เทศน์บนศาลา

กิเลสอย่างอ่อน

๒๔ ส.ค. ๒๕๖๖

กิเลสอย่างอ่อน

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๖

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราสาวก สาวกะผู้ได้ยินได้ฟัง ถ้าได้ยินได้ฟังนะ สหชาติเกิดสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินจากโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สาวก สาวกะไง ได้ยินได้ฟัง ถ้าได้ยินได้ฟังขึ้นมา ได้ยินได้ฟังเพื่ออะไร 

ฟังธรรมๆ เป็นสิ่งที่หาฟังได้ยาก ในโลกนี้มีแต่นินทาสรรเสริญ มีแต่ติฉินนินทากันทั้งนั้น มันไม่เป็นสัจจะเป็นความจริงใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่เป็นทางวิชาการขนาดไหนนั้นก็เป็นวิชาชีพ ถ้าวิชาชีพเขาสิ่งที่เขาปฐมนิเทศนั้นเพื่อประโยชน์กับหน้าที่การงานของเขา ฟังธรรมๆ ฟังธรรมให้เราได้มีสติ มีปัญญา ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมามันจะน้อมเข้ามาสู่หัวใจของตน ถ้ามันน้อมเข้ามาสู่หัวใจของตน เห็นไหม เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา 

ในพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ไง กราบธรรมๆ กราบธรรมในหัวใจขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันเป็นสัจจะเป็นความจริง มันเป็นความมหัศจรรย์ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เห็นไหม มันมีความทุกข์ความยากมากน้อยขนาดไหน ในหัวใจของคนมันมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกันทั้งสิ้น แล้วมันหาทางออกไง เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันทำอย่างไรถึงไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไปเห็นสมณะ ถ้าสมณะๆ นั่นก็เพียงแค่เห็น เห็นสมณะมันเป็นทางออกไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบวชๆ ไง ออกบวช ๖ ปี สมณะเหมือนกัน แต่สมณะอย่างนั้นเป็นสมณะที่ศึกษาค้นคว้าหาข้อเท็จจริงในหัวใจของตนในการประพฤติปฏิบัติ เพราะเขามีครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติอยู่แล้ว ฤๅษีชีไพรเขาก็ปฏิบัติของเขา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปศึกษาค้นคว้ามากับเขาทั้งสิ้น อุทกดาบส อาฬารดาบส เห็นไหม มีความรู้มีความเห็นเสมอเรา เป็นอาจารย์ได้” เจ้าชายสิทธัตถะไม่สนใจเลย

คำว่า ไม่สนใจๆ” เห็นไหม มันเหมือนกับปัจจุบันนี้ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการสั่งสอน มันมีความรู้อะไร แล้วความรู้ความจำๆ เป็นเรื่องหนึ่งนะ ความจริงๆ เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ความจำๆ ใครก็ศึกษา ใครก็ค้นคว้า แล้วค้นคว้า ๙ ประโยคๆ เขาค้นคว้ามาแล้วเขามีแต่ความลังเลสงสัย ถ้าศึกษาค้นคว้า ๙ ประโยคขึ้นไป ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นกิเลสไป เขาศึกษาค้นคว้าเขาก็รู้ของเขา เขาก็จำมาของเขา มันก็ต้องเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจของเขา แต่ทำไมเขามีความทุกข์ความยากล่ะ เพราะเขาแก้กิเลสไม่ได้

นี่ไง เวลาฟังธรรมๆ เป็นสัจธรรม ถ้าสัจธรรมขึ้นมา สัจธรรมจากการล้มลุกคลุกคลาน ล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน ถ้ามีอำนาจวาสนานะ เขาก็จะมีการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของตนขึ้นมา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น เธอต่างหากต้องไปรื้อค้นคว้าขึ้นมาให้ขึ้นมาเป็นความจริงในหัวใจของเธอ” เพราะ เพราะอะไร เพราะอวิชชาพาให้เธอเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วศึกษาค้นคว้าขึ้นมาก็ศึกษาค้นคว้าจากอวิชชาจากความไม่รู้อันนั้นแหละ แล้วศึกษาค้นคว้าขึ้นมาแล้ว อวิชชามันก็ได้หมกไว้ในหัวใจของตน แต่ศึกษาค้นคว้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นวิชาการ วิชาการหนึ่ง แต่วิชาการนั้นเรารู้แต่ภาคทฤษฎี แต่ภาคประพฤติปฏิบัติมันยังไม่เกิดขึ้นกับเรา

เวลาเกิดขึ้นกับเรา เห็นไหม ฟังธรรมๆ ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราก็ล้มลุกคลุกคลานมาทั้งสิ้น เพราะคนเกิดมามันมีอวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้ก็เหมือนคนดิบๆ เวลาคนดิบๆ ขึ้นมาทำสิ่งใดไปมันจะรู้อะไร มันรู้ไปไม่ได้หรอก รู้ไปมันต้องศึกษาค้นคว้า ถ้าศึกษาค้นคว้าแล้วฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมา เห็นไหม มันจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาโดยข้อเท็จจริง ถ้ามันไม่เป็นข้อเท็จจริงกิเลสมันหลอก กิเลสที่ในหัวใจเรานี่แหละหลอก 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ นั่นน่ะก็มีอวิชชา มีกิเลสพญามารทั้งสิ้น ถ้ามันไม่มีกิเลสพญามาร ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณเวลาทำลายอวิชชา ทำลายกิเลส ก็ได้ฆ่ามันไง ถ้าไม่มีเอาอะไรไปฆ่า เพราะมันมีของมันไง เพราะมันมีของมัน เพราะจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีพญามารทั้งสิ้น

เพราะมันมีพญามาร ก็พญามารนั่นแหละเป็นตัวต้นเหตุให้ได้เกิด แล้วจิตเป็นของเรา จิตเป็นของเรา แต่จิตของเรามันยังไม่ได้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันก็ทุกข์มันก็ยากอยู่อย่างนั้นไง เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงในหัวใจขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ 

กราบธรรมคือกราบสัจธรรม เวลาแสดงธรรมๆ เห็นไหม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เขาก็ทำเหมือนกัน เขาก็ทำได้เหมือนกัน ถ้าเขาทำได้เหมือนกัน เห็นไหม สิ่งที่เพราะได้ยินได้ฟัง เป็นแนวทาง แล้วฟังแล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เห็นไหม เขาใช้สติ ใช้ปัญญาของเขา สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะใจของเขามีเหตุมีผล มีเหตุและผล เหตุและผลนั้นมันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา 

สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับเป็นธรรมดา ถ้าเป็นข้อเท็จจริงๆ นะ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอไง” เวลาองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอบรมบ่มเพาะขึ้นมานะ เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย แล้วอะไรคือธรรมล่ะ ธรรมคือเหตุและผล เหตุและผลรวมลงแล้วเป็นธรรม 

เวลาเราสงสัยขึ้นมา สิ่งใดแล้วแต่เราศึกษาค้นคว้าขึ้นมา เห็นไหม ทางวิชาการอย่างไรแล้วแต่ เวลามันถูกต้องชอบธรรม จบ เหตุและผล แต่มันเป็นเหตุและผลของโลกๆ มันเป็นเรื่องโลกๆ ถ้ามันมีเหตุมีผลของมัน เหตุและผล ธรรมคืออะไร ธรรมคืออะไร เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิดๆ” ถ้าเธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่ง เห็นไหม เวลาเราตกทุกข์ได้ยากขึ้นมา เรามีสติมีปัญญาขึ้นมา เราก็วิเคราะห์ เราก็วิจัย เราก็มีสติมีปัญญาศึกษาค้นคว้าแล้วฝึกหัดปฏิบัติ เวลาเหตุผลมันสมดุลของมัน มันก็ปล่อยๆ เหตุและผลคือธรรม แต่มันเหตุและผลทางโลก 

โลกคืออะไร โลกก็คือโลกียปัญญาไง โลกก็คือเรานี่ไง นี่ไง โลกไง ภวาสวะ ภพไง สิ่งที่จิตที่เวียนว่ายตายเกิดเป็นโลกทั้งสิ้น กามภพ รูปภพ อรูปภพ ผลของวัฏฏะนี่แหละคือโลก เทวดา อินทร์ พรหมก็คือโลก โลก โลกหนึ่งของเขาไง เวลาเกิดเป็นพรหมก็พรหมไง เวลาเกิดเป็นเทวดาก็เทวดาไง เวลาเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ไง ผลของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง นั่นโลกทั้งนั้น สิ่งที่โลกเพราะอะไร เพราะมันคิดได้ มันเป็นได้ มันเป็นตามความเป็นจริงในสัจธรรมที่เราได้ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เราทำของเรามาทั้งสิ้น มันถึงเป็นโลก

ถ้าคำว่า เป็นโลก” เห็นไหม เราก็เกิดมากับโลกไง แล้วมีครูบาอาจารย์ที่ไหนล่ะ เวลาท่านสอนเป็นธรรมๆ ถ้าครูบา-อาจารย์ที่ท่านสอนเป็นธรรม ท่านต้องรู้จักโลกและรู้จักธรรม ถ้ารู้จักโลก โลกคืออะไร โลกก็ความย้ำคิดย้ำทำอยู่นี่ โลกก็คือสิ่งที่เรารู้สึกนึกคิดนี่แหละ แต่แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าบอก การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ๆ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกันไง เวลาเกิดเป็นมนุษย์แล้วมีอำนาจวาสนา มีอำนาจวาสนาได้มีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา ได้ศึกษาค้นคว้าขึ้นมา มันมีที่พึ่งที่อาศัยไง 

 โลกนี้เร่าร้อนอยู่เป็นนิจ โลกนี้ร้อนมาก ร้อนเพราะการแข่งขัน ในทางสังคมก็เรื่องหนึ่ง เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วต้องมีหน้าที่การงานของเรา เห็นไหม ใครมีอำนาจวาสนาประสบความสำเร็จขึ้นมา เห็นไหม เหงื่อไหลไคลย้อย เห็นไหม เวลาทำสิ่งใดขึ้นมาวิตกวิจารณ์เป็นทุกข์เป็นยาก นี่คือหน้าที่การงาน หน้าที่การงานในวิชาชีพในการหาปัจจัยเพื่อเลี้ยงชีพ มีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา

ถ้ามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา เรามีธรรม มีบุญ มีบาป มีธรรมเป็นที่พึ่งๆ เราก็ศึกษาค้นคว้า เราก็ทำบุญกุศลของเรา เราศึกษาค้นคว้า ธรรมโอสถๆ เวลาตรึกในธรรมๆ นี่ปัญญาอบรมสมาธิ เราศึกษาค้นคว้าเหตุและผล ถ้าเหตุและผลถ้าเราไม่มีสติปัญญามีกำลังเท่ากับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราก็เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอาวุธไง เราก็มีใจศึกษา ศึกษาค้นคว้า มันก็เป็นการบรรเทาทุกข์ ถ้ามีธรรมๆ ขึ้นมาในหัวใจ มันเป็นที่พึ่งที่พึ่งที่อาศัยๆ ถ้าเป็นที่พึ่งที่อาศัย เห็นไหม โลกๆ ทั้งนั้น 

แล้วเวลาถ้ามีใครเห็นภัยในวัฏสงสารจะออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ถ้ามันเป็นกระแสสังคมกระแสโลก มันปฏิบัติพอเป็นพิธีก็ปฏิบัติแบบโลกๆ เวลาในการศึกษาค้นคว้าในทางวิชาการ กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งๆ แต่ในความเชื่อของเขาไง กึ่งพุทธกาลแล้วมรรคผลนิพพานคงจบสิ้นไปแล้วล่ะ มันพ้นกาลพ้นสมัยไง ไม่มีใครเชื่อถือ แล้วไม่มีใครมีความจริงจังที่จะศึกษาค้นคว้าให้เป็นความจริงของตนขึ้นมาได้ มันก็เหลวไหลไปอย่างนั้น

แล้วเวลาการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ศีล ศีลจะรู้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ด้วยกัน เวลาเห็นประพฤติปฏิบัติมันก็น่าศรัทธาน่าเชื่อถือ แต่เวลาจะไปปฏิบัติจริงๆ เห็นหมดล่ะถ้ามันทุศีล ถ้าศีลถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาอย่างไร มันไม่มีสติไม่มีปัญญาเกิดขึ้นของมันขึ้นมาได้ไง มันถึงเป็นเรื่องจริตเป็นนิสัย โทสจริต โมหจริต โลภจริต โมหจริตๆ ลุ่มหลงไปกับของตน เวลาโมหจริตกิเลสอย่างอ่อนๆ นี่ความโลภ ความโกรธ ความหลง เวลาโทส-จริตเวลามันโกรธเครียดขึงขึ้นมามันรู้มันเห็น ใช้อาศัยความรุนแรง อาศัยอำนาจวาสนา อาศัยสิ่งที่อิทธิพลทำลายเขาไปทั้งสิ้น โทสจริต

โลภจริต เห็นไหม มันโลภมันอยากได้ โมหจริตมันหลงๆ ไง ความหลงๆ ความหลงมันกลืนกินไปหมดเลย สติปัญญาเท่าไหร่มันหลงใหลไป เห็นไหม นี่กิเลสอย่างอ่อนๆ เวลากิเลสอย่างอ่อนๆ เห็นไหม มันซึมซับไปของมัน เห็นไหม มันกลืนกินไปหมดไง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็หลงใหลว่ามันเป็นจริงเป็นจังไป นี่ปฏิบัติพอเป็นพิธี 

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ ท่านทำของท่านจริงๆ แล้วเวลาสิ่งที่ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลก็ต้องเป็นศีลไม่ใช่ศูนย์ ถ้ามันไม่เป็นศีลขึ้นมาแล้ว เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมามันยอกมันย้อน สิ่งที่ร้ายนักคือกิเลสในหัวใจของคน แล้วกิเลสในหัวใจของเรา ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติไม่ต่อสู้กับมันนะ มันก็พออยู่ได้นะ เอาจริงเอาจังขึ้นมันกีดมันขวาง มันพลิกมันแพลง วุ่นวายไปหมด ไม่นั่งสมาธิขึ้นมามันก็ผิดนะ เราเคยได้ยินมา เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการไง เราจะศึกษาค้นคว้าไว้ แล้วเราจะไปประพฤติปฏิบัติตอนแก่ตอนเฒ่า ยิ่งใกล้เข้าโลงปฏิบัติให้มันสิ้นกิเลสไปเลย” เขาว่ากันอย่างนั้น เห็นไหม 

นี่ไง เวลามันลุ่มมันหลงมันผัดวันประกันพรุ่งของมันไป มันคิดว่ามันจะทำของมันได้ ทำเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วมันก็หลงใหลของมันไป นี่กิเลสอย่างอ่อนๆ แต่มันกลืนกินไปหมดเลย วันเวลานั้นมันเอาไปเป็นสมบัติของมันทั้งสิ้น เอาไว้แก่ๆ ก่อน แล้วค่อยมาประพฤติปฏิบัติ มันก็ลุ่มหลงของมันไป ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก็ศึกษามาแล้วก็ว่าตัวเองเข้าใจ เวลาตัวเอง เห็นไหม แล้วปฏิบัติพอเป็นพิธี ปฏิบัติไปแล้วมันก็เป็นไง เป็นด้วยอะไร เป็นด้วยสัญญาอารมณ์ไง เป็นด้วยจินตนาการของจิตไง เวลากิเลสมันไพล่บิดพลิ้วเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาหลอกมาลวงเรา เราก็หลงใหลไปกับมันไง โมหจริตกิเลสอย่างอ่อนๆ อ่อนๆ นะ อ่อนๆ ไปกับเขาหมดเลย มันพลิ้วไปกับเขาไง นี่กิเลสอย่างอ่อนๆ

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นจริงเป็นจังนะ สิ่งที่พอประพฤติปฏิบัติเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติไป เห็นไหม ทำความสงบใจเข้ามา ทำความสงบใจเข้ามา ถ้าใจสงบระงับเข้ามา ถ้าคนมีอำนาจวาสนา มันรู้มันเห็นสิ่งใดแปลกๆ ขึ้นมา มันส่งออกไป แล้วมันยึดถือของมันว่ามันรู้มันเห็นต่างๆ ก็มาพิจารณาของตนว่ามันเป็นแบบนั้นจริงหรือไม่ ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม เราจะรักษาอย่างไร

เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้น การทำความสงบของใจ ทำความสงบใจมันทำได้ยาก จิตนี้รักษายาก จิตนี้รักษายาก จิตนี้จะทำให้สงบระงับเข้ามาแสนยาก พอมันแสนยากแต่ถ้ามันทำของมันได้โดยข้อเท็จจริง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี นี่สัมมาสมาธิ ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แต่สัมมาสมาธิ ถ้าล้มลุกคลุกคลาน คนที่ไม่มีวาสนาก็ปฏิบัติพอเป็นพิธี ปฏิบัติไปแล้ว สิ่งนี้ปฏิบัติแล้วก็คิดว่านี่เป็นมรรคเป็นผล แล้วคิดว่าสิ่งนั้นมันจะยั่งยืนกับเรา มันจะไปยั่งยืนที่ไหน สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ทางโลกทางวิทยาศาสตร์นะเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง อนิจจังนี่มันแปรสภาพของมันไปโดยข้อเท็จจริงของมัน

แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติไง เวลาประพฤติปฏิบัติ เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม โดยทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ วิธีการดับทุกข์ด้วยมรรค ๘ เราก็เข้าใจว่ามันเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาไง โดยการศึกษาค้นคว้า เห็นไหม สัมมาอาชีวะก็ว่าเลี้ยงชีพชอบๆ ทำมาหากินเป็นความชอบธรรมๆ เห็นไหม หน้าที่การงานมันเป็นมรรคของฆราวาสธรรมเขา

เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง อารมณ์ความรู้สึกเป็นอาหารของจิต อารมณ์ความรู้สึกแล้วเวลาจิตเวลากระทบกับความโลภ ความโกรธ ความหลง ถ้ามันโกรธเครียดขึ้นมามันทุกข์มันยากขึ้นมา จิตนี้มันเสวย เสวยความเผ็ดร้อน มันทุกข์มันยากทั้งนั้น จิตเวลามันโลภจริต เวลามันลุ่มมันหลงเข้าไป กิเลสอย่างอ่อนๆ มันพลิกมันแพลงขึ้นมาว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ เวลาจิตมันเสวย จิตมันเสพ จิต จิตมันกินนี่อาหารของจิต นี่ไง ที่บอกว่าเลี้ยงชีพชอบๆ ความรู้สึกนึกคิดมันเสวยทั้งหมด จิต ความคิดเกิดจากจิต ไม่ใช่จิต แล้วจิตมันอยู่ไหน แล้วการกระทำทำตามความเป็นจริง มันเอาความจริงมาจากไหน นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติล้มลุกคลุกคลานมาแล้ว ท่านถึงเห็นโทษของมันมหาศาล สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือกิเลสในหัวใจของคน

เวลาศึกษาค้นคว้ามา ๙ ประโยค ศึกษา ไอ้นั่นเป็นธรรม ไอ้นั่นกิเลส ไอ้นั่นเป็นนรก ไอ้นั่นเป็นสวรรค์ คิดศึกษาค้นคว้าไปแต่ไม่เคยเห็นตัวมัน แล้วเวลามันฟาดงวงฟาดงาในใจก็ยังไม่รู้จักมัน 

เวลาครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านประพฤติปฏิบัติ ถ้าทำความสงบของใจได้ ใจมันจะสงบระงับของมันบ้าง แล้วสงบระงับมันเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง มันเป็นอาหารไง ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ แล้วสุขล่ะถ้ามีความสุขมันก็หล่อเลี้ยงหัวใจของเราขึ้นมาบ้าง ถ้ามันมีความสุขความสงบไง ถ้ามีความสุขความสงบ แล้วคนนักประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะรู้ทันที เพราะอะไร เพราะนักปฏิบัติ เราปฏิบัติเป็นอาชีพ เราปฏิบัติ ทางของสมณะเป็นทางกว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมง เวลาผู้ประพฤติปฏิบัติใหม่ เห็นไหม ชั่วโมงหนึ่งนะเหมือนกับ ๕ ปี จุดธูปไว้ดอกหนึ่ง มันเหมือนกับจักรวาลทั้งจักรวาลเลย เวลามันเคลื่อนไปช้านัก เวลาจะควบคุมดูหัวใจของตน แต่เวลามันเพลิดมันเพลินนะ ๒๔ ชั่วโมงแป๊บเดียว เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างอยู่อย่างนั้น

เวลาเอาจริงเอาขึ้นมา เห็นไหม มันทุกข์มันยากของมัน ถ้าคนที่เคยประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ ถ้าจิตมันสงบแล้วจะรักษาอย่างไร สมาธิประพฤติปฏิบัติได้แล้วมันจะคงที่ตายตัวไปไม่มี ไม่มีหรอก เพราะ เพราะอะไร เพราะ เห็นไหม เวลาความรู้สึกนึกคิด ความคิดเกิดจากจิตไม่ใช่จิต สมาธิก็เกิดจากจิตนั้นแหละ เกิดจากจิตที่ครูบาอาจารย์ที่เราประพฤติปฏิบัติได้ตามความเป็นจริง มันเกิดเป็นครั้งเป็นคราวๆ เวลาเป็นครั้งเป็นคราว ครูบา-อาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม พยายามให้ชำนาญในวสี ชำนาญในการเข้าและการออก 

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ รักษาเหตุให้สมดุลและพอดีของเขา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ อานาปานสติ นั่นคือเหตุทั้งนั้น แล้วถ้ามันสงบระงับเข้ามาแล้ว เราเคยได้ เราเคยทำได้ เวลาจะเอาครั้งต่อไป เราจะทำความสงบของใจให้มากขึ้นๆ แล้วต่อเนื่องกันไปๆ ถ้าจิตมันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา

ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมา เห็นไหม บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคา-มิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ มันเป็นสติ มหาสติ มหาปัญญา มันลึกลับซับซ้อน แล้วมันรู้มันเห็น นี่คืออะไร นี่คือหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมาจนจบสิ้นกระบวนการหมดแล้ว ท่านถึงได้วางข้อวัตรปฏิบัติไว้ไง ให้เราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ การฝึกหัดประพฤติปฏิบัติคือรักษาหัวใจของตนๆ รักษาหัวใจของตน แล้วการปฏิบัติขึ้นมา ค้นคว้าหาหัวใจของตน ถ้ามันรักษาใจของตนได้ แล้วศึกษาหัวใจของตนได้ ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ นั่นน่ะมันจะก้าวหน้าไปในการประพฤติปฏิบัติ 

แต่ถ้ามันหลงมันใหลของมัน เวลามัน เห็นไหม โมหจริต มันเป็นโมหจริต กิเลสอย่างอ่อนๆ แต่มันทำลายกลืนกินการประพฤติปฏิบัติไปทั้งสิ้น แล้วเวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมานะ อะไรเป็นจริงเป็นจัง มันอ่อนไหว มันพลิ้วของมันไง ผ้าแพรไหมมันนุ่มนวล สิ่งนั้นนะ นี่ไง เวลาโมหจริต กิเลสอย่างอ่อนๆ แล้วความจริงมันอยู่ไหน กิเลสอย่างอ่อนๆ แล้วได้มีการประพฤติปฏิบัติมาเป็นข้อเท็จจริงตรงไหน มันพลิ้วไหวไปว่ามันรู้มันเห็นมันเป็นจริง ธรรมมีอยู่โดยดั้งเดิม เราก็เป็นคนดีแล้ว เราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ให้เห็นว่ามันเป็นธรรมๆ” มันเป็นธรรมตรงไหน

เวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาๆ เห็นไหม องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย 

แล้วเวลาถ้าจะเป็นธรรมๆ เป็นธรรมตรงไหน เป็นธรรมไง เวลาศึกษาค้นคว้า เรา เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ว่าเป็นอริยทรัพย์ๆ มันจริงตามสมมุติ สมมุติบัญญัติ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ๆ นี่เป็นสมมุติ สมมุติคือชั่วคราวชีวิตหนึ่ง เพราะทุกคนเกิดแล้วต้องตายหมด นี่สมมุติ สมมุติบัญญัติ นี่สมมุตินะ บัญญัติ บัญญัติคือธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง

สมมุติบัญญัติๆ ถ้าเวลามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมันเป็นวิมุตติ วิมุตติธรรมๆ ที่เป็นสัจจะเป็นความจริงที่เราศึกษาค้นคว้า ที่เราจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงอยู่นี้ แล้วกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งๆ ครูบา-อาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมาแล้ว เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมานี่มันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในหัวใจดวงนั้น ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในหัวใจดวงนั้น นี่การกระทำ การกระทำนะ มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน 

แต่ของเรานี่เราเป็นใหญ่ เราเป็นประธาน เรา เรามีกายกับใจ แล้วเราเป็นใหญ่ เราเป็นประธาน ใหญ่โดยทิฏฐิ ใหญ่โดยมานะ ใหญ่โดยความลุ่มหลง แต่มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา ใจเป็นใหญ่ๆ ถ้าใจเป็นใหญ่นะ มันต้องใหญ่กว่ากิเลส มันต้องมีอำนาจวาสนา พยายามฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ให้มันเป็นอิสระขึ้นมามันถึงจะเป็นใหญ่ แต่ตอนที่ว่าสิ่งที่กิเลสมันครอบงำอยู่นี่ มันอยู่ใต้กิเลส กิเลสมันครอบงำของมันอยู่ แล้วกิเลสมันครอบงำ นี่กิเลสอย่างอ่อนๆ หมด หมดเนื้อหมดตัว กิเลสเอาไปกินหมดเลย แล้วเวลาปฏิบัติบูชาก็ปฏิบัติเพื่อไปบูชากิเลสไง มันไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อบูชาธรรมไง 

ถ้ามันเป็นธรรมๆ เห็นไหม เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย ธรรมมันคืออะไร นี่เหตุและผลรวมลงคือธรรม เหตุและผลรวมลงคือธรรม นี่เหตุๆๆ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเราเป็นนักรบนักประพฤติปฏิบัติไง เราก็พยายามเจริญสติ เราก็ตั้งสติของเราไว้ ถ้าตั้งสติของเราไว้ สิ่งใด เห็นไหม สิ่งที่ว่าสัมมาอาชีวะ จิตที่ว่าผู้รู้ สิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้คือขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เห็นไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งที่มันถูกรู้มันจะเริ่มต้นความรู้สึกนึกคิดจากตรงไหนก่อน รู้สึกความสุขความทุกข์ เวทนา ถ้ารู้จักอารมณ์ก็รูป ถ้ารู้จักความซึมซาบจากสัญญา สัญญาคือข้อมูลเดิม ถ้ามันปรุงมันแต่งขึ้นมา เห็นไหม นี่สังขาร วิญญาณรับรู้ในอารมณ์นั่น วิญญาณรับรู้ในอารมณ์ วิญญาณในขันธ์ ๕ ไม่ใช่ปฏิสนธิวิญญาณ ไม่ใช่ผู้รู้ ผู้รู้มันเป็นอีกชั้นหนึ่ง

แต่สิ่งที่ถูกรู้ๆ นี่ เห็นไหม สัญญาอารมณ์ทั้งสิ้น ถ้าเป็นสัญญาอารมณ์ขึ้นมานี่ๆ สิ่งนี้ที่ว่าความคิดเกิดจากจิต แล้วกิเลสมันก็อาศัยจิตนั่นแหละ อยู่กับจิตนั้น แล้วมันก็ครอบงำภวาสวะ ครอบงำผู้รู้ มันก็เป็นโลกไง แล้วสิ่งที่เป็นธรรมล่ะ ถ้าเป็นธรรมๆ นะ เหตุและผลเป็นธรรม เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย แล้วเวลาศึกษาค้นคว้าขึ้นมา ภาคปริยัติทฤษฎีนี่ความจำๆ แต่จำมาแล้ว เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ทาง เราเป็นคนชี้ทาง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหนทางทั้งสิ้น แล้วเวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา เธอจะต้องเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเอง” เพราะ เพราะอะไร เพราะจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตดวงใดไม่มีมรรค จิตดวงนั้นไม่มีผล ถ้าจิตดวงใดมีมรรค เราจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่ศึกษาค้นคว้ามาทั้งหมดวางไว้ก่อน สิ่งที่ศึกษาค้นคว้ามาทั้งหมด เอามาตรึก เอามานึกคิด มันก็เป็นความคิดทั้งนั้นแหละ มันก็เป็นเหตุและผลของโลก

ถ้ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิตรึกในธรรมๆ เพราะอะไร เพราะมันพุทโธไม่ได้ไง เวลาพุทโธๆ ไปนี่คนที่พุทธจริต จริตของมันมันไม่ยอมรับหรอก พุทโธๆ อะไรๆ ก็พุทโธ อะไรๆ ก็พุทโธ พุทโธมันจะแก้ไขอะไร” พุทโธนั่นคือคำบริกรรม นั่นจิตทำงาน จิตมันมีอวิชชามันมีความไม่รู้ตัวของมัน แล้วสิ่งใดเกิดขึ้นมันเสวยหมด มันคิดหมด มันเสวยอารมณ์ๆ มันรู้สึกนึกคิด แล้วกิเลสมันก็สิ่งนี้ป้อนไว้ให้ เวลาเราพุทโธๆ เห็นไหม พุทโธๆ นี่คำบริกรรม บังคับๆ นี่เริ่มต้น เริ่มต้นล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้น เพราะอะไร ความคิดคือความคิด อารมณ์ก็คืออารมณ์ มันถือว่าเป็นอันเดียวกันหมด แล้วมันจะแบ่งแยกตรงไหน

เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เวลาศึกษาค้นคว้านั่นน่ะเหตุและผลของโลก เหตุและผลของความรู้สึกนึกคิดของเรา เหตุและผลที่เราเกิดเป็นมนุษย์นี่จริงตามสมมุติ นี่โลกๆ ทั้งนั้น แล้วมันคิดมันก็คิดแบบผิวเผินไง คิดโดยผิวเผิน สัญญาอารมณ์จากสัญชาตญาณ สิ่งนี้มันคิดโดยธรรมชาติของมัน เราก็ว่ามันละเอียด มันจับต้องไม่ได้ มันค้นหาสิ่งใดไม่ได้ แต่เวลาครูบา-อาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ไอ้นี่มันผิวเผินมาก มันเรื่องผิวเผิน มันส่งออกไปจนเป็นสัญญาอารมณ์ จนมันเป็นความรู้สึกนึกคิดไปหมดแล้วล่ะ

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์สิ่งที่ว่ามันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วมันเป็นอย่างนี้จริงๆ เห็นไหม ถ้ามีอำนาจวาสนานะ เราถึงศึกษาค้นคว้ามาแล้วเราวางไว้ วางไว้ก่อน ทำความสงบของใจเราเข้ามาก่อน ทำความสงบของใจเราเข้ามาก่อน แล้วมันจะมีสิ่งใดปลุกเร้า สิ่งใดที่มันจะพยายามจะกระตุ้นให้เรามีอารมณ์ความรู้สึกกับมันไปก่อน เห็นไหม ขันติธรรม อดทนอดกลั้นแล้วพยายามบริกรรมของเรา พยายามมีสติของเรา นี่เหตุและผลของโลก 

ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมามันจะเห็นข้อเท็จจริง เห็นถึงอารมณ์ที่มันพลุกพล่าน เห็นอารมณ์ที่โทสจริต โลภจริต เวลาโลภะ ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันเกิดขึ้น มันกระทบกระเทือนหัวใจเราไปทั้งสิ้น แล้วมันกระทบกระเทือนหัวใจเราทั้งสิ้น มันกระทบกระเทือนจากอะไรล่ะ ถ้ามันจะกระทบกระเทือนนะ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา จริตนิสัยของคนถ้ามันกระทบแล้วมันจะรุนแรงมาก เวลารุนแรงมากมันก็จะเป็นของมันอยู่อย่างนั้น แล้วเราก็จะรักษาหัวใจของเราให้มันเจริญงอกงามขึ้นมา แล้วจะรักษาอย่างไร มันเป็นเหยื่อ กิเลสมันเอาสิ่งนี้มาป้อนให้ เอาสิ่งนี้มาล่อลวงให้เราทุกข์ยากไปกับมันอยู่ตลอดเวลา

ฉะนั้น เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านวางข้อวัตรปฏิบัติไว้ไง เห็นไหม เราไม่ตามสิ่งนั้นไป ถ้าเราไม่ตามสิ่งนั้นไปเราก็ฝึกหัดของเราขึ้นมา ฝึกหัดของเราขึ้นมา ทำความสงบของใจเข้ามา พอใจมันเริ่มปล่อยวางอย่างนั้น จากจากบริกรรมพุทโธๆๆ จากอานาปานสติ จากปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันหยุดของมันได้ มันพิจารณาของมันได้มันไม่ไปกับเขานะ มันไม่ไปกับ เห็นไหม 

นี่โมหจริต กิเลสอย่างอ่อนๆ แต่กิเลสอย่างอ่อนๆ เห็นไหม โมหะคือหลงใหล พอหลงใหลไปมันจะเป็นอย่างนั้นๆ แล้วไหลตามมันไปทั้งสิ้น แล้วไปทั้งสิ้นมันก็ไปหมดน่ะซิ แล้วธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมๆ ดั้งเดิมเพราะอะไร เพราะจินตนาการความรู้สึกนึกคิดมันรู้สึกนึกคิดได้ทั้งสิ้น ถ้าความรู้สึกนึกคิดขึ้นไปแล้วอ้างอิงว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม แล้วเราก็ลุ่มหลงไปว่ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันก็เป็นจริงเป็นจัง นี่ไง กิเลสอย่างอ่อนๆ แต่มันชักลากไปในการประพฤติปฏิบัติไม่เหลืออะไรเลย เพราะมันพลิกแพลงไปเป็นสมบัติของมันหมดไง 

นี่เหตุและผล เหตุและผลของธรรม เหตุและผลของธรรม ตั้งสติไว้ มันต้องมีสติ มีสติมีคำบริกรรมของเรา ถ้ามีสติมีคำบริกรรมของเรา สิ่งที่เป็นธรรมๆ ใหม่ๆ นะเริ่มต้นผู้ที่ปฏิบัติใหม่มันคัดมันค้าน มันฉุดกระชาก มันรุนแรงเพราะอะไร เพราะยังไม่ได้เริ่มต้นให้มันมีความสงบตัวลง กิเลสสงบตัวลง จิตถึงเป็นอิสระ จิตถึงเป็นสัมมาสมาธิ แล้วกิเลสมันจะสงบตัวลงได้อย่างไร

ความสงบตัวลง สิ่งนั้นมันถึงเป็นจริตนิสัยไง โทสจริต โมหจริต โลภจริต จริตของคนแต่ละคน ถ้ามันโกรธ เห็นไหม มันก็มีผลกระทบที่รุนแรง กระทบที่รุนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ เวลาถ้ามันโลภ มันโลภมันอยากของมันไปทั้งสิ้น เวลามันหลงๆ มันหลงใหล หลงไปตามแต่ว่ากิเลสอย่างอ่อนๆ มันพลิกมันแพลงให้เราหลงใหลไปกับสิ่งที่มันเจือมา สมุทัยมันเจือมากับความรู้สึกนึกคิดของเรา เวลามีความรู้สึกนึกคิดสิ่งใด มันแบ่งครึ่งหนึ่งเป็นของมันนะ แล้วมันก็ฉุดกระชากเราไปไง 

ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะไง ไปหมดแล้ว พอไปหมดแล้วนั่นล่ะมันสำนึกตัวได้ พอมันสำนึกตัวได้มันก็ฝึกหัดของมันไง ตั้งต้นขึ้นมา เห็นไหม อยู่ที่วาสนา วาสนาของครูบาอาจารย์ของเรานะ จะล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน ท่านก็ไม่ย่อท้อๆ ไม่หลงใหล ไม่ไปกับมันไง เพราะเราเชื่อมั่น เวลาคนทุกข์คนยากขึ้นมามันหาครูบาอาจารย์ หาครูบาอาจารย์คุ้มครองดูแล แล้วถ้าครูบา-อาจารย์ที่เป็นเอกเลยคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมา เรามีสติปัญญา เราเปรียบเทียบได้ 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะท่านทุกข์ท่านยากขนาดไหน ท่านทำของท่านเพราะอำนาจวาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ท่านสร้างบุญกุศลขึ้นมาขนาดนั้น เวลาท่านออกประพฤติปฏิบัติท่านยังล้มลุกคลุกคลานจะเอาชนะกิเลสของตน ๖ ปี ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ที่ไหนเขาว่าดี ที่ไหนเขาว่ายอดเยี่ยมไปฝึกหัดปฏิบัติกับเขามาทั้งนั้น เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติกับเขามาทั้งนั้น ไปฝึกหัดแล้วถามอาจารย์ว่ายังมีวิชาการหรือมีสิ่งใดที่จะเจริญงอกงามไปกว่านี้ไหม ครูบาอาจารย์บอกหมดไส้หมดพุงแล้ว พอหมดไส้หมดพุงแล้วด้วยอำนาจวาสนา ท่านก็พิจารณาของท่านมันก็ยังสงสัยอยู่ มันก็ยังมีสิ่งใดคาหัวใจทั้งสิ้นไง 

เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา ฉันอาหารของนางสุชาดา คืนนี้นั่งถ้าไม่สำเร็จจะนั่งตายเลย” เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา บุพเพนิ-วาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณในหัวใจของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยอำนาจวาสนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้สร้างสมบุญญาธิการของท่านมา แล้วถ้ามันเอาจริงเอาจังขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่ท่านตรัสรู้มาๆ ก็ท่านตรัสรู้จากอริยสัจ ทุกข์ เหตุที่เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์อันนี้เหมือนกัน ฉะนั้น สิ่งที่มีอยู่โดยดั้งเดิม สิ่งที่มีอยู่โดยดั้งเดิมนั่นคือสัจจะคือข้อเท็จจริง 

แต่ถ้ามันจะมีอยู่โดยดั้งเดิม โดยที่กิเลสอย่างอ่อนๆ มันจะเคลมมันจะเหมาไปว่าเรารู้สิ่งใด เราเห็นสิ่งใด แล้วมันจะเป็นสิ่งที่มีอยู่โดยดั้งเดิม มันก็อาศัยสิ่งนั้นว่าเป็นธรรม เป็นธรรม มันเป็นการซึมซับ เป็นการพลิกแพลง ถึงว่ากิเลสอย่างอ่อนๆ แต่แต่มันทำลายความเป็นจริงในหัวใจของเรา แล้วเราก็ยังไหลตามมันไปอีกต่างหาก พอไหลตามสำคัญว่ามันเป็นความจริงๆ 

แล้วถ้าเป็นความจริง เห็นไหม เจ้าชายสิทธัตถะไปศึกษาค้นคว้ากับเจ้าลัทธิต่างๆ ยังมีสิ่งใดที่ยังศึกษาค้นคว้าต่อเนื่องไปอีกหรือไม่” บอก หมดแล้ว” ในพุงในหัวใจของตนมีความรู้ความเห็นแค่นี้ เจ้าชายสิทธัตถะไม่สนใจเลย เพราะอะไร เพราะเรายังมีความสงสัย เรายังมีสิ่งใดที่มันสะสมในหัวใจ มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ 

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลามันลุ่มหลงมันไหลไปกับเขา มันมีสิ่งใด มีดั้งเดิม ดั้งเดิมตรงไหน ดั้งเดิมๆ ดั้งเดิมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ที่ ๔ พระศรีอริยเมตไตรยองค์ที่ ๕ จะมาตรัสรู้ จะเอาอะไรตรัสรู้ มันต้องมีอริยสัจ ใจดวงใดไม่มีมรรค ใจดวงนั้นไม่มีผล แล้วมรรคมันคืออะไรล่ะ 

นี่ทางสายกลาง ทางสายเอกในพระพุทธศาสนา มคฺโค ทางอันเอก ทางอันเอกคือมรรค ๘ มรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความชอบธรรมมันจะเกิด ถ้ามันจะเกิดขึ้น ขึ้นมา ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา มันเป็นสัจจะความจริงขึ้นมาในหัวใจของตน ถ้าในหัวใจของตนนะ สิ่งที่มันรู้มันเห็นขึ้นมา มันจะมีสติขึ้นมาก่อน สติเป็นความสำคัญยิ่ง จะทำสิ่งใดแล้วแต่ เราต้องมีสติสัมปชัญญะ แล้วทำสิ่งใดไปเราไม่ต้องไปคาดไปหมายว่าจะต้องการสิ่งใด มันอยู่ที่เหตุ ที่เหตุ แล้วมันอยู่ที่ว่าบทเรียน 

เวลามันเจริญแล้วเสื่อม เวลามันหลงใหลไป มันให้แต่โทษกับหัวใจเราทั้งสิ้น แล้วเวลาที่มันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม เพราะเรามีสติ เรามีคำบริกรรมที่ชัดเจนของเรา เวลาที่มันสำรวมของเรา มันจะสงบตัวลงของเรา มันเป็นข้อเท็จจริง แล้วเราคาดเราหมาย เราอยากได้อย่างนั้น เราปฏิบัติอย่างนั้น มันเป็นกิเลสซ้อนไปอีกชั้นหนึ่ง

กิเลสโดยธรรมชาติของมันนะ กิเลสโดยสัญชาตญาณ กิเลสโดยธรรมชาติ มันมีอยู่ในหัวใจอย่างนี้อยู่แล้ว ถ้าไม่มีหัวใจ เราไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์หรอก แล้วการเกิดเป็นมนุษย์ ความสุข ความทุกข์ เราได้เผชิญมาทั้งสิ้น เวลาได้เผชิญมาทั้งสิ้นไง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” มันก็เป็นธรรมแบบโลกๆ เป็นธรรมแบบที่เราศึกษาค้นคว้า เป็นธรรมแบบที่เราแสวงหามา 

แล้วถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงเราจะฝึกหัดปฏิบัติ เราจะมีอำนาจวาสนาขึ้นมา เห็นไหม เรามีครูบาอาจารย์ เรามีอำนาจวาสนาได้ศึกษาค้นคว้าธรรมของครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง เห็นไหม ถ้าเป็นจริง ถ้ามันศึกษาค้นคว้าขึ้นมา เห็นไหม เหตุและผล ในเหตุและผลของธรรม ถ้าเหตุและผลของธรรม ธรรม เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย” อย่ามีกิเลส อย่าให้โมหจริต อย่าให้โลภจริต สิ่งต่างๆ ให้มาครอบงำ แล้วให้เราหลงใหลไปกับมัน ถ้ามันหลงใหลไปกับมัน หลงใหลเพราะความหลงมันไม่รู้สึกตัวหรอก เพราะมันหลงมันถึงได้สมบูรณ์แบบของมันไง 

แต่ถ้ามีสติขึ้นมามันก็ฟื้นไง ฟื้นจากความหลงใหลของเราขึ้นมา ถ้ามันฟื้นมีสติสัมปชัญญะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะ อ้าวอันนี้มันไม่ถูกต้อง อันนี้มันไม่ชอบธรรม” ถ้ามันถูกต้องชอบธรรมเราจะทำอย่างใดให้มันถูกต้องชอบธรรม ถ้ามันถูกต้องชอบธรรมนี่วิธีการดับทุกข์ไง ดับทุกข์ด้วยวิธีการมรรค ๘ ไง ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ถ้ามันชอบธรรมขึ้นมา เราก็ฝึกหัดด้วยการบริกรรมของเรา เราฝึกหัดด้วยปัญญาอบรมสมาธิของเรา ฝึกหัดๆ ฝึกหัดขึ้นมาให้เป็นจริง 

เวลามันเป็นจริงขึ้นมานี่เรารู้ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เวลามันสงบเข้ามามันจะมีความสุขของมัน มันจะปล่อยวางของมัน แล้วสุขแล้วเราศึกษาค้นคว้า ศึกษาค้นคว้าโดยความเป็นชำนาญในวสี ชำนาญในการเข้าทำความสงบให้มันเข้ามา เข้ามาแล้วเดี๋ยวมันก็คลายออก คลายออกเราก็เข้มข้นของเราขึ้นไป เราก็ต้องต่อสู้กับกิเลสในหัวใจของตนนี่แหละ การต่อสู้กับกิเลสในหัวใจของตนมันก็เป็นนามธรรม มันก็เป็นความรู้สึกนึกคิดเรานี่ล่ะ ลูกหลานของมารมันครอบงำหัวใจดวงนี้อยู่แล้ว 

เวลาเราจะเริ่มประพฤติปฏิบัติ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร รูป รส กลิ่น เสียงนี่ล่ะที่มันทำให้เราเฉไฉ ที่ทำให้หัวใจของเรามันเหลวไหลอยู่นี่ ก็รูป รส กลิ่น เสียง แล้วรูป รส กลิ่น เสียง มีภายนอกและภายใน ภายนอกๆ ก็เสียงร่ำลือของเสียงจากภายนอก เวลาเรารู้สึกนึกคิด เสียงจากภายใน เวลาภายในๆ สิ่งใดที่ติฉินนินทาที่ได้ยินมาแล้วเก็บสะสมไว้ในใจ แล้วก็ปรุงแต่งขึ้นมาตลอดเวลา เอามาฟื้นฟูมันให้มันแผดเผาใจอยู่ตลอดเวลา มันก็เป็นของดั้งเดิมนั่นแหละ มันก็เป็นจริตนิสัยของคน คนที่เขาไม่ถือไม่สาสิ่งนี้จะไม่มีผลกระทบกับหัวใจดวงนั้นเลย 

แต่ของเราทำไมมันเอารูป รส กลิ่น เสียงจากภายในมาปรุงตลอดเวลาล่ะ มันเป็นจริตเป็นนิสัย มันชอบของมันอยู่อย่างนั้นไง ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เราจะเห็นโทษของมันไง ถ้าเห็นโทษของมัน เราใช้สติ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาใคร่ครวญของมันๆ มันใคร่ครวญแล้วถ้าสติมันทัน ปัญญามันทันไม่เห็นมีสิ่งใดกระทบเลย มันปล่อยวางได้ นี่เผลอไผลมาอีกแล้ว พอมาอีกแล้ว เพราะกิเลสในใจนั่นแหละมันเป็นตัวเร้า เราก็ตั้งสติของเรา เราก็ฝึกหัดของเรา เราทำของเรา 

ใครมีโรคชนิดใด เราก็ต้องพยายามรักษาโรคชนิดที่มันอยู่ในใจของเรา รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ตั้งสติไว้ไม่หลงใหลไปกับมัน สิ่งที่มันหลงใหลไปกิเลสอย่างอ่อนๆ กิเลสอย่างอ่อนๆ แต่มันครอบงำหมดเลย แล้วเราก็ไปตามมันไง แล้วก็คิดว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม มันเป็นมารยาสาไถย มันเป็นเรื่องมายาทั้งนั้น มันจะหยาบมันจะละเอียดขึ้นมา ถ้าสิ้นกิเลสแล้วเหมือนกัน ไอ้หยาบละเอียดมันเป็นแค่กิริยา แต่จริงๆ แล้วมันก็เป็นกิเลสทั้งนั้น แต่กิเลส กิเลสอย่างอ่อนๆ มันซึมซับ มันพลิ้วไหว แล้วมันพลิ้วไหวแล้วมันก็ครอบงำ แล้วมันก็ชักนำไป แล้วเราก็ไม่เท่าทันมัน พอไม่เท่าทันมัน มันก็เป็นเรื่องกิเลสครอบงำแล้วเสียโอกาส 

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ เวลาฟังธรรมๆ นะ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านฝึกหัดลูกศิษย์ลูกหาของท่านไง จิตเป็นอย่างไร จิตคิดอย่างนี้ไม่ได้ ทำอย่างนี้ไม่ถูก ทำไมไม่มีอุบายวิธีการจะพลิกแพลงบ้าง” เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เห็นไหม โง่อย่างกับหมาตาย หมามันตายแล้วเราโง่กว่ามันอีกนะ ถ้าไม่โง่อย่างกับหมาตาย มันต้องมีอุบายวิธีการสิ ถ้ามีอุบายวิธีการนี่ แล้วอุบายอยู่ไหนล่ะ” “ทำไมครูบาอาจารย์ไม่บอกล่ะ” “บอกแล้วกิเลสมันปัดทิ้งหมดล่ะ

เวลาเราพอใจสิ่งใด เราเอาสิ่งนั้นเป็นอาวุธ อย่างเช่น พระเราเวลาเข้าพรรษาถือธุดงค์ ธุดงควัตร ธุดงค์ ๑๓ เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส มันก็ไม่ได้ฆ่ากิเลส เวลาฆ่ากิเลสๆ มันต้องศีล สมาธิ ปัญญาของเรา มันต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากจิตดวงนั้น เกิดจากจิตดวงนั้นแล้วชำระล้างกิเลสดวงนั้น เวลาวิปัสสนา เห็นไหม รู้แจ้งแทงตลอดในกิเลสในหัวใจของตน แต่ถ้ามันจะวิปัสสนามันจะวิปัสสนาอย่างไร มันจะวิปัสสนามันก็ต้องมีพื้นฐานของมันก่อน สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานที่เราจะทำความสงบของใจเราอยู่นี้ เราพยายามจะทำความสงบของใจเราอยู่นี้ 

ถ้าจิตใจมันไม่สงบมันเป็นเรื่องโลกๆ เหตุและผลของโลก ธรรมของโลกๆ ธรรมของโลกๆ ก็โลกียธรรม โลกียธรรม เห็นไหม เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา บริษัท ๔ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรานับถือพระพุทธศาสนา เราก็เป็นบริษัท ๔ บริษัท ๔ มันก็เป็นเรื่องโลกๆ ใครมีอำนาจวาสนาหรือไม่มีอำนาจวาสนา ถ้ามีอำนาจวาสนาเขาจะฝึกหัดปฏิบัติแล้ว แต่ถ้ามันไม่มีวาสนาเขาก็อยู่กับโลกของเขา สิ่งที่ศาสนาก็เป็นธรรมโอสถ เพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ในชีวิตของเขา เขาก็ดำรงชีพของเขาไปสมกับชาวพุทธที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา 

คนที่มีอำนาจวาสนา เห็นไหม เขาจะฝึกหัดปฏิบัติแล้ว เขาจะเอาจริงเอาจังของเขาแล้วเวลาเหตุและผลของธรรมๆ ไม่ใช่เหตุและผลของโลกแล้ว ถ้าเหตุและผลของธรรมนะ ครูบา-อาจารย์ จิตเป็นอย่างไรๆ” เหตุและผลของธรรม เห็นไหม จิตเป็นอย่างไร” ถ้าทำความสงบของใจได้ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน เราถึงมีที่ทำงานไง ชัยภูมิแห่ง เห็นไหม ใจดวงใดไม่มีมรรค มันจะเอาผลมาจากไหน ชัยภูมิในการประพฤติปฏิบัติคือหัวใจของสัตว์โลก 

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านถึงว่า จิตเป็นอย่างไร” ถ้าจิตมันไม่มีสมถกรรมฐาน ทำสมาธิไม่ได้ ทำสมาธิไม่เป็น มันไม่มีชัยภูมิ ไม่มีสถานที่ที่จะฝึกหัด จะประพฤติปฏิบัติทั้งๆ ที่จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมาเกิดมาเป็นเราเป็นมนุษย์อยู่นี่แหละ จริงตามสมมุติเพราะอะไร เพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์เป็นโลกไง เวลาคิดก็คิดโดยสมอง เวลาคิด จิต เห็นไหม เวลาสื่อสารกัน รูป รส กลิ่น เสียงสื่อสารกันโดยโลกๆ แล้วสื่อสารโดยโลก แล้วมีการศึกษาเป็นปัญญาชน มีความรู้ ความรู้นั้นแหละมันยิ่งเกิดทิฏฐิมานะ เกิดอหังการ แล้วถ้าเป็นกิเลสแบบอ่อนๆ กิเลสอย่างอ่อนไปหมดล่ะ ด้วยมารยาสาไถย ด้วยมายา ด้วยต่างๆ กิเลสอย่างอ่อนๆ แล้วเป็นจริงขึ้นมาไม่ได้หรอก

ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม จิตเป็นอย่างไร” ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าใจสงบระงับเข้ามาแล้ว สิ่งนี้มันจะสงบระงับได้ ถ้ามันสงบระงับเข้ามามันจะมีความสุขของมัน ถ้ามีความสงบระงับได้ เห็นไหม อย่างเช่น เช่น เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีหน้าที่การงาน เราทำหน้าที่การงานเพื่อหาผลประโยชน์ หาปัจจัยเลี้ยงชีพ เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะต้องปฏิบัติขึ้นมาด้วยสติ ด้วยกำลังของคำบริกรรม ด้วยกำลังของกรรมฐาน ๔๐ ห้อง ให้มันมีความสงบระงับเข้ามาตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่สงบระงับตามความพอใจของตน ไม่ใช่สงบระงับโดยกิเลสอย่างอ่อนๆ

มันเป็นสมาธิ สมาธิมีอยู่โดยดั้งเดิม มันเป็นธรรมๆ เพราะสัจธรรมมันเป็นอย่างนั้น” อ่อนๆ มันเคลมแล้วพลิ้วไหวนะ บิดพลิ้วจนว่าเป็นธรรมๆ กิเลสอย่างอ่อนๆ แต่จบนะ จบเพราะมันติด มันแก้ไขอะไรไม่ได้ มันไม่เป็นตามข้อเท็จจริง ถ้าเป็นข้อเท็จจริง กิเลสอย่างอ่อนๆ นี่มันจะมีมารยาสาไถยขนาดนั้นไง กิเลสมันจะพับเพียบ นั่งพับเพียบรอ เชิญชวนให้เข้าไปวิปัสสนา นี่กิเลสอย่างอ่อนๆ เชื่อใจไว้ใจตามความเป็นจริงอย่างนั้นได้หรือ

เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะ ครูบาอาจารย์ อาฬารดาบส อุทกดาบส รับรองค้ำประกัน ไม่เอา แล้วเวลากิเลสอย่างอ่อนๆ มันทั้งบิดทั้งพลิ้วทั้งเคลมว่ามันเป็นธรรม ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมเชื่อหรือ จริงหรือ มันไม่จริงเพราะอะไร ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันมีเหตุมีผลอะไร มันมีการกระทำตรงไหน ตรงไหนเป็นมรรคเป็นผล มันไม่เห็นมี แต่ถ้ากิเลสอย่างอ่อนมันไปหมดไง มันไม่เฉลียวใจ มันไม่มีสติปัญญาแบบเจ้าชายสิทธัตถะ ครูบาอาจารย์สนับสนุน ครูบาอาจารย์ เห็นไหม ยกย่องสรรเสริญ ไม่ใช่ ไม่ใช่

เวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา บุพเพนิ-วาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ มันยังไม่ใช่เป็นบาทเป็นฐาน อาสวักขยญาณทำลายอวิชชา นั่นน่ะเป็นข้อเท็จจริง เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านกระทำของท่านตามความเป็นจริงของท่าน ทำความสงบของใจเกือบเป็นเกือบตาย คนเราที่ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติใหม่ อำนาจวาสนานะ ครูบาอาจารย์เรามากมาย เราศึกษามา เราค้นคว้ามา ทำแค่สมาธินี่ได้ จิตสว่างไสว จิตผ่องใส จิตเห็นดวงแก้วต่างๆ ไปตามนั้นนะ สุดท้ายสึกหมด ครูบาอาจารย์ที่ท่านเอามายกเป็นตัวอย่างอย่างนี้ไม่ได้ครองเพศสมณะอยู่ตลอดไป สึกหมด

แต่ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม เขาทำความสงบของใจเข้ามา มันก็สงบระงับเข้ามา สมถกรรมฐาน สงบระงับแล้วมันมีความสุขของมันก็รักษาของเราไว้ รักษาของเราไว้ เขาจะมีศีลมีธรรม การรักษาไว้ รักษาจิตมันรักษายาก การรักษายากอยู่ที่วาสนาของคน เวลาคนหมดวาสนาก็สึก สิกขาลาเพศไปทั้งนั้น เพราะอะไร เพราะการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาถ้าจิตมันเสื่อมแล้วมันทุกข์ เวลามันทุกข์ขึ้นมาแล้วมันอัดอั้นตันใจ เวลาใจมันไม่เอาแล้วมันจะมาครองสมณเพศอะไรกันอยู่ มันไปอยู่ทางโลกไม่ดีกว่าหรือ เพราะอยู่ในสถานะสมณเพศมันอัดอั้นตันใจ นี่เวลาจิตมันเสื่อม

แต่เวลาผู้ที่ปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมานะ ถ้าจิตมันเสื่อมขนาดไหน นี่เราบวชเป็นพระ เราสมณเพศ สมณะศีล ๒๒๗ ขนาดศีล ๒๒๗ เราปฏิบัติยังล้มลุกคลุกคลานขนาดนี้ ถ้าสึกไป สึกไปศีล ๕ สึกไปเป็นฆราวาส ทางคับแคบมันจะทุกข์ยากขนาดไหน เป็นสมณะมันยังทุกข์ยากขนาดนี้ แล้วถ้าสึกไปมันจะทุกข์ยากขนาดไหน มันทุกข์ยากขนาดไหนไปเป็นขี้ข้าเขา จะไปเป็นให้โลกย่ำยีอีกต่างหาก เวลามีสติปัญญาขึ้นมามันคิดได้มันไม่ไป ไม่ไปก็พยายามฝึกหัดของเราให้มันดีขึ้น 

เวลาฝึกหัดให้มันดีขึ้น เห็นไหม มีสติมีปัญญา มีสติขึ้นมา รักษาของเรา รักษาของเรา เราเท่านั้น ใครจะมาดูแลให้เราได้ เราเท่านั้นถ้ามีสติปัญญาเท่าทัน กิเลสอย่างอ่อนๆ อันไหนมันจะมาพลิ้วไหว มันจะมาเคลมว่ามันเป็นธรรม เป็นธรรม เพราะมันไม่มีเหตุไม่มีผล มันไม่มีที่มาที่ไป จับต้องไม่ได้ หลอกใครก็หลอกได้ หลอกตัวเองไม่ได้หรอก

ถ้าหลอกตัวเอง เห็นไหม สติเป็นอย่างไร สติดีงามขึ้นมา สติมันดีความรู้สึกนึกคิดเท่าทันมันทั้งสิ้น แล้วคำบริกรรมถ้ามันต่อเนื่องๆ เห็นไหม จากคำบริกรรมที่มันล้มลุกคลุกคลานมันจะบริกรรมของมันได้ ถ้าบริกรรม อืมมันชักมีความสุข มีความสุขที่ว่ามันว่าง มันไม่ฉุดกระชากลากกันจนเกินไป แล้วถ้ามันพอมันสมดุลของมัน เห็นไหม มันเริ่มปล่อยวางของมันนะ 

นี่ไง หลวงปู่มั่น จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร” “โอจิตเกล้ากระผมมันมีความสุข จิตเกล้ากระผมมันเป็นเอกเทศ จิตเกล้ากระผมมันพยายามจะรักษา” ให้ชำนาญในวสี ชำนาญในการบำรุงรักษา มันไม่ใช่โง่อย่างกับหมาตายเหมือนเดิมอีกแล้ว โง่อย่างกับหมาตายมันเหม็นคลุ้งกันไปในหัวใจของตนไง ในปัจจุบันมันมีสติสัมปชัญญะมันสดๆ ร้อนๆ สมาธิก็สดๆ ร้อนๆ มันมีความสุข ก็ความสุขสดๆ ร้อนๆ ฝึกหัดปฏิบัติไปถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามีวาสนามันจะเห็นสติปัฏฐาน ๔ มันจะเริ่มเห็นไอ้โง่อย่างกับหมาตาย ซากหมามันจะเห็นของมัน ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมขึ้นมา มันจะมหัศจรรย์มันแล้ว ถ้ามหัศจรรย์มันจะก้าวเดินไง นี่สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานคือรู้แจ้งในจิตใจ ในจิตใจที่มันทุกข์มันยาก ในจิตใจที่มันเป็นปุถุชน กัลยาณชน 

เวลาปุถุชนคนหนา คนหนาแต่มันเป็นจริตนิสัย โทสจริต โมหจริต โลภจริต เป็นโมหจริต กิเลสอย่างอ่อนๆ มันโมหะมันลุ่มหลงของมัน ถ้าโทสจริตมันมีความโกรธ มีความโลภของมัน ความโกรธมันเหยียบย่ำหัวใจของตน มันใช้กิเลสมันรุนแรงมันเหยียบย่ำหัวใจ โลภจริตมันลุ่มมันหลงของมัน เวลาโมหะๆ มันหลงของมันแล้วมันจะแก้ไขของมัน มันฟื้นตัวของมันขึ้นมา เวลามีสติสัมปชัญญะ โลภะ โทสะ โมหะ จบหมด มันสงบลงชั่วคราว สงบลงชั่วคราวเวลามันแสดงตัวมันมีอาการต่างๆ มันก็ทำลายหัวใจของตน 

เวลาสติสัมปชัญญะเท่าทันมัน เห็นไหม มันก็หลบไป วาง วางขึ้นไปนะ จิตเราก็เป็นอิสระๆ จากปุถุชนเป็นกัลยาณชน ถ้าเราไม่ลุ่มหลงไปกับมัน กิเลสอย่างอ่อนๆ ขนาดไหน มันอ่อนขนาดไหนมันก็ให้โทษกับจิตของเรา จิตของคนที่มันรุนแรงมันก็เป็นเรื่องของจิตมันรู้มันเห็น มันเป็นกริยา ที่นี้กิเลส เวลาที่มันนุ่มนวลอ่อนหวานนะ มันไหวพลิ้วของมันนะ แหมมันดูผู้รากมากดีไง นั่นล่ะ นั่นล่ะกิเลสทั้งนั้น มันจะเป็นคนทุกข์จนเข็ญใจ จะเป็นผู้รากมากดีขนาดไหน มันเป็นการชักนำให้เราออกนอกลู่นอกทาง

เวลาถ้ามันเป็นศีลเป็นธรรมขึ้นมามันเป็นอันเดียวกัน ศีลคือศีล สมาธิคือสมาธิ ปัญญาคือปัญญา แล้วศีล สมาธิ ปัญญาถ้ามันเกิดขึ้น เวลามันเกิดมรรคเกิดผลมันรู้มันเห็นของมัน เห็นไหม จากโลกุตตรปัญญา เหตุและผล เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย มันก็จะเป็นเหตุเป็นผลของโลกๆ เป็นเหตุเป็นผลของบริษัท ๔ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ เรื่องโลกทั้งนั้น

ภิกษุบวชมา สมมุติสงฆ์ โลกๆ ทั้งสิ้น เวลาประพฤติปฏิบัติไปถ้ามันจะเป็นอริยสงฆ์ มันจะเป็นอริยสัจ อริยสงฆ์เกิดจากอริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ แล้วถ้ามันเป็นอริยสัจนะนี่เหตุและผลของธรรม ถ้าเป็นอริยสัจจะไม่มีสติสัมปชัญญะรู้ขึ้นมาจริงๆ เชียวหรือ เพราะเป็นอริยสัจมันต้องมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา มีมรรค ๘ มรรค ๘ เวลามันเคลื่อนของมัน มันหมุนของมัน เห็นไหม เวลาภาวนามยปัญญามันเกิด มันจะเห็น 

แต่เดิมเวลามีความรู้สึกนึกคิดมันก็ไปตามขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วจิตมันเสวยมันก็เป็นเรื่องโลกๆ ไอ้ที่ว่าเรื่องโลกๆ เรื่องผิวเผิน เรื่องหยาบๆ อะไรก็ผิวเผิน อะไรก็หยาบๆ แล้วมันหยาบอย่างไร มันหยาบก็เป็นสัญชาตญาณอยู่อย่างนี้ไง เวลาทำความสงบของใจได้ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ล้มลุกคลุกคลานขนาดไหนก็พยายามฝึกหัดปฏิบัติให้เป็นมาตรฐานของใจของเรา

ถ้าเป็นมาตรฐาน ชำนาญในวสี ในการกระทำแล้วถ้าจิตมันสงบระงับมีอำนาจวาสนา มันจะเห็นสติปัฏฐาน ๔ ไม่มีอำนาจวาสนาเราต้องน้อมไป เราต้องมีสติแล้วควบคุมให้จิตน้อมไปสู่อริยสัจ ให้น้อมไปสู่สติปัฏฐาน ๔ ให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง เวลามันเห็นแล้ว เวลามันเห็นนะ เห็นแล้วมันจับต้องอะไรไม่ได้หรอก เห็นแล้วมันก็ตื่นเต้นไป 

คนเรานะ เวลาไม่มีสิ่งใดมันก็ทุกข์ก็ยากไม่มีสิ่งใดเลย จะมีสิ่งใดขึ้นมาบ้าง ไม่มีอำนาจวาสนา ไม่มีกำลังของตน มันก็รักษาสิ่งนั้นไว้ไม่ได้ การเห็น เห็นแล้ว ถ้ามีสติมีกำลังนี่เห็น ถ้ามันพลิกมันแพลงมันพลิกมันไหวอย่างไร ใช้สติพิจารณาไว้ ยับยั้งไว้ ถ้ามันมียับยั้งไว้ เห็นไหม แล้วเวลาเราใช้ปัญญาพิจารณามัน เวลาใช้ปัญญาพิจารณา พิจารณาอะไร พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม เวลาสิ่งที่เราพิจารณา สิ่งที่เราใช้สติปัญญา เห็นไหม มันจะเป็นความคิด มันจะเป็นสังขารปรุงแต่งนี้แหละ แต่สังขารปรุงแต่งนี้ มีสัมมาสมาธิเป็นบาทฐาน สมถ-กรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ชัยภูมิแห่งการประพฤติปฏิบัติไง 

แล้วถ้าจิตสงบแล้วเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง เราใช้สติปัญญา เห็นไหม สติปัญญานี้เกิดจากสมถกรรมฐาน เกิดจากสมถกรรมฐานคือสมาธิ เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา พอมันเกิดปัญญาขึ้นมา เราผู้รู้ผู้เห็นนั้นมันจะมหัศจรรย์กับปัญญาอย่างนี้ ปัญญาอย่างนี้มันเป็นภาวนามยปัญญา เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย เวลาเหตุและผลอย่างนี้ เวลาเกิดขึ้นมันเป็นเหตุและผลของธรรม 

เหตุและผลของที่เรามีความรู้สึกนึกคิดโดยต้นทุนเดิม โดยความล้มลุกคลุกคลาน มันเป็นเหตุและผลของโลกๆ คือเหตุและผลของโลกียปัญญา คือเหตุและผลของความรู้สึกนึกคิดโดยสัญชาตญาณ โดยสติปัญญาของเรา แต่เพราะเราทำความสงบของใจเข้ามานี่แหละ กิเลสมันอย่างอ่อนๆ มันจะพลิ้วจะไหวอย่างไรแล้วแต่ มันกลืนกิน มันสมรู้ร่วมคิด มันทำให้ผลของการประพฤติปฏิบัติ ธรรมโอสถสัจธรรมที่จะเกิดขึ้นจากจิตของตน จากหัวใจของตน 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เราเป็นผู้ชี้ทาง เธอต่างหากเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เธอต่างหากจะต้องเป็นผู้ที่ศึกษาค้นคว้าแล้วกระทำขึ้นมาให้เป็นจริงเป็นจังในหัวใจของเธอ มันจะเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก” เวลาจิตสงบแล้วเป็นสมถ-กรรมฐาน ถ้ามันวิปัสสนากรรมฐาน เวลาวิปัสสนา วิปัสสนากรรมฐานคือรู้แจ้ง คือสังขารที่ปรุงแต่ง แต่มีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน มันเป็นเหตุและผลของธรรม เวลาเหตุและผลของธรรมเป็นของชั่วคราวๆ ชั่วคราวเพราะมีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน เวลาสิ่งที่ใช้วิปัสสนาไป มันก็กินกำลังของสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิมันจะมีกำลังๆ เวลาคนขาดสมาธิมันจะไม่มีกำลัง เวลาความรู้สึกนึกคิดมันจะเป็นสัญญาไปทั้งสิ้น มันไม่เป็นสังขารความคิดความปรุงความแต่ง สัญญาคือโลกๆ สัญญาคือการเปรียบเทียบ 

แต่ถ้ามันเกิดสัมมาสมาธิมันตัดตรงนี้ออก มันตัดสัญญาคือตัดพลังงานของกิเลส สิ่งที่มันดึงดูดมันตัดออก สิ่งที่ว่าทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ตัณหาความทะยานอยากคือสมุทัย สมุทัยมันเป็นเหตุแห่งโลก ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ นิโรธ ขณะที่มันจะดับทุกข์ มันจะเกิดจากมรรค ๘ นี่คือเหตุของธรรม ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ คือเหตุผลของโลกๆ แต่เวลามันนิโรธกับวิธีการคือมรรค ๘ เหตุแห่งธรรม เวลามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เวลาปัญญามันเกิดขึ้นเรานี่รู้ รู้ความแตกต่างว่าโลกียะกับโลกุตตระมันแตกต่างกันอย่างไร

เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด แต่มันเป็นธรรมแบบโลกๆ มันก็มีที่พึ่งที่อาศัยได้แต่การใช้ชีวิต การดำรงชีวิต การอยู่กับโลกให้มันเป็นธรรม ให้มันมีเครื่องบรรเทาทุกข์ เหตุและผลของธรรมทางโลก เหตุและผลของธรรมทางธรรม ทางธรรมมันจะเกิดจากจิตทั้งหมด เกิดจากจิตทั้งหมดต้องทำความสงบของใจเข้ามา จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร” ก็จิตเป็นสัมมาสมาธิไง จิตเป็นสัมมาสมาธิเป็นอิสระ เป็นเอกเทศ เกิดจากจิตดวงนั้น 

เวลาเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามเป็นจริง เห็นไหม เวลาพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลาพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันใช้กำลังของมันไป เวลาพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำมันไม่ไป มันไม่ซ้ำน่ะสิ เวลาพิจารณาไปมันเป็นสัญญา สัญญาคือว่ามันเป็นความคิดแบบโลกๆ นี่แหละ พอคิดแบบโลกผลที่ให้ถ้ามันเป็นธรรมๆ มันทั้งถากทั้งถาง ทั้งกระเทือนกิเลส ทั้งจับหลานกิเลสมาขึงพืดมาพิจารณาโดยปัญญาของเรา โอ้ฮู!รสชาติของมันแตกต่างมาก นี่เหตุและผลของธรรม 

แต่เหตุและผลของธรรมมันก็เกิดมาจากโลก เกิดมาจากเรา เกิดจากความเพียร เกิดจากความวิริยะ เกิดจากความอุตสาหะ แล้วไม่ใช่กิเลสอย่างอ่อนมันกลืนกินไปทั้งสิ้น เวลาเกิดจากความเพียร จากความวิริยะ ความอุตสาหะ แต่ทำตามข้อเท็จจริง ตามข้อเท็จจริงที่มันเกิดขึ้น กาลามสูตรไม่ให้เชื่อๆ แต่มันเป็นความจริง พิสูจน์อย่างใดมันก็เป็นจริงอย่างนั้นๆ ความเป็นจริงอย่างนั้นเพราะเราประพฤติปฏิบัติตามข้อเท็จจริงตามสัจธรรม

ความเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามันสงบระงับแล้วสิ่งต่างๆ เป็นสัมมาสมาธิ เป็นสมถกรรมฐาน น้อมไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม พอแค่เห็นมันก็เห็นกิเลสแล้ว มันรู้ทันที มันสะเทือนกิเลสทันที มันสะเทือนกิเลสมันก็สะเทือนหัวใจเรา แล้วเวลาทำความสงบของใจเราแล้วก็ล้มลุกคลุกคลาน พอสะเทือนหัวใจเราก็หลุดไม้หลุดมือไปหมดเลย หลุดจากสติ สติควบคุมอะไรไม่ได้เลย แล้วอยู่ไหนล่ะ หากันใหม่ มันต้องฝึกหัดอย่างนี้มันถึงจะรู้จัก มันถึงจะรู้ว่าสติควบคุมอย่างใด แล้วทะนุถนอม

เวลาวิปัสสนาญาณ วิปัสสนากรรมฐานจะถนอมอย่างใด จะดูแลอย่างไร จะทำอย่างไรให้หัวใจเราเข้าสู่ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา พอเข้าทางสายกลางในพระพุทธศาสนา เธอจงเหตุและผลของธรรม เหตุและผลของธรรม แล้วใช้สติปัญญาใคร่ครวญของเรา พิจารณาของเรา ทำต่อเนื่องๆ ถ้าทำต่อเนื่องมันก็ปล่อยวางๆ ปล่อยวางขนาดไหนมันก็ปล่อยวางชั่วคราวทั้งนั้น ถ้ามันปล่อยวางชั่วคราวเพราะอะไร เพราะมันไม่มีเหตุและผลที่จะยืนยันกันได้ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ เรารู้เลยทุกข์ควรกำหนด เหตุให้เกิดทุกข์คือสมุทัยควรละ ละด้วยมรรค ๘ ถ้ามันละเป็นชั่วครั้งชั่วคราวขนาดไหนก็แล้วแต่ นั้นเป็นกิเลสอย่างอ่อนมันกลืนมันกินไป มันทำครั้งหนึ่งมันก็สมอ้างไปเรื่อยเฉื่อย สมอ้างไปครั้งแล้วครั้งเล่า สมอ้างไปขนาดไหนก็สมอ้างของกิเลสทั้งสิ้น ทำบูชากิเลสไง ทำบูชากิเลสก็ล้มลุกคลุกคลานไง การล้มลุกคลุกคลานก็อำนาจวาสนาของคนไง

แล้วอำนาจวาสนาของจิตดวงนั้น ถ้ามีอำนาจวาสนา เขาล้มลุกคลุกคลาน เขาก็รื้อฟื้นใหม่ หรือล้มลุกคลุกคลานเขาก็พยายามฝึกหัดใหม่ เขาทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ปฏิบัติบูชาไง เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิดก็ฝึกหัดปฏิบัติของเราไง ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เห็นไหม มันมีรสของสมาธิ รสของปัญญา รสของภาวนา-มยปัญญา รสของธรรมจักร รสของปัญญามันเคลื่อน 

มันฝึกหัด ถ้ามันช้ามันเร็วขึ้นไป ถ้ามันฝึกหัดต่อเนื่องไปทำภาวนาเป็นไปแล้ว ยกขึ้นเป็นคู่ ๑ คู่ ๒ คู่ ๓ คู่ ๔ ไป มันจะมหัศจรรย์กว่านี้อีกเยอะมาก มหัศจรรย์จนเราก็แปลกใจในความเป็นจริงของเรานะ เวลาหลวงตาพระมหาบัวเวลาท่านสิ้นกิเลสไง ท่านกราบแล้วกราบเล่า ท่านกราบอะไร นั่นน่ะ ท่านกราบความรู้อันมหัศจรรย์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม แล้ววางธรรมและวินัยนี้ไว้ ปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไง

กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ครูบาอาจารย์ที่ท่านมาประพฤติปฏิบัติของท่านขึ้นมา เวลามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันยังมหัศจรรย์ในใจของตน แล้วเวลามันพิจารณาของมันไปแล้ว ถ้ามันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เวลามันสิ้นไปหมด พระพุทธ-เจ้ารู้ได้อย่างไรหนอ พระพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไรหนอ” ถ้าเราไม่รู้จริง เราจะเอาอะไรเปรียบเทียบ ถ้าเราไม่รู้จริง เราจะละกิเลสอย่างไร 

เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด แต่เหตุและผลต้องเป็นธรรมด้วย” ไม่ใช่เหตุและผลเป็นโลก เหตุและผลให้กิเลสอย่างอ่อนๆ มันพลิกแพลงแล้วยึดครองเป็นสมบัติของมัน แล้วอ้างว่า มันมีอยู่โดยดั้งเดิม” มันไม่มีข้อเท็จจริงใดๆ ค้ำเป็นสัจจะความจริงให้มีเหตุผลเหนือ เหนือความลังเลสงสัยของเรา 

เจ้าชายสิทธัตถะไม่เชื่อ ไม่เชื่อแม้แต่อาจารย์องค์ใดค้ำประกัน ค้ำจุน ไม่เชื่อ แต่เวลาอาสวักขยญาณในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำลายเจ้าวัฏจักร เสวยวิมุตติสุขๆ ไม่ต้องให้ใครค้ำประกัน ไม่ต้องให้ใครค้ำชู มันเป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหาก

แล้วกึ่งกลางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร พระพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร” ก็รู้ขึ้นมาในหัวใจนั้นไง แล้วเวลารู้นี่ล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน กว่าจะรู้จริงอย่างนี้ ล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน ท่านก็มีสติสัมปชัญญะ ท่านก็มีสติคุ้มครองในการประพฤติปฏิบัติของท่าน แล้วฝึกหัดไปเป็นสัจจะเป็นความจริงในหัวใจของท่าน ท่านถึงคุ้มครองดูแลลูกศิษย์ลูกหาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริง

แล้วตามความเป็นจริงมันอยู่ที่อำนาจวาสนา อยู่ที่จริตนิสัย โทสจริต โมหจริต โลภจริตไง จริตของใครจะเป็นอย่างใด มันก็ต้องแก้ไขไปตามข้อเท็จจริงนั้น ถ้าตามข้อเท็จจริงนั้น เราถึงประพฤติปฏิบัติให้สมควรแก่ธรรม เธออย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” แล้วเรากำลังฝึกหัดประพฤติปฏิบัติให้เป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นธรรมของเรา เอวัง