอาเป็นความจริง เวลามันมีมัธยัสถ์ขึ้นมามันท่ามกลางหัวใจ มันทำลายรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา จบถ้าจบแล้ว จบแล้วกราบหลวงปู่มั่น กราบแล้วกราบเล่าๆ กราบแล้วกราบเล่าเพราะความมาตรฐานอันเดียวกัน ถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมาในหัวใจของตนมันไม่ใช่กิเลสสมมุติไง

มันสมมุติเอานะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้า เมฆหมอกมันบังดวงอาทิตย์ พอเมฆหมอกมันผ่านไปแล้ว เมฆหมอกมันเป็นกิเลส แหวกจอกแหนๆ จอกแหนเป็นกิเลส แหวกแล้วมันรู้เอง มันเห็นเอง มันเอามาจากไหน มันสมมุติไง กิเลสสมมุติไม่ใช่กิเลสตามความเป็นจริง ถ้ากิเลสตัวจริงๆ เห็นไหม มันก็ได้ผลตามความเป็นจริงขึ้นมา ถ้ากิเลสสมมุติก็สมมุติว่ากิเลส เพราะอะไร เพราะคนอ่อนด้อย คนอ่อนด้อยคนไม่มีวาสนา

แต่เทวทัตเกิดร่วมสหชาติกับองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า เกิดเป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกันแท้ๆ เวลาด้วยเวรด้วยกรรมของสัตว์ เวลาจะยึดจะครอง จะมีอำนาจ จะปกครองสงฆ์ เทวทัต แม้แต่พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา คือพระอรหันต์ คือพระอรหันต์  คือมีสติมีปัญญา  กับปุถุชนมันแตกต่างกัน ปุถุชนได้ฌานโลกีย์แปลงร่างเป็นอันนั้นได้

ในสมัยพุทธกาลแม้แต่ฤๅษีชีไพรเขาก็ทำของเขาได้ เทวทัตก็ทำได้ แต่มันไม่เข้าสู่มรรค ถ้ามันไม่เข้าสู่มรรค มันไม่มีวาสนา แล้วไม่เข้าสู่มรรคแล้วออกนอกลู่นอกทางไปหมดเลย ออกนอกลู่นอกทางเพราะอยากปกครองสงฆ์ อยากมีอำนาจแล้วอยากปกครองสงฆ์ อำนาจมันคืออะไร พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะควรมีอำนาจไหม นั่นอำนาจโดยธรรมด้วย แต่องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าไงอำนาจมันก็แค่อายุขัย เวลาตายไปแล้วอำนาจจะฝากไว้กับใคร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ไม่ให้ใครปกครองทั้งสิ้น ให้สงฆ์ที่มีคุณธรรม ให้สงฆ์ที่เป็นสงฆ์ให้ปกครองคุ้มครองดูแล” แล้วเวลากึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง หนหนึ่งเพราะว่าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมาประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านก็มีอำนาจวาสนาของท่าน เวลาท่านขนาดมีอำนาจวาสนาขนาดไหน เวลาจะออกปฏิบัติยังจะต้องให้คนยืนยันเลย เวลาคนยืนยันขึ้นไปแล้ว เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้ว มันเป็นอย่างที่ท่านว่าไว้ทั้งสิ้น

เวลาประพฤติปฏิบัติไปนะ เวลาจิตมันเสื่อม เวลาจิตมันเสื่อมแล้วมันจะแก้อย่างไร นี่ท่านบอกว่าจิตมันเสื่อมใช่ไหม จิตมันเสื่อมมันก็เหมือนกับเด็กน้อยๆเหมือนกับเด็กน้อย จิตปุถุชนคนหนาเหมือนเด็กน้อยช่วยตัวเองไม่เป็น ช่วยตัวเองไม่ได้ เด็กน้อยมันต้องกินอาหารของมัน ก็กำหนดพุทโธๆ ไว้ นั่นคืออาหารของมัน ถ้ามันหิวมันกระหายเดี๋ยวมันกลับมากินของมันเอง

ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อ เราก็กำหนดพุทโธของเราไว้ เราใช้อานาปานสติของเราไว้ เราไม่ไปกับมัน มันจะไปเที่ยวเล่นขนาดไหน มันจะไปไหนเรื่องของมันไม่ไปกับมัน มันไปไหน ไปอะไร เพราะส่งออกไง จิตมันส่งมันออก จิตมันคิดไปร้อยแปดพันเก้า แล้วตัวมันเองก็ไม่รู้ นี่ถ้าจอกแหนๆ มันก็ไปเล่นบนจอกบนแหนนั้น ครึกครื้นอยู่บนนั้น ไอ้น้ำมันก็อยู่ใต้จอกแหนนั่นแหละ

เวลาพุทโธๆๆ ไป เวลามันหิวกระหายมันกลับมาเอง เห็นไหม มันก็เป็นสัมมาสมาธิ มันก็สุขสงบของมัน ยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ไหม แล้วถ้าไม่ได้ ไม่ได้ เอาจริงเอาจัง เวลามันเห็นเวทนาไง ถ้ามันเห็นเวทนามันจับต้องเวทนา มันก็พิจารณาเวทนาของมันไปไง เวลามันผ่านขั้นตอนของมัน เวลาขึ้นไปรายงานผล “เอ้อมันต้องอย่างนี้สิ มันต้องอย่างนี้สิ” เห็นไหม อีก  ชาติ

ถ้ามันเป็นธรรมนะ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย จะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่เกิดอย่างไร คนเราจะเกิดชาติเดียวใช่ไหม คนเราจะเกิดซ้ำเกิดซากเป็นอย่างนี้หรือ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นอินทร์ เป็นพรหมก็ได้ เกิดเป็นสัตว์นรกอเวจีก็ได้ แล้วผลของวัฏฏะมันไม่มีใช่ไหม ถ้าเป็นมนุษย์ก็มนุสสเทโว มนุสสติ-รัจฉาโนจะเป็นเทวดาก็มนุษย์นี่ไง ไอ้นี่สมมุติเทพ ไอ้เวลาสมมุติเขาสมมุติว่าคนที่ดีงามคนที่ประเสริฐนะ เขาให้สมมุติเทพเลย

เวลาคนที่มันเลวมันทรามขึ้นมา มนุษย์สัตว์เดรัจฉานเลย ก็มนุษย์มันเป็นแล้วสัตว์เดรัจฉานมีไหม เวลาสัตว์เดรัจฉานมันก็อำนาจของสัตว์ สัตว์เดรัจฉานนิสัยดีก็มี นิสัยชั่วก็มี เวลาไปเกิดเทวดา อินทร์ พรหม ไม่มีเพราะอะไร เพราะมันไม่เข้าถึงกามภพ รูปภพ อรูปภพไง มันไม่เข้าสู่ธรรมไง ถ้าเข้าสู่ธรรม  ชาติทำไมจะไม่รู้ แค่โสดาบัน จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการขึ้นมา เทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์สำเร็จเป็นแสนเป็นล้าน นั่นคือใคร ไม่มีไม่มีเพราะอะไร ไม่มีเพราะมันสมมุติเอาไง

สมมุตินี่คือโลก สมมุติบัญญัติ สมมุติคือเรื่องทางวิทยาศาสตร์เรื่องทางโลกมันพิสูจน์เรื่องจิตวิญญาณไม่ได้ แล้วมันพิสูจน์เรื่องจิตวิญญาณไม่ได้ แล้วพิสูจน์อย่างไรแล้วเวลาพุทธศาสตร์ เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” ทำไมยืนยันล่ะ แล้วเทศนาว่าการปัญจวัคคีย์จนเป็นโสดาบันทั้งหมด เทศน์อนัตตลักขณสูตรเป็นพระอรหันต์หมดเลย แล้วเป็นพระอรหันต์เป็นอย่างไร

ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงในหัวใจไง แล้วถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วมันมีอะไรสงสัยบ้าง นี่กามภพ รูปภพ มีอะไรสงสัย เทวดา อินทร์ พรหมนี่ไม่มี แล้วนรกอเวจีมีหรือเปล่า ถ้ามีหรือไม่มี เทวทัตตกนรกอเวจีนั่นน่ะ เวลาอนันตริยกรรมเป็นอย่างไรเวลากรรมหนักกรรมเบาเป็นอย่างไร นี่มันรู้มันเห็นหมดล่ะ ถ้าไม่รู้ไม่เห็นมันจะมีคุณธรรมได้อย่างไร

มีคุณธรรมแล้วยังเข้าถึงหลักการในพระพุทธศาสนาไง พุทธศาสตร์ ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมานะ ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมามันเห็นตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่ให้กิเลสมันครอบงำ นี่กิเลสแล้วนะ กิเลสจริงๆ มันมีอยู่กับสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิต จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีคุณค่ามาก แล้วเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่างๆ มันก็มีเวรมีกรรมของมัน

เราเกิดเป็นมนุษย์ไง เราเกิดเป็นมนุษย์ เราก็มีอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ไม่รู้ในอะไร ไม่รู้ในตัวตนของตนนี่แหละ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามามากมายมหาศาลขนาดไหน นั่นน่ะวิทยาศาสตร์ เพราะทางวิชาการทางศึกษาทฤษฎี ทฤษฎีแล้วก็วิเคราะห์วิจัยขึ้นมา มันก็เลยเป็นสมมุติหมดเลยเพราะการวิเคราะห์วิจัยก็เหมือนเปรียบเทียบไง

นี่ไง ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบถามว่านิพพานมันคืออะไรไง นิพพาน เห็นไหม มันก็เหมือนกับก้อนเมฆ เวลามันเคลื่อนตัวไป พระอาทิตย์ก็สว่างไสว ก็เลยก้อนเมฆเป็นกิเลสหรือ ก้อนเมฆก็ธรรมชาติของมันไง แล้วกิเลสในใจตนเห็นหรือเปล่าล่ะ แล้วเวลาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงเห็นอย่างไร เห็นเป็นหรือเปล่า จิตเห็นอาการของจิต เวลามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาไง

แหวกจอกแหนๆ จอกแหนอยู่ไหน ก็ไปสมมุติว่าจอกแหนเป็นกิเลสอีกจอกแหนก็เป็นจอกแหน จอกแหนมันเป็นกิเลสได้อย่างไร จอกแหนมันเป็นพืชกิเลสมันอยู่ที่ใจ แล้วเปรียบเทียบอย่างไร นี่ไง ไปสมมุติมันว่าเป็นกิเลสไง แล้วกิเลสจริงๆ ดันไม่รู้ กิเลสจริงๆ กิเลสตัวจริงๆ กิเลสตัวเป็นๆ กิเลสที่มันครอบงำหัวใจไม่รู้ไม่เห็นมันอีก

แล้วยังอวดรู้นะ อวดรู้ “วางไว้หมดเลย มันวางหมดแล้ว ถ้าวางหมดมันก็เป็นธรรม เพราะธรรมมันมีอยู่โดยดั้งเดิม” ธรรมที่ไหนมันมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมมีอยู่โดยดั้งเดิมก็เป็นธรรมชาติ แล้วกิเลสเป็นธรรมชาติไหมแล้วจิตที่เวียนว่ายตายเกิดเป็นธรรมชาติไหมถ้าเป็นธรรมชาติทำไมคนเกิดมาแล้วสูงๆ ต่ำๆ ล่ะ ทำไมเกิดไม่เท่ากัน เกิดมามันก็มีเวรมีกรรมไง

ถ้ามันเป็นจริงๆ ถ้ามันเป็นจริง ถ้ามีอำนาจวาสนามันได้คิด มันคิดของมันถ้ามันคิดของมัน เราศึกษาค้นคว้าขึ้นมาให้มันมีสัจจะมีความจริง ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ใจสงบระงับแล้วไหม ทำสมาธิเป็นหรือเปล่า ถ้าทำสมาธิไม่เป็น แหวกจอกแหนๆ ก็ไม่เห็นน้ำไง ยืนยันว่าการแหวกจอกแหนมันแหวกจอกแหน ถ้าแหวกเป็นมันจะเห็นน้ำ เพราะมันต้องมีน้ำแน่นอนอยู่แล้ว

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธๆ ก็ไอ้ความทุกข์ความยากในหัวใจมันคือจอกแหน ไอ้ความลังเลสงสัยขึ้นมา ไอ้ความรำคาญ ไอ้ความที่ทำสิ่งใดแล้วไม่สมประโยชน์มันคือจอกแหนที่มันปกคลุมหัวใจนี้ไว้ แล้วเราฝึกหัดของเราๆ มันก็ต้องให้เห็นจอกแหนเห็นน้ำตามความเป็นจริง ถ้าเห็นน้ำตามความเป็นจริงตั้งตัวได้หรือไม่สมาธิเวลามันสงบระงับขึ้นมาแล้วเป็นอย่างไร แล้วเวลามันเสื่อมมันคลายไปล่ะสมาธิจะอยู่กับคนที่ประพฤติปฏิบัติไปตลอดหรือ มันเป็นไปไม่ได้หรอก

สมาธิเกิดจากจิตไม่ใช่จิต สมาธิก็เป็นอาการหนึ่งที่เราฝึกหัดให้มันเกิดขึ้นในหัวใจของตน แล้วถ้ามันเกิดขึ้นในหัวใจของตนมันมีความสุข เพราะเราแหวกจอกแหนออกได้ น้ำมันใสสะอาด น้ำมันเป็นข้อเท็จจริงของมันอยู่แล้ว คนเราเกิดมามีกายกับใจๆ แต่หาหัวใจของตนไม่เจอ ทั้งๆ ที่มันก็มีอยู่ แล้วมันก็แสดงตนของมันออกมาตลอดเวลา เพราะมันมีความรู้สึกๆ มันมีความโง่เขลาเบาปัญญามันเป็นขี้ข้าของกิเลส ให้กิเลสมันเหยียบย่ำ มันมีความรู้สึกอยู่แต่ไม่รู้จักมัน

ครูบาอาจารย์ของเราท่านอบรมบ่มเพาะ ท่านสั่งสอนไง ถ้ามีอำนาจวาสนานะ มีอำนาจวาสนาให้ฝึกหัดปฏิบัติ แล้วถ้าฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าคนที่มีวาสนา ถ้ามันเชื่อมั่นแล้วมันลง มันลงครูบาอาจารย์ ถ้ามันไม่ลงแสดงว่าไม่มีนิสัยต่อกัน

เวลาพระบวชใหม่ เวลาธุดงค์ไปเที่ยวไป ถ้าเห็นพระที่อาวุโสกว่าเราต้องขอนิสัย เพราะอะไร เพราะพระบวชใหม่ไม่พ้นนิสัย  พรรษานี้ ถ้าไปอยู่ที่ไหนไม่ขอนิสัย มันจะไม่ได้นิสัยไง อยู่คนเดียวไม่ได้ เวลาไปแล้วถ้ายังเห็นว่านิสัยไม่เข้ากันให้เก็บของหนีไปซะ การขอนิสัย ถ้ามันยังให้ดูแล ให้ดูว่าเข้ากันได้หรือเข้ากันไม่ได้ นี่พูดถึงว่าเวลาพระบวชใหม่ ฉะนั้น เวลาถ้ามันลงครูบาอาจารย์ เห็นไหม มันถึงขอนิสัย แล้วขอนิสัยแล้ว ขอนิสัยเพื่อให้คอยชี้แนะ คอยบอก คอยคุ้มครองดูแล ถ้าดูแลก็มาเพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติไง

เวลาปฏิบัติ เห็นไหม พระพุทธศาสนาๆ แก่นของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจทุกข์ เหตุที่เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีดับทุกข์ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ จิตของเราๆ เห็นไหม ถ้ามันเห็นสัจจะเห็นความเป็นจริง เห็นเป็นก้อนเมฆ เมฆหมอกที่มันปิดบังหัวใจ ถ้ามันเคลื่อนไป เคลื่อนไปอย่างไร แล้วเห็น เห็นอย่างไร เวลาถ้ามันเห็นตามความเป็นจริง เห็นกิเลสจริงๆ เวลามันเห็นกิเลสจริงตามความเป็นจริงขนลุกขนพองเลย

ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ไป ฝึกหัดใช้ปัญญาไป เวลาโดยทั่วไป เห็นไหมกึ่งกลางพระพุทธศาสนา หลวงตาพระมหาบัวท่านเป็นคนเทศนาว่าการเองว่าปัญญาอบรมสมาธิๆ” แต่โดยปัจจุบันนี้เวลาการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาเขาใช้ปัญญาของเขา เขาว่านั่นคือปัญญาในพระพุทธศาสนา นั่นคือโลกียปัญญาปัญญาของโลกๆ ปัญญาทางวิทยาศาสตร์ เพราะศึกษาธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ววิเคราะห์วิจัยธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าวาสนาของคน ปัญญาชนๆ ให้พุทโธๆ มันจำเจ ทำแล้วมันไม่ได้ผลของมันไง พุทธจริต จริตที่มีสติมีปัญญาเขาก็ตรึกในธรรมๆ ตรึกในธรรมคือใช้ปัญญาใคร่ครวญธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรึกในธรรมไม่ให้จิตมันออกไปสู่กำลังของกิเลสที่มันชักจูงไป ตรึกในธรรมๆ เพราะธรรมะมันมีเหตุมีผลของมันอยู่แล้ว ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา แล้วกิเลสมันกลัว มันก็กลัวเหตุกลัวผล กลัวข้อเท็จจริงนี่ไง

ถ้ากลัวข้อเท็จจริง เราใช้สติใช้ปัญญาใคร่ครวญไป มันเป็นการทำให้ใจสงบได้ เวลาใจสงบได้เพราะมันบังคับให้ใจอยู่ในเหตุในผล คือจัดการกระบวนความคิดของตนให้เข้าสู่สัจจะเข้าสู่ความจริง เข้าตามระบบแล้วมันมีเหตุมีผลมันก็หยุดได้ พอหยุดได้นั่นปัญญาอบรมสมาธิ นี่เขาเรียกโลกียปัญญา ไอ้ที่วิเคราะห์วิจัยหลับตาลืมตาอยู่น่ะ ถ้าเป็นข้อเท็จจริงนั่นล่ะปัญญา แล้วมันหยุดแล้วไง กิเลสสมมุติไง มันก็สมมุติไอ้นู่นอย่างนู้น สมมุติเป็นอย่างนี้ สมมุติตลอดเลย ธรรมะก็สมมุติ เพราะมันไม่สะเทือนวัฏฏะ

โสดาบันอีก  ชาติ สกิทาคามี อนาคามี อนาคามี ไม่เกิดกามภพแล้ว สิ้นกิเลส ลาวัฏฏะ ลาวัฏฏะจากภวาสวะ จากใจของตน ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิ-วาสานุสติญาณไม่มีต้นไม่มีปลาย ถ้าไม่ได้สำเร็จเป็นองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุญญาธิการมากมาย จุตูปปาตญาณยังไปต่อ แล้วจิตใจของสัตว์โลกเหมือนกันหมด

อาสวักขยญาณทำลายอวิชชา ทำลายเจ้าวัฏจักรในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย หมดสิทธิ์ ไม่มีการเกิดอีกแล้วไม่มีการเคลื่อนไหวไปไหนอีกแล้ว แล้วปัจจุบัน อนาคตังสญาณ ส่อง  โลกธาตุไม่มีสิ่งใดปิดบังได้เลย นั่นถึงเป็นความจริง แล้วไม่เกี่ยวกับวัฏฏะ ไม่เกี่ยวกับอะไรเลย

นี่ไง กิเลสสมมุติไง วิเคราะห์วิจัย โอ้โฮมันมีปัญญามาก

มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นโลกียะ มันเป็นเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ โดยการวิเคราะห์วิจัย เรื่องโลกๆ แล้วเป็นธรรมก็ธรรมสมมุติ สมมุติขึ้นมามันเลยไม่สะเทือนกิเลส ไม่สะเทือนหัวใจ เพราะทำสมาธิไม่เป็นไง เพราะหลับตาลืมตาอยู่นั่นไง วิเคราะห์วิจัยอยู่นั่นไง ไม่เป็น กิเลสสมมุติไง สมมุติว่าเป็นกิเลส ตั้งขึ้นมาเลย ไอ้นั่นเป็นกิเลส แต่ไม่รู้จักกิเลส “กิเลสเป็นนามธรรมจะรู้จักมันได้อย่างไร” เพราะกิเลสเป็นนามธรรมไง จิตนี้ก็เป็นนามธรรมไง

จิตตภาวนาทำความสงบของใจเป็น แหวกจอกแหนเห็นน้ำเป็น น้ำคือจิตจอกแหนคือกิเลส ถ้าไม่ได้ทำลายกิเลส ไม่ได้มีบุคคลคู่ที่  คู่ที่  คู่ที่  คู่ที่ มรรค  ผล  นิพพาน  ถ้าไม่มีมรรค  ผล  นิพพานมันมาจากไหน ธรรมะสมมุติเพราะกิเลสสมมุติ ไปสมมุติกิเลสกันขึ้นมา พอสมมุติกิเลสขึ้นมา มันไม่ได้ชำระล้างกิเลส มันก็เลยเป็นแค่จริตนิสัย มันเป็นแค่สันดานเดิมของตน แล้วสันดานเดิมอย่างไรก็อยู่อย่างนั้น

แต่เวลามันสะเทือนกิเลสนะ ดั่งแขนขาด เวลาชำระล้างกิเลสแต่ละชั้นแต่ละตอน โลกธาตุนี้ไหวหมด องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด โลกธาตุหวั่นไหวองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม โลกธาตุหวั่นไหว องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าปลงอายุสังขาร โลกธาตุหวั่นไหว องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าปรินิพพาน โลกนี้แทบปิดเลย ดวงตาของโลกดับแล้ว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีพอยู่ ใครจะมีเหตุการณ์อย่างใดจะไปทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น เขาเชื่อมั่น เขามั่นคงของเขาเพราะอะไร เพราะสายบุญสายกรรมไง เทวทัตอยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยชิดติดตัวไม่เชื่อไม่เชื่อแล้วยังปฏิวัติอีกต่างหากเพราะไม่ลงไง คำว่า “ไม่ลง” คือมันคัดมันค้านสันดานมันเข้ากันไม่ได้ ความเข้ากันไม่ได้ อวิชชาปิดหูปิดตาไง

แต่ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริง เวลาเป็นข้อเท็จจริง เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านอบรมบ่มเพาะไง ถ้ามันมืดที่ไหนก็เปิดไฟมันก็สว่างไง ถ้ามันมืดที่ไหน เปิดมันก็สว่าง

ฉะนั้น ถ้าเราได้วางหมดแล้วมันก็เป็นธรรมะไง ไปเปิดที่ไหน เปิดสมัยไหนเปิดสมัยปัจจุบันนี้ก็เปิดไฟปิดไฟใช่ไหม แล้วถ้าเปิดสมัยพุทธกาลล่ะ มันมีไฟให้เปิดไหม มันต้องจุดไฟ แล้วจุดไฟมันมียิงแก๊สยิงสะเก็ดไฟติดไหม ไม่มีหรอก ปั่นครับ ปั่น ไม้สีสีไง มันจะจุดที่ไหน ที่ไหนถ้าเปิดไฟมันก็สว่างไง มันก็ชัดเจนไง เห็นแจ่มแจ้งไง ละกิเลสไง ถ้ามันมืดมันบอดก็คือกิเลสไง

ตอนนี้กลางคืนกิเลสหมดเลย พรุ่งนี้เช้าสว่างไสว มันสมมุติ ถ้ามันมีกิเลสจริงๆ กิเลสอย่างไร ถ้าเปิดไฟๆ ตอนนี้พลังงานไม่มี เปิดไฟเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเกิดจากอะไร ถ่านหิน แก๊ส พลังงานแดดหรือ แล้วถ้าเกิดว่าไม่มีตังค์จ่ายค่าไฟเขาตัดมิเตอร์ เปิดที่ไหนล่ะ เปิดตรงไหน สมมุติไง สมมุติว่ากิเลสไง กิเลสสมมุติไง

แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมาธิษฐาน เป็นบุคลาธิษฐาน เวลาบุคลาธิษฐานขึ้นไปเพราะหัวใจที่เป็นจริงขึ้นแล้ว ถ้าเป็นบุคลาธิษฐาน มันทำของมันมีขั้นมีตอนของมัน ถ้าจะปิดไฟเปิดไฟขึ้นมามันก็ต้องจ่ายตังค์ สิ้นเดือนบิลมาแล้ว  เดือนตัด ตัดแล้วก็ไปเปิด เปิดเลย เปิดตลอด นี่มันเป็นธรรมาธิษฐานนะ แล้วสาธุมันเป็นข้อเท็จจริง

เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ ท่านก็บอก ท่านบอกว่าถ้ามันเป็นความจริงไง ถ้ามันมีความจริงในหัวใจมันก็เป็นความจริงอย่างนั้นจริงๆ แล้วถ้าอย่างนั้นจริงๆ เพราะอะไร เพราะเวลามันมืดบอดนะ เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านพูดบ่อยมาก “ที่ไหนมืดก็เปิดไฟ มันก็สว่างไง” สว่างไปหาหลวงปู่มั่นไง “มหา มาหาอะไร ถ้าหานิพพาน นิพพานอยู่ไหน” ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา  ปีเกือบเป็นเกือบตาย บุคคล  คู่มันต้องมีของมัน

คู่ที่  ไง เห็นไหม ขึ้นไปรายงานท่าน “เอ้อมันต้องเป็นอย่างนี้สิ” อย่างนี้สิคือสัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนยมันต้องประพฤติปฏิบัติ มันต้องมีเหตุมีผลของมันสิ แล้วสัตว์อาชาไนยที่มันทำของมันได้ขึ้นมาแล้ว ถ้ามันพาดกระแสแล้วมันต้องถึงที่สุดแห่งทุกข์แน่นอน มันต้องเป็นอย่างนี้สิ คู่ที่  นี่ไง เวลาคู่ที่  เวลาคู่ที่ เห็นไหม เวลาพิจารณากาย กายแยกออกหมดเลย คู่ที่  เห็นไหม เวลาดึงออกมาอสุภะนั่นน่ะ เวลาคู่ที่  ไง จุดและต่อมนั่นน่ะ ท่านถึงบอกเปิดไฟดับไฟของท่านไง ที่ไหนมันมืดก็เปิดให้มันสว่างสิ เปิดเกือบตาย  ปี

ไอ้กิเลสสมมุติ “เปิดไฟก็สว่าง เราวางหมดแล้ว เราวางหมดแล้วมันก็เป็นธรรมเลย เราไม่ต้องขวนไม่ต้องขวาย ไม่ต้องดิ้นไม่ต้องรน” ฮ้าเพราะอะไรเพราะคำพูดมันฟ้อง มันฟ้องถึงประสบการณ์ ฟ้องถึงการกระทำของตน

แต่ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา คู่ที่  ก็เกือบตาย จิตสงบแล้วเห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง เห็นกาย เวทนา จิต ธรรมตามเป็นจริง ถ้าเห็นมันก็เห็นกิเลสเวลาเห็นกิเลสยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาขึ้นมาถ้ามีกำลังขึ้นมา สัมมาสมาธิเป็นพื้นฐานขึ้นมา จักรมันจะหมุนแล้ว ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ งานชอบ งานโดยภาวนามยปัญญา ไม่ใช่จำใครมา ไม่ได้ใดๆ ทั้งสิ้น กำลังจะพิสูจน์กันในหัวใจของตนนี่ล่ะ

จิตตภาวนากำลังประหัตประหารกันระหว่างกองทัพกิเลสกับกองทัพธรรมกองทัพธรรม คือศีล คือสมาธิ คือปัญญา คือการฝึกหัด คือการอบรม คือการบ่มเพาะ คือการกระทำขึ้นมาให้เป็นสัจธรรม ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมมันมีอยู่ที่ไหนถ้ามันมีอยู่สัมมาสมาธิก็ต้องมีอยู่สิ ถ้ามันมีอยู่ปัญญาเราต้องฉลาดสิ โง่อย่างกับหมาตาย เพราะมันภาวนาไม่เป็น

เวลาภาวนาเป็น คนภาวนาเป็น เห็นไหม องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อสงไขย  อสงไขย ๑๖ อสงไขย พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา ต้องสร้างสมบุญญาธิการมามากกว่าพระอรหันต์โดยปกติสาวก สาวกะเขาสร้างของเขามา เขาถึงมีเหตุมีผล เขาถึงฟังธรรมะแล้วเข้าใจ ฟังธรรมะแล้วมันมีสัจจะมีความจริง มีการกระทำ ให้มันเป็นข้อเท็จจริง

ไม่ใช่ว่ากิเลสสมมุติ ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า ของครูบาอาจารย์แล้วมาประดับเป็นปัญญาตนหมดเลย “มืดก็เปิดไฟมันก็สว่างไง เราวางหมดแล้ว” ฉ้อโกงไม่มีสัจจะ ความจริงขึ้นมาในใจของตนแล้วยังไปล่อลวงคนอื่นให้ทำแบบนั้นอีก

แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านให้ทำความเป็นจริงทำความเป็นจริงเท่าที่วาสนาของตน ถ้ามีวาสนาขึ้นมาฝึกหัดปฏิบัติให้มันเป็นความเป็นจริงขึ้นมา ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน แหวกจอกแหนให้เห็นมีน้ำกลับมาก่อน ให้เห็นจอกแหน ให้เห็นน้ำ จอกแหนไม่ใช่น้ำ น้ำไม่ใช่จอกแหน แต่จอกแหนเพราะเกิดบนน้ำนั้น ถ้าเกิดบนน้ำนั้นมันก็ปกคลุมหัวใจ มันทุกข์มันยากขึ้นมา เห็นไหม แหวกจอกแหนๆ ก็แหวกจอกแหนออกไปก่อน น้ำมันก็จะเอาใช้น้ำนั้นเพื่อประโยชน์เพื่อดำรงชีวิต แล้วถ้าเป็นไปได้ถ้ามันมีกำลังของมันได้ มันต้องผลักดันจอกแหนขึ้นมาให้ทำลายมันให้สิ้นซากไป

ถ้าการสิ้นซากไป เห็นไหม ถ้าถึงที่สุด เห็นไหม ถ้าพิจารณา สมุจเฉทปหานอีก  ชาติ มันเกี่ยวพันกับวัฏฏะ เพราะ… เพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีเว้นวรรคๆ จะเกิดเป็นสิ่งใดเท่านั้น เพราะปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ มันขับเคลื่อนไปโดยอวิชชา ขับเคลื่อนไปโดยพลังของบุญและบาป แล้วถ้ามีอำนาจวาสนามีบุญมากสร้างสมบุญญาธิการมา มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเพราะบารมีเต็ม

แต่ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงต้องมีความหมั่นเพียร ความเพียรชอบ มีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ มีสัมมาสมาธิเข้าสู่จิตของตน สัมมาสมาธิเกิดจากจิตไม่ใช่จิต แต่อยู่กับจิต ไม่มีอยู่กับอะไรทั้งสิ้น อยู่กับความรู้สึก ความรู้สึกที่ฟุ้งซ่าน ความรู้สึกที่ทุกข์ที่ยาก ถ้าความรู้สึกนั้นจัดระเบียบของมัน สมดุลของมัน เห็นไหม มันจะเป็นสัมมาสมาธิ เป็นพื้นฐาน เป็นภวาสวะ เป็นธรรมที่ให้เกิดภาวนามยปัญญา เวลาปัญญามันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นบนจิตดวงนั้นไง เวลาภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้น เวลาจักรมันเคลื่อนไป มันจะเคลื่อนไปบดบี้สีไฟไอ้กิเลสกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นั่นน่ะกิเลสตัวจริงๆ ไง เวลามันบีบบี้สีไฟมนุษย์มนุษย์เกือบเป็นเกือบตายไม่รู้จักสิ่งใดเลย

แต่ปุถุชน กัลยาณชน โสดาปัตติมรรคเป็นอริยบุคคล บุคคลที่มีอำนาจวาสนา บุคคลที่มีสัจจะ บุคคลที่มีความจริง เวลาจักรมันเคลื่อน ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากจิตเพราะจิตตภาวนา ไม่ใช่หลับตาลืมตา ไม่ใช่ความรู้สึกนึกคิด ไม่ใช่วิเคราะห์วิจัย ไม่ใช่กิเลสสมมุติ สมมุติเป็นตัวเป็นตน โอ้ยสมมุติขึ้นมาเป็นชัดเป็นเจน โอ้วมหัศจรรย์ ธรรมสมมุติ ไม่มีอะไรเป็นจริงเลย

ถ้าจริงเกี่ยวกับวัฏฏะ วัฏฏะนี้เป็นของจริง เพราะ เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณไม่มีต้นไม่มีปลาย อาสวักขยญาณทำลายอวิชชา ทำลายครอบครัวของมาร มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าเจ้าจะเกิดบนหัวใจเราไม่ได้อีกเลย มารดิ้นรน มารจะเป็นจะตาย ไปฟ้องลูกสาวความโลภ ความโกรธ ความหลงไง

นางตัณหา นางอรดีไง “พ่อ พ่อเป็นอะไร

เจ้าชายสิทธัตถะจะพ้นจากมือเราไปนะ

อุ้ยพ่อไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวลูกๆ จะไปจัดการให้” เวลาไปเย้าไปยวน กามราคะ ปฏิฆะไง ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่ไปเย้ายวน “เรือนยอดของเรือน  หลัง พ่อของเธอ เรือนยอดของเรือน  หลัง เราได้หักลงแล้ว” ไอ้เรือน หลังกระเด็นไปหมดแล้ว นี่ครอบครัวของมารไง มารมีหรือไม่มี มารที่มันยิ่งใหญ่ไง

มารเป็นนามธรรมแล้วจะรู้มันได้อย่างไร กิเลสเป็นนามธรรมจะเห็นมันได้อย่างไร” ก็เอ็งไม่รู้ เอ็งไม่เห็น มันก็เลยเป็นกิเลสสมมุติไง เป็นสมมุติ เป็นการสมมุติบัญญัติ มันปั้นมันยอกัน เป็นการรำลึกถึง ไม่มีอยู่จริง

เวลามันมีอยู่จริงนะ มันมีอยู่จริงในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มันมีอยู่จริงในที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านพยายามสร้างธรรมทายาท ธรรมทายาทเป็นเพชรน้ำหนึ่งในวงกรรมฐาน ในลูกศิษย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญในหัวใจของครูบาอาจารย์ของเรา

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีอำนาจวาสนาเพราะอะไร เพราะธรรมะมันสดๆ ร้อนๆ ของสดๆ ร้อนๆ การกระทำขึ้นมาจากใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น แล้วเป็นครูบาอาจารย์ของเรา คุ้มครองดูแลเรา ให้เราประพฤติปฏิบัติ แล้ววางข้อวัตรปฏิบัติไว้ แล้วเหยียบย่ำแล้วทำลาย แล้วอ้างว่าเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เขาด่าไอ้หงบทุกวันเลยว่าอ้างอย่างเดียว ไม่ได้อ้าง เชิดชูบูชาต่างหาก เอวัง