ธรรมสายเหยี่ยว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนโต
เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเป็นคนที่มีบุญมีกุศลมาก มีบุญมีกุศลเพราะเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วเราได้พบพระพุทธศาสนา เราได้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติจะให้เป็นตามความเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา องค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังกราบธรรมๆ สัจธรรมนั้นมันมหัศจรรย์ มันยิ่งใหญ่นัก แล้วมันยิ่งใหญ่นักมันจะเป็นไปได้ มันเป็นจากพลิกหัวใจเรานี่แหละ มันพลิกหัวใจของเราที่เป็นปุถุชนคนหนา ที่มีอวิชชาครอบงำในหัวใจของตน ถ้ามันพลิกขึ้นมา ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น
แต่! แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมานี่เจียนตาย แต่เวลาจะมาสิ้นกิเลส เห็นไหม ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้นแค่แพล็บ! เป็นพระอรหันต์เลย แต่กว่าจะเป็นนะทุกข์ๆ ยากๆ เวลาจะประพฤติปฏิบัติแสนทุกข์แสนยาก แสนทุกข์แสนยากเพราะอะไร จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันสร้างเวรสร้างกรรมมามากมายมหาศาล เวลามันสร้างเวรสร้างมามากมายมหาศาล มันลังเลสงสัยไปทุกๆ สิ่ง อะไรที่มันขัดอดขัดใจเป็นทุกข์เป็นยากทั้งนั้น แล้วไม่มีใครรู้ได้ ไม่มีใครรู้ได้ ไม่มีใครมีความสามารถจะเอาชนะกิเลสในหัวใจของตนได้ ยกเว้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระ-ปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น
เราเป็นสาวก สาวกะ ผู้ได้ยินได้ฟังไง เราเป็นสาวก สาวกะ เห็นไหม ได้ยินได้ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าแล้วเขาเชื่อกันไหม เขาเชื่อกิเลส เชื่อกิเลสเชื่อแรงยุในหัวใจของตน ถึงเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาไปกับโลกเขา ผู้ที่มีวาสนาๆ วาสนาเขาก็เพลิดเพลินในกระแสโลก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนะ นั่นน่ะโลกล้วนๆ เลยล่ะ พระเจ้าสุทโธทนะ นางมหามายา เป็นพ่อเป็นแม่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุปปพุทธะ เห็นไหม น้องชายพ่อขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้า เวลามีลูกก็เทวทัต ครอบครัวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เรื่องโลกๆ ไง
เรื่องโลกๆ ก็เรื่องโลกนี้แหละ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ผลของวัฏฏะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเป็นสัจจะเป็นความจริงของมันอย่างนั้น มันมีเวรมีกรรมของมัน ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนามันก็อ้อนวอนขอกันไปไง ใครจะช่วยเหลือใคร ใครจะจุนเจือใคร มันก็ได้ปลอบประโลมกันไปเท่านั้น แต่มันเป็นความจริงมาจากไหน มันเป็นความจริงไม่ได้ เพราะคนที่รู้จริงมันไม่มี เวลามันเป็นเรื่องโลกๆ มันก็เป็นเรื่องโลก
เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราก็เกิดกับโลกนี้แหละ เราเกิดเพราะเรามีเวรมีกรรมของเรา แล้วมีเวรมีกรรม เห็นไหม สายบุญสายกรรมถึงได้เกิดกับพ่อกับแม่ของเรา เราเกิดมาแล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง
พระพุทธศาสนานะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม วางธรรมและวินัยนี้ไว้ไง มันถึงมีศาสนาไง พอมีศาสนาก็มีวัดมีวา เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนามันก็มีวัดมีวา มีพระมีผู้ศึกษาค้นคว้าที่จะประพฤติปฏิบัติของเรา เรื่องโลกๆ ทั้งนั้น เรื่องโลกๆ ที่ตรงไหน โลกกับธรรม โลกกับธรรมนะ โลกามิสเรื่องโลกๆ ทั้งนั้น แล้วถ้ามันเป็นธรรมล่ะ มันเป็นธรรมถ้าเป็นธรรมเป็นสัจธรรมขึ้นมา บุคคล ๔ คู่นั้นเป็นธรรมที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา
แต่ถ้าเป็นศีลธรรม ศีลธรรมเป็นประเพณีวัฒนธรรมไง ถ้าเป็นประเพณีวัฒนธรรม เห็นไหม คนทุกข์คนยาก เห็นไหม เข้าวัดเข้าวาก็มาบวชเป็นพระ คนที่ เห็นไหม มีคดี หนีคดีอาญาต่างๆ สมัยโบราณพวกเสือสางมาบวชกันมากมาย บวชแล้ว เห็นไหม บวชหลบหลีกภัยของโลกไง นี่พระพุทธศาสนาๆ สิ่งที่ถ้าเป็นทางโลกเขาก็ได้ผลประโยชน์กันอย่างนั้น แล้วเป็นทางโลกไปวัดไปวาเราก็ไปทำบุญทำกุศลของเราก็เป็นเรื่องโลกทั้งนั้น โลกามิส
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสั่งพระอานนท์ไว้ไง “อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสเลย” แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน มีคนศรัทธา มีเคารพบูชา ไปถวายดอกไม้ธูปเทียนมากมายมหาศาล เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ นะ แล้วสังคมที่นับถือเชื่อถือศรัทธานะ เวลาจะล่วงไปๆ ไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอานนท์คร่ำครวญ “ดวงตาของโลกดับแล้ว ดวงตาของโลกจริงๆ ดวงตาของวัฏฏะ” เทวดา อินทร์ พรหม เขามาถามปัญหา ใครมีทุกข์มียากขึ้นไปก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อบรรเทาทุกข์ไง บรรเทาทุกข์ๆ ด้วยคุณธรรมในธรรมสัจธรรมขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรรเทาทุกข์ๆ ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงไง
แต่ถ้าคนไม่มีศาสนาเขาเชื่อมงคลตื่นข่าวลัทธิศาสนาอื่น หรือความเห็นทางโลก
ถ้าจะเป็นสัจจะเป็นความจริงมา บุคคลคู่ที่ ๑ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถือนอกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์ๆ พระพุทธก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคือสัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เพราะว่ามันเป็นความจริงในหัวใจดวงนั้น เขาจะเชื่อถืออย่างอื่นเป็นไปได้อย่างไร พระสงฆ์ๆ ก็ตัวเองก็เป็นสงฆ์ แล้วพระอัญญาโกณฑัญญะ ครูบาอาจารย์ที่เป็นสงฆ์ๆ มากมายมหาศาล ถ้าเป็นจริงๆ มันเป็นจริงอย่างนั้น ถ้ามันเป็นจริงอย่างนั้นไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถือกระแสความเชื่อนอกพระพุทธศาสนา
ที่มันยังเชื่อ ยังเชื่ออยู่เพราะอะไร?
มืดบอด เพราะมีอวิชชาไง เพราะมีความไม่รู้ในหัวใจของตนไง มันถึงเป็นอย่างนั้นไง มันเรื่องโลกๆ มันเรื่องโลกๆ มันก็เป็นความจริง แล้วมันมาจากไหนล่ะ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์จะรื้อใคร ก็รื้อสัตว์โลกนี่ไง สัตว์โลกสัตตะผู้ข้อง ข้องทั้ง ๓ โลกธาตุ ตั้งแต่พรหมลงมา สัตว์โลกทั้งนั้น แต่เราเป็นสัตว์มนุษย์ๆ นะ ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดา อินทร์ พรหม เขายังอิจฉาเลยล่ะ เพราะเทวดา อินทร์ พรหม เขาเป็นทิพย์นะ เป็นทิพย์ก็มีแต่มิจฉาหรือสัมมาเท่านั้น ถ้ามิจฉาๆ เทวดา อินทร์ พรหม เขาไม่เชื่อหรอก เขาก็เสวยทิพยสมบัติของเขา หมดอายุขัยเขาก็ต้องพลัดพรากตายออกไป ถึงตอนนั้นเขาถึงจะนึกได้ นึกได้ก็สายไปแล้วไง
เวลาคน เห็นไหม หมดอายุขัยจากเทวดา จากพรหมนู่นน่ะ อย่างดีก็มาเกิดเป็นมนุษย์ อย่างกลางก็ลงนรกอเวจีไปเลย เพราะ เพราะเขาทำกรรมดีกรรมชั่วเหมือนกัน ในเมื่อวาระของกรรมดีมันให้ผลสิ้นแล้วมันจะไปไหนต่อ มันก็ไปไง ถ้าผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิไง เทวดา อินทร์ พรหมที่จะมาฟังเทศน์ๆ ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิเพราะเขามีสติมีปัญญาของเขา อย่างเหมือนเรามนุษย์นี่ไง นี่ไง เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์เราทุกข์เรายากหรือไม่ เราสิ้นอายุขัยหรือไม่ มีสติปัญญาหรือไม่
นี่ก็เหมือนกัน เทวดา อินทร์ พรหมถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ เขาก็เป็นสัตว์โลกเหมือนกัน ผู้ข้องจะมาฟังธรรมองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า มาฟังธรรมหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เห็นไหม สำเร็จหรือมีเข้าใจในธรรมะมากมาย แล้วเวลาเป็นธรรมๆ เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการ ท่านบอกว่า “เทวดา อินทร์ พรหม สอนง่ายกว่ามนุษย์เยอะเลย เพราะไม่กะล่อน ไม่ปลิ้นปล้อน” ถ้าเขามีศรัทธานะ ถ้าเขาเป็นสัมมาทิฏฐินะ เพราะอะไร เพราะทิพยสมบัติไง มันไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง คิดอย่างไร เทวดา อินทร์ พรหม เขาถึงได้รู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์นี่ไง เพราะว่ามันเป็นเรื่องจิตวิญญาณไง เวลาเป็นสัจจะเป็นความจริงมันเป็นอย่างนั้น
แล้วเวลาเขาว่าอิจฉามนุษย์ อิจฉามนุษย์ เพราะอะไร มนุษย์มันมีกายกับใจ ร่างกายนี้สำคัญมาก สำคัญเพราะอะไร เพราะเวลาเกิดมาแล้ว เห็นไหม เวลาสิ่งมีชีวิตมันต้องมีปัจจัย เครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยถ้ามันขาดมันแคลนขึ้นมามันทุกข์มันยาก ถ้ามันทุกข์มันยาก นั่นแหละ เวลาคนตาย ตายไปถึงยมบาลเขาบอก “รู้จักธรรมะไหม” “ไม่รู้ๆ” เกิดเป็นมนุษย์ไง ไม่รู้ยมบาลถามว่า “เห็นคนเกิดไหม?” “เห็น” “เห็นคนแก่ไหม” “เห็น” “เห็นคนตายไหม” “เห็น” “นั่นน่ะรู้จักธรรมไหม” เห็นทุกอย่างแต่ไม่สนใจ
นี่ไง สิ่งที่มีคุณค่าๆ ร่างกายนี้มันมีคุณค่านักเพราะมันบีบคั้นเราไง ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ มีอิริยาบถใดบ้างที่เราอยู่ได้ตลอดเวลาเป็นไปไม่ได้ แต่โดยสัญชาตญาณไง โดยสัญชาตญาณ การลุก การเปลี่ยนอิริยาบถ มันเป็นสัญชาตญาณของคน ถ้าเป็นสัญชาตญาณของคนเพราะเราว่าคนฉลาดไง เมื่อยก็ลุกสิ เมื่อยก็พลิกก็หาย นี่ไง สิ่งที่ว่าเวลาทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ แล้วมันทนได้จริงๆ ไหมล่ะ แล้วได้ศึกษาค้นคว้าสัจธรรมในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ล่ะ ถ้าได้ศึกษาค้นคว้าขึ้นมา สิ่งนี้มันจะเป็นประโยชน์หมดเลย
มันไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์เพราะอะไร
เพราะว่าอำนาจวาสนาของคน คนเกิดมามากมาย เวลาชาวพุทธ เห็นไหม ประเทศไทยศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ คนนับถือพระพุทธศาสนา ๗๐ – ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วเวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมามันเหลือเท่าไหร่ ยิ่งย้อนกลับมาด้วย ภิกษุสงฆ์ในประเทศไทย ๓๐๐,๐๐๐ – ๔๐๐,๐๐๐ องค์ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเป็นความจริงมากน้อยขนาดไหน ถ้ามันเป็นความจริงมากน้อยขนาดไหน มันจะเข้าหากิเลสแล้วแหละ เวลากิเลสอย่างแก่เวลามันแก่ขึ้นมามันมีทิฏฐิมีมานะ มีความยึดมั่นถือมั่น มีความอหังการ ยิ่งใหญ่นัก รอบรู้ไปทั้งสิ้น ไม่รู้หรือนั่นน่ะกิเลสมันครอบงำ นั่นกิเลสมันครอบงำไง
นี่ไง เวลาบวชเป็นพระๆ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เราบวชแล้ว บวชแล้วถ้ามีบุญมีอำนาจวาสนา เกิดเป็นมนุษย์ พระพุทธ-ศาสนา ถ้าไม่ได้บวช ไม่ได้ประพฤติปฏิบัตินี่เหยียบแผ่นดินผิด แล้วเหยียบแผ่นดินถูกต้องแล้ว แล้วศึกษาค้นคว้ามา แล้วจะเป็นประโยชน์หรือไม่ ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ขึ้นมา กิเลสอย่างแก่ๆ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก็มีทิฏฐิมาว่าตนมีอำนาจมีวาสนามีความรู้ทั้งนั้น แต่เวลากิเลสมันเผาลนใจไม่รู้จักมัน กิเลสมันเผาลนใจ ธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าก็อย่างหนึ่ง ศึกษาค้นคว้ารู้ทั้งนั้น แต่กิเลสมันเผาลนอยู่นี่มันแก้อย่างไร แล้วมันทุกข์มันยากอยู่นี่มันทำอย่างใด แล้วอะไรที่มันจะเป็นธรรมๆ ไง
นี่ไง เวลาคนที่มีวาสนา เวลาไปบวชนะ อุปัชฌาย์ให้เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ นี่กรรมฐาน ๕ แล้วเวลาฝึกหัดๆ ถ้ามาฝึกหัดไง นี่ปริยัติ เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราไม่มีความรู้ กิเลสมันก็จะหลอกเรา เราต้องมีศึกษาธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแนวทางไว้ เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เราศึกษาค้นคว้ามา มคฺโค ทางอันเอก ทางอันเอกมันอยู่ที่ไหน หาหนทางของตัวเองไม่เจอไง ก็จะต้องไปศึกษาก่อน เรียนภาคปริยัติ เวลาไปเรียนภาคปริยัติขึ้นมา เรียนขึ้นมาทรงจำธรรมวินัยไว้เพื่อจะไปเป็นประโยชน์กับเรา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธไง
เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราต้องเป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมา เวลาเรียนมาแล้ว เวลาปฏิบัติมันก็บอก “มันรู้หมดแล้ว” มันมีทิฏฐิมีมานะมีความอหังการในหัวใจมากมายมหาศาล แล้วก็ล้มลุกคลุกคลาน ทำสิ่งใดก็ไม่รู้จักว่ามันจะเป็นความดีความชั่วอย่างไร จะเป็นประโยชน์กับตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน ล้มลุกคลุกคลานแล้วให้กิเลสมันปิดหูปิดตานะ เชื่อกิเลส ให้กิเลสมันปลิ้นมันปล้อนไปมากมายอีกมหาศาลเลย เห็นไหม นั่นน่ะทิฏฐิมานะของคน
ถ้าคนมีวาสนานะ มีวาสนาถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ผลของวัฏฏะ ผลของโลก เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาก็ประพฤติปฏิบัติ ๖ ปี ล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน มีใครจะมาอบรมบ่มเพาะส่งเสริมอย่างไร มันก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น ถึงที่สุดแล้วเราต้องศึกษาค้นคว้าของเราเอง เวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเพราะอะไร นี่ไง ด้วยภัทรกัปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ธรรม เวลาตรัสรู้ธรรม อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา พระพุทธศาสนาแวววาวขึ้นมา ถ้าแวววาวขึ้นมาถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
ปริยัติยังไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่แสดงธรรม เวลาวินัยๆ พระสุทิน เห็นไหม ไปเสพเมถุนกับอดีตภรรยาของตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้บัญญัติขึ้นมา มันต้องมีเหตุมีผลของมันขึ้นมา แล้วเวลาแสดงธรรมๆ เวลาพระสารีบุตรไปฟังธรรมพระอัสสชิ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ดับไปที่เหตุนั้น
แล้วมันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาไหม มันไม่ได้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเพราะอะไร เพราะทิฏฐิมานะที่กิเลสมันแก่กล้า แล้วทำสิ่งใดไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ให้กิเลสมันหลอก ทั้งๆ ที่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภาคปริยัติ เวลาปฏิบัติๆ เอาจริงเอาจังขึ้นมา ปฏิบัติจะไปปฏิบัติกับใคร
เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาถ้ามีอำนาจวาสนา นี่ธรรมสายเหยี่ยว ถ้ามันเป็นธรรมสายเหยี่ยว เห็นไหม เราต้องมีอำนาจวาสนามีสติปัญญาของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านไม่มีใครคอยชี้นำคอยบอกคอยแนะของท่าน ท่านศึกษาค้นคว้าเอาจากพระไตรปิฎก แล้วท่านเอาจริงเอาจังของท่าน มันก็ล้มลุกคลุกคลาน ประวัติครูบาอาจารย์แต่ละองค์ เวลาออกประพฤติปฏิบัติใหม่เป็นอย่างนั้นทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะมันเป็นข้อเท็จจริง คำว่า “อวิชชา” คือว่ากิเลสๆ นี่มันร้ายนัก แล้วเวลาจะเผชิญหน้ากับมัน เผชิญหน้าเวลาฝึกหัดใหม่ไง พระฝึกหัดใหม่ๆ พยายามจะทำความสงบของใจเข้ามาๆ แล้วมันสงบไหม มันสงบจากอารมณ์ อารมณ์ความรู้สึกมันปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นถือมั่นที่มันเคยชินของมันโดยสัญชาตญาณนั่นน่ะ
เวลาสัตว์ สัตว์เวลามันหลีกภัย เห็นไหม ด้วยสัญชาตญาณๆ มันมีสมองคิดไหม มันแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้ามันได้ไหม นั่นมันโดยสัญชาตญาณเพราะมันเป็นสัตว์ มนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ สัตว์ประเสริฐมันมีสมอง มีสติ มีปัญญาของมัน แล้วใครมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรนี่จริตนิสัย แล้วเวลาจะเอาจริงเอาจังของเราขึ้นมา มันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาหรือไม่ ถ้ามันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เราภูมิใจ เราภูมิใจในการกระทำจะลงทุนลงแรงมากน้อยขนาดไหน เอาจริงเอาจัง ถ้าเป็นนิสัยนะ
ธรรมสายเหยี่ยว ธรรมสายเหยี่ยวมันต้องเอาจริงเอาจังไง เหยี่ยวตามันดีนะ แล้วมันมีกรงเล็บด้วย เวลามันหาเหยื่อของมัน เวลามันจะจับเหยื่อของมัน ธรรมสายเหยี่ยว ในการปกครองในการหน้าที่การงาน สายเหยี่ยวๆ สายที่มันจริงมันจัง สายที่มันทำแล้วมันจะเอาข้อเท็จจริง ถ้าเอาข้อเท็จจริง เห็นไหม เวลาบวชมาแล้ว เวลาอุปัชฌาย์ให้กรรมฐาน ๕ มา กรรมฐาน ๕ ก็กรรมฐาน ๕ สิ่งที่ว่ารุกฺขมูลเสนาสนํ ท่านให้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ นี่เป็นรากเหง้าของพระพุทธศาสนา
แล้วถ้ามีการศึกษาเราจะไปเรียนภาคปริยัติ เราจะเรียนศึกษาค้นคว้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเราจะประพฤติปฏิบัติ เรามีครูบาอาจารย์ของเรา พระกรรมฐาน พระป่าๆ เห็นไหม เขาก็มีหนังสือหนังหาให้ศึกษาค้นคว้า ส่วนใหญ่แล้วพระกรรมฐานเขาจะเชื่อฟังหัวหน้า ถ้าหัวหน้าที่เป็นธรรมๆ ขึ้นมา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ในสังคมสงฆ์นั้นจะมีอำนาจวาสนา จะมีความสุข มีความเป็นธรรม
ถ้าหัวหน้าติดโลก โลกามิส มันขายลูกน้องหมดล่ะ มันขายลูกน้อง นี่มีอำนาจวาสนา มีคนล้อมหน้าล้อมหลังนี่โลกามิส ถ้าจะฝึกหัด ถ้าจะเชื่อหัวหน้า ถ้าหัวหน้าเป็นธรรมๆ ไง คำว่า “หัวหน้าเป็นธรรม” สิ่งที่มีค่าที่สุดเลยคือเวลา เวลานี่สำคัญมาก เวลาสำคัญมากแล้วหน้าที่การงาน หน้าที่การงานไง ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ของใจๆ
ถ้าเป็นสายเหยี่ยว สายเหยี่ยวคือจิตใจของเรามันเห็นคุณค่า มันเอาจริงเอาจัง มันมีหูมีตา ศึกษาค้นคว้าๆ ก็จากหมู่ จากคณะ จากสังคม จากคณะสงฆ์ เขาทำสิ่งใด เขาทำเพื่ออะไร สังเกต พอสังเกตขึ้นมาแล้วมาศึกษา มันจะให้ผลตอบแทนอย่างไร ที่ทำๆ ทำไปเพราะอะไร ที่ทำๆ เห็นไหม ทำๆ เพราะอะไร เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเรามาบวชเป็นพระเสียด้วย ถ้าบวชเป็นพระไง
สิ่งที่ทำๆ ทำตามธรรมและวินัย วินัย เราบวชเป็นพระ เราเป็นนักปฏิบัติ เราไม่ได้อยู่… ไม่อยากจะบอกว่าไม่ใช่อยู่เป็นวัวเป็นควาย อยู่แบบพระ ถ้าเราไม่ใช่บวชมาแล้วเป็นวัวเป็นควาย ไม่รู้เหนือรู้ใต้ บวชมาแล้วเป็นพระ เป็นพระมีอายตนะไง มีหัวใจไง มีสติมีปัญญาไง ถ้ามีสติปัญญา เขาทำ เขาทำกันทำไม เขาทำเพื่ออะไร แล้วทำอยู่อย่างนี้แล้วมันได้ผลอะไร สิ่งที่ทำที่ทำนี่ไง นี่ข้อวัตรปฏิบัติ เห็นไหม สายเหยี่ยว สายเหยี่ยวมันจริงมันจัง มันจะเอาหัวใจของตน หัวใจที่เป็นนามธรรม
สิ่งที่ค้นคว้าๆ ผู้ที่ฝึกหัดจะประพฤติปฏิบัติใหม่ ถ้าปฏิบัติใหม่ทำความสงบใจเข้ามา ใจนี้เป็นนามธรรม แม้แต่ผู้ที่ศึกษาค้นคว้า ลูกศิษย์กรรมฐานใจมันเป็นอย่างไร เวทนามันเป็นอย่างไร นี่ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วศึกษาค้นคว้า เวลาธาตุ ๔ ร่างกายเป็นอย่างนั้นไหม แล้วคิดทางวิทยาศาสตร์ คิดทางการแพทย์มันเป็นอย่างนั้นหมดล่ะ เป็นอย่างนั้น ก็นี่ไง ก็พิจารณากายๆ ทางการแพทย์ แพทย์เขาผ่าตัด เขาเปลี่ยนอวัยวะได้หมดล่ะ แล้วเขาได้อะไร เขาได้ตังค์ แล้วมีการศึกษาด้วยนะ เพราะอะไร ถ้าจบแพทย์ โอ้! นี่เกรด A ถ้าจบทางสังคม เกรด B เกรด C เรายังให้คุณค่าเขา แล้วเราก็ทำขึ้นมา นั่นก็วิชาชีพของเขา
แล้วถ้าเรามีสติมีปัญญา เห็นไหม เรามีสติปัญญา เราเป็นนักบวช เรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติของเราไง เวลาสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ๆ เป็นทางโลกทั้งสิ้น ทางโลกก็คือทางโลก เวลาแสดงธรรมๆ ก็แสดงธรรมผ่านทางวิทยาศาสตร์ เพราะทางวิทยาศาสตร์มันสามารถทำความเข้าใจได้ เพราะเรามีการศึกษา แต่ธรรมมันเหนือนั้น ธรรมสายเหยี่ยวๆ ถ้ามันจริงมันจังขึ้นมา มันจะดูแลหัวใจของตน ทำข้อวัตรปฏิบัติ
เทวดา อินทร์ พรหม เขาอิจฉามนุษย์ไง มนุษย์มีกายกับใจ กายกับใจไง แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ๆ เกิดเป็นคน เวลาศึกษาค้นคว้าขึ้นมา เวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงธรรมๆ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยสมบูรณ์แบบ แล้วเราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา ถ้ามันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในหัวใจของตน กายกับใจๆ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นหัวใจเลย “อานนท์ เธอบอกเขานะ ปฏิบัติบูชาเราเถิดๆ” เวลาปฏิบัติบูชาแล้ว ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
เวลาภาคปริยัติ ภาคปริยัติศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันตำราทั้งนั้น แล้วเห็นพระพุทธเจ้าตรงไหน พระพุทธเจ้าก็รูปวาดไง พระพุทธรูปไง เห็นพระพุทธเจ้าเห็นโดยสมมุติไง เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต แล้วมึงเห็นไหม แล้วเห็นจริงหรือเปล่า แล้วเห็นอย่างไร
ธรรมสายเหยี่ยวๆ นะ ถ้ามันศึกษาค้นคว้าแล้วมันต้องการความจริง ถ้าเราต้องการความจริงขึ้นมานี่ เราต้อง เห็นไหม พระกรรมฐานเวลาเข้าพรรษาๆ เห็นไหม ถือธุดงค์ พอถือธุดงค์ขึ้นมา เวลาไง เช้าขึ้นมาบิณฑบาตมา เอาแค่ตกบาตรมา แล้วทำภัตกิจเสร็จแล้วนี่ เวลาของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นวันปกติภัตรตามมา ภัตรตามมา เห็นไหม ยังต้องถวายอาหาร ยังต้องทำกิจกรรมอีกร้อยแปด กว่าจะได้ฉัน ฉันเสร็จแล้วก็ต้องบริหารจัดการ บริหารจัดการขึ้นมานี่ กว่าจะส่งเขากลับบ้าน ที่เหลือถึงได้ปฏิบัติ
แล้วเวลาธรรมสายเหยี่ยวไง ศึกษาค้นคว้านี่เขาทำอะไรกัน ข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา หน้าที่ของใคร เพราะอะไร นี่ไง เวลาวันนี้วันพระลงอุโบสถ ลงอุโบสถ การลงอุโบสถลงที่ไหน นี่สีมา สีมาประกอบไปด้วยอะไรบ้าง แล้วเวลาจะลงอุโบสถ กิจกรรมในการกระทำนั้นล่ะ แล้วสงฆ์นั้นล่ะ ที่ทำก็ทำข้อวัตรไง เพราะเราทำข้อวัตรมันก็ทำเพื่อหมู่สงฆ์นี่ไง ทำเพื่อหมู่สงฆ์ขึ้นมา แล้วเวลาถ้าธรรมสายเหยี่ยว มันมีผล มันเห็นผลของมันอยู่แล้ว
เสร็จแล้ว เราฝึกหัดของเรา เราตั้งสติของเรา เห็นไหม นี่มีหูมีตาไง มีหูมีตาสังเกตเพราะว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ศึกษามาธรรมและวินัยนี่เป็นศาสดาของเรา เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านไปหาหลวงปู่มั่นไง “สิ่งที่ศึกษามา ศึกษาสิ่งนี้มันประเสริฐ มันเลอค่า เพราะว่า เพราะถ้าไม่มีภาคปริยัติขึ้นมา มันจะทรงจำธรรมวินัยกันมาอย่างไร แล้วจะเป็นแนวทางการประพฤติปฏิบัติอย่างไร”
กึ่งพุทธกาล ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้วไง แต่เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เห็นไหม เอาจริงเอาจังขึ้นมา สิ่งที่ศึกษามาแล้ว ค้นคว้ามาแล้วนั่นน่ะเป็นภาคทฤษฎี เห็นไหม เราจะฝึกหัดปฏิบัติของเราขึ้นมา ถ้าจะเอาความจริงขึ้นมา เห็นไหม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แล้วมันเอาไม่อยู่หรอก มันดีดมันดิ้น ไอ้พวกปุถุชนคนหนา เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาเอาไม่อยู่หรอก เวลาเอาไม่อยู่ขึ้นมา เพราะมันยังภาวนาไม่เป็นไง
ถ้ามีอำนาจวาสนา สายเหยี่ยวมีสติ บังคับ เอาจริงเอาจังกับมัน เอาจริงเอาจังกับมัน นี่บังคับไป บังคับไป บังคับเริ่มต้นเรื่องธรรมดาช้างสารตกมัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าบอกจิตนี่เหมือนช้างสารที่ตกมัน ช้างสารตกมัน มันเหยียบมันย่ำ มันทำลายหัวใจทั้งสิ้น แล้วเด็กน้อยผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติเข้าไปนี่ ช้างมันเอางวงฟาดกระเด็นไปหมดล่ะ พอกระเด็นไป เอ้อ! ว่างๆ ว่างๆ รู้นั่นเห็นนี่ ช้างตัวนั้นมันเอางวงฟาด เอาขาถีบ เตะถีบกระเด็นออกไป ไม่รู้ตัว มันมีอาการไง มันมหัศจรรย์ไง ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ยังเข้าที่ไม่ได้เลยล่ะ
นี่ธรรมสายเหยี่ยว สิ่งใดที่เกิดขึ้น เราทำความสงบของใจเข้ามา มีสิ่งใดที่กระทบ รู้เห็นสิ่งใดตั้งสติไว้แล้วฝึกหัด หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิมากน้อยขนาดไหน เห็นไหม ช้างตัวนั้นมันจะสงบเสงี่ยมลง อาการที่มันกระฟัดกระเฟียด อาการที่มันเกิดขึ้น เห็นไหม อาการที่กระฟัดกระเฟียด มันกระฟัดกระเฟียดนี่มันอาการของมัน มันกระเพื่อมออกมา ไอ้เราก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย “มหัศจรรย์ โอ้โฮ! จิตนี้มันมหัศจรรย์ มันแปลกประหลาด” อาการทั้งนั้น
แต่ถ้าเวลาเรามีสติแล้วคอยดูแลรักษา แล้วมันอยู่ที่จริตนิสัย เวลาคนนะ สิ่งที่ว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว คนเราเกิดมีกายกับใจใช่ไหม ธาตุขันธ์ทับจิต ธาตุคือร่างกายของเรา คนเรา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ถือธุดงค์ผ่อนอาหาร ผ่อนอาหารอดอาหารเพราะอะไร เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมานะ อดนอนผ่อนอาหาร สติสัมปชัญญะมันดี มันไว มันเท่าทันความคิด มันเท่าทันไอ้ช้างตัวนั้น เวลามันจะเอางวงฟาด เห็นไหม เราก็มีสติมีปัญญาค้ำมันไว้ เวลามันจะเตะมันจะถีบ เราหลบมันได้ นี่ถ้าอดนอนผ่อนอาหาร อดอาหารธาตุขันธ์มันเบาบางลง
ธาตุขันธ์มันหนักหน่วง พอมันหนักหน่วง เวลามันจะเตะมันจะถีบขึ้นมา พอมันถีบกระเด็นไปเลยนะ โอ้โฮ! วันนี้ภาวนาดี๊ดี มันเอางวงฟาดนะ ยังดีนะมันไม่จับเอางวง มันจับแล้วฟาดแผ่นดินให้สิ้นชีวิตเลย ถ้ามันสิ้นชีวิต เวลามันจับเอางวงจับ สัปหงกไง นั่งหลับไง มันเอางวงฟาด การกระทำนั้น การกระทำสักแต่ว่า
ถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมา เห็นไหม อดนอนผ่อนอาหาร พอถ้าอดนอนผ่อนอาหารธาตุขันธ์มันเบาลง ธาตุนี่มันเบาลง พลังงานที่มันกดทับ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไง เห็นไหม ในทางฆราวาส ฆราวาสเขากินอาหารเพื่อเกียรติเพื่อกามเพื่อศักดิ์ศรี สมณะฉันอาหารเพื่อดำรงชีพ ถ้าฉันดำรงชีพไว้ทำไม ดำรงชีพไว้ศึกษาไว้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมาไง แล้วถ้ามีสติมีปัญญาไง มีตามีเล็บไง นี่ธรรมสายเหยี่ยวมันต้องเข้มข้นเข้มแข็ง แล้วฝึกหัดมีการกระทำ
ทำงาน คนทำงานมันก็เหน็ดมันก็เหนื่อยเรื่องธรรมดา แล้วยิ่งคนงาน เห็นไหม คนงานที่เขาทำงานหนัก เห็นไหม เขาก็ยิ่งต้องใช้พลังงานมากขึ้น ไอ้เรานั่งสมาธิภาวนานั่งนิ่งๆ ไอ้พวกที่ว่า “พระไม่ทำอะไรเลย พระนี่เห็นแก่ตัว” เอ็งลองนั่งดู งานอะไรก็ทำได้ ถ้ากิเลสมันเห็นว่ามึงยังหมกมุ่นอยู่กับโลกามิส อยู่กับเรื่องโลกๆ ที่อยู่ในอำนาจของมัน เอ็งทำอะไรก็ได้ แล้วมันยิ่งส่งเสริมด้วย เดี๋ยวจะร่ำเดี๋ยวจะรวยเดี๋ยวจะมียศถาจะมีบรรดาศักดิ์ เดี๋ยวจะมีคนนับหน้าถือตา เอ็งจะเป็นยอดคน เอ็งจะเป็นรัฐบุรุษ โอ้ย! มันส่งตูดเลย นี่ไง ถ้างานทางโลก
แต่เวลาเราจะเอาจริงเอาจังของเรา เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราอยากจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หาพุทธะที่แท้จริงในหัวใจของเรา เราก็นั่งลงหายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ เราพยายามฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เพราะถ้าฝึกหัดประพฤติปฏิบัติกิเลสมันเดือดร้อนแล้ว ไอ้จิตดวงนี้มันเป็นผู้ที่จะหาหนทางออก มันคอยปลิ้นคอยปล้อนคอยหลอกคอยลวงทั้งนั้น มันก็เป็นทุกข์อีกอย่างหนึ่ง เวลาถ้าอยู่ใต้อำนาจของมัน ถ้ามันบังคับบัญชาได้นั่นน่ะอยู่ในอาณัติของมันเลย เวลาจะหาความเป็นอิสระของเราบ้าง มันพลิกแพลงเราตลอดเวลา
ธรรมสายเหยี่ยวต้องบังคับ ต้องมีการกระทำ แล้วเวลาบังคับกระทำนะ เวลามันเบาบางลง เวลาพุทโธมันกลมกลืนแล้ว มันทำได้ไง ไอ้นี่นะเราไม่ได้มีข้อต่อรอง ไม่ได้มีการกระทำกับกิเลสในใจของเราบ้างเลยหรือ ถ้ามันจะทำมันต้องมีเหตุมีผลของมัน มันหาเหตุหาผลหาหนทางของมัน แล้วเราตั้งกติกากับเรา เห็นไหม
ธุดงควัตรๆ เห็นไหม เราตั้งกติกาของเรา เราทำอะไรบ้าง เราต้องฝึกหัดของเราแล้วทำให้สมบูรณ์แบบของเรา เราจะภูมิใจในสัจจะของเราที่ได้ตั้งไว้ ถ้าเราตั้งไว้เราทำของเราให้ได้ไง ถ้าทำของเราให้ได้ เห็นไหม แล้วถ้ามีความมั่นคงมีการกระทำ เห็นไหม ธรรมสายเหยี่ยว
เวลาจิตมันสงบระงับบ้าง จิตสงบระงับบ้างนะ ปุถุชน กัลยาณชน ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะท่านสังเวช ท่านอยากให้ประพฤติปฏิบัติ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านหาผู้ที่จะสืบทอดนะ ธรรมทายาทๆ ธรรมทายาทมันมีอำนาจวาสนาหรือไม่ มันจริงจัง มันมีขันติธรรม มันมีสัจธรรม แล้วกาลเวลา ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง คำว่า “ตามเป็นจริง” คือว่ามันเป็นสัมมาทิฏฐิ ความว่าตามเป็นจริง เห็นไหม สัมมาทิฏฐิความถูกต้องชอบธรรม มันถึงจะเข้าสัจธรรม
แต่ที่มันขัดมันแย้ง ที่มันพลิกมันแพลงอยู่นี่เพราะมันไม่เป็นสัมมาทิฏฐิไง มันขัดมันแย้งกับข้อเท็จจริง เห็นไหม ถ้ามันสมดุลกับข้อเท็จจริงมันจะเป็นตามความเป็นธรรม มันเป็นสัจธรรมแน่นอน อริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เป็นสัจจะเป็นความจริง แต่เราขุดค้นขึ้นมาไม่ได้ ภาคปริยัติมันก็มี ภาคปริยัติบอกไว้หมดล่ะ แล้วบอกในศึกษาธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ วิธีการประพฤติปฏิบัติ วิธีการ ผลท่านไม่ได้บอก ผลของมันไง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี นี่คือชื่อ แล้วความจริงล่ะ ที่มันเป็นจริงล่ะ แล้วมันเป็นจริงอย่างไร
ถ้าเป็นจริงแล้วเวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้านี่คือเหตุ วิธีการ เวลาผล เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต นี่มันยืนยันชัดเจน แล้วมันยืนยันแล้ว แล้วมันยืนยันเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นกิเลส เวลากิเลสมันสิ้นไปจากหัวใจ วิมุตติสุข วิมุตติสุข มันเป็นความจริง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมนะ “โมกขราช เธอจงมองโลกนี้ด้วยความว่าง” โลกนี้ โลกนี้เป็นโลกของเขา โลกนี้เป็นโลกสมมุติ แล้วจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแต่ละดวงได้สร้างเวรสร้างกรรมมามากมายมหาศาล แล้วมันเวลาละไง คนมีบุญมาเกิดไง
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านมีบุญมีกุศลของท่าน ท่านมาเกิดไง พอมาเกิดแล้ว เห็นไหม เวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาในสมัยพุทธกาลเวลาใครประพฤติปฏิบัติไปเฝ้าองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม พยากรณ์ แก้จิต เวลามีครูบาอาจารย์ที่คอยคุ้มครองดูแล เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็ประพฤติปฏิบัติของท่านขึ้นมา เวลาท่านสร้างธรรมทายาทขึ้นมา คนที่มีอำนาจวาสนาไหม ถ้ามีอำนาจวาสนามันเชื่อมันฟัง มันเชื่อมันฟังแล้วมันจะทดสอบ คำว่า “เชื่อฟัง” มันไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก กิเลสมันจะแลบอยู่นั่น มันจะพลิกจะแพลง มันจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างนั้นแล้วเป็นจริงไหม
ฉะนั้น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านถึงคัดแยกคัดเลือกไง แล้วท่านถึงจะให้อุบายวิธีการแตกต่างกันไปไง เพราะมันจริตนิสัยแต่ละคนมันเหมือนกันที่ไหน ไม่เหมือนหรอก ธรรมสายเหยี่ยว เราต่างหากจริงจังมากน้อยขนาดไหน ถ้าเราจริงจัง จริงจังของเรา เห็นไหม เราฝึกหัดของเรา มีการกระทำของเรา แล้วเราตั้งสัจจะของเราไว้ มันเป็นเราทำทั้งนั้น
นี่ไง “โมกขราช เธอมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิในใจของเธอ” เธอมองโลกนี้เป็นความว่าง ทุกคนก็ฝึกหัดได้ ทุกคนมันก็ว่างๆ มันว่าง ว่างด้วยสติด้วยปัญญาไง เพราะเราก็เห็น เห็นไหม คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราก็เห็นอยู่ทุกวัน มันก็ว่าง มันเป็นเรื่องสภาวะสรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้ เห็นไหม มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สรรพสิ่งในโลกนี้มันเคลื่อนไหวของมันไปตลอดเวลา สุดท้ายแล้วมันก็ว่างหมด มันก็เป็นความว่าง ก็เป็นความคิดไง แล้วเราล่ะ นี่กลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ ทิฏฐิมานะที่ตัวของเรา
ถ้ามันถอนที่ทิฏฐิมานะถอนกิเลสตัณหาในหัวใจของเรา โลกว่างก็เรื่องของโลกว่างไง เราไปแบกรับอะไรมัน เราจะพอใจกับความว่างหรือความไม่ว่างหรือ แต่ถ้าหัวใจเรามันมีกิเลสไง ทัศนคติมุมมองแตกต่างกัน มันต้องการ มันต้องปรารถนาตามแต่กิเลสมันยุมันแหย่ แล้วไอ้ข้างนอกไอ้โลกนั้นมันก็ฟาดฟันกันมาตลอดเวลา แล้วมันจะว่างกันตรงไหนวะ วุ่นวายไปหมดล่ะ
ธรรมสายเหยี่ยว เอาความสงบของใจเราเข้ามาก่อน ถ้าใจมันสงบระงับแล้วนะ ฝึกหัดอย่างนี้เอาจริงเอาจังของเรา ถ้าเอาจริงเอาจังของเรานะ มันจะทิฏฐิมานะ มันจะมีความอหังการขนาดไหน ความอหังการเพราะกิเลสมันสดๆ ร้อนๆ แต่เวลาเราทำตามจริงทำจังของเรานะ เวลามันเหนื่อยมันยาก เห็นไหม มันเหนื่อยมันยาก มันทุกข์มันยากขึ้นมา มันจะเริ่มแล้วพิจารณาว่าจะเอากันอย่างไร จะเอาแค่ไหน ถ้าจะเอาอย่างไรเอาแค่ไหน สายตาของเหยี่ยว กรงเล็บของมัน เราจะเอาจริงเอาจังกับเรา ถ้าเอาจริงเอาจังกับเราด้วยสัมมาทิฏฐิความถูกต้องชอบธรรม
มันไม่ใช่การทำร้ายตนหรอก มันเป็นการทำร้ายกิเลส กิเลสมันแผ่พังพานยิ่งใหญ่ในหัวใจของเรา เราพยายามกำราบปราบปรามด้วยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เวลามันเบาบางลง เบาบางลง เบาบางลงคือการทำความเพียรนั้นสะดวกสบาย ไอ้ว่าสะดวกสบายนั่นน่ะ ไอ้นี่มันแค่ความเพียร ความเพียรกับจิตใจของเรามันกลมกลืน มันเป็นเหยี่ยว มันมีกำลังของมัน มันก็ดีขึ้น แล้วเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาของมัน เป็นความจริงเป็นจังขึ้นมา
เริ่มต้น เห็นไหม มันจะเกิดขณิกสมาธิ ชั่วคราวๆ แล้วต่อเนื่องกันไป มีการศึกษาค้นคว้า มีการศึกษา มีการรักษาของเรา เห็นไหม มันก็จะดีขึ้น มันเจริญขึ้น จากขณิกะก็จะเป็นอุปจาระ ถ้าเป็นอุปจาระ ถ้าทำสิ่งใดไม่ได้ ถ้ามันจริงจังๆ จนอัปปนาสมาธินะ อัปปนานี่ดับหมดเลย อายตนะดับเลย เป็นจริง กายกับใจ เอ้อ! ไอ้ที่ว่าใจมันเป็นอย่างไร ใจมัน... อ๋อ! อ๋อ! แล้วอ๋อขึ้นมานี่มันมีอำนาจวาสนาแล้ว เพราะจิตดวงนี้เป็นผู้ยกขึ้นสู่วิปัสสนา จิตดวงนี้สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน
ถ้าเป็นอุปจาระ เห็นไหม มันออกรู้ออกเห็นของมันได้ ขณิกะมันก็เป็นความสุขความสงบระงับชั่วครั้งชั่วคราว ถ้ามันมีกำลังมากขึ้น อุปจาระคือมันสงบด้วย แล้วมันรับรู้ได้ด้วย เพราะมันมีการรับรู้วงรอบของมัน เห็นไหม โดยธรรมชาติของเรา ถ้ามีใครศึกษาค้นคว้า ผู้ประพฤติปฏิบัติใหม่ก็ศึกษาทางปริยัติ เวลาศึกษาปริยัติแล้วมันปฏิบัติไป ตา หู จมูก ลิ้น กาย อายตนะ เห็นไหม มันออกรับรู้อย่างนี้ แล้วมันก็วุ่นวายทุกข์ยาก แล้วจิตทำไมมันไม่สงบสักที จิตทำไมมันวุ่นวายอะไรขนาดนี้ไง
เวลาเราก็ฝึกหัดปฏิบัติมาด้วยความเป็นธรรมสายเหยี่ยว ด้วยความจริงความจังของเรา ถ้ามันเป็นขณิกสมาธิมันก็สงบระงับเข้ามาชั่วครั้งชั่วคราว แล้วถ้ามันจริงมันจังขึ้นไป เวลามันสงบระงับเข้าไปมากขึ้นนี่อุปจาระ ถ้าเป็นอุปจาระมันมีความรู้สึกนึกคิดได้ คิดในสมาธินี่คิดได้ คิดได้โดยตรงไหนคิดได้ ถ้าความสงบของใจสมถกรรมฐาน จิตเป็นอย่างไร จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้มันเห็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมไง
แล้วถ้าทำไม่ได้ล่ะ ถ้าทำไม่ได้ ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ท่านก็กำหนดพุทโธหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้มากขึ้น เวลาจากอุปจารสมาธิมันจะลงสู่อัปปนา อัปปนามันมหัศจรรย์เลย ธรรมสายเหยี่ยวสักแต่ว่าปรากฏ มหัศจรรย์ใจของตน แต่วิปัสสนาไม่ได้ ไม่ได้เพราะอะไร เพราะสักแต่ว่าปรากฏ มันหนึ่ง เห็นไหม อุปจาระ อุปจารสมาธิ อุปจาระมันออกรับรู้ได้ รับรู้ได้เหมือนกับที่ว่ามนุษย์มีความรู้สึกนึกคิดได้ ผิวหนังมีผลกระทบ อายตนะมันสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยธรรมชาติของมัน มันเป็นอย่างนั้น
โดยธรรมชาติธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจจะ เป็นความจริงอยู่แล้ว แล้วเป็นสัจจะความจริง ผู้ที่เป็นชาวพุทธแต่ไม่มีการศึกษา หรือไม่ได้ค้นคว้าในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จับต้นชนปลายอะไรไม่ได้เลย มันก็เป็นความคิดเป็นเรา เราเป็นความคิด เราเป็นความทุกข์ความยาก มันเป็นเชือกม้วนที่เป็นแหเป็นอวนที่มันพันกันวุ่นวายไปหมด แก้ไม่ถูกเลย ลิงแก้แหแก้ไม่ได้
พุทโธๆๆ ทำความสงบของใจเข้ามา เวลามันสงบเข้ามา มันเป็นแล้ว ถ้ามันเป็นอุปจาระมันจะรู้อย่างนั้น ถ้ารู้อย่างนั้น ถ้าเป็นอุปจารสมาธิ สัมมาสมาธิเป็นสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้ามันออกรับรู้ของมัน เห็นไหม ธรรมสายเหยี่ยว เวลามันเห็นกาย แต่เห็นกายนะเห็นกาย จิตสงบแล้วมันเห็นกายเห็นเป็นภาพ เห็นเป็นอวัยวะ เห็นเป็นสิ่งใดนี่อุคคหนิมิต
วันนี้นิมิต เวลาคนประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ไปรู้ เทวดามาชื่นชม เห็นผีเห็นสาง นิมิตทั้งนั้น ส่งออกทั้งนั้น แล้วไม่มีอำนาจวาสนาไง มีครูมีอาจารย์ สิ่งใดที่มันเกิดขึ้นตั้งสติไว้ นั่นน่ะสมมุติบัญญัติทั้งสิ้น อาการของจิตที่มันไปรับรู้ เพราะอะไร เพราะคนสร้างเวรสร้างกรรมมาแตกต่างกัน แล้วมันเหมือนกันไม่ได้หรอก นั่นมันเป็นแค่นิมิต
ถ้าจิตมันสงบแล้วถ้าเป็นอุปจาระ ถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ มันก็เป็นนิมิตอันหนึ่ง แต่นิมิตอันนี้มันเกิดจากสัมมาสมาธิ เกิดจากฐานที่ตั้งแห่งการงาน นี้มันจะเป็นงานในพระพุทธศาสนา งานในอริยสัจในสัจจะในความจริง ถ้าธรรมสายเหยี่ยวถ้ามันตั้งภาพได้ ตั้งภาพได้นะ ถ้ามีวาสนานะ ขิปปาภิญญา มันพิจารณาของมันไป จากอุคคหนิมิตมันจะเป็นวิภาคะ มันจะแยกด้วย ด้วยอะไร ด้วยกำลังของจิต เวลาที่มันทุกข์มันยากเป็นปุถุชนคนหนา เวลามันคิดมันปรุงมันแต่ง มันยึดมั่นถือมั่นเกือบเป็นเกือบตาย กิเลสทำงานทั้งนั้น
เรามีอำนาจวาสนาของเรา นี่ธรรมสายเหยี่ยวมีความจริงความจังของเรา พยายามทำความสงบใจของเราเข้ามา ถ้าใจสงบระงับ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี มันเป็นที่พักผ่อน มันเป็นที่ผ่อนคลาย มันเป็นที่ที่การพิสูจน์ว่า กายกับใจมันแตกต่างกันอย่างใด เวลาถ้ามันโดยปุถุชนคนหนา เวลามันรับรู้ด้วยในทางการแพทย์ ถ้าตา หู จมูกรับรู้ไม่ได้ แสดงว่าปลายประสาทเสื่อม แสดงว่าเป็นคนพิการ แสดงว่าเป็นเรื่องความเสียหาย
แต่ถ้าเป็นฝ่ายปฏิบัติเป็นเรื่องธรรมะ เวลาจิตมันสงบเข้ามา สงบเข้ามา เห็นไหม ตา หู จมูก ลิ้น กาย เรื่องหนึ่ง เวลาจิตมันสงบตัวมันเองเป็นอิสระของมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องของธรรม มันไม่ใช่เรื่องโลก ถ้าเรื่องของธรรมมันเป็นไปได้หลากหลายนัก มันเป็นไปได้ทุกอิริยาบถ มันเป็นไปได้ร้อยแปด อยู่ที่ครูบาอาจารย์เป็นหรือไม่เป็น
ถ้าครูบาอาจารย์มันเป็น เห็นไหม จิตสงบระงับแล้ว สมถกรรมฐาน ถ้าฝึกหัดทำความสงบของใจเข้ามา ธรรมสายเหยี่ยว สายเหยี่ยวคือสัมมาสมาธิ สมาธิที่เข้มข้นเข้มแข็ง เข้มแข็งมีพลัง เวลามันน้อมไปเห็นกาย ถ้าเห็นกาย ถ้ามันไปเห็นกาย เห็นกายแล้วถ้าไม่มีอำนาจวาสนา หรือไม่มีครูบาอาจารย์ จับไว้ไม่ได้หรอก มันก็เหมือนนิมิต พับ! พับ! พับ! จับต้นชนปลายอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น
เวลาครูบาอาจารย์นะ “อย่าไปยุ่งกับมัน ถ้ามันเห็นก็คือเห็น ถ้ามันเห็นแล้วมันทำสิ่งใดไม่ได้ กลับมาทำสมาธิให้มั่นคง กลับมาทำสมาธิให้มั่นคง” “นี่ทำสมาธิให้มั่นคงนะ แล้วทำอย่างไรให้สมาธิมั่นคง ทำสมาธิแล้วสมาธิมันเสื่อมไป มันเสื่อมหมดเลย มันทุกข์มันยากอยู่นี่ มันจะมั่นคงตรงไหน” “ก็เอ็งปล่อยปละละเลย” แต่ถ้าธรรมสายเหยี่ยวๆ มันตรวจสอบตัวเองเลย ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันผิดพลาดตรงไหนปลงอาบัติ ศีลของเราต้องแวววาว ศีลของเรา ศีลมันต้องให้มีกำลัง แล้วศีลของเราเวลาทำสมาธิขึ้นมานี่ ถ้ามันเสื่อมขึ้นไป เราตั้งใจของเรา
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเหตุผลมันสมดุลแล้วมันต้องเป็น ถ้าเหตุมันมีแล้วผลของมันต้องเกิด แล้วผลมันต้องเกิดมันต้องเกิดตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่เกิดตามที่เราพอใจ ไม่ใช่เกิดตามกิเลสที่มันต้องการ ไม่ใช่เกิดตามกิเลสที่มันปรุงมันแต่งที่มันยุมันแหย่ ปฏิบัติมาก็ทุกข์เกือบตายอยู่แล้ว ให้กิเลสมันบังเงา ให้กิเลสมันพลิกมันแพลง ให้กิเลสมันซ้อนกิเลสเข้าไปอีก ให้กิเลสมันกระทืบอยู่อย่างนั้น
ปล่อยวางให้หมด ธรรมสายเหยี่ยว ตั้งสติแล้วกำหนดให้ดีงาม มันต้องฟื้นมาได้ ไอ้ที่เสื่อมมันต้องกลับมาได้ ถ้ามันเสื่อมกลับมาได้ เห็นไหม ฝึกหัดตรงนี้ ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเห็นกายๆ เห็นไหม เห็นกายแล้วฝึกหัด ถ้ามันล้มลุกคลุกคลาน ถ้าตามไปเสียหาย ถ้าตามไปนะ “ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนั้น” มันก็หาเรื่องอยู่อย่างนั้นไง ไม่มีวันจบหรอก
“โมฆราช เธอจงมองดูโลกนี้เป็นความว่าง” โลกนี้เป็นความว่างก็เป็นเรื่องของโลก แล้วอัตตานุทิฏฐิล่ะ ทิฏฐิมานะ สักกายทิฏฐิล่ะ ทิฏฐิที่เห็นผิดล่ะ ทิฏฐิที่เห็นผิด สิ่งที่เห็นผิด นี่คือตัวกิเลส “กิเลสเป็นนามธรรมๆ จะรู้ได้อย่างไร” ธรรมสายเหยี่ยว ถ้าจิตมันสงบถ้ามันเห็นกายตามความเป็นจริง มันรู้เลย แล้วเวลามันพิจารณาไป เห็นไหม ด้วยธรรมสายเหยี่ยว ด้วยการพิจารณากาย กายนอก กายนอกคือกายทั่วไป แล้วกายนอก เห็นไหม ชายเห็นหญิง หญิงเห็นชาย โอ้โฮย! มันกระเทือนหัวใจทั้งนั้น กายนอก มีสติมีปัญญารู้เท่าทันขึ้นมาด้วยสติปัญญาให้มันเป็นอิสระกับตัวเราเอง ถ้าเป็นอิสระมันก็เป็นสมาธิ
เวลาเป็นสมาธิขึ้นมาจิตมันตั้งมั่นของเรา เราพิจารณา กายของเราไม่ใช่กายนอก กายนอกคือกายทั่วไป นี่พิจารณากายของเรา พิจารณากายเริ่มต้น กายที่เป็นปฐม ปฐมกายที่เริ่มต้นที่การจะปฏิบัตินี้ ถ้าเริ่มต้นจากการปฏิบัตินี้ถ้าจิตมันสงบแล้วมันรู้มันเห็นของมัน ฝึกหัดตรงนี้ให้การเข้าและการออก ให้การรักษา ถ้ามันเป็นนะ ถ้าไม่เป็นล้มลุกคลุกคลาน แล้วปฏิบัติไปก้าวหน้าไม่ได้ กิเลสมันเข้มข้น กิเลสมันเอาไปกินหมดล่ะ
แต่ถ้ามันเอาไปกิน เราก็ฝึกหัดของเรา เราก็ประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าธรรมสายเหยี่ยว ธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าชัดเจน มั่นคง ถาวร สิ่งที่การกระทำถ้าเป็นอริยสัจมันต้องเป็นอริยสัจวันยังค่ำ แต่ที่มันล้มลุกคลุกคลานเพราะเรากำลังจะต่อสู้กับกิเลสไง กิเลสมันพลิกมันแพลง มันปลิ้นมันปล้อน มันทำลายทุกกิริยา ทุกวิถีแห่งจิต จิตมันเร็วมาก จิตมันมีความผูกพันมีความยึดมั่นถือมั่นร้อยแปด แต่เพราะมีสติมีปัญญา มีคำบริกรรม มันถึงผ่อนคลายลงไง พอผ่อนคลายลงมันก็เป็นสัมมาสมาธิไง สัมมาสมาธินี่ธรรมสายเหยี่ยวถ้ามันเห็นกายขึ้นมานี่ ถ้ามันแวววาว มันชัดเจนขนาดไหนนี่ฝึกหัด ฝึกหัดให้จิตมันเห็นกายได้ จับกายได้ และพิจารณาได้
การพิจารณา ธรรมสายเหยี่ยวโดยการวิปัสสนา โดยสัมมาสมาธิ โดยสมาธิเป็นพื้นฐาน โดยเจโตวิมุตติ มันจะเห็นภาพอย่างนั้น แล้วให้มันขยายออกเป็นวิภาคะ ขยายออกเป็นวิภาคะคือมันพ้นจากการยึดมั่นถือมั่น ถ้ามันมีความยึดมั่นถือมั่น สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ความเป็นอนัตตาคือมันขยายส่วนแยกส่วน แล้วจิตมันดูจิตมันเพ่งอยู่ จิตมันดูจิตมันเพ่งอยู่มันเห็นความเปลี่ยนแปลงมันสะเทือนใจมากๆ โอ๊ะ! โอ๊ะ! เฮ้ย! มันเป็นอย่างนี้ เอ๊อะ! เอ๊อะ! นั่นคือปัญญา ปัญญาที่รู้ที่เห็น ปัญญาที่รู้เห็นแล้วมันสะเทือนอะไร
นี่ไง กิเลสเป็นนามธรรม มันสะเทือนกิเลสนั่นแหละ เพราะมันเห็นตรงข้ามกับกิเลส กิเลสมันยึดมั่นถือมั่น มันหวงมันแหน มันคิดว่าเป็นสมบัติของมัน มันยึดมั่นถือมั่นไว้แล้วมันก็หลอกผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันหลอกชาวพุทธ มันหลอกศากยบุตรพุทธชิโนรสลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่แหละ แล้วถ้ามันหลอกแล้วมันหลอกมันพลิกมันแพลง เพราะมันยึดมั่นถือมั่นด้วยความเชื่อ กิเลสมันมีความเชื่อของมันโดยเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว นี่มันก็ยึดมั่นของมันไง
แล้วเวลาจิตมันสงบแล้วมันเป็นอิสระ มันไม่มีกิเลสเข้ามาพัวพัน เห็นไหม กิเลสมันสงบตัวลงมันถึงเป็นสัมมาสมาธิได้ แล้วถ้าเราฝึกหัดของเรา เห็นไหม ถ้าเป็นธรรมสายเหยี่ยว ถ้ามันรู้มันเห็นของมัน เห็นกายๆ นี่แล้วขยายส่วนแยกส่วนของมันให้มันออกไป มันเป็นปัญญา เป็นปัญญาเป็นครั้งเป็นคราว พอเป็นปัญญาขึ้นมันใช้พลังงานไปแล้วนี่ เห็นไหม สมาธิมันก็เบาบางลง มันแยกได้มันก็มีความสุข มันแยกได้ มันปล่อยๆ ปล่อยก็คือปล่อยไง แต่ทำอีกได้ไหม
นี่ธรรมสายเหยี่ยว พิจารณากายๆ นี่ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลาซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาการที่เป็นขึ้น ถ้าสติ สมาธิ ปัญญามันพอ มันเป็น ถ้าสติ สมาธิ ปัญญาไม่พอ นึกภาพ วิปัสสนึก เห็นไหม วิปัสสนึกคือสัญญา วิปัสสนึกคือกิเลส เรารู้เท่าทันมันแล้ว แต่กิเลสมันยังไม่มรรคสามัคคี คือไม่สมดุล ไม่พอดี กำจัดไม่ได้ มันเป็นของชั่วคราวๆๆ
แต่เวลามันเป็นจริงขึ้นมา เวลามันสมดุลพอดีของมัน เห็นไหม เวลามันขาด เวลามันขาดสังโยชน์มันขาด สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด แล้วทิฏฐิมานะ เห็นไหม กิเลสที่มันแก่กล้า มันยึดมั่นของมัน นี่สังโยชน์เครื่องร้อยรัด กิเลสมันรัดไว้ที่หัวใจนั้น นี่ไง มันสำรอกมันคายไม่ได้ เวลาพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ มันฝึกหัด มันปล่อย มันวางขึ้นมา เวลามันขาด ดับหมดเลย นิโรธขณะ มหัศจรรย์
ถ้ามันดับด้วยอะไร ด้วยมรรค ๘ ไง ดับด้วย เวลาสิ่งที่เราขยายส่วนแยกส่วน สิ่งที่รู้ที่เห็น มันเห็นโดยความรู้ความเห็น การพิจารณากายแบบไม่เห็นกาย การพิจารณากายแบบไม่เห็นกาย มันก็พิจารณากายเรื่องร่างกายนี้ไง จิตมันสงบแล้วมันถึงจับฐานของมันได้ ถ้าจับแล้วพิจารณาไป พิจารณาของมันไป มันพิจารณาโดยเปรียบเทียบด้วยปัญญา ว่าร่างกายนี่มันจะแปรสภาพของมัน ร่างกาย เห็นไหม สิ่งที่ถ้าหัวใจถ้าจิตออกจากร่างแล้วนี่เดี๋ยวมันก็ผุมันก็พัง เดี๋ยวมันก็เปื่อยมันก็เน่า พิจารณาโดยปัญญา เวลาปัญญาที่มันพิจารณาของมันไป ให้มันชัดมันเจนของมันธรรมสายเหยี่ยว
สายเหยี่ยวใช้สติ ใช้สมาธิ เป็นพื้นเป็นฐาน แล้วเป็นความจริงขึ้นมา มันชัดมันเจนของมัน ถ้าชัดเจนของมันนี่ คนที่ภาวนาได้ระดับนี้ เขาเรียกภาวนาเป็นแล้ว ภาวนาเป็นตรงไหน ภาวนาเป็น จิตเป็นสมาธิก็รู้ว่าเป็นสมาธิ จิตมันเสื่อมก็รู้ว่ามันเสื่อม แล้วถ้าจิตมันเป็นสมาธิแล้วมันเสื่อม มันล้มลุกคลุกคลานมันทุกข์มันยากมาก เวลาทำหน้าที่การงานของเขา เขาหาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมาก็เพื่อผลประโยชน์ของเขา
นักปฏิบัติของเรา นั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็เพื่อความสงบของใจเข้ามา แล้วใจมันสงบแล้ว เวลามันเสื่อมขึ้นมา เราก็รักษาของมันขึ้นมา เห็นไหม ถ้าเรารักษาหัวใจของเราให้เป็นสัมมาสมาธิให้ตั้งมั่นไม่ได้ เราจะเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงไม่ได้ เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันไม่มีสมถกรรมฐาน สัมโพชฌงค์ นี่ไง อินทรีย์แก่กล้า แล้วอินทรีย์มันอ่อนแอ ความรู้สึกมันอ่อนแอ สัมโพชฌงค์ก็ท่องปากเปียกปากแฉะ วิจัยธรรมก็วิจัยของมันอยู่นั่นแหละ วิจัยโดยความอ่อนแอ
ธรรมสายเหยี่ยวต้องมีสติมีปัญญา เข้มแข็ง แล้วมีการกระทำที่มันเป็นข้อเท็จจริงของมันขึ้นมา ถ้ามีข้อเท็จจริงของมันขึ้นมา เวลามันเป็นสมาธิมันก็รู้ว่าเป็นสมาธิ แล้วสมาธิที่ทำสิ่งใดไม่ได้เพราะมันเสื่อม เวลามันเสื่อมแล้วมันเป็นสัญญา มันเป็นความจำได้หมายรู้เท่านั้น ถ้ามันจะเป็นจริงขึ้นมามันต้องชัดเจนของมันขึ้นมา ถ้ามันชัดเจนขึ้นมา พอมันสงบระงับแล้ว ถ้ามันน้อมไปเห็นกายไม่ได้ น้อมไปไม่ได้หรอก ถ้าเห็นก็เห็นแบบนิมิตนั่นล่ะเห็นแวบๆ เห็นแวบๆ แค่เห็นแวบๆ นะ มันสะเทือนหัวใจมาก แค่ทำความสงบของใจมันก็มหัศจรรย์แล้ว แล้วเห็นแวบๆ แล้วก็ได้แค่นั้น แล้วก็คุยโม้แค่นั้นเพราะอะไร เพราะมันไม่มีภาวนามยปัญญา เพราะมันไม่สมดุลโดยเพียรชอบ งานชอบ สติชอบ ปัญญาชอบ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมโดยชอบ โดยชอบคือความชอบธรรม ทางสายกลางในพระพุทธ-ศาสนา ไม่ใช่ความชอบใจของตน ความชอบใจว่าชอบใจว่าเป็นอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น กิเลสมันหัวเราะเยาะ แต่ด้วยความชอบธรรม ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เราคิดเอง ไม่ใช่เราทำเอง ไม่ใช่ใดๆ ทั้งสิ้น เรามีแต่ความเพียร เรามีแต่การกระทำของเรา แล้วมันสมดุลพอดีของมัน เวลามันขาด มันขาด กิเลสมันตาย เวลากิเลสมันตายเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป บุคคล ๔ คู่ นี่คู่ที่ ๑ นะ แล้วธรรมสายเหยี่ยว ทำความสงบของใจเข้ามา เวลามันขาด มันจะไม่ถือมงคลตื่นข่าว แล้วจะไม่เชื่อนอกพระพุทธศาสนาเพราะจิตมันพาดกระแส พาดกระแสแห่งธรรม แห่งอริยสัจ มันไปไหนไม่ได้
เวลาครูบาอาจารย์เราอบรมบ่มเพาะขึ้นมา ให้ลูกศิษย์ลูกหาอย่างน้อยได้เป็นแค่โสดาบัน ถ้าโสดาบันแล้วปล่อยวางได้ เขาจะต้องดำเนินการต่อไปจนถึงสิ้นกิเลสแน่นอน เว้นไว้แต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น ฉะนั้น เวลาถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาแล้ว เห็นไหม เป็นข้อเท็จจริง ธรรมสายเหยี่ยวมันพยายามฝึกหัดปฏิบัติทำความสงบให้มากขึ้น เพราะ เพราะสิ่งที่ผลงานคู่ที่ ๑ ที่ทำมานี้เราล้มลุกขึ้นมาจากเริ่มต้นตั้งตัวไม่ได้ จับต้นชนปลายไม่เป็น การภาวนาที่ยากที่สุดคือยากอยู่ตรงนี้ แล้วพอการกระทำที่เป็นคู่ที่ ๑ พิจารณาจนมันขาด นี่คือการภาวนาเป็น
การภาวนา คนทำงานเป็น คนเคยประสบการณ์แล้ว มันทำงานต่อเนื่องไปข้างหน้าได้แน่นอน ถ้ามันทำต่อเนื่องได้แน่นอน พุทโธๆ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้สัมมาสมาธิเกิดขึ้น จิตเป็นสมาธิ สมาธิเป็นจิตขึ้นมา แล้วเวลาจิตสงบแล้ว เห็นไหม น้อมไปเห็นกาย กายนอก กายใน กายในกาย เวลาพิจารณากาย มันพิจารณาไปแล้ว เห็นไหม พิจารณาเห็นกายให้มันแปรสภาพของมัน ถ้ามันแปรสภาพของมัน เห็นไหม ให้เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ให้มันแยกออกจากกัน เวลามันแยกออกจากกันเป็นชั้นเป็นตอนมันก็ปล่อยวางๆ ปล่อยวางต้องมีสัมมาสมาธิ ปล่อยวางต้องมีกำลัง ปล่อยวางต้องมีสติ
ฉะนั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาถึงรักษา รักษาสติของเขา รักษากำลังในจิตนี้ แล้วจิตนี้มันทำงานมาแล้ว มันภาวนาเป็นแล้ว มันจะไปข้างหน้า มันไปข้างหน้า ถ้าจิตสงบถึงมีมาตรฐานของมัน มันน้อมไป เห็นเลย เห็นกาย เห็นกายพิจารณากาย มันเป็นอุคคหนิมิต พิจารณาของมันให้เป็นความจริงขึ้นมา เวลาลงทุนลงแรงเพราะพิจารณาแล้วไม่ก้าวหน้า พิจารณาแล้วไม่เดิน สมาธิอ่อนเกินไป เห็นไหม นักปฏิบัติ นักปฏิบัติที่ตามความเป็นจริงมันล้มลุกคลุกคลาน แล้วปฏิบัติเหมือนกับไม่ได้ทำอะไร บวชพระมาไม่ทำอะไรเลย แต่พระองค์นั้นเกือบตาย เพราะการรักษาจิตมันยากกว่างานข้างนอกกี่ร้อยเท่า งานเดี๋ยวนี้ยิ่งเข้าคอมพิวเตอร์กดออกมาเลย เก็บไว้แล้ว แต่สติจะเก็บไว้ไหน สมาธิจะเก็บไว้ตรงไหน มีแต่วิธีการรักษานี้ไว้เท่านั้น
เวลาเป็นสมาธิก็เป็นสมาธิในใจของเราไง เวลาเป็นสมาธิแล้วถ้ามีกำลังของมันแล้วน้อมไปพิจารณากาย ถ้ามันเห็นกาย เห็นไหม นี่ธรรมสายเหยี่ยว พิจารณาของมันเป็นชั้นเป็นตอนนะ เวลาพิจารณามันปล่อยๆ มันจะปล่อยแล้วเป็นอะไรล่ะ เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟก็ได้ ปล่อยออกมาปล่อยวางโดยสติปัญญาก็ได้ แต่มันปล่อยวางของใคร
พิจารณากาย แต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นเจโตวิมุตติ พิจารณากายแตกต่างกันไป มันไม่เหมือนกัน พิจารณาไปแล้วถ้ามันไปซ้ำกับใครมันสงสัยเลยนะ สงสัยคืออะไร ไม่รู้คืออะไร ลังเลสงสัยคืออะไร ร้อยแปด แต่ถ้ามันพิจารณาสัจจะความจริงขึ้นมา มันจะเป็นข้อเท็จจริงของมันๆ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลามันขาด เห็นไหม กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส นี่ธรรมสายเหยี่ยว ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ มันมหัศจรรย์ของมัน มันติดของมันอย่างนั้น
เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพยายามชักออก เพราะอะไร เพราะมันยังมีเหตุมีผลอยู่ข้างหน้า มันยังมีกิเลสครอบครัวของมันอยู่ในหัวใจดวงนั้น แล้วเวลาหัวใจดวงนั้นถ้าเป็นข้อเท็จจริงไง เพราะ เพราะมันได้รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสของธรรม เห็นไหม อริยธรรมขั้นที่ ๑ อริยธรรมขั้นที่ ๒ อู้ฮู! มันแตกต่าง แล้วมันคงจะเป็นสัจจะเป็นความจริงแล้ว ไม่ใช่! มีครูบาอาจารย์นะท่านจะคอยชี้นำคอยบอก ถ้าคอยบอกนะ นี่ทำความสงบของใจเข้ามา ธรรมสายเหยี่ยว ถ้าจิตสงบมีกำลังมันจะเป็นสติ มหาสติ จะเป็นมหาปัญญา เพราะอะไร นี่ไง ครอบครัวของมารไง คู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ หลานมัน เหลนมัน นี่จะพ่อแม่มันไง นางตัณหา นางอรดีไง
ถ้าจิตมันสงบระงับเข้าไปแล้วมันรู้มันเห็นเข้าไป เห็นกาย เป็นอสุภะ ถ้าเห็นกายนะ พิจารณาไปแล้ว โอ้โฮ! คำว่า “อสุภะ” นางตัณหา นางอรดี ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันแก่นของกิเลส มันต้องเป็นมหาสติ มหาปัญญา มันเข้าไปเผชิญกับข้อเท็จจริง แล้วมันพลิกมันแพลงร้อยแปด ธรรมสายเหยี่ยว แต่เหยี่ยวปีกมันจะหัก กรงเล็บจับมันไหวไหม
ถ้ามันจริงมันจังขึ้นมา ถ้ามันจับของมันได้ เห็นไหม ถ้าพิจารณาไปอย่างนี้ พิจารณากาย มันเป็นสุภะ อสุภะ ถ้าสุภะมันก็แวววาว สุภะมันก็พอใจ อสุภะ อสุภะโดยข้อเท็จจริงเพราะมันไว มันเร็ว พิจารณาไปแล้วมันเป็นไปหมดเลย มหัศจรรย์ของมันมาก แล้วมันล้มลุกคลุกคลานเพราะอะไร เพราะเดี๋ยวมันก็เป็นสุภะ เดี๋ยวมันก็อสุภะ เดี๋ยวมันก็เป็นธรรม ธรรมเพราะเป็นอสุภะ แล้วเดี๋ยวมันเป็นกิเลสล่ะ มันก็เป็นสุภะมันก็เป็นของสวยงาม เป็นของที่ของของเรา ของของเราใครเขาจะรู้ ของของเราต้องอยู่กับเรา โอ้ย! ร้อยแปด ธรรมสายเหยี่ยว มันมีกำลังของมัน มันพิจารณาของมันนะ ล้มลุกคลุกคลานมันถึงเข้มข้น
เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง มันจะเข้มข้นเข้มงวดกับตัวเองมาก มันถึงมีการอดนอนผ่อนอาหารเพราะอะไร เพราะมันทำหน้าเดียว ทิ้งทุกอย่าง เพื่อจะเข้าไปเผชิญกับกิเลสอย่างเดียว จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันน่าสังเวช แล้วถ้ามันพิจารณาของมันไป เวลามันปล่อยๆ มันก็มหัศจรรย์ของมันแล้ว พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลามันขาด นี่ไง กามภพขาดไป คู่ที่ ๓ นี่กามภพนะเกิดเป็นพรหมอย่างเดียวๆ
แล้วถ้ามันมีสติมีปัญญามากขึ้น เวลาทำความสงบของใจเข้ามาคราวนี้มันจะมัธยัสถ์ของมันแล้วล่ะ เพราะอะไร มันจะเป็นญาณ ญาณหยั่งรู้ ขันธ์หยาบเกินไป กิเลส เห็นไหม เกิดเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เวลาเป็นกิเลสที่เป็นภวาสวะเป็นภพ นั่นน่ะตัวสำคัญเลยล่ะ เพราะถ้าไม่เท่าทันไปเกิดบนพรหม แล้วมันต้องสิ้นกิเลสไป แต่! แต่อีกยาวไกล เพราะเวลาของพรหมมันยืดยาว
ถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมา เห็นไหม มันต้องแสวงหา ต้องค้นคว้า ต้องมีครูบาอาจารย์คอยจิ้มคอยตำ คอยพิจารณา เพราะ เพราะมันละเอียดอ่อนจนคุยกันไม่ได้ แต่ผู้รู้กับผู้รู้เขารู้กัน เวลามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม มันเป็นญาณ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชา อาสวักขยญาณจะรู้จักเจ้าวัฏจักร จะเห็นหน้ามันได้อย่างไร ธรรมสายเหยี่ยว ธรรมสายเหยี่ยว
จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส แต่ความผ่องใสของจิตมันมีหลายระดับ อัปปนาสมาธินี่ก็ผ่องใส เข้าสมาธิก็ผ่องใส มันใสอะไร ใสตรงไหน ใครเป็นคนใส แต่ถ้าไปรู้จริงเห็นจริง โอ้โฮ! มันยิ่งกว่าผ่องใส มันเป็นภวาสวะ มันเป็นภพ สิ่งที่เป็นภพๆ สิ่งที่เป็นภพจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเห็นจิตเกิดไหม จิตเวลามันปฏิสนธิ เวลาจิตมันโอปปาติกะ เกิดเป็นพรหม เป็นเทวดา เราเห็นไหม แต่กรรม แต่ธรรม ชัดเจน ชัดเจน
ฉะนั้น เวลามันละเอียดลึกซึ้งขึ้นไป พอมันไปจับตัวเจ้าวัฏจักร เห็นไหม เรือนยอดของเรือน ๓ หลัง มันเป็นเจ้าวัฏจักร มันเป็นเรือนยอดของมัน เป็นภวาสะ เป็นตัวภพ ตัวภพ เห็นไหม เวลาพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ทำมามากน้อยขนาดไหนมันซับอยู่ที่ภพนั้นหมดเลย ทำไมเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุ-สติญาณ จุตูปปาตญาณ เห็นไหม อยู่ที่ไหน แล้วเวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาอาสวักขยญาณทำลายอวิชชามันอยู่ตรงไหน
เวลามันจริงเป็นจังขึ้นมา ธรรมสายเหยี่ยวถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เวลา เห็นไหม พูดถึงว่าเวลามรรคสามัคคีมันเป็นอย่างนั้น แล้วเจ้าวัฏจักรล่ะ แล้วเรือนยอดล่ะ ทำลายอย่างไรล่ะ เวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันทำลายด้วยมรรคญาณ มันทำลายด้วยไม่ใช่ปัญญา ญาณ ปัญญาญาณ ปัญญา เห็นไหม จักขุง อุทปาทิ จักขุญาณ สัจจะความจริง บุคคลคู่ที่ ๑ คู่ ๒ คู่ ๓ คู่ ๔ วุฒิภาวะความแตกต่าง แตกต่างกันมากๆ
แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นไป มันเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด ถ้าเป็นข้อเท็จจริง ธรรมสายเหยี่ยว ธรรมสายเหยี่ยว มันต้องเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เวลามันทำลาย เห็นไหม ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ อวิชชา หักเรือนยอดของมัน พอหักแล้ว อะไร อะไร ไปไม่เป็น มาไม่เป็นเลย แต่มันเป็นข้อเท็จจริงในใจดวงนั้น
สิ่งที่เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม ธรรมสายเหยี่ยว กิเลสมันแก่กล้า เราก็มีสติมีปัญญาของเรา เราก็ทำความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม นี่เป็นการยืนยันจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการยืนยันขึ้นมาจากหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของท่านขึ้นมา ในประวัติหลวงปู่มั่นไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนาล่ะ อนุโมทนาเพราะอะไร เพราะรื้อฟื้น กึ่งพุทธกาลศาสนาเจริญอีกหนหนึ่ง ถ้ามันไม่มีข้อเท็จจริง มันไม่มีคุณธรรมในใจมันจะไปเจริญที่ไหน
ประเพณีวัฒนธรรมมันมีมาแต่ดั้งเดิม ประเพณีวัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่น แต่ละพื้นถิ่นก็แตกต่างกันไป แล้วความเชื่อของสังคมก็แตกต่างกันไป แต่อริยสัจมีหนึ่งเดียว สัจธรรมอันเดียวกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พระอรหันต์ทุกๆ องค์ก็สัจธรรมเหมือนกัน เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่แตกต่างกันโดยการสร้างสมบุญญาธิการมา แตกต่างกันโดยอำนาจวาสนาบารมีเท่านั้น นี่ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริง
แต่ในสังคมกรรมฐานนะ เหยี่ยวตามันคม เล็บมันมีกำลัง มันจับเหยื่อ แต่ถ้ากิเลสมันพลิกแพลงไง มันเป็นอีแร้ง อีแร้งนะมันกินซากสัตว์ มันร่อนทั่วไปหมดแหละ มันหาซากสัตว์กินไง เหยี่ยวมันจับเหยื่อนะ มันกินเหยื่อ มันจับเหยื่อ มันกินเหยื่อ มันเลี้ยงชีวิตของมันด้วยความเป็นเหยี่ยว มีสายตาคมกล้า มีกงเล็บที่จับเหยื่อ ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ เห็นไหม ธรรมสายเหยี่ยว มันเป็นเหยี่ยว มันมีข้อเท็จจริงมีการกระทำเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา มีองค์ความรู้ มีสัจจะ มีความจริง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสัจจะด้วยข้อเท็จจริง
ไอ้พวกอีแร้งมันไม่มีอะไรเลยไง มันร่อนบนอากาศ สายตาคอยหาเศษอาหาร หาสิ่งที่เหยี่ยวมันกินเหลือ อีแร้งมันถึงไม่มีเหตุไม่มีผลไง ร่อนไปทั่ว แล้วก็รอเหยื่อไง รอเศษอาหารไง แต่มันก็ดำรงชีพได้ เพราะ เพราะในวัฏฏะ เหยี่ยวมันก็อยู่ประสาเหยี่ยว มันก็มีหาอาหารของมัน อีแร้งมากมาย แต่ตอนนี้โลกมันเจริญขึ้น อีแร้งมันกลับไปอยู่ในชุมชนในสถานที่มีอาหารของมัน นั่นพวกอีแร้ง อีแร้งคือมันไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้จับไม่ได้ต้องสิ่งใด
แต่สังคมโลกๆ เราเห็นเหยี่ยว เราก็รู้ว่าเป็นเหยี่ยว เห็นไหม เห็นอีแร้ง เอ้อ!อีแร้งมันก็บินเหมือนกัน มันก็เป็นนกเหมือนกัน แต่ข้อเท็จจริงมันแตกต่างกัน มันใช้ชีวิตแตกต่างกัน มันมีอาหาร เห็นไหม อาหารของเหยี่ยว เหยี่ยวมันก็กิน เวลาถ้ามันเจออาหาร แต่มันโดยธรรมชาติของมัน มันล่าเหยื่อ มันล่าเหยื่อของมันโดยตามเป็นจริง เห็นไหม
ธรรมสายเหยี่ยว ถ้าเป็นธรรมสายเหยี่ยวเราต้องมีสติปัญญาของเรา เราต้องมีกำลังของเรา ถ้าพลั้งเผลอมันจะเป็นอีแร้งไง อีแร้งมันบินร่อนเลยนะ มันกางปีกได้กว้างกว่าเหยี่ยวอีกล่ะบางประเภท แต่ข้อเท็จจริงมันไม่มี มันทำสิ่งใดขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาไม่ได้ แล้วอำนาจวาสนาของใคร
นี่เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธ-ศาสนา เวลาเราประพฤติฏิบัติของเราขึ้นมา เห็นไหม เราจะเอาข้อเท็จจริง ธรรมสายเหยี่ยวต้องให้เป็นเหยี่ยว แต่ธรรมสายเหยี่ยวนี้เป็นข้อเท็จจริง เป็นการกระทำ เป็นการกระทำด้วยมรรคด้วยผล ด้วยความมุมานะ ด้วยสัจจะ ด้วยความจริงของเรา มันถึงจะเป็นความจริงของเรา
แต่ถ้าเราปล่อยปละละเลย แล้วด้วยอำนาจวาสนาของคนที่มันอ่อนแอ วุฒิภาวะที่ไม่มีสัจจะและความจริงในใจของตน มันก็เป็นแค่ชุบตัว ชุบว่า เห็นไหม ทองชุบ มันไม่เป็นสัจจะเป็นความจริงหรอก ไม่เป็นสัจจะเป็นความจริง เห็นไหม มันก็สร้างเวรสร้างกรรมของของมันไปนะ ถ้ามันทำความเสียหาย ฉะนั้น เป็นอีแร้งมันสบาย มันเที่ยวร่อนไปแล้วก็หาเหยื่อ แต่ถ้าเป็นเหยี่ยวมันมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมีการกระทำ
นี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราจะทำความจริงความจังของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา ถ้ากิเลสมันเข้มข้นเข้มแข็งขึ้นมา เห็นไหม เราก็ต้องธรรมสายเหยี่ยว เอาจริงเอาจังเอาการปฏิบัติมันก็อยู่ที่วาสนานั่นแหละ วาสนาของคนถ้ามันมีอำนาจวาสนา ทำสิ่งใดแล้วมันไม่หนักหนาหรอก มันพอใจจะทำ แล้วอยากทำด้วย แล้วทำแล้วอยากเห็นผลในการกระทำของตน
ธรรมทั้งหลายมันมาแต่เหตุ เหตุการกระทำของเราอันนั้นแหละ มันจะบอกถึงจริตนิสัย บอกถึงการกระทำ บอกถึงมรรคถึงผล ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เห็นไหม“โมฆราช เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง” แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทำลายที่อัตตานุทิฏฐิ ทำลายที่ใจของตน ถ้าใจของตนว่าง โลกก็อยู่ข้างนอก จิตของตนต่างหาก แล้วถ้าจิตของตนมันสิ้นสุดแห่งทุกข์ มันเป็นสัจจะเป็นความจริง แล้วเป็นสัจจะเป็นความจริงที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ไม่ได้บวชเหยียบแผ่นดินผิด เอวัง