กิเลสนกมีหู
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เราตั้งใจฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพราะเราจะมาประพฤติปฏิบัติธรรมธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วไง ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ สัตว์โลกเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา ดูฝนตกซิ เวลาฝนตกแดดออก เห็นไหมเวลาหน้าฝนเวลาฝนมันตก ฝนตกเวลาฝนมันสะสม ตกแล้วมันจะท่วม น้ำ เห็นไหม มันพัดพาขึ้นมา มันพัดพาน้ำมาปลากินมด เวลามดมันไปตามมันต้องหลบต้องหลีกของมัน เวลาหน้าแล้ง เวลามันแห้งแล้ง เวลามันแห้งแล้งมดกินปลา ปลามันตายเพราะมันไม่มีน้ำ มันไม่มีที่อยู่อาศัย
นี่ก็เหมือนกัน จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ ถ้าเรามีสติมีปัญญาขึ้นมาเห็นไหม เราได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันจะเกิดในสถานะใดภพชาติใด เห็นไหม เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราได้สร้างบุญสร้างกุศลของเรา เราถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์เวลาเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา เราก็ปรารถนาความสุข ความสุขๆ ความสุขทางโลก
เวลาโลกไง โลกมันเจริญ โลกมันเสื่อม เวลาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา เห็นไหมเศรษฐกิจดี สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข มีการแข่งขันมันสนุกสนานครึกครื้น เวลามันเสื่อม เวลามันเสื่อมมันล้มละลาย มันมีแต่ความเสียหายมีแต่ความโศกเศร้ามันเรื่องของโลกๆ ไง เราเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนาสิ่งที่ฟังเทศน์ฟังธรรม ฟังเทศน์อบรมบ่มเพาะหัวใจของเรา ถ้าอบรมบ่มเพาะหัวใจของเราไง ให้เราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติภาวนาของเรา ถ้าเราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติภาวนาของเรา นี่มันพยายามจะเข้ามาหากิเลสในใจของตน เวลากิเลสแท้ๆ กิเลสมันอยู่ในจิตใต้สำนึกนั้น เวลาธรรมแท้ๆ ธรรมแท้ๆ ก็อยู่ที่หัวใจนั้น
แต่เวลาเราเกิดมา เห็นไหม โลกสมัยโบราณ สมัยโบราณเขาก็อยู่กันโดยสังคมที่เป็นโบราณนั้น สังคมยังไม่เจริญเหมือนในปัจจุบันนี้ ถ้าสังคมยังไม่เจริญเหมือนปัจจุบันนี้ ความเร่าร้อน ความแผดเผาของกิเลสมันก็ไม่รุนแรงเหมือนปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้มันฉับพลัน เขาว่ากรรมติดจรวดๆ ไง มันให้ผลกับชีวิตของเรามันให้ความทุกข์ความยากในหัวใจของเรา แต่มันให้ผลเป็นความทุกข์ความยากในหัวใจของเรา เราก็หาที่พึ่งๆ ไง
จากโลกสู่ธรรม จากโลกๆ เวลาเราเกิดมา เวลาในโลกนี้เราดูสิประเทศที่เจริญแล้ว ประเทศที่อ่อนด้อย เห็นไหม เขาอพยพๆ เขาจะอพยพไปอยู่ในประเทศที่เจริญแล้วเพื่อแสวงหาโอกาสของเขา ถ้าแสวงหาโอกาสของเขาปากกัดตีนถีบของเขาขึ้นมา เขาก็สร้างเนื้อสร้างตัวของเขาได้ เวลาสร้างเนื้อสร้างตัวของเขาได้เขาก็มีความสุขในชีวิตของเขาในทางโลกของเขา นี่ก็เหมือนกัน เราเห็นเวลาเขาอพยพ อพยพไปเพื่อแสวงหาโอกาสของเขา อพยพในสังคมที่ดีงามของเขา
ไอ้เราของเรา เห็นไหม เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง มันไม่คงที่ตายตัวอย่างนั้นหรอก เวลามันเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปถึงขีดสุดแล้วมันก็เสื่อมสลายไปเป็นธรรมดาสิ่งที่เขาพยายามขวนขวายเพื่อความเจริญงอกงามของเขา เขาก็สร้างชาติของเขาขึ้นมาให้เป็นชาติที่เจริญที่มั่นคงขึ้นมาได้ แต่มันก็เป็นคราวเวลา เห็นไหม น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา
ถ้ามีวาสนา วาสนาของเรา เราแสวงหามา แสวงหาความสุขที่แท้จริงถ้าเรามีอำนาจวาสนานะ เวลาบวชมาแล้ว เห็นไหม เราบวชมาแล้ว ถ้าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้ามันก็เป็นภาคปริยัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ นี่มันเป็นของที่ดำเนินคู่เคียงกันไป แต่ดำเนินคู่เคียงกันไป วุฒิภาวะแต่ละระดับแต่ละชั้นมันพัฒนาของมันขึ้นไป ถ้ามันพัฒนาของมันขึ้นไป เรามาบวชไปแล้วเห็นไหม บวชมาแล้วมันก็มีความลังเลสงสัยโดยอุดมคติเวลาคนคิดว่าบวชแล้วเราก็ต้องศึกษาเล่าเรียนของเรามาก่อน ถ้าศึกษาเล่าเรียนแล้ว เราจะออกประพฤติปฏิบัติ แล้วประพฤติปฏิบัติแล้วจะให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์
คนที่มีอุดมการณ์แบบนี้ อย่างเช่น หลวงตาพระมหาบัว เวลาท่านมีอุดมการณ์ของท่าน ท่านบวชแล้วท่านก็มีการศึกษาก่อน ท่านศึกษาจนจบเป็นมหาไงในภาคปริยัติ อุดมการณ์ของท่าน เวลาท่านจะออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา “แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ” คำว่า “ถ้ามันไม่มี” นี่คือความคิดจากจิตใต้สำนึกของคน กิเลสมันมีอยู่ในหัวใจของทุกๆ คนทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่มีอุดมการณ์ ทั้งที่มีอำนาจวาสนา ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา พระอรหันต์หนึ่งแสนกัปได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีของท่านมาเวลาถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านบอกว่า ท่านที่สละชีวิตเอาชีวิตเข้าแลกมีอยู่ ๒ คราวคราวหนึ่งคือคราวที่ชำระล้างกิเลสในหัวใจของท่าน อีกคราวหนึ่งคือคราวโครงการช่วยชาติฯ ท่านสละชีวิตเพื่อชาติ เพื่อประเทศชาติ เพื่อสังคมไง เวลาท่านทำของท่าน สิ่งที่ยืนยันอย่างนี้เพราะมันต้องมีที่มาที่ไป มันต้องมีอำนาจวาสนาของท่าน ท่านถึงได้สร้างบุญกุศลของท่านขึ้นมาขนาดนั้น
แต่! แต่เวลาท่านศึกษาแล้วเป็นภาคปริยัติจบเป็นมหา แล้วท่านตั้งใจของท่านไว้ว่า “ถ้าจบมหาแล้วจะไม่เรียนต่อ จะออกประพฤติปฏิบัติ” แล้วก็ต้องออกประพฤติปฏิบัติจริงๆ เวลาจะออกจริงๆ ขึ้นมา เห็นไหม “แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ” ทั้งๆที่ท่านก็มีอุดมการณ์มีอำนาจวาสนาได้สร้างสมมาแล้วแต่กิเลสไม่ไว้หน้าใคร นี่จากโลกสู่ธรรม นี้จากโลกสู่ธรรมมีการศึกษาแล้วจะประพฤติปฏิบัติมันอยู่ที่วุฒิภาวะไง วุฒิภาวะของตนที่มันเจริญงอกงามขึ้นไป เวลาปฏิบัติขึ้นมา ล้มลุกคลุกคลานไปขนาดไหน มันก็มีอำนาจวาสนาของตนที่จะชำระล้างกิเลสในหัวใจของตนได้
แล้วถ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ เห็นไหม ตั้งแต่เวลามาทบทวนในการประพฤติปฏิบัติของตน มันคิดแล้วมันเศร้าใจ มันเศร้าใจว่าเวลาเริ่มต้น เริ่มต้นอย่างไรเวลาเริ่มต้นมันเกิดมีแต่ความลังเลสงสัยไปทั้งสิ้น ขณะประพฤติปฏิบัติขณะศึกษามาจนจบเป็นมหา แล้วยังจะออกประพฤติปฏิบัติ “แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ” ฉะนั้น ต้องมีคนที่ยืนยัน ถ้ายืนยันแล้วไปแสวงหา ไปหาหลวงปู่มั่น เพราะว่า ไปหาหลวงปู่มั่นเพราะหลวงปู่มั่นกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง ความเจริญนั้นเจริญจากกลิ่นของศีล กลิ่นของธรรม
ศีลคือท่านอยู่ในขอบเขต เห็นไหม อยู่ในของเขตของธรรมและวินัย กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรม กลิ่นของธรรมคือการประพฤติปฏิบัติของท่าน คือการกระทำในสัจจะความจริงของท่าน คนถ้าไม่มีความสุขเขาจะรักษาหัวใจของเขาได้อย่างไร ถ้าคนที่มีความทุกข์ ความทุกข์มันก็ขับดันในใจของตน เห็นไหม ให้พยายามแสดงออก ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่อเราอยู่ด้วยกัน มีพระเข้าไปศึกษา เข้าไปเล่าเรียนกับท่านมา เห็นไหม ออกมาแล้วไม่มีองค์ไหนเลยที่ไม่เชื่อในผลของการประพฤติปฏิบัติของท่าน กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรมไง เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาก็แสวงหาหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่นท่านอบรมบ่มเพาะขึ้นมา นี่ปริยัติ ปฏิบัติปฏิเวธ
นี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราก็ต้องมีการศึกษามาก่อน เวลาศึกษามาแล้วจากโลกสู่ธรรมๆ เวลาจากโลกสู่ธรรม โลกคือทิฐิมานะความเห็นของตน ถ้าไม่รู้ก็ว่าไม่รู้ ถ้ารู้แล้วมันก็กีดก็ขวาง กีดขวางความสงบร่มเย็นในใจของตน แต่เวลาจะเอาจริงจังขึ้นมา เห็นไหม เวลาจะประพฤติปฏิบัติปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มันจะของเกี่ยวเนื่องต่อเนื่องกันไป ถ้าต่อเนื่องกันไป เวลาเราบวชเป็นพระแล้ว พอบวชแล้วจะเป็นพระวัดบ้าน เป็นพระวัดป่า ถ้าวัดบ้าน วัดบ้านก็เพื่อการศึกษาไง วัดบ้านก็การศึกษาทางวิชาการ เห็นไหม เขาก็ศึกษาเพื่อทรงจำธรรมวินัย
แต่เวลาเราบวชแล้วเราอยู่วัดป่า วัดป่าเราก็จะเอาจริงเอาจังของเราในการประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันเอาจริงเอาจังในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม นี่ศีล สมาธิปัญญา เริ่มต้นมันก็มาจากศีลของเรานี่แหละ ถ้ามีศีลมันก็มีความอบอุ่นในใจของตน ถ้ามันเป็นศูนย์ ศูนย์แล้วมันก็ว้าเหว่ ก็ว้าเหว่ก็วิตกวิจารณ์ในใจของตน ปลงอาบัติๆ อยู่กับครูบาอาจารย์ที่ดีงาม ครูบาอาจารย์ที่ดีงามอบรมบ่มเพาะ อบรมบ่มเพาะที่ไหน
การสอนที่สำคัญที่สุดก็คือไม่ต้องสอน ไม่ต้องสอนคือทำเป็นตัวอย่าง ทำเป็นตัวอย่าง หลวงปู่เสาร์ เห็นไหม ท่านเทศน์แต่น้อย แต่น้อย เห็นไหม เวลาพระไปถามว่า “ทำไมหลวงปู่ ไม่ค่อยเทศน์มาก” “ทำให้ดูมันยังไม่เอาเลย ทำให้มันดูเนี่ย” นี่ไง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติให้ดู ปฏิบัติเป็นตัวอย่าง ปฏิบัติให้เขา เห็นไหมมีสติสัมปชัญญะในการเคลื่อนไหว การดำรงชีวิต แล้วฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเราเข้ามา ถ้าฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเราเข้ามา เห็นไหม พอจิตใจมันสงบระงับเข้ามา มันจะเห็นผลของการประพฤติปฏิบัติ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
ถ้าจิตมันไม่สงบมันฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านเพราะเหตุใด มันก็ต้องหาเหตุหาผลนะว่าทำไมมันถึงฟุ้งซ่านอย่างนั้น ถ้ามันฟุ้งซ่านอย่างนั้น เห็นไหม มันเป็นเรื่องกิเลสในใจคนทั้งสิ้น มันเป็นเรื่อง กิเลสในใจของคนแต่เราหามันไม่เจอไง แล้วหามันไม่เจอ ไม่เจอแล้วถ้ามีอำนาจวาสนามันพยายามรักษาของตนไว้ รักษาโอกาสของตนไว้ แต่ถ้าไม่รักษาโอกาสของตนไว้ ทำสิ่งใด เห็นไหม ความลับไม่มีในโลกเราทำเองๆ นะ กรรมฐานม้วนเสื่อ เวลาถ้ามันล้มเหลวแล้ว เขาก็ยกเลิกไปเลย
ของเรา เรามีหน้าเสื่อ เรารักษาของเราไว้ แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเราไว้ เริ่มต้น เห็นไหม ตั้งแต่หลวงตาพระมหาบัวไง เวลาท่านศึกษาเล่าเรียนขึ้นมา ศึกษามา แหม! มันอบอุ่น ศึกษาเรื่องบุญเรื่องกุศล ทำบุญกุศลแล้วได้ไปสวรรค์ เวลาไปสวรรค์ศึกษาต่อไปแล้ว สวรรค์แล้วสู้พรหมไม่ได้ก็จะเอาพรหมไงพอศึกษาเรื่องพรหม พรหมแล้วมันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง จะเอาสิ้นกิเลสเอานิพพาน เวลาศึกษา ศึกษาไปแล้วมันอบอุ่น ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเราไง ศึกษาแล้ว เห็นไหม ตรึกในธรรม ตรึกในธรรมอยู่กับธรรมะอย่างนั้น
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราบวชแล้ว เราก็มีสติมีปัญญา เราใคร่ครวญของเราได้ถ้าใคร่ครวญของเราได้ ปัญญาอบรมสมาธินี่ก็คือการศึกษา ศึกษาในภาคปฏิบัติไง เราตรึกในธรรมะของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละวรรคแต่ละตอนแล้วเราวิเคราะห์วิจัยในหัวใจของเรา มันมีที่พึ่งที่อาศัย แต่ถ้าปล่อยให้กิเลสมันยิ่งใหญ่มันก็คิดไปของมันจากโลกสู่ธรรม มันไม่สู่ธรรมสิ มันจะสู่โลกไง
เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ท่านไม่ให้คลุกคลีกันมากนัก เวลาคลุกคลีกันก็คลุกคลีกันเพื่อความอบอุ่น เห็นไหม เพื่อปรึกษาหาหนทางที่จะประพฤติปฏิบัติให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในใจของตน ถ้าเป็นอำนาจวาสนาของแต่ละบุคคล เห็นไหม ความถนัด เขาถนัดสิ่งใดก็สาธุ! เราเอามาฝึกหัด มาทดสอบ ถ้ามันเป็นได้มันก็เป็นบุญกุศลของเรา ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม มันเป็นไปไม่ได้มันไม่ดูดดื่ม ทำแล้วมันไม่ได้ดั่งใจปรารถนา เราก็หาเหตุหาผลของเรา เราต้องหาเหตุหาผล หาอุบายวิธีการ เวลาปฏิบัติเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา
เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดไว้บ่อย “ปลูกต้นไม้ ปลูกต้นไม้อย่าย้ายมันบ่อยนัก ถ้ามันย้ายแล้วมันจะเติบโตช้าไง” ฉะนั้น เวลาคนทำสิ่งใดแล้วก็ไม่กล้าจะย้ายต้นไม้ไง จะปลูกโพธิจะปลูกต้นโพธิ์ขึ้นมาในใจของตน จะทำความสงบของใจขึ้นมาให้ได้ ไม่กล้าโยกไม่กล้าย้ายขึ้นไปไง เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาแล้วเห็นไหม ไอ้การโยกย้าย โยกย้ายด้วยความเหลวไหล โยกย้ายด้วยความคนที่ไม่เอาไหน โยกย้ายเพราะว่ามันเป็นคนโลเล แต่คนที่มีสติสัมปชัญญะเขาต้องมีอุบาย ทำสิ่งนี้แล้วมันอั้นตู้ ทำสิ่งนั้นแล้วมันเป็นประโยชน์ ทำสิ่งนี้แล้วมันทำไมมันดื้อมันดึงไง เวลาประพฤติปฏิบัติมันต้องมีสติมีปัญญาไง ไม่ใช่ปฏิบัติแบบโง่แบบหมาตาย หมามันตายแล้วยังโง่กว่ามันอีก มันก็ไม่ได้ผลน่ะสิ เวลาจะได้ผลเราก็ทำจริงทำจังของเรา แต่เราก็ต้องมีอุบายวิธีการไง
เวลามีอุบายวิธีการ พุทโธๆ นี่เป็นพุทธานุสติ ตั้งสติของเราไว้ เราทำเพื่อหัวใจของเราไง งานสิ่งใดเราก็ได้ทำมาหมดแล้วแหละ แต่งานที่จะรื้อภพรื้อชาติงานที่จะแสวงหาใจของตน แสวงหาใจของตนแล้วเอาใจของตนเข้าไปสู่วิปัสสนาถ้าเอาใจของตนเข้าไปสู่วิปัสสนา นี่เป็นหนทางที่องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อหัวใจของสัตว์โลกนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางนั้น ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว วางธรรมและวินัยนี้ไว้ ธรรมและวินัยจะชี้ทางๆ ไง
เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็พยายามฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในหัวใจของเรา เห็นไหม ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมามันจะเข้ามาสู่ใจของตน จิตตภาวนาๆ ที่ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติกัน แล้วถ้ามันเข้าสู่ใจของตน ถ้ามันจะไปรู้ไปเห็นสิ่งใด วาง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ลังเลสงสัยไปทั้งนั้น แล้วทำสิ่งใดขึ้นมาจิตมันส่งออกโดยธรรมชาติ ของมัน โดยธรรมชาติของจิตโดยธรรมชาติของพลังงานมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
แล้วโดยธรรมชาติของพลังงาน แล้วเราก็ไม่รู้จักพลังงานในหัวใจของเราเรารู้จักแต่พลังงานที่เราใช้ผลประโยชน์จากพลังงานที่ขับเคลื่อนโลก ขับเคลื่อนธุรกิจ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมทั้งสิ้น เข้าใจได้ ศึกษาได้ แต่พลังงานในใจของตนไม่มีใครศึกษาและค้นคว้าแสวงหาได้พบ เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันก็ได้แต่ผิวเผินไง เวลาผิวเผิน เวลาผิวเผินก็ตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรึกแล้ว เห็นไหม มันปล่อยมันวางขึ้นมา มันก็เป็นมารยาสาไถยในหัวใจของคนทั้งสิ้น เพราะปฏิบัติโดยไม่รู้จักกิเลส ไม่รู้จักต้นสนกลในของมันไง ต้นคดปลายตรงไม่มี ไอ้นี่ไม่ใช่ต้นคด ต้นตัน มันตันมันอั้นตู้ มันเป็นไปไม่ได้
เวลามันจะเป็นไปได้ๆ เห็นไหม เรามีสติมีปัญญาของเรา แล้วเราเชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราพยายามฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเรา ให้มันเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงในหัวใจของเราไง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าเห็นสติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม มันก็มหัศจรรย์ มหัศจรรย์เพราะอะไร มหัศจรรย์เพราะมันครอบคลุมกิเลสไว้ในใจไง
แต่ถ้าศีล สมาธิ ปัญญามันอ่อนลง กิเลสมันเบ่งบาน มันมีอำนาจในหัวใจของสัตว์โลก เวลาพญามาร พญามารนี่ร้ายนัก เวลาพูดถึงเรื่องกิเลส เราก็พูดถึงแค่เรื่องอารมณ์เท่านั้น อารมณ์ เพราะอะไร อารมณ์เพราะว่าเราเกิดเป็นมนุษย์ไงเกิดโลกียปัญญาไง ถ้าปัญญาแล้วมันปัญญาแบบโลกๆ มันเป็นปุถุชนคนหนาเวลาปุถุชนคนหนานี่วิเคราะห์วิจัยธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้ามากน้อยขนาดไหน มันก็เป็นการวิเคราะห์วิจัยเป็นทางโลก นี่เป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้น แล้วโลกทั้งนั้นมันก็เกิดความลังเลสงสัย มันก็เกิดความลูบๆ คลำๆ มันทำสิ่งใดมันก็ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เวลากิเลสมันครอบงำนะ มันว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมเลยล่ะ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ตัดป่าทั้งป่า ไม่ได้ทำลายต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว” เวลาตัดป่าทั้งป่านะ ตัดป่าทั้งป่าคือป่ารกชัฏ ทำความสงบของใจเราเข้ามาได้ นั้นก็เป็นสมถกรรมฐาน เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนานะมันชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ตัดป่าทั้งป่านะ ไม่ได้ทำลายต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวเลย แต่ในป่านั้นมีทั้งสัตว์ป่า เวลาสัตว์ป่า เห็นไหม สัตว์ป่า สัตว์กินพืช สัตว์กินเนื้อ มันเป็นห่วงโซ่อาหาร เสร็จแล้วมันก็ยังมีนกไง เวลามีนกมีสัตว์ป่า เห็นไหม นกกินแมลงกินเนื้อ นกกินเนื้อ นกกินพืช นกกินเมล็ดพันธุ์พืช สิ่งต่างๆ กิเลสทั้งนั้น ตัดป่าทั้งป่าไม่ได้ทำลายต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว แต่สัตว์ป่ามันอาศัยในป่า
กิเลสธรรมดามันก็เป็นเรื่องของกิเลสนะ เวลานกกา เห็นไหม มันก็เป็นนกกาถ้าเราแสวงหา เราจับต้องมันได้ เราจะหากิเลสของเราได้ ถ้าหากิเลสของเราได้หากิเลสเราเจอไง พระกรรมฐานทั้งหมด ทำความสงบของใจ ทำสมาธินี่มันไม่เป็นสัมมาสมาธิ ถ้ามันเป็นสมาธิ มันก็สมาธิคร่อมตอ นี่เป็นมิจฉาสมาธิ ว่างๆว่างๆ แล้วเวลามันเห็นนิมิตมันส่งออกทั้งสิ้น
นี่พูดถึงไง พูดถึงว่า เวลาอำนาจวาสนาของคน แต่เวลาทำสิ่งใดแล้วมันไม่เป็นประโยชน์ มันทำฝึกหัดทำความสงบใจเข้ามา ฝึกหัดทำความสงบใจเข้ามาแล้วถ้ามันรู้มันเห็นสิ่งใด นั่นแหละกิเลสจะจูงจมูก กิเลสมันจะจูงออกไปข้างนอกมันส่งออกโดยธรรมชาติของพลังงานมันส่งออกอยู่แล้ว แล้วเรามีอวิชชามีความไม่รู้ของเรา แล้วเราพยายามทำความสงบใจเข้ามา ความสงบระงับมันจะรู้จะเห็นสิ่งใด ถ้ามีสติปัญญามันจะรู้จะเห็นสิ่งนั้นแหละ แล้วแต่อำนาจวาสนาของคนพันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิต ใครสร้างบุญกุศลมามากน้อยขนาดไหนเวลาทำความสงบใจเข้ามา มันจะไปเข้าสู่จิตของตน มันก็ไปเข้าสู่พลังงานนั้นเห็นไหม
อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ นี่ปัจจยาการของจิต แล้วเวลามันส่งออกมามันถึงเป็นขันธ์ จากวิถีแห่งจิต เห็นไหม วิถีแห่งพลังงานพลังงานเป็นพลังงานสิ่งที่ไม่มีชีวิตไง แต่ฐีติจิตไง จิตเดิมแท้มันเป็นพลังงานพลังงานที่มีชีวิตไง สันตติความรู้สึกนึกคิด สิ่งที่เป็นเทคโนโลยีเขียนโปรแกรมทั้งนั้น เขาต้องเขียนขึ้นมา เขาต้องมีข้อมูลของมัน แล้วมันไม่มีชีวิต มันไม่รับรู้สิ่งใดเลย แต่ต่อไปมันจะฉลาดกว่าคน เพราะคนเขียนมันมา มันพัฒนาของมันไปได้
แต่เวลาวิถีแห่งจิตความรู้สึกนึกคิดของคน อำนาจวาสนาของคน นี่จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส นั่นแหละปัจจยาการ แล้วเวลามันพลังงานส่งออกไปมันเป็นขันธ์ เป็นรูปเป็นอารมณ์ เป็นความรู้สึก มันออกไปข้างนอกนู่น ฉะนั้น เราจะทำความสงบของใจเข้ามา เราพยายามจะทำความสงบของใจเข้ามา เราจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็ต้องการรื้อหัวใจของสัตว์โลก นี่ไปเอาองคุลีมาล ไปเอาใครก็แล้วแต่ก็ไปเอาหัวใจของเขา ให้หัวใจของเขาได้ฝึกหัด เห็นไหม ดูสิ ดูพระสารีบุตรกับพระอัสสชิ เห็นไหม “ถ้าบวชใหม่ก็ให้แสดงธรรม หน้าที่ของผมจะแทงตลอดด้วยสติด้วยปัญญาของเรา” นี่เวลาพระอัสสชิแสดงธรรม พระสารีบุตรนี่ใช้สติใช้ปัญญาแทงตลอด แทงสัจธรรมอันนั้นจนได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติท่านต้องการหัวใจดวงนั้น ถ้าต้องการหัวใจดวงนั้น เราจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เราพยายามทำความสงบของใจเราเข้ามา เราพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบระงับแล้วสิ่งที่มันสงบระงับมันก็ต้องผ่านพญามาร ผ่านครอบครัวของมารที่มันครอบงำหัวใจของตน แล้วเวลาพลังงานมันส่งออก ส่งออกไปแล้วอวิชชาด้วยความไม่รู้อย่างนั้นศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าก็ศึกษามาด้วยความไม่รู้อันนั้นศึกษาแล้วลังเลสงสัยแล้วจะทำอย่างไร จะทำเริ่มต้นอย่างไร
ฉะนั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมากมายเวลาศึกษามาแล้ว เรียนจบถึงภาคปริยัติเรียนจบธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ให้ประพฤติปฏิบัติต่อไป ถ้าประพฤติปฏิบัติโดยตนเอง ตนเองก็ไม่มีอำนาจวาสนาพอ ถ้าไปหาครูบา-อาจารย์ ครูบาอาจารย์คอยคุ้มครองดูแลแล้ว พยายามฝึกหัด นี่ดำรงการประพฤติปฏิบัติของเราให้มีบาทมีฐานมีการกระทำของเราต่อเนื่องไป
นี่พูดถึง เห็นไหม เวลามันจะเห็นนิมิตต่างๆ มันจะมีความรู้เห็นสิ่งใด เห็นไหม ใช้สติปัญญาทดสอบ ถ้ามีครูบา-อาจารย์ที่มันประพฤติปฏิบัติแล้วล้มลุกคลุกคลาน เพราะมันรู้มันเห็นเท่าไรขนาดไหนแล้วมันเสื่อมหมด เสื่อมแล้วจะเริ่มต้นอย่างไร เริ่มต้นก็เริ่มกลับไปตั้งสติแล้วภาวนาใหม่ ภาวนาขึ้นมาแล้วเดี๋ยวมันก็เสื่อม เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ นี่คือการทำสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้นะ เพราะบรรลุความว่าง มันว่างนั่นคือธรรมว่างอะไร ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีแค่นี้หรือ
แล้วเวลาทำสิ่งใดไม่ได้ เห็นไหม เวลานกกา เห็นไหม สิ่งที่ว่าตัดป่าทั้งป่าแล้วไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว แล้วสัตว์ป่าๆ สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากล่ะ เวลาจะจับกิเลสได้นี่มันเป็นนกเป็นกา ถ้ารู้ถ้าเห็นของมัน เห็นไหม แล้วถ้ากิเลสมันพลิกมันแพลงไง กิเลสนกมีหูมันพลิกแพลงมากกว่านกโดยธรรมชาตินกมีหู นกมีหู เห็นไหม เพราะว่ากิเลสมันครอบงำ กิเลสมันยกยอดของมัน มันต่อยอดของมันขึ้นไป แล้วคนที่ไม่เท่าทันมันไง จากโลกสู่ธรรม
เวลาเราอยู่ทางโลก เห็นไหม ทางโลกสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งว่าความเป็นอนิจจัง ความเป็นอนิจจังของมัน เห็นไหม น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราจะเป็นสิ่งใดมา เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมามากน้อยขนาดไหน เราจะไปลังเลสงสัยสิ่งใดเรื่องโลกๆ เราเคยเป็น เคยเสวยเคยเกิด เคยตายมามากมายมหาศาลอยู่แล้ว
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณไม่มีต้นไม่มีปลายคำว่า “ไม่มีต้นไม่มีปลาย” คืออำนาจวาสนามันไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วของเรา เราก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันจะมีมากมีน้อยขนาดไหน ในปัจจุบันนี้ด้วยอำนาจวาสนาได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้าเกิดในพระพุทธ-ศาสนานี้ด้วยเวรด้วยกรรมของสัตว์โลกไง
การประพฤติปฏิบัติมันก็นี่ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ทั้งสิ้น ถ้ากุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา สิ่งใดที่ได้พบได้เห็น สิ่งใดที่ได้ประสบมันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ของเราทั้งนั้น เราจะไปลังเลสงสัยอะไร เราจะไปตื่นเต้นกับอะไร แต่มันตื่นโดยธรรมชาติ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ปัจจยาการในหัวใจมันก็จับต้นชนปลายไม่ได้อยู่แล้ว แล้วพลังงานมันส่งออก ออกมาเป็นขันธ์นะ เป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา สังขาร วิญญาณ เราก็จับต้องสิ่งใดไม่ได้แล้วไปศึกษาธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง จากโลกสู่ธรรมไงเกิดมากับโลก ทุกข์ยากมากับโลก
ฉะนั้น การเกิดเป็นมนุษย์ไง สิทธิเสรีภาพความเป็นมนุษย์ไง คนเกิดมา เห็นไหม ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ทุกคนต้องตายหมด แต่ตายไปด้วยสิ่งใดตายไปด้วยมีสิ่งใดติดหัวใจนี้ไป เกิดมาทั้งชาติได้ทำสิ่งใดทำคุณงามความดีกับหัวใจของเรามากน้อยขนาดไหน ถ้าอยู่ทางโลกมันก็อยู่ที่ว่าเป็นสุจริต หรือทุจริตเท่านั้น ถ้าเป็นสุจริตมันก็เป็นภพชาติหนึ่ง ถ้าทุจริตสร้างแต่เวรแต่กรรมต่อเนื่องไป แล้วในปัจจุบันนี้จากโลกสู่ธรรม เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราจะออกประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เวลาออกประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เห็นไหม ประพฤติปฏิบัติเพื่ออะไร
คนที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราปรารถนาความสุข คนเกิดมาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ แล้วพยายามจะหาความสุข เพื่อตอบสนองชีวิตของตน เพื่อความมั่นคงของชีวิต แล้วมันมีความสุขมากน้อยแค่ไหน มันก็มีความสุขแบบโลกๆความสุขเจือด้วยความทุกข์ทั้งสิ้น
เวลาการแข่งขัน เห็นไหม ถ้าชนะคะคานกัน ชนะโดยหมื่นโดยแสนคูณด้วยล้าน สร้างเวรสร้างกรรมทั้งสิ้น แต่ถ้าเรามาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติไง เราจะชนะตัวเราเองต่างหาก เราจะชนะกิเลสต่างหาก เวลาเราขีดวงที่จะประพฤติปฏิบัติ กิเลสมันเดือดร้อนแล้ว แต่เดิมถ้าปล่อยปละละเลยขึ้นไป โดยปกติสบายมาก กิเลสมันไม่กีดไม่ขวางเลย ทั้งยุทั้งส่งเสริมทั้งกระพือให้ทำตามอำนาจของมันเลย
แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริง เวลาปฏิบัติตามเป็นจริง เราจะมีสัจจะมีความจริงของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติตามความจริงของเรา ถ้าเราจะปฏิบัติของเรา เวลาปฏิบัติไปแล้วนะ เวลาจิตมันจะสงบเข้ามามันจะรู้จะเห็นสิ่งใด ไม่ต้องไปสงสัยมันหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า ๔อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะปรารถนาเป็นพระอัครสาวกจะสร้างอำนาจวาสนามากกว่าพระอรหันต์ พระอรหันต์ ๑ แสนกัปเราสร้างมามากมาน้อยขนาดไหนไม่ต้องไปสงสัย ปฏิเสธมันเลย ปฏิเสธเพราะอะไร
ปฏิเสธเพราะในปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชา ทำลายพญามารในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันพ้นจากไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้นในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เคารพบูชาสิ่งใดทั้งสิ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติมา ให้เคารพหัวใจของตนเคารพพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องไปเคารพบูชาใดๆ ทั้งสิ้น ในการประพฤติปฏิบัติถึงไม่ต้องไปวิตกกังวลกับสิ่งใดทั้งสิ้น มันอยู่ที่ว่า กุสลา ธมฺมาอกุสลา ธมฺมานี้ต่างหาก อยู่ที่สติอยู่ที่ปัญญาของเรา อยู่ที่อำนาจวาสนาของเราแล้วเราทำตามความเป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมา
แค่จิตมันจะผ่านปุถุชนคนหนา รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร ร้ายกาจนักของพื้นๆเนี่ย แต่เราแทงทะลุไปไม่ได้ ถ้าแทงทะลุไปได้นะ นี่รูป รส กลิ่น เสียงสักแต่ว่า สักแต่ว่ามันเก้อๆ เขินๆ นะ เราฟังสิ่งใดเราก็ไม่หวั่นไหวไปกับมัน เราเห็นสิ่งใดเราก็มีสติสัมปชัญญะวางมันได้ ใครติฉินนินทามันก็เรื่องของเขา
เวลาปฏิบัติกัดฟันมันแฉลบมันแวบๆๆ ต้องสติปัญญาเท่าทันทั้งสิ้น แล้วพยายามฝึกหัดให้มันสงบระงับเข้ามาได้ มันผ่อนคลายเข้ามาได้ ผ่อนคลายเข้ามาได้ด้วย ด้วยสติด้วยปัญญา เวลาด้วยสติเราจะเห็นเลย เวลามันทำไม่ได้ มันอึดอัดขัดข้องขนาดไหน เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติมันหวาดมันระแวงไปหมด มันทุกข์นะ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ จะหาครูหาอาจารย์เป็นที่พึ่งก็หาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งไม่ได้
แล้วครูบาอาจารย์ที่เป็นที่พึ่งๆ เวลาสมัยหลวงปู่มั่น เวลาครูบาอาจารย์ที่ไปฝึกหัดกับท่าน ท่านไม่ให้อยู่ด้วยทั้งนั้น ท่านไล่ออกๆ แล้วถ้าอยู่ด้วย เห็นไหม ดูสิอย่างที่ประวัติหลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟังนี่ “ต่อไปจะมีผู้ที่เป็นหลักฐาน เหมือนท่านเจี๊ยะแต่ไม่ใช่ท่านเจี๊ยะ จะมาหานะ” เวลาท่านจะอบรมบ่มเพาะท่านก็รออย่างนั้น รอผู้ที่มีอำนาจวาสนา รอผู้ที่เวลาเทศนาว่าการเขารับรู้ได้ เขามีอำนาจวาสนาบารมีของเขาที่จะทำได้ ท่านก็รออย่างนั้น
แต่เวลาเข้ามา เห็นไหม สิ่งที่ว่าไม่เป็นชิ้นไม่เป็นอันไม่ให้อยู่ด้วย ไม่ให้อยู่ด้วยทั้งนั้น สิ่งที่เราแสวงหาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมเห็นไหม ให้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติให้มันเป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมา ที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มันมีอำนาจวาสนาล่ะ ถ้ามีอำนาจวาสนาเห็นไหม เราจะหากิเลส ค้นคว้าหากิเลสของเรา ถ้าค้นคว้าหากิเลสของเราทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าทำความสงบของใจเข้ามามันมีที่อยู่ที่อาศัย
ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์นั้นเป็นอริยสัจเป็นสัจจะเป็นความจริง แล้วเราก็ทุกข์ๆ กันอยู่นี่ ไอ้นี่มันเป็นวิบาก มันเป็นผล ผลที่มันเกิดจากเหตุ มันเป็นผลเป็นผลไง เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเห็นกิเลสนะ ท่านขำ กิเลสถ้ามันนอนหลับอยู่สบาย โอ้โฮ! มีแต่ความสุขทั้งนั้น เวลากิเลสมันตื่นขึ้นมานะ โอ๋ย! ล้มลุกคลุกคลานหมดเลย เวลากิเลสมันงัวเงียขึ้นมานี่ เราล้มลุกคลุกคลานแล้วแล้วกิเลสๆ มันเป็นอย่างไรล่ะ
ก็ที่เราปฏิบัตินี้เราปฏิบัติเพื่อจะเห็นหน้ามัน ปฏิบัติเพื่อจะชำระล้างกิเลส นี่ชำระล้างกิเลสเพื่ออะไร เพราะกิเลสคืออวิชชา คือพญามาร เวลาความโลภความโกรธ ความหลง นี่ลูกสาวของมาร สิ่งที่มันครอบงำหัวใจ เวลามันครอบงำหัวใจนะ มันบีบบี้สีไฟ มันขับไสให้เราคิดอย่างนั้น มันขับไสให้เราทำอย่างนั้นแล้วเราไม่ทำๆ นี่จะสู้กับมันแล้ว แล้วจะสู้กับมันเอาอะไรไปสู้ เอาอะไรไปสู้กับกิเลส
นี่ไง เด็ก เด็กน้อยกับผู้เฒ่าที่ฉลาดหลักแหลม มันเอาอะไรไปสู้กันได้ ผู้เฒ่าที่เขามีคุณวุฒิ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ เจ้าวัฏจักร แต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม เด็กน้อยไร้เดียงสาในการประพฤติปฏิบัติ เก่งนัก! ทางโลกเก่งนัก มีความรู้รอบรู้มาก สื่อธรรมขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ๙ ประโยค เผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรม ตัวเองทำสมาธิไม่เป็น ตัวเองทำความสงบไม่ได้ ทำความสงบได้ เห็นไหม สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบระงับขึ้นมานะเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ถ้าจิตสงบระงับเข้ามาเห็นไหม อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนจะมีที่พึ่ง ตนจะมีที่พึ่งอาศัย
นี่มันจะพึ่งอะไร เกิดมากับโลก ถ้าอยู่ทางโลกก็มีหน้าที่การงาน มียศถาบรรดาศักดิ์ มีตำแหน่งหน้าที่การงาน โอ้! เป็นที่โอ่อ่า แล้วมาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระไง เวลาบวชเป็นพระประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เริ่มต้นจากนวกะ ถ้าศึกษาเล่าเรียนขึ้นมาก็เล่าเรียนจนเป็น ๙ ประโยค แล้วถ้าอยู่ฝ่ายปกครองวัดบ้าน ก็มียศถาบรรดาศักดิ์ เห็นไหม เป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ ศักดิ์ใหญ่มีอำนาจบาตรใหญ่
ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติไง เราจะประพฤติปฏิบัติ กิเลสมันเบ่งบาน หัวใจนี่เบ่งบานมาก แล้วถ้ามัน เห็นไหม กิเลสนกมีหูมันเบ่งบานนะ แล้วมันพาออกนอกลู่นอกทาง ปฏิบัติเป็น ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติแล้วมีครูมีอาจารย์คุ้มครองดูแล มันก็ทำให้ปฏิบัติ เห็นไหม ตามธรรมและวินัย ตามข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติไม่ต้องไปรังเกียจ ไม่ต้องไปรังเกียจรังงอน ไม่ต้องว่ามันทำให้เราเป็นทุกข์เป็นยากไม่ต้องการสิ่งนั้นเลย
สิ่งนั้นแหละมันจะเป็นประโยชน์ในการเป็นเครื่องอยู่ของใจ ใจของคนมันวอกแวกวอแวอะไรทั้งสิ้น เวลามันออกนอกลู่นอกทางจะเอาเราไปผูกไปมัดมันไว้แต่ถ้าข้อวัตรปฏิบัติ ถึงเวลาเราจะทำข้อวัตรปฏิบัติของเรา เป็นเครื่องอยู่ของใจๆถ้าใจเป็นธรรม เป็นธรรมแล้วนะ มันรื่นเริงอาจหาญเลย ทำเสร็จแล้วนะ ทำเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมันเป็นกิจของสงฆ์ๆ สงฆ์ทำกิจเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็เพื่อความสงบสุขในใจของตน
ถ้าเพื่อความสุขในใจของตน แล้วพอจิตมันมีร่องมีรอย เวลาไปนั่งสมาธิภาวนาขึ้นมามันต่อยอดของมันไป มันมีความสงบระงับเข้ามา มันเห็นบุญเห็นคุณทั้งสิ้น ถ้ามันเห็นบุญเห็นคุณ นี่ไง เครื่องอยู่ของใจไง ใจที่มันว้าเหว่ ใจที่มันดิ้นรนไง พอมันสงบระงับเข้ามามันก็มีสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน มันมีความสุขความสงบในใจของตนพอสมควร ถ้ามีความสงบความสุขในใจของตนพอสมควร ถ้ามันมีอำนาจวาสนายกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ก็พิจารณากายพิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม ธรรมๆๆ ธรรมคือชีวิตเรานี่ไง เวลาฝึกหัดทำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบนิดหน่อยใจมันมีกำลังขึ้นมา เห็นนิมิตขึ้นมานะ โอ้ย! อดีตชาติเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น ไร้สาระ นี่ธรรมารมณ์ไง
ถ้าจิตเป็นสัมมาสมาธิ อารมณ์นั้นเป็นธรรม อารมณ์คือความรู้สึกนึกคิดมันจับต้องของมันได้ ถ้ามันจับต้องของมันได้ เห็นไหม อารมณ์ของเธอจะเป็นวัตถุอันหนึ่งเลย พอมันจับต้องของมันได้ เห็นไหม รูปมันพิจารณาได้ มันทำของมันได้ แต่เพราะมันไม่มีสมาธิไง สิ่งที่เป็นอารมณ์มันเป็นอารมณ์ไปทั้งหมดเลย กิเลสนกมีหูมันขับมันไส แล้วมันยังฉ้อฉล ฉ้อฉลว่าเป็นธรรม เป็นธรรม ธรรมอะไร ธรรมเป็นอย่างนี้หรือ ธรรมมันต้องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ ทุกข์ดับด้วยวิธีการที่ถูกต้องชอบธรรม ถ้าวิธีการที่ถูกต้องชอบธรรมแล้วมันอยู่ไหนล่ะ
วิธีการที่ถูกต้องชอบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้โดยชอบ เวลาอบรมบ่มเพาะขึ้นมา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไง เวลามรรคมันเกิดไง นี่ไง พระสารีบุตรไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าเลย เชื่อเวลามรรคมันเกิด ภาวนามยปัญญามันเกิดในใจของพระสารีบุตร เวลามันสมุจเฉทปหานมันชำระล้างกิเลสในใจของพระสารีบุตร มันก็เป็นธรรมะในหัวใจของพระสารีบุตร เป็นของพระพุทธเจ้าที่ไหน
ของพระพุทธเจ้าเป็นของพระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้า “อานนท์ เราเอาแต่ของเราไปนะ” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานไง พระอานนท์คร่ำครวญๆ “อานนท์ เราไม่ได้เอาของใครไปเลย ธรรมวินัย ธรรมวินัยจะเป็นศาสดาของสัตว์โลกของชาวพุทธต่อไป”
แล้วถ้าชาวพุทธต่อไปประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา ถ้าประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม มันเป็นของเขา ถ้ามันเป็นของเขา เวลาของเขา เขาไหน เวลา เป็นเขาของกิเลส กิเลสมันเขาใหญ่ๆ เขาแหลมๆ มันทิ่มเอานู่นน่ะ เวลามันทิ่มเอาแล้วใครรู้ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาจิตมันสงบมันมีความรู้ความเห็นของมัน ภูมิใจยกย่องตัวเองว่าตัวเอง นั่นน่ะกิเลสนกมีหู หูคือมันพลิกมันแพลง มันกะล่อน มันปลิ้นมันปล้อน มันทำให้ตัวเองพลิกแพลง ตัวเองตกอยู่ในหลุม เขาแหลมๆ เขาคมๆ มันขวิดเอา
ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ “เธออย่าเสียใจ ไม่ต้องเสียใจ สิ่งใดที่มันหลุดไม้หลุดมือไปมันเป็นธรรมดา” คำว่า “ธรรมดา” หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมาก่อน ความล้มลุกคลุกคลานเราเข้าไปเผชิญกับกิเลสครั้งเดียวแล้วเราจะให้ชนะมันไป มันมีแต่ขิปปาภิญญาไง พาหิยะฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียวเป็นพระอรหันต์ เขาสร้างอำนาจวาสนามามากมายขนาดไหน
ไอ้ของเรานะขนาดฟังแล้วฟังเล่า ท่องเย ธมฺมา นั่นน่ะ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ท่องได้ ชาวพุทธท่องได้หมดเลย นั่นก็ท่องจำ ความจำไม่ใช่ความจริง แล้วความจริงจะทำกันอยู่นี่ไง ถ้าทำจะทำกันอยู่เนี่ยไม่ต้องให้กิเลสนกมีหูหรอก กิเลสเห็นไหม นกกาต่างๆ ที่มันธรรมชาติของมัน มันอยู่ในธรรมชาติของมัน กิเลสในหัวใจของตนมันก็เป็นนามธรรมที่มันอยู่ในหัวใจของเรา ถ้ามันอยู่ในหัวใจของเรามันเป็นธรรมชาติเลยล่ะ ธรรมชาติของกิเลส
ความทุกข์เป็นอริยสัจเป็นสัจจะเป็นความจริง แล้วเหตุของมันล่ะ ตัณหาความทะยานอยาก ไอ้เฉยๆ เฉยๆ นั่นคือตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัณหาทั้งนั้น เพราะไม่มีตัณหาจิตไม่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ แล้วที่ว่าไปรู้ไปเห็นมีวาสนาอะไร ถ้ารู้เห็นด้วยวิทยาศาสตร์ รู้เห็นด้วยทางวิชาการ ๙ ประโยคเขารู้หมดแล้ว เขียนอวิชชาเลย เป็นภพเป็นชาติเลย เขียนหมด เป็นทางวิชาการ แต่ครูบาอาจารย์เราบอกว่าไม่สน เวลามันเกิดในใจ พรึบ! พรึบ! ไม่ทันมันหรอก ถ้าทันมันทำไมมันแก่นของกิเลสล่ะ ถ้าทันมันทำไมเจ้าวัฏจักรมันครอบครองสัตว์โลกล่ะ
ในสมัยพุทธกาลนะ เวลาพระอรหันต์สิ้นกิเลสไป มารมันไม่ยอม มันตามล่าฝุ่นฟุ้งไปหมดเลย องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า “มาร! เธอไม่เห็นมันหรอกเธอรู้ไม่ได้” ในเมื่อพระอรหันต์ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายชาติ ทำลายฐานทั้งหมดในหัวใจของตน ที่ไหนมีใจที่นั่นมีภพ ที่ไหนมีจิตที่นั่นมีภพ ถ้ามีจิตมีใจมีความรู้สึกนึกคิดมีภพ กิเลสมันเห็นหมดล่ะ
พระอรหันต์ทำลายภพ ภวาสวะ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นด้วยภวาสวะด้วยมรรค ๘ทำลายภพ ทำลายชาติ ทำลายทั้งสิ้น ทำลายแล้วมารจะหาที่ไหน มารจะเจออย่างใด
แต่ของเราจับต้องไม่ได้ ไม่รู้สิ่งใด สิ่งที่เป็นทางวิชาการบรรลุว่างๆ ว่างอะไรอะไรว่าง
ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในความรู้สึกนึกคิดเป็นนามธรรม รูปกับนาม รูปคือสิ่งที่เราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติกันมาขึ้นมาตามความเป็นจริงที่จับต้องมันได้ จากนาม เห็นไหม มันเป็นรูปอันละเอียด ไอ้รูปหยาบๆ ก็รูปร่างกายนี้ ถ้ารูปร่างกายนี้โดยชาวพุทธขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติจะพิจารณาอสุภะ พิจารณาอสุภะเพราะอะไร เพราะมันเป็นคู่ศัตรูต่อกันระหว่างคู่เพศตรงข้าม แล้วเพศตรงข้ามขึ้นมา สิ่งที่เป็นความสำคัญมันก็ผูกพันขึ้นมาจากกามราคะ ปฏิฆะ แล้วกามราคะของใครมันอยู่ที่ปฏิฆะ ปฏิฆะคือความชอบในจริตในนิสัยของตน ถ้ามันไม่ชอบมันก็ไม่ต้องการเหมือนกัน ถ้าไม่ชอบไม่ต้องการแต่ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาเขาแสวงหาไปที่เหตุนั้นเลย
เหตุขึ้นมา เริ่มต้น เห็นไหม ตั้งแต่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็ต้องเริ่มตั้งแต่จับต้นชนปลาย ตั้งแต่เริ่มต้นขึ้นมา ต้นต้องตรงขึ้นมา สิ่งที่เริ่มต้นกระทบ กระทบได้เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เรามาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเราให้มันสงบระงับเข้ามา ระงับเข้ามาแล้ว ถ้าเริ่มต้นขึ้นมาถ้ามันเห็นกาย กายนอก เห็นขันธ์ก็ขันธ์นอก เห็นขันธ์ๆ ทำไมต้องพิจารณาขันธ์ ทำไมต้องพิจารณากาย ทำไมต้องพิจารณาจิต
เพราะกายกับจิตมันก็เป็นที่อยู่ที่อาศัยของพญามาร เพราะพญามารมันครอบงำอยู่นั่น เจ้าวัฏจักรมันคุมไว้ตั้งแต่ต้น มันคุมตั้งแต่ต้น ตั้งแต่จิตเดิมแท้ไงหลวงปู่มั่นบอกไว้เลยอวิชชาอยู่ที่ไหน ใครเป็นพ่อแม่อวิชชา อวิชชาลอยมาจากฟ้าหรือ อวิชชามันอยู่ที่ฐีติจิต ภพชาติไง อยู่ที่ภพอยู่ที่ฐีติจิต อยู่ที่จิตเดิมแท้นั่นไงก็อยู่ที่จิตเดิมแท้ขึ้นมาแล้วมันอวิชชา
แล้วอวิชชาเริ่มต้นถ้ามันเริ่มต้นตั้งแต่ “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า” ดำริไม่ใช่ความคิด ความคิดคือขันธ์ พลังงานที่มันส่งออกมาไง แล้วพลังงานไหน แล้วส่งออกไหน อ้าว! จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี่กิเลส อุปกิเลส เวลาออกมาพลังงานส่งออกมาแล้ว กายกับใจ ขันธ์ ๕ เวลาขันธ์๕ ขึ้นมา เห็นไหม มันส่งออกมาแล้ว เวลามันส่งออกไปแล้วมันกระทบเรื่องโลกๆเรานี่ไง
ขันธ์ ๕ รูป รส กลิ่น เสียง เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง รูป รส กลิ่น เสียง อันวิจิตรไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยากต่างหาก ฉะนั้น เวลาสิ่งที่เป็นอวิชชาจิตเดิมแท้ อวิชชา เจ้าวัฏจักร เวลามันเคลื่อนออกมามันก็เป็นขันธ์ ๕ เวลาขันธ์ ๕ออกไปสู่รูป รส กลิ่น เสียง เห็นไหม อะไรมันเป็นกิเลส เวลาจิตฝึกหัดทำความสงบใจเข้ามาให้จิตสงบก่อน ถ้าจิตสงบแล้วฝึกหัด ฝึกหัดคือให้จิตมันได้ศึกษาค้นคว้าๆ ศึกษาพิจารณาฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาในอะไร เวลากายกับใจๆ เพราะสิ่งนี้มันไปเกี่ยวเนื่องกันไปกระทบ กระทบกันเพราะอะไร เพราะมันมี มันมีสังโยชน์ไงสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสไง สักกายทิฏฐิเวลาพิจารณามันปล่อยมันวาง มันไม่ลูบไม่คลำๆ มันรู้แจ้ง มันก็คิดเอาเองทั้งนั้น
พอมันคิดเอา เห็นไหม ลูกหลานของมารไง พอลูกหลานของมาร เวลาเริ่มต้นจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็เริ่มต้นจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสถ้าไม่เริ่มจากสักกายทิฏฐิ ไม่เริ่มจากกาย ไม่เริ่มจากกายกับใจ กายกับใจมันอยู่ที่หยาบละเอียด เวลาหยาบละเอียดขึ้นมา สิ่งที่เป็นหยาบๆ เห็นไหม เวลาฌานโลกีย์ เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบแล้วถ้าไปเห็นนิมิต เห็นต่างๆ เห็นกายอะไร ไอ้นี่มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นจริตนิสัย
ถ้าจริตนิสัยแล้วก็เชื่อมันแล้วก็ส่งออกไป แล้วก็ตามไป แล้วตามไปไหน ตามไปแล้วรู้อะไร แล้วมีอะไรให้ฉลาดขึ้น มันส่งออกไปก็จบไง ส่งออกไป เห็นไหม นี่สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้ง ถ้าฐานที่ตั้ง ถ้ามันจะรู้ มันจะรู้เข้ามาที่นี่ต่างหาก มันจะรู้มันจะรู้เข้ามาที่จิตตภาวนาต่างหาก ถ้ามันจิตตภาวนา ถ้ามันเห็นไง มันบรรลุว่างไง ว่างกันอย่างไร อะไรว่าง
แต่ถ้าจิตสงบ เห็นไหม จิตสงบสัมมาสมาธิ จิตสงบมันมีตัวตนของตน ถ้ามีตัวตนของตน ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ามันรู้มันเห็นมันแตกต่าง มันแตกต่างกับเห็นนิมิต แตกต่างกับความรู้ความเห็นที่มันส่งออกไป ถ้ามันส่งออกไป เห็นไหม แล้วถ้าส่งออกไปมันมีทิฏฐิมานะ นั่นน่ะกิเลสนกมีหู นกมันก็เป็นกิเลสอยู่แล้ว กิเลสมันก็เป็นกิเลสอยู่แล้ว เวลากิเลสมันแสดงตน กิเลสมันมีอำนาจบาตรใหญ่ กิเลสนกมีหูเลย มันว่าเป็นศีลเป็นธรรม
ถ้าเป็นศีลเป็นธรรมนะ มันมีแต่อ่อนน้อมถ่อมตน คำว่า “อ่อนน้อมถ่อมตน” เพราะ เพราะเวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ เวลามันเห็นข้อบกพร่องของตน เห็นความผิดของตนนะ ทำไมเราโง่ได้ขนาดนี้ มันเศร้าใจเพราะเราโง่ไงสติปัญญามันไม่ทันไง มันถึงพุ่งไปๆ เลย จะรู้ไอ้นั่นๆ มันพุ่งไปเลย มันส่งออกทั้งนั้น เวลามันส่งออกไปแล้ว กิเลสนกมีหูมันยังไม่รู้ตัวนะ ถ้าไม่รู้ตัว เห็นไหม มันไม่ได้บั่นทอน ไม่ได้สำรอก ไม่ได้คายสิ่งใดเลย สิ่งที่ยังควบคุมอารมณ์ของตนได้ก็คือสติ ถ้าสติมันอ่อนมันควบคุมไม่ได้ มันไปหมดเลย เห็นไหม
เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา จากโลกสู่ธรรม โลกคืออามิสสินจ้าง สิ่งที่เป็นธุรกิจต่างๆ มันเป็นเรื่องโลกๆ ผลประโยชน์ไง การแลกเปลี่ยนๆเห็นไหม อย่างเช่น ทำบุญๆ เอาเงินมาแล้วเอาบุญไป เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ บุญเวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ อนุโมทนา แค่ชื่นชม แค่เห็นด้วยนั่นก็บุญแล้ว สิ่งที่เป็นวัตถุไร้สาระ เพียงแต่ว่าโลกเวลาจะวิเคราะห์สังเคราะห์ ศาสนสงเคราะห์สงเคราะห์โลก มันก็ต้องใช้ปัจจัย ใช้ปัจจัย ๔ เพื่อสงเคราะห์โลก
โลกก็คือโลก ถ้าใจมันเป็นธรรม มันจะรู้ มันจะเห็น ใจไม่เป็นธรรม ธรรมมันใหญ่กว่าโลก จากโลกสู่ธรรม ถ้าจากโลกสู่ธรรม สิ่งที่เป็นวัตถุธาตุมันเป็นเรื่องโลก ถ้าศาสนาสงเคราะห์มันมีความจำเป็นจากตรงนั้น แต่ถ้าเป็นพระปฏิบัติเขาไม่ข้องแวะนั่นเลย
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มาสกนั่นน่ะเป็นอสรพิษ เงินนั่นน่ะเป็นอสรพิษ เวลามันกัดนะ กัดคนตายทั้งนั้นนะ เงินเป็นต้นเหตุแห่งการบาดหมาง การทะเลาะเบาะแว้ง การฉ้อฉล การแสวงหา แล้วพระไปหามันทำไมพระมาหาอสรพิษหรือมาหาธรรม ถ้ามาหาธรรมแล้วเรื่องนี้มันเล็กน้อยมาก เรื่องไร้สาระเลย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เรื่องอย่างนี้ไม่แตะต้อง แล้วห้าม! เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติห้ามๆๆ ห้ามไปเกี่ยวข้องกับมัน แล้วตัวเองก็ไม่เกี่ยวข้องด้วย
แต่เวลาถ้าจะสงเคราะห์โลก เวลาพูดถึงเรื่องพระพุทธ-ศาสนานี่บุญไง เอาเงินมาแล้วเอาบุญไป บุญอย่างนั้นหรือ เวลาบุญนะ นั่งลงหายใจเข้านึกพุทหายใจออกนึกโธ เราจะบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยร่างกายนี้ ด้วยหัวใจทั้งหัวใจดวงนี้ ถ้าเห็นนกไม่ต้องให้มีหู ไม่ให้มันเข้ามาเสี้ยม ไม่ให้เห็นโลกามิส เห็นโลกเป็นใหญ่ เห็นยศถาบรรดาศักดิ์ เห็นโลกธรรม ๘ เป็นใหญ่ จิตมันจะสงบได้อย่างไร นั่งหัวใจเต้นปังๆๆ เลยล่ะ ถ้ายังไม่มีใคร ภาวนาไม่เป็นนะถ้ามีใครมาล่ะนะ “โยม! อาตมานี่ไม่มีเวลาเลย อาตมาจะภาวนาๆ”
ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ เวลาท่านประพฤติปฏิบัติจากโลกสู่ธรรม โลกคือเรื่องของโลก สมัยครูบาอาจารย์เรานะ เรื่องอย่างนี้เรื่องโลกๆ นี่ไม่ให้เข้ามาวุ่นวายเลย วัดปฏิบัติต้องให้เป็น ฝ่ายปฏิบัติ แล้วปฏิบัติเดินจงกรมก็ฝ่าเท้านั่นไง นั่งสมาธิก็ก้นของตัวเองนั่นไง ทำไมต้องให้คนเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง คำว่า “ล้อมหน้าล้อมหลัง” นี่เรื่องไร้สาระเลย เพียงแต่ว่าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมใครเขาอยากพึ่งพาอาศัย ถ้าพึ่งพาอาศัยด้วยความเป็นธรรมนะ
ถ้าพึ่งพาอาศัยด้วยความเป็นโลกไง นี่กิเลสนกมีหู กิเลสนกมีหูเลยเพราะมันไม่ได้แตะต้องกิเลสในใจของตน ตัดป่าทั้งป่าไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว กิเลสตัณหาความทะยานอยากนี่ ไอ้ที่อาศัยป่านั้นอยู่นั่นน่ะ ตัดป่าเพื่อไม่ให้นกมันมีที่เกาะที่อยู่ที่อาศัย เวลาไม่มีที่เกาะที่อยู่ที่อาศัย จับตัวมันให้ได้! ถ้าจับตัวมันได้นะถ้ามันพลิกมันแพลงไง นี่ไง บรรลุว่าง กิเลสนกมีหู มันว่างอะไร เขาตัดป่าทั้งป่าแล้วไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวนะ
เวลาตัดป่าทั้งป่า เวลาจิตสงบแล้วให้เห็น เห็นกิเลส เห็นกิเลสนะ มันเห็นแล้วมันสะเทือนใจ เห็นกิเลสนี่ขนพองสยองเกล้า คำว่า “ขนพองสยองเกล้า” ถ้าเห็นกาย เห็นกายมันสะเทือนกิเลส เพราะ เพราะกิเลสเป็นนามธรรม กิเลสก็อาศัยกายเวทนา จิต ธรรม นี่มโนกรรม วจีกรรม กายกรรมมาจากไหน สิ่งมโนกรรมๆ เธอย้ำคิดย้ำทำจะเป็นจริตเป็นนิสัยของเธอ ความย้ำคิดย้ำทำ ย้ำคิดย้ำทำด้วยตัณหาความทะยานอยาก พอย้ำคิดย้ำทำด้วยความเป็นตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม นี่กิเลสนกมีหูแล้วแหละ
ย้ำคิดย้ำทำแล้วเดี๋ยวมันก็เป็นกายกรรม นี่ย้ำคิดย้ำทำแล้วก็เป็นวจีกรรมเป็นวจีกรรมแล้วมันก็จะไปลวงโลก ลวงโลกเป็นโลกามิส โลกามิสขึ้นมาให้เห็นอำนาจบาตรใหญ่ของกรรมฐาน กรรมฐานเขาอาศัยอย่างนั้นหรือ หลวงปู่มั่นบอกไอ้พวกแซงหน้าแซงหลังไง ไอ้พวกที่ไม่แซงหน้าแซงหลังมันหันหน้าเข้าสู่ทางจงกรม มันหันหน้าเข้าสู่ที่นั่งสมาธิภาวนา มันหันหน้าเข้าสู่ศีลสู่ธรรม มันไม่หันหน้าออกไปเรื่องอำนาจบาตรใหญ่ ไอ้พวกแซงหน้าแซงหลังไง มันจะเป็นธรรมไปตรงไหน มันก็เป็นกิเลสนกมีหูไง
นกโดยธรรมชาติ เราตัดป่า เราเพื่อจะแสวงหา เราจะจับกิเลสของเราให้ได้เราทำความสงบของใจๆ ถ้าเห็นกายแล้วถ้ามันสะเทือนกิเลสมันรู้ สะเทือนกิเลสแต่แก้กิเลสไม่เป็น เห็นกายแล้วเห็นกายอย่างไร เห็นกายโดยจริตนิสัย เห็นกายก็คือเห็นกาย แต่ถ้าเห็นกายโดยสติปัฏฐาน ๔ เห็นกาย เวลาเห็นกายนะ เห็นกายโดยเห็นเป็นภาพก็ได้ เห็นเป็นนิมิตก็ได้ ถ้ามันเห็นภาพเป็นนิมิต นั่นเจโตวิมุตติเจโตวิมุตติเวลามันเห็นแล้วมันขยายส่วนแยกส่วนเป็นอุคคหนิมิต เป็นวิภาคะขยายส่วนแยกส่วนโดยสติโดยปัญญา โดยปัญญา ปัญญานี่เป็นภาวนามยปัญญา
ไม่ใช่ปัญญาการศึกษาค้นคว้า ไม่ปัญญาบอกว่าเราไม่มีสติ ไม่มีปัญญาเราต้องศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าเป็นภาคปริยัติ ภาคปริยัติเป็นความท่องจำ ท่องจำแล้วเวลาปฏิบัติแล้วมันก็เป็นอุปาทาน อุปาทานคือมันรู้มันเห็นของมันแล้วก็สร้างภาพ พอสร้างภาพก็เป็นสัญญา พอสัญญาแล้วนะปฏิบัติแล้วมันก็เป็นกิเลสนกมีหูไง กิเลสเป็นนกมันยังสวมเขา เป็นเขาควายทิ่มเข้าไปอีก การปฏิบัติล้มลุกคลุกคลาน ไม่มีอะไรตกเป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นมรรคเป็นผลในหัวใจเลย
จิตสงบแล้วทำความสงบของใจเข้ามา มีครูบาอาจารย์ท่านให้ตรึก ให้ตรึกขึ้นมา ถ้ามันไม่เห็นหรือถ้าเห็นแล้วมีสติปัญญาไหม ถ้ามีสติแล้วมีปัญญา เห็นไหมถ้ามันเห็นกาย เห็นกายมีความรู้สึกนึกคิดอย่างใด เห็นกายแล้วตั้งกายให้ได้ ตั้งกายโดยภาพที่มันเสถียรได้ ถ้ามันเสถียรได้ มันต้องมีสมาธิ มีความสงบของใจมีเป็นสมถกรรมฐาน ฐานแห่งการประพฤติปฏิบัติ
แต่ถ้าไม่มีกำลังของสมาธิภาพนั้นไม่อยู่หรอก ภาพนั้นไหว แล้วมันก็จับพลัดจับผลู มันจับไปจับมาอยู่อย่างนั้น มันเปะปะมันเสียว มันทำอะไรไม่ได้ๆ อยู่อย่างนั้นนะ นี่วาสนาของคน มันหวิวๆ เลย มันเฉียดไปเฉียดมาเลย หวิวๆ ก็หวิวๆ นะแต่ถ้ามันจับ มันจับได้เห็นกายโดยสัจจะ โดยความจริง มันรู้เลย รู้เลยว่าเพราะสิ่งนี้เพราะมีการยึดมั่นถือมั่น เพราะมีความเห็นผิด เพราะมีความผูกพัน มันถึงหวิวๆนั่นน่ะกิเลสทั้งนั้น
แล้วถ้ามีสติปัญญานะเห็นกายแล้ว สิ่งที่เห็นๆ มันเห็นแล้วมันสะเทือนไม่สะเทือน เพราะการเห็นนั้นก็ยาก การแสวงหาเงินหาทองทำหน้าที่การงานเพื่อปัจจัยดำรงชีพก็เป็นเรื่องงานที่ทุกข์ยากอันหนึ่ง ได้เงินมาแล้วใช้เงินเป็นหรือเปล่าเงินซื้อได้ทั้งนั้นเลย ซื้อคนก็ได้ ซื้อตำแหน่งก็ได้ จ้างให้ฆ่าคนก็ได้ เล่นการพนันก็ได้ เงินจ้างให้ตนเองเสียคนก็ได้ ถ้ามีเงินแล้วใช้เงินเป็นหรือเปล่า
ทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นกายเห็นอย่างไร เห็นแล้วเป็นประโยชน์กับเราหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นประโยชน์กับเราก็พิจารณา กลับมาทำความสงบของใจให้มากขึ้น เห็นแล้วทำให้มันเสถียรให้ได้ คำว่า “เสถียร” คือเห็นแล้วให้มั่นคงของเรา แล้วถ้ามีกำลังพอน้อมไปให้ขยายส่วนแยกส่วน ถ้าพิจารณาไป ผิวหนัง เนื้อหนังมันเป็นสิ่งที่อ่อนที่เป็นน้ำมันต้องละลายออกไป มันพิจารณาของมันไป มันพุมันพองของมันออกไปอย่างไร มันมีเอ็นมันมีอะไรผูกพัน ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติด้วย ด้วยสติปัญญาฝึกหัดให้มีสติปัญญาขึ้นมา
สติปัญญา เห็นไหม สติปัญญามันจะเกิดเอง มันจะลอยมาจากฟ้าไม่มีหรอกไม่มี ถ้าสติปัญญาจะลอยมาจากฟ้ามันเป็นสัญญาทั้งสิ้น แล้วมันจะเป็นกิเลสนกมีหู มันจะสวมเขา มันจะเอาเขาขวิด ขวิดว่าให้การประพฤติปฏิบัตินั้นล้มลุกคลุกคลาน นี้ปฏิบัตินะ นี้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มีศรัทธามีความเชื่อมีการกระทำให้เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา ให้เป็นสัจจะความจริงขึ้นมา แต่! แต่ทำแล้วมันมีอำนาจวาสนาสืบต่อ ต่อเนื่องทำซ้ำทำซาก ตรวจสอบพฤติกรรมตรวจสอบให้ เพราะกิเลสแก่นกิเลสไง
บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้าไม่มีต้นไม่มีปลาย แล้วการผูกพันผูกมัดกันมาไม่มีต้นไม่มีปลาย มันนอนเนื่องมากับใจโดยที่เราไม่เคยรู้มันเลย มันเป็นเชื้อไขอยู่ในความรู้สึก มันเป็นเชื้อไขอยู่กับภวาสวะ มันเป็นเชื้อไขที่อยู่กับหัวใจ มันไม่ใช่โรคจิตด้วย โรคกิเลส โรคจิตไปหาจิตแพทย์โรคกิเลสจิตแพทย์ไม่รู้จักหรอก โรคกิเลสมันต้องครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม ธรรมเท่านั้นๆ แล้วธรรมเท่านั้นแล้วทำอย่างไร ถ้าทอทหารทำก็ฝึกหัดกันอยู่นี่ไง ถ้าธอธงรอเรือมอม้ายังไม่เกิด ทำอย่างไร ทำก็พยายามฝึกหัดกระทำของเราขึ้นมา
แล้วถ้าเป็นธอธงรอเรือนั้นธรรมที่เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นผลมรรคสามัคคีเป็นสัจจะเป็นความจริงเกิดจากภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา เห็นไหม อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วตนเป็นผู้บุกเบิก ตนเป็นผู้ค้นคว้า ตนทำสมถกรรมฐาน เป็นสัมมาสมาธิ แล้วปัญญาปัญญาจะเกิดเองๆ เป็นไปไม่ได้
ปัญญาจะเกิดจากการฝึกหัด ปัญญาจะเกิดจากวิปัสสนา ถ้าไม่วิปัสสนามันก็รู้แจ้งไม่ได้ ถ้าไม่วิปัสสนาก็บรรลุว่างไง ว่างคือไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่มีเหตุไม่มีผลคือไม่ต้องมีขณะไง เขาบอก “ไม่ต้องมีขณะก็ได้ พวกเราไม่ต้องมีขณะก็ได้” ขณะคือวิมุตติ ขณะคือดับทุกข์ นิโรธ นิโรธคือขณะ ขณะคือนิโรธคือการดับทุกข์ ดับทุกข์ด้วยมรรค ๘ ดับทุกข์ด้วยความถูกต้องชอบธรรม แล้วมันรู้ที่ไหน มันรู้ที่ผู้ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงนั่นแหละ
แต่ถ้ามันรู้แบบกิเลสนกมีหูมันพร่ำเพ้อพูดเองเออเอง พูดข้างเดียวไง พูดข้างเดียวคือกิเลสพูด กิเลสในหัวใจของเรา กิเลสนกมีหูมันพูด แล้วมันก็ขวิด ขวิดหัวใจของเราล้มลุกคลุกคลานเลย มันบอกนี่บรรลุธรรม บรรลุธรรมกลิ้งกุกๆ มาจากที่สูงเลยนี่บรรลุธรรม กลิ้งลงมาจนตกไป น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลาตกลงไปในวัฏฏะ ไม่มีทางหลุดพ้นโดยตัวเองไม่รู้เลยนะ เพราะตัวเองคืออวิชชาอวิชชาคือความไม่รู้ แล้วก็ปฏิบัติด้วยความไม่รู้ บรรลุว่าง กิเลสต้องมีหูมันสวมเข้าไปไง
แต่ครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ตัดป่าถางป่าเพื่อหากิเลส เพื่อชำระล้างกิเลส ถ้าชำระล้างกิเลสมันกระทำแล้วมันสนุกครึกครื้นนะ สนุกครึกครื้นเพราะอะไร ชำนาญในวสีไง ถ้าทำแล้วไม่เจริญก้าวหน้าแสดงว่าสมาธิอ่อน วางทันทีกลับมาสู่ทำความสงบของใจด้วยพุทธานุสติคือปัญญาอบรมสมาธิก็แล้วแต่ พอทำเสร็จพอทำมีกำลังขึ้นมา พอปล่อย ครูบาอาจารย์เวลาท่านเป็นจริงนะ เพราะอะไร เพราะจิตยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนาคือเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง มันมีการกระทำแล้ว พอมีการกระทำแล้วพอจิตกำลังมันอ่อน นี่วาง วางการใช้ปัญญา
การใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญา เวลาใช้ปัญญาต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐานๆแล้วฝึกหัดให้มรรคมันเคลื่อน ปัญญามันหมุนไง ความคิดที่มันเร็วกว่าแสง เวลาถ้าธรรมจักร จักรมันเกิด ภาวนามยปัญญามันเกิด มันเร็วกว่า มันบดมันบี้ เห็นไหม มันไม่ใช่พูดข้างเดียว ไม่ใช่พูดโดยกิเลสนกมีหู นกมีหูคือมันสวมเขา มันบังคับจะให้เป็นดั่งใจปรารถนา บังคับให้ใจว่ามันบรรลุว่าง มันว่าง ว่างน่ะสัมมาสมาธิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิเป็นสมาธิ ถ้ามันว่าง ว่างเป็นสมาธิ มันไม่วิปัสสนาเลย มันไม่เห็นกิเลสเลย แล้วไม่รู้จักกิเลสด้วย แล้วไม่เห็นกิเลสด้วย แต่มันบรรลุว่าง ไม่เคยมีไม่เคยเป็นจะพูดให้เหมือนคนมีคนเป็น เป็นไปไม่ได้
คนมี คนเคยเป็น มันมี มีสมาธิก็วิธีการทำสมาธิ แล้วสมาธิที่มันมีกับเราแล้วมันอยู่กับเราตลอดไปหรือไม่ ถ้ามันอยู่ตลอดไป ก็บุคคลคนนั้นยังล้มลุกคลุกคลานอยู่กับการประพฤติปฏิบัตินั้นด้วยความไร้เดียงสา ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน มันก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น เพราะอะไร เพราะมันไม่รู้จักว่าถ้าสมาธิเป็นสมาธิแล้วมันเสื่อมอย่างใด สมาธิอยู่เป็นสมาธิโดยมั่นคง เป็นสพฺเพธมฺมา อนตฺตา คำว่า “อนัตตา” คือมันอยู่ชั่วคราวๆ มันจะยั้งยืนยืนยงเป็นไปไม่ได้ แล้วถ้าเป็นไปไม่ได้ เวลาเจริญแล้วเสื่อมเขาก็รู้ไง
ครูบาอาจารย์ที่ท่านจะประพฤติปฏิบัติท่านเคยเสื่อมมาก่อน เคยเสื่อมด้วยความคิดว่ามันมั่นคงแข็งแรง แล้วเชื่อมั่นในสมาธิของตน เวลามันเสื่อมไปแล้วอ้อ! แล้วทุกข์เกือบเป็นเกือบตาย เพราะอะไร เพราะผู้ประพฤติปฏิบัติแบบไร้เดียงสา มันจะรู้จักวุฒิภาวะมีเดียงสาขึ้นมาอย่างไร แต่ผู้ที่ไร้เดียงสาแล้วพยายามฝึกหัดให้มันรู้จักเดียงสา รู้จักความเจริญแล้วเสื่อม อ้อ! สมาธิเป็นแบบนี้ เป็นแบบนี้ก็เป็นแบบนี้ไง ไม่ใช่บรรลุว่าง บรรลุว่างบรรลุสมาธิหรือ แล้วสมาธิมันมั่นคงหรือ มันเป็นไปไม่ได้
ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยล้มลุกคลุกคลาน แล้วท่านฝึกหัดปฏิบัติจนเจริญงอกงามขึ้นมา จนจิตเป็นสัมมาสมาธิ แล้วน้อมไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง การเห็นนั้นให้เสถียร การเห็นเห็นกิเลส สมาธิเป็นพื้นฐาน ด้วยสติด้วยปัญญาจะเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นอย่างไร แล้วเห็นแล้วจับต้องได้ไหม เห็นแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้หรือเปล่า การยกขึ้นสู่วิปัสสนาคือการสอบสวนไต่สวน การสอบสวนไต่สวนระหว่างโจทก์และจำเลย จำเลยคือกิเลสโจทก์คือมรรคที่เราพยายามฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันจะสอบสวนไต่สวนกันอยู่อย่างนั้น แล้วสอบสวนไต่สวนจบไหม ยอมรับความเป็นจริงหรือไม่
ถ้ามันยอมรับตามเป็นจริง เห็นไหม มรรคสามัคคี สมุจเฉทปหาน ขาดสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ดั่งแขนขาด เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติครูบาอาจารย์ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนยันตลอดว่ากิเลสขาดดั่งแขนขาด ตัดแขนตัดขา ไม่รู้จักว่าเราโดนตัดแขนตัดขามันเป็นไปได้อย่างไร ไม่มีการตัดแขนตัดขาคือไม่มีขณะก็ได้ ไม่ต้องมีสิ่งใดก็ได้ มันจะเป็นการประพฤติปฏิบัติแบบในวงกรรมฐานโดยความเป็นจริงได้อย่างไร
ถ้ามันประพฤติปฏิบัติโดยความเป็นจริง เห็นไหม หลวงปู่มั่นบอกผู้เดินตามก็มี การเดินตามมันแสนทุกข์แสนยากแต่ก็จะกระทำ ทำให้มันเป็นข้อเท็จจริง ให้เป็นธรรมทายาทที่เป็นสัจจะเป็นความจริง ให้เดินตามข้อวัตรปฏิบัติ เดินตามการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ให้มันเป็นข้อเท็จจริงของใจเราขึ้นมา ถ้ามันเป็นการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติตามข้อเท็จจริงในใจของเราขึ้นมา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโกรู้แจ้งในใจของตน
ถ้ารู้แจ้งในใจของตน เห็นไหม มันถึงเห็นไง ถ้ากิเลสนกมีหู นกก็คือกิเลส นกกาในป่าที่จะประพฤติปฏิบัติของเรา สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน แล้วถ้ากิเลสมันสวมเขา นกมันมีหู หูมันปลิ้นมันปล้อน มันพลิกมันแพลง มันเล่ห์มันเหลี่ยมของมัน มันคิดว่าเป็นธรรม แล้วมันเป็นธรรมจริงไหม
ถ้าเป็นธรรม ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ด้วยมรรค ๘ ด้วยสัจจะด้วยความจริง ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมธรรม สัจธรรมนั้นจะกังวานในหัวใจดวงนั้น ถ้ายังมีการประพฤติปฏิบัติโดยข้อเท็จจริง โดยความเป็นธรรม โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลย เอวัง