เทศน์บนศาลา

ธรรมหยุดโลก

๒๗ มิ.ย. ๒๕๔๒

 

ธรรมหยุดโลก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ธรรมสวนะ วันฟังธรรมไง วันนี้วันฟังธรรม ธรรมสวนะ ๑๕ ค่ำ ธรรมสำคัญขนาดไหนต้องมาฟังธรรม ธรรมสำคัญมาก ธรรมหยุดโลกนะ ธรรมถึงหยุดโลก ทำไมจะไม่สำคัญ กระแสของโลกพัดพาไป โลกคืออะไร? โลกคือหมู่สัตว์ สัตว์ที่พาเกิด

เราเป็นคนๆ หนึ่ง เราก็เป็นโลกๆ หนึ่ง โลกวัฏฏะของเราไง โลกวัฏฏะของหมู่สัตว์ นั้นธรรมถึงหยุดโลกได้ หยุดเลยล่ะ หยุดไม่ให้โลกไปเกิดอีกไง โลกคือหมู่สัตว์เห็นไหม ธรรมหยุดโลก หยุดถึงโลกได้ แต่เราอยู่ในกระแสของโลก ถึงว่าฟังธรรมสำคัญมาก ธรรมเหนือโลก! ธรรมหยุดโลก! หยุดทั้งหมดเลย

โลกนี้มีแต่เรื่องของโลก มีแต่ความเป็นไป สิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจังทั้งหมด แปรปรวนแปรสภาพมาทั้งหมด แต่มันก็มีอยู่ แปรสภาพมาตลอดเห็นไหม แล้วเราก็เกิดมาประสบไง “โลกภายนอกกับโลกภายใน”

โลกภายในกับโลกภายนอกมันเข้ากันได้ มันถึงมาเกิดไง เราเกิดเป็นมนุษย์ โลกมันมีคุณสมบัติ มีสิ่งที่พาเกิด เราถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เราหยุดไม่ได้ ธรรมนี่มันหยุดตรงนี้ หยุดการเกิดการตาย การแปรสภาพไป หลุดพ้นออกไปจากวัฏฏะ เราว่าคนเราตายแล้วสูญ ตายแล้วสูญ ตายไปแล้วไม่มี ทำไมเดี๋ยวนี้คนมันเกิดมามากมายนัก คนเกิดมาปัจจุบันนี้กับสมัยก่อน มันทำไมมันต่างกันมาก ไหนว่าตายแล้วสูญ มันมาจากไหนนี่

มันยังน้อยไป เพราะคำว่าวัฏฏะ ฟังสิ คำว่าวัฏวน “กามภพ รูปภพ อรูปภพ” แค่กามภพที่เดียวเท่านั้นแหละ เราก็นับไม่รู้จะหวั่นไหวขนาดไหน ในกามภพ ในสวรรค์ ในมนุษย์เรา แล้วยังในอบายภูมิอีกเท่าไหร่ ยังรูปภูมิ อรูปภูมิ พรหมอีกเท่าไหร่ เราเกิดเป็นมนุษย์นี่ นิดเดียว เกิดเป็นมนุษย์นี้ประเสริฐสุด ฟังสิ!

เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นคน มีความประเสริฐมาก ในธรรมะนี้บอกไว้ไง “เกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก” การเกิดเป็นมนุษย์นี่แสนยาก เกิดเป็นคนน่ะ ถ้าเปรียบอยู่ในธรรมะนะ เปรียบเหมือนเต่า อยู่ในทะเลแล้วลอยขึ้นมา หัวโผล่ขึ้นมาอยู่ในบ่วงหนึ่งอยู่กลางทะเล ถ้าเต่านั้นโผล่ขึ้นมาอยู่ในบ่วงนั้นถึงได้เกิดเป็นมนุษย์

แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ฟังสิ คุณสมบัติพิเศษ เราได้มาเต็มตัวของเราปัจจุบันนี้ เราเป็นมนุษย์ เรามีกายกับมีใจ แล้วเรามาพบพุทธศาสนา ยิ่งประเสริฐเข้าไปอีก การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก เพราะว่าเกิดในวัฏฏะ วนเวียนไปมันมหาศาล แต่เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วยังพบพุทธศาสนา

พระพุทธเจ้าเกิดมานี้ ก็แสนยากกว่าการเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาอีก พระพุทธเจ้าเกิดนี้แสนยากนะ เพราะว่าการสร้างบารมีมาเป็นพระพุทธเจ้า ต้องสะสมบารมีมามหาศาล กว่าจะมาตรัสรู้ธรรมที่เราจะต้องฟังกันอยู่นี่ ตรัสรู้ธรรมแล้วถึงวางธรรมไว้ เราถึงเข้ามาเกิดมาพบพุทธศาสนา แล้วถึงจะได้ฟังธรรมไง ถึงบอกว่าธรรมจะหยุดโลก

ธรรมหยุดโลก หยุดพระพุทธเจ้าก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง ชำระกิเลสหมดสิ้นจากหัวใจทั้งหมด ถึงเปล่งอุทานออกมาว่า “จะสอนใครได้หนอ... มันจะสอนใครได้” ธรรมนี้มันเหนือโลก เหนือสงสาร เหนือทั้งหมดเลย แล้วท่านได้เสวยวิมุตติสุข แล้วถึงมาเผยแผ่ออกมา ถึงประกาศศาสนาออกไป ประกาศออกไปในที่ไหนล่ะ? ก็ในหัวใจมนุษย์ที่ทุกข์ๆ อยู่นั่นล่ะ

เพราะต้องการให้เป็นแบบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นไง ธรรมมันถึงสำคัญอย่างนั้น ธรรมถึงจะหยุดโลก หยุดเกิด หยุดแก่ หยุดตาย ในสมัยพุทธกาลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทรมานองคุลิมาล ออกไปข้างหน้า องคุลิมาลนี้ได้ศึกษาวิชามาตามการทางโลกเขา เป็นคนที่วิ่งเร็วมาก ใครก็หนีไม่พ้นจากเงื้อมมือขององคุลิมาล

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปทรมานเอา เพราะเห็นศักยภาพในหัวใจนั้น ว่าจะได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง นี่ไปทรมานลอยออกไปข้างหน้าไง องคุลิมาลไล่กวด ไล่กวดเต็มที่เลย

บอก “หยุดก่อน หยุดก่อน”

พระพุทธบอก “เราหยุดแล้ว องคุลิมาลต่างหากยังไม่หยุด”

องคุลิมาลสงสัย ก็วิ่งอยู่แล้วบอกว่าหยุดได้อย่างไร ก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลอยอยู่ข้างหน้า องคุลีมาลวิ่งจนวิ่งไม่ทันก็หยุดเดิน ก็หาว่าสมณะโกหก

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า “หยุดฟังก่อน เราหยุดแล้วหมายถึง หยุดกิเลส หยุดเกิด หยุดแก่ หยุดเจ็บ หยุดตาย หยุดโลกทั้งหมด พลิกโลกคว่ำโลกออกไปทั้งหมด”

องคุลิมาลถึงได้สะท้อนใจไง เรานี่ทำไมหยุดไม่ได้ไง วิ่งอยู่ตลอดเลย ไม่ทัน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหยุดในหัวใจ หยุดดับกิเลสทั้งหมด หมดทั้งโลกหมดเลย พลิกฟ้าคว่ำดิน ไม่มีอีกแล้ว กิเลสในหัวใจนั้น

เห็นไหมธรรมเหนือโลก ธรรมหยุดโลก หยุดหมด องคุลิมาลถึงสะท้อนใจไง สะท้อนใจแทงใจเข้ามา วางดาบเลย นี่ทรมานเอา เอาองคุลิมาลยังกลับมาได้ เพราะความสะอาดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมเหนือโลกจริงๆ ธรรมนี่ เพราะประทานไว้แล้ว แล้วเรามาปฏิบัติ เรามา เราศึกษา เราเชื่อ เรามีศรัทธา เราเป็นมนุษย์ เกิดพบมาพระพุทธศาสนาแล้วศรัทธาในศาสนา

ศรัทธาในศาสนานั้นเป็นตัวหัวจักร ชักนำให้เราเข้ามาศึกษาความเข้าใจแผนที่เครื่องดำเนิน แล้วเราก็จะปฏิบัติธรรม ให้ธรรมเข้าไปในหัวใจ ให้ธรรมเข้าไปที่แกนของโลกไง ไปทำลายแกนของโลก คว่ำโลก ศึกษาเข้ามาก่อน ศึกษาแล้วปฏิบัติตาม การปฏิบัติตาม “ทาน ศีล ภาวนา”

“ทาน” เพื่อให้ใจอ่อนควรแก่การงาน

“ศีล” กำหนดใจ ไม่ให้ใจออกไปเกาะเกี่ยวกับเรื่องภายนอก ให้จิตปกติ แล้วภาวนาล่ะ

“ภาวนา” ทำให้ใจสงบ ทำจิตให้สงบ ให้เกิดพลังงานก่อน

เกิดมาเป็นมนุษย์ กิเลสพาเกิด มันเป็นความสกปรกทั้งหมดในหัวใจของเรานี่ เป็นความสกปรกทั้งหมด ความสกปรกนี้ไม่ใช่สกปรกแบบโลกๆ เขานะ ความสกปรกหมายถึงว่า มีโลภ มีโกรธ มีหลงอยู่ในหัวใจ มีโลภ มีโกรธ มีหลงเห็นไหม

ความหลงในตัวเอง แล้วพอเราคิดออกไป เราพิจารณาออกไป เราคิด เราว่าเราคิดเราใคร่ครวญออกไป ความใคร่ครวญอันนี้เกิดจากเรา เกิดจากสิ่งนี้ออกไปก่อน ถึงต้องทำความสงบ ให้สิ่งนี้สงบตัวเข้ามาไง ให้จิตที่ว่าเราคิด ถ้าเราคิด เราจะเข้าข้างตัวเอง ถึงต้องทำจิตให้สงบ เหมือนกับโลกมันเคลื่อนไป โลกมันหมุนไป พลังงานการหมุนออกไป มันแรงเหวี่ยงของโลกเห็นไหม นี่แรงเหวี่ยงของความคิดนะ แรงเหวี่ยงของจิตที่มันออกไป ความคิดของเรามันต้องเข้าข้างเราตลอดเวลา

ความเข้าข้างเรานี่แหละ มันถึงว่ามันเป็นโลกียะไง ความคิดที่มีเราเข้าไปเจือปน ถึงต้องทำจิตให้สงบ ต้องมีศีล ศีลเพื่อใจนี้ ถ้าสงบขึ้นมา จิตนี้สงบด้วยมีศีลบังคับไว้ มีศีล ศีลที่เป็นปกติจะทำให้สมาธินี้ควรแก่การงาน เป็นสัมมาสมาธิไง สัมมาสมาธิควรแก่การงานยกขึ้นปัญญาวิมุตติไง ยกขึ้นนะ ถึงว่าก่อนจะยกขึ้นมันต้องตรงนี้ก่อน ให้ว่าพอมันจะเคลื่อนไปหมุนไป แรงดึงดูดของโลก ทำจิตให้สงบเข้ามาเพื่อพ้นจากแรงดึงดูดแรงเหวี่ยงของมัน

แรงเหวี่ยงของโลก แรงเหวี่ยงของความเคยชินในใจ ความเคยชินในใจ แล้วความคิดของตัวเองออกไป มันเหวี่ยงออกไป มันไม่เป็นธรรมโดยตามความเป็นจริงไง มันเป็นธรรมที่เราศึกษามา ที่ว่าต้องมีแผนที่ก่อน เราดูแผนที่แล้วเราต้องไว้แผนที่ วางไว้แล้วเราเดินไปใช่ไหม? เรากอดแผนที่ไปด้วยนี่ กับสิ่งที่ความเป็นจริงในแผนที่นี้ จะละเอียดลึกซึ้งกว่าในแผนที่มากเลย

ในแผนที่เรามองแล้ว เราคำนวณถูกต้อง แต่เราลงในพื้นที่สิ พื้นที่จะขยายออกไป พื้นที่จะมีอุปสรรค พื้นที่นั้นจะมีการเหนี่ยวรั้ง มีอุปสรรคให้เราแก้ไข การศึกษาก็เหมือนกัน การศึกษา การจำมา เราจำมาเราศึกษามาเพื่อเป็นแนวทาง เป็นแผนที่ ถูกต้อง

แต่เวลาทำจิตให้สงบ ต้องปล่อยความคิดทั้งหมด ทั้งที่ศึกษามาก็ต้องปล่อยวาง ปล่อยวางด้วยอุบายของเราที่ว่าเราถนัด จะอย่างใดก็ได้ ทำจิตให้สงบให้ได้ จิตสงบนี้เป็นความสำคัญที่สุด เพราะอะไร? เพราะมันจะแยกออกระหว่างโลกียะกับโลกุตตระไง หยุดโลก จะคว่ำโลก โลกุตตระพ้นจากโลก โลกียะมันพ้นโลกไปจากไหน โลกียารมณ์ ฟังสิ! มันจะเกาะให้อยู่ในโลก โลกียารมณ์นะ ความคิดของเรามันก็ต้องเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เพราะมันเกิดมาจากสิ่งเดียวกัน

เกิดมาจากสิ่งเดียวกัน มันก็ตะล่อมกลืนไปโดยตลอด เราภาวนาไป เราจะหลงไปตลอด หลงหมายถึงว่า เราจะตามมันไปไง เราตามมันไป แต่เราเข้าใจว่าเป็น เราเข้าใจว่า... มันไม่เป็นไปตามความเป็นจริง ตามความเป็นธรรม มันต้องความเป็นจริง จริง ต้องกลับมาอยู่ตรงนี้ ทำใจให้สงบ แต่ทำใจให้สงบมันมีอีกวิธีการ

วิธีการที่ว่า ทำใจให้สงบด้วยกำหนดพุทโธ... พุทโธ... ครูบาอาจารย์สอนว่า กำหนดพุทโธ ต้องทำใจให้สงบ พยายามทำใจให้สงบกำหนดพุทโธเข้ามา ถ้ามันเป็นไปได้ เราก็ใช้ปัญญาตะล่อมเข้ามา นี่ขั้นตอนของการตะล่อมเข้ามาอันนี้เป็นปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาตัวนี้เป็นปัญญาในโลกียารมณ์ มันยังไม่ยกขึ้นวิปัสสนา

การที่ยกขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนาในตรงไหน? มันเป็นในโลกียารมณ์ มันก็ต้องคิดเป็นโลกียารมณ์อยู่ แต่มันตะล่อมเข้ามา โลกียารมณ์นี้มันตัดโลกได้ กายนอกตัดโลกได้ ตัดโลกหมายถึงว่า จิตนี้มันคร่อมไปใน ๓ โลกธาตุ วัฏวนนี้ จิตนี้ เคยเกิดหมด เราอยู่ที่นี้เราคิดถึงทวีปอื่น มันจะไปทันที ความเร็วของแสง ความเร็วของใจ เร็วมาก เราคิดถึงทวีปอื่น ๔-๕ รอบมันก็จะไปได้ ๔-๕ รอบในวินาทีเดียว เห็นไหมมันไปหมด มันเกาะเกี่ยวด้วย มันฟุ้งซ่านออกไปอย่างนั้น

ถ้าปัญญาตะล่อมเข้ามา มันตัดโลกียารมณ์ เท่าทัน! อุปาทานในความคิดตัดออกหมดเลย บ่วงของมาร พวงดอกไม้แห่งมารไง โลกียารมณ์ทำให้เป็นอารมณ์โลกียะ กับอารมณ์ที่ส่วนประกอบข้างนอก แต่เราเป็นทาสทั้งหมดเลย เพราะมันเป็นบ่วง ฟังสิ! บ่วงแห่งมาร แล้วเราก็ติดบ่วงมันไง เราเลาะบ่วงมันเข้ามาด้วยปัญญา เราเลาะบ่วงเข้ามา เลาะเข้ามาให้มันเป็นที่ตั้ง เป็นเอกภาพของจิต เป็นเอกัคคตารมณ์

เอกัคคตารมณ์มีความสุขมาก ความสุขที่ว่าเห็นแค่เงา แค่ธรรม “รสของธรรมชนะรสของซึ่งทั้งปวง” รสของสมาธิธรรม รสของเงาไง ในมรรค ๘ สัมมาสมาธิเป็นมรรคองค์ ๑ ใน ๘ มันเป็นแค่งานจากภายนอกเข้ามา แต่เราต้องใช้พลังงานมหาศาลขนาดนั้นแล้ว นี่ก็ยกขึ้นวิปัสสนา มันมีงานสิ “ฐานของจิต” ตัวภวาสวะ ตัวภพ ตัวพื้นที่ของจิต แล้วงานที่ไหน? มันก็งานตรงนี้ไง งานตรงกลางแกนของโลกไง มันหมุนไปเพราะมีแกนของโลกต้องภวาสวะกลางภพ ภพคือใจ! ภพคือเบื้องต้นของความคิด! ภพคือจุดที่การออกไปเพ่งพินิจดูอยู่ ย้อนกลับเข้ามาตรงนั้น งานจะเกิดขึ้นวิปัสสนาต้องเกิดขึ้นที่ตรงนี้

ถ้าวิปัสสนาส่งข้างนอก หรือวิปัสสนาข้างนอก เราตัดโลกียารมณ์เข้ามา เราตัดโลกเข้ามา ตัดโลกเข้ามาเป็นเรา แล้วพอจิตสงบ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม อันเดียว! จับหลุดตรงไหนหลุดหมด มันเป็นอันเดียวกัน แต่เพียงแต่จิตเกาะในกาย เวทนา จิตหรือธรรมเท่านั้น จิตเกาะ ฟังสิ!

จิตเกาะในอารมณ์นั้น อารมณ์นั้นเกิดขึ้นไง อารมณ์นั้นกระทบกับเรา แล้วจิตนี้มันมีความสงบ มันเหมือนกับคนมียามเฝ้าบ้าน มีสติระลึก สติ สัมมาสติเห็นไหม สติให้จิตนี้ ให้ความคอยเพ่งพินิจว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่มากระทบจิต ถ้าจิตนี้ออกไปเห็นกาย หรือเวทนาเกิดขึ้น พิจารณาปัจจุบันนั้น ปัจจุบันที่ตาธรรมเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ไม่ใช่ว่าความนึกเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม

ความเป็นจริงยกขึ้นวิปัสสนาได้ เพราะมันมีฐานและมีงานไง ถ้าไม่มีฐานและไม่มีงาน เป็นงานข้างนอกไง เราดูสิ ต่างประเทศเขาเจริญมาก ประเทศไหนเขาเจริญมาก เราก็คิดว่าเจริญมาก เพราะเหตุนั้นๆ เขาทำนี่เรารู้หมด แต่มันเป็นต่างประเทศ กับประเทศไทย ประเทศของเรา เจริญหรือเสื่อมอย่างไร เรามีส่วนรับเสีย มีผลได้เสียกับประเทศไทย เพราะเราเป็นประชากรชาวไทย

แต่ถ้าต่างประเทศเขาเจริญ เขาเสีย เขาก็มีแต่จะมาบีบคั้นเราเท่านั้นเอง อันนี้ก็เหมือนกัน เราพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม นอกจากภวาสวะ นอกจากจิต นอกจากอารมณ์ปัจจุบัน มันก็เหมือนกับเห็นความเจริญ ความเสื่อมต่างประเทศไง มันเห็นแต่ข้างนอก แต่ถ้าเห็นกลางภพของใจ คือเห็นในประเทศของเรา เห็นในภพชาติของเราไง จะหยุดแกนของโลกที่กลางหัวใจ แกนหัวใจ แกนของโลก ฟังสิ! มันต้องเกิดตรงนี้ เห็นในปัจจุบัน กาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง

จริงตรงไหน? จริงที่จิตที่สงบแล้ว เห็นตามเป็นจริงนั้น มันเป็นปัจจุบันเดี๋ยวนั้น มันต้องพิจารณาไป จากสุตมยปัญญา กลายเป็นจินตมยปัญญา จินตมยปัญญาคือการจินตนาการ จินตมยปัญญา แต่ถ้าเป็นปัญญาในการใคร่ครวญเข้ามา มันต้องผ่านสเต็ปขึ้นมาอย่างนี้ มันถึงจะมีภาวนามยปัญญา ถ้าไม่ผ่านขึ้นมา มันจะกระโดดไปไหนล่ะ? มันจะกระโดดขึ้นมาจากก้าวขั้น ๑ ไปขั้น ๓ นี่มันไม่ผ่านได้อย่างไร มันผ่านสุตมยปัญญาเห็นไหม การศึกษาเล่าเรียน

แม้แต่พระก็ยังฟังมา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อุปัชฌาย์ก็ต้องสอนมา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ที่ไหนล่ะ? ก็ที่ตัวเรานั่นไง รูปเห็นไหม ที่หนัง ที่ผม เล็บ นี่มันก็อยู่ที่ตัวเรานี่ล่ะ อยู่ที่เรา แต่ศึกษามา ต้องดูของเรา เรา! ต้องพิจารณากายเห็นไหม พิจารณาเล็บ ขน ผม ฟัน หนัง มันหุ้มอยู่นี่ แล้วเราหลงกัน หลงแต่หนังบางๆ พิจารณาข้างนอกมันก็สลด แต่ถ้าพิจารณาข้างใน สุตมยปัญญา

การศึกษามา สุตมยปัญญาก็ใคร่ครวญ ใคร่ครวญ สมาธิมันเกิดขึ้นพร้อมใคร่ครวญ มันเป็นจินตมยปัญญา มันเห็นภาพความเป็นจริง ยกขึ้นเรื่อย หมุนไปเรื่อย ปัญญาหมุนไปเรื่อย ให้คลายออกมา ให้เข้าไปที่จิตอย่างเดียว ให้กลับมาที่ความรู้สึกเราอย่างเดียว อย่าไปประเทศอื่น ประเทศอื่นไม่มีความหมาย ประเทศที่จะเกิดจะตายคือประเทศของเรา คือกลางหัวใจนี้หมุนเข้ามา... หมุนเข้ามา... จนมันกลายมาเป็นภาวนามยปัญญา ฟังสิ!

ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมาจากจินตมยปัญญา แล้วส่งต่อกันขึ้นเป็นภาวนามยปัญญา มันตั้งตัวได้ไง พอตั้งตัวได้ มันเห็นตามความเป็นจริง เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันจับได้ด้วย ต้องจับได้เห็นได้ ในขณะงานปัจจุบันธรรมนั้น มันเป็นนามธรรมแต่มันเห็นได้ เห็นจากตาธรรมแล้วหมุนไป กายนี้ก็แปรสภาพไป กายสักแต่ว่ากาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ เวทนาสักแต่ว่าเวทนา จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ ธรรมสักแต่ว่าธรรมารมณ์ จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์

เห็นไหม จิต สักแต่ว่าจิต อาการเกิดดับสักแต่ว่าจิต อารมณ์ความรู้สึกต่างหาก แล้วทุกข์ส่วนทุกข์ นี่เห็นตามความเป็นจริงในปัจจุบันนั้นเลย แล้วมันจะสลดใจ มันจะปล่อยทันที ปล่อยทันที ฟังสิ! ปล่อยออกไปเลย พ้นออกไป ทุกข์เป็นทุกข์ จิตเป็นจิตไง

ทุกข์! เหตุให้เกิดทุกข์ นิโรธะตัดทุกข์ มรรคอริยสัจจัง ในอริยสัจเห็นไหมพ้นออกไป จิตพ้นออกจากวงรอบนั้นออกไป วงรอบของทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พ้นออกไป จิตพ้นออกไป จิตรู้ออกไป แล้วมันปล่อย สลดสังเวชมาก... จนในธรรมจักร พระพุทธเจ้าบอก “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ...” อัญญาโกณฑัญญะรู้อะไร? รู้ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับสลายทั้งหมดเลย ดับไปทั้งหมด

ปล่อยกายออกไป กายสักแต่ว่ากายเก้อๆ เขินๆ ไม่ใช่เรา เราก็สักแต่ว่าเรา เราไม่ทุกข์ เพราะเป็นเราก็เป็นทุกข์อีก มันแยกออก เก้อๆ เขินๆ เลยนะ เก้อๆเขินๆ ทั้งๆที่เป็นจิตของเรา กายของเรา มันเขินกัน มันห่างออกไปขนาดนั้น ใจนี้ว่างหมดเลย ว่างหมดเลย นั่นล่ะเห็นอะไร? สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น มันเกิดที่ไหน? เกิดที่กลางหัวใจ กายก็เกิดขึ้นเพราะจิตเห็น กายเกิดขึ้นเพราะจิตไปรับ กายกับจิตนี้มันเนื้อเดียวกัน หลุดออกไป หลุดออกไปหมดเลย

ดูอย่างพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ สอนพระอัญญาโกณฑัญญะ จนพระอัญญาโกณฑัญญะตรัสรู้ไป แล้วก็พระอัสสชิ แล้วในปัญจวัคคีย์เหมือนกัน ไปสอนพระสารีบุตร พระสารีบุตรเห็นพระอัสสชินี้สำรวมมาก เป็นผู้ที่น่าเคารพนับถือมาก ก็ตามไปแล้วขอฟังธรรม

“อย่าเลยเราไม่มีเวลา เรากำลังบิณฑบาตอยู่”

“เอาสั้นๆ ก็ได้”

“เย ธัมมา.. เห็นไหม พระพุทธเจ้าสอนว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นต้องมีเหตุ พระพุทธเจ้าสอนให้สาวไปหาเหตุ แล้วไปดับที่เหตุนั้น”

พระสารีบุตรฟังแค่นี้ เป็นพระโสดาบัน ฟังแค่นี้! เพราะอะไร? เพราะจิตมันพร้อมควรแก่การงาน จิตมันเป็นสมาธิ จิตเขาฝึกฝนมาตลอด เขาเข้าสมาธิได้ตลอด แล้วเข้าอยากออก แล้วบุญบารมีของเขาด้วย แล้วเขาฟังธรรมตามการณ์อันควร

คือจิตควรแก่การงาน แล้วพิจารณาอยู่ ปล่อยวางทันทีนะ เป็นพระโสดาบัน เอาคำพูดนะ “เย ธัมมา” เหตุ ผล สาวไปหาเหตุ แล้วดับที่เหตุ ไปบอกพระโมคคัลลานะ ฟังสิ! จากปากหนึ่งฟังจากพระอัสสชิเป็นพระโสดาบัน เอาคำ “เย ธัมมา” ไปบอกพระโมคคัลลานะ เพื่อนกัน นัดกันไว้แล้ว ไปบอก พระโมคคัลลานะฟังก็เป็นโสดาบัน หลุดออกไป ย้อนกลับมาในธรรมจักรเห็นไหม ย้อนกลับมาในธรรมจักร

พระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักรอยู่ พระอัญญาโกณฑัญญะเห็นเลย “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายนั้นต้องดับหมดเลย” ใจมันเห็นเป็นปัจจุบัน เห็นในท่ามกลางแล้วมันปล่อย จนประกันว่า “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ... อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ...” เพราะดวงตาเห็นธรรม ดวงตาเห็นธรรม ฟัง!

ตาในหัวใจไง หัวใจกระทบกัน แล้วทำสถาปนาเป็นปัจจัตตัง รู้ขึ้นมาจากกลางหัวใจ รู้ตามความเป็นจริง ไม่ได้เอ่ยปากด้วย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกันไงว่า “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ... รู้แล้วหนอ...” รู้ไปองค์หนึ่งก่อน นี่สงฆ์องค์แรกเกิดขึ้นในโลก

จากมีพระพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม แล้วเอาธรรมนั้นมาสอน จนพระอัญญาโกณฑัญญะตรัสรู้ธรรม ดวงตาเห็นธรรม ไปเป็นองค์แรก เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก เป็นอริยสงฆ์องค์แรกของโลกเลย นี่สงฆ์เกิดขึ้นรัตนทั้ง ๓ พร้อม เพราะฟังธรรมอย่างนั้น

นั่นล่ะ พิจารณาไป จะหยุดโลก มันหยุดอย่างนั้นไง หยุดการเคลื่อนไป หยุดโลกเลย สอนต่อไป สอนจนปัญจวัคคีย์ทั้งหมดพ้นออกมา แล้วยังสอนกลับไป สอนกลับไปที่อนัตตลักขณสูตร ขันธ์นี้ไม่ใช่เรา

“ขันธ์นี้เป็นเราหรือไม่เป็นเรา?”

“ไม่เป็นพระเจ้าค่ะ”

“เป็นสุขหรือเป็นทุกข์?”

“เป็นทุกข์พระเจ้าค่ะ”

“เป็นทุกข์แล้วยึดไว้ทำไม? ทำไมไม่ปล่อย”

เห็นไหม ปล่อย ปล่อยจนสำเร็จไป นี้ก็เหมือนกัน เราก็พิจารณาซ้ำอีก คำว่าพิจารณาซ้ำ แม้แต่ผ่านขั้นมา แล้วก็ยังพิจารณาต่อ เพราะมรรค ๔ ไม่ใช่มรรค ๑ พิจารณาในอะไร? กาย เวทนา จิต ธรรม เพราะมันยังจับต้องได้ จิตนี้จับต้องได้โดยธรรมชาติเลย โดยธรรมชาติเห็นไหม ธรรมชาติในเมื่อความรู้สึกมีอยู่ สิ่งที่เป็นอาสวะอยู่ในหัวใจ ในเมื่อใจเป็นสมาธิ ใจควรแก่การงาน มันจับต้องได้ แล้วใจที่พ้นออกมา ที่มีดวงตาเห็นธรรม มันมีธรรมอยู่ในหัวใจ มันมีต้นทุนอยู่ ใจนี้ยกขึ้นได้ด้วยง่ายไง

แต่ก็ต้องสร้างขึ้นมาเป็นสกิทาคามรรค ต้องสร้างขึ้นมาเป็นสกิทาคามรรค เพราะมรรคอันเป็นข้างล่างมันใช้ไปแล้วไง มรรค ๒ นี้ต้องใช้ขึ้นมา ก็สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาด้วยธรรมจักร ด้วยจักรทั้ง ๘ ด้วยความเห็นชอบ เห็นตรงไหน? มันจะเห็นเราส่งออก เห็นอย่างนั้นมันก็ยังจะรู้ออกไปข้างนอก ถ้ามันออกไป ครูบาอาจารย์ถึงดึงกลับมาไง ดึงกลับมาที่กาย เวทนา จิต ธรรม

พิจาณากาย แล้วแต่ว่ามันจะเป็นไป พิจารณากายทีแรก พิจารณากายครั้งแรก มันแตกออกไป กายนี้เป็นสักแต่ว่ากาย กายนี้มันต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเป็นธรรมดา จิตนี้โง่เองถึงไปยึดมัน ความเห็นตรงนั้นมันปล่อยออกมาแล้ว

แต่ความเห็นว่ามันปล่อยมาแล้ว อันนั้นหมดไป ที่เก้อๆ เขินๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วจิตหมุนไป แล้วยกขึ้นเพราะเรารู้อยู่ ในเมื่ออาสวะอยู่ในหัวใจ จิตที่ผ่องใส จิตที่เป็นสมาธิ จิตที่ควรแก่การงาน จิตที่ออกจากโลกุตตระ มันต้องเห็น มันต้องจับต้องได้ โดยธรรมชาติเลย ถ้าคนนั้นไม่เผลอสติ คนๆ นั้นไม่เผลออย่างที่ไม่สมควรแก่การงาน นั่นล่ะย้อนกลับมาพิจารณาที่กาย เวทนา จิต ธรรม เพราะมันกายกับใจเท่านั้นล่ะ เวทนาก็เวทนาของจิต นี่พิจารณาเข้าไป

การพิจารณาเข้าไป ขุดคุ้ยลงที่กลางหัวใจ ขุดคุ้ยลงที่ในร่างกายของเรา การที่เกิดขึ้นมา เราเกิดขึ้นมาแล้วเป็นเราเดี๋ยวนี้ เกิดขึ้นมาจากกรรมเก่า เกิดขึ้นมาจากสิ่งที่เราสร้างสมมา แต่สร้างขึ้นมาเป็นกรรมเก่า ก็กรรมดีที่มาพบเทคโนโลยีที่จะทำให้เราออกจากโลกได้ บุญกุศลมันขนาดไหน มันจะกระเสือกกระสน มันทุกข์ ยอมรับว่าทุกข์ การปฏิบัตินี้ทุกข์มาก.. ทุกข์มาก.. ทุกข์ในการขวนขวาย ทุกข์ในการกำหนด ทุกข์ในการบีบคั้น บีบคั้นให้จิตทำงาน ทำแต่สิ่งที่ว่าเป็นอาหาร สิ่งที่เป็นคุณธรรม สิ่งที่เป็นความดี มันไปขัดกับกิเลสในหัวใจ

กิเลสในหัวใจมันอยากไปในรูป รส กลิ่น เสียงตามความภายนอก พระโสดาบัน นางวิสาขาก็เป็นพระโสดาบัน นางวิสาขามีบุญกุศลสร้างมาอย่างนั้นแล้วปรารถนาเป็นผู้ที่จะอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ก็เป็นพระโสดาบัน ยังต้องแต่งงานไป ยังมีลูกอีก ยังมีบุตรได้ นั่นล่ะพระโสดาบัน

ฉะนั้นพระโสดาบันยังออก ยังส่งไป ฉะนั้นเราต้องคุ้มจิตของเราไง ดวงตาเห็นธรรม เห็นอยู่แล้ว ดวงตานี้เห็นธรรม รู้จักธรรม แล้วไม่ไป วัฏฏะนี้ก็วนไปแต่ทางบน ไม่ลงไปทางต่ำ อันนี้เป็นอกุปปธรรมกับกุปปธรรมเกิดตรงนี้ไง เกิดอกุปปธรรม ในธรรมจักร “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ...” ถึงเป็นอกุปปธรรม คือธรรมที่ว่าไม่ตกไปแล้ว แต่เดิมเป็นกุปปธรรม

“สัพเพ ธัมมา อนัตตา” ธรรมทั้งหลายแปรสภาพทั้งหมด แม้แต่ญาณส่งเรามานี่ ถ้าเราติดในญาณ มีเรา มีเขา นี่ติดในญาณ ถ้าเราปล่อยญาณ ปล่อยสิ่งที่ส่งเรามา สิ่งที่อย่างนั้นต้องปล่อยทั้งหมด พ้นออกมา ถ้ายังติดอยู่ก็ “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” ธรรมที่ส่งเรามาไง สมาธิธรรมจักรส่งเรามา ส่งเราขึ้นมาเป็นอกุปปธรรม จากกุปปธรรมนะ “สัพเพ ธัมมา อนัตตา”

พอพ้นขึ้นมาเป็นอกุปปธรรม มีดวงตาเห็นธรรม จะไม่ตกไม่ต่ำ ไม่ลงไปอบาย จะไปสูงอย่างเดียว นี่คืออกุปปธรรม อกุปปธรรมคือไม่ต่ำ มันเป็นที่พักไง เป็นที่เกาะ เป็นที่ช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ต่ำไปจากนี้เด็ดขาด เป็นผู้ที่เต็มเปี่ยมในขั้นของดวงตาเห็นธรรม แต่มันเจริญขึ้นได้

อกุปปธรรมไม่ใช่ของตายตัว มันตายตัวในการลงต่ำ แต่มันต้องขึ้นสูงขึ้นไปอีก เราต้องดันให้ขึ้นสูงขึ้นไปอีก ต้องให้แก้ถึงหยุดโลก หยุดการเกิดการตาย แต่ทีนี้ยังไม่หยุด เพียงแต่ไม่ตกอบาย ยังเกิดและตายต่อไป ถึงว่าการพิจาณาต้องบังคับไง การบังคับก็เป็นทุกข์ ถึงว่าความเป็นทุกข์ไง ทุกข์เพื่อจะพ้นจากทุกข์ มันก็พอใจจะทุกข์ แล้วเราศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง ตัวอย่างที่เราจะมีกำลังใจ เราต้องมองแบบอย่างกับองค์ศาสดา

องค์ศาสดาขนาดว่า ออกจากความเป็นกษัตริย์ แล้วออกมามุมานะอีก ๖ ปี เรียนผิดเรียนถูกมาอีก ๖ ปี ใช้ชีวิตแบบนักพรตที่ยังไม่มีศาสนา ความทุกข์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะได้โมกขธรรมมาสอนเรา แล้วพวกเรานี่เป็นใคร? ล้างมือมาแล้วก็เปิบ มีสำรับวางอยู่ไง ธรรมวางอยู่ตรงหน้า ธรรมะนี้วางอยู่ตรงหน้าเลย แล้วเราเปิบอะไรเข้าปาก? เราเปิบธรรมได้ไหม? แต่เวลาปฏิบัติมันทุกข์ไง

เวลาปฏิบัติแล้วมันทุกข์ ต้องยอมรับทุกข์ตัวนี้ไง ทุกข์เพื่อจะพ้นจากทุกข์ กับโลกที่ทุกข์อยู่ในทุกข์ ทุกข์ที่อยู่ในทุกข์ไม่เผลอไผไง ย้อนกลับมา ถึงทุกข์ก็กระเสือกกระสน เพื่อที่พ้นออกไป น้ำตาโลกที่เราร้องไห้ไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก มนุษย์คนหนึ่ง เกิดมาคนหนึ่งในวัฏวนนี้ ถ้าเอาน้ำตาเก็บไว้ ทะเลสู้ไม่ได้ น้ำตาที่ร้องไห้แต่ละภพแต่ละชาติ เอามารวมๆ กันทะเลนี่แพ้ น้ำตาเรามากกว่า เรายังจะไปอีกเหรอ ฉะนั้นถ้ามันจะทุกข์เราก็กัดฟันทน

การกัดฟันทน เพชรอยู่ในหัวใจไง กัดเพชรขาดไง เพชรมันจะเกิดขึ้น มันต้องใช้เพชรตัดเพชร ถ้าหัวใจเราอ่อนไหว หัวใจเราไม่ใช่เพชร กิเลสมันยิ่งกว่าเพชรนะ แล้วเราจะไปตัดมัน ฉะนั้นถ้าเราจะตัดมันได้ เราต้องใช้กำลังใจ แล้วก็ไม่ส่งไปทางโลกียารมณ์ ต้องส่งมา เอ้า! มีดวงตาเห็นธรรมยังส่งออกไปอีกเหรอ? ส่ง! เพราะว่ากิเลสยังมีอยู่ กิเลสในหัวใจนี้มีอยู่นะ อาสวะยังมีอยู่ มันยังหลอกอยู่ อาสวะนี้คือกิเลส คือความคิดเคยใจ

กิเลสหมายถึงความเคยใจ ใจมันสะสมมา บุญบารมีของคนไม่เหมือนกัน เบื้องหลังของแต่ละคนที่เกิดมาไม่เหมือนกัน การสะสมจึงไม่เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติถึงต้องเป็นปัจจุบันธรรมของบุคคลคนนั้นไง บุคคลไหนก็แล้วแต่เกิดขึ้น เกิดมาแล้วบุญกรรมส่งมา แต่การปฏิบัติ พระพุทธเจ้าถึงได้เปิดช่องให้ กรรมฐานถึง ๔๐ ห้อง

กรรมฐาน ๔๐ ห้อง วิธีการเข้าทำความสงบถึง ๔๐ ช่องทาง แต่ถ้าปัญญานี้ไม่มีขอบเขต! ปัญญานี้เวิ้งว้างแล้วแต่ใครจะจับฉวยอะไรมาเป็นปัญญาที่จะฟันหน้ากิเลสได้ เป็นอันว่าถูกต้อง ปัญญาอันไหนก็ได้ที่ฟันหน้ากิเลส แล้วกิเลสมันยอมนั่นล่ะ นั่นคือปัญญา ไม่มีขอบเขตเลยเห็นไหม ฉะนั้นถึงว่ามันจะทุกข์ขนาดไหน มันก็ต้องยอม ต้องยอมทุกข์ ต้องสมัครใจยอมด้วย ไม่ใช่ยอมเฉยๆ สมัครใจจะทุกข์ สมัครใจจะทำอาสวะนี้ให้สิ้นไปจากใจ จะทำให้โลกนี้มันสะอาด แล้วถึงจะหยุดได้ไง

โลกนี้มันมีอาสวะ มันมีแรงเหวี่ยง มันถึงหมุนไป ธรรมเหนือโลก ธรรมหยุดโลก เราจะเข้าถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยืนรออยู่ไง เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปัจจุบันขณะที่เราเห็นนั้นล่ะ ถึงว่ามันเห็นอย่างนี้ปั๊บ ความทุกข์อันนั้นที่ว่าทุกข์ๆๆ นั้นมันเลยเป็นของที่เล็กน้อย สิ่งที่เมื่อก่อนว่าทุกข์ ทุกข์แสนทุกข์นั้นล่ะ แต่ถ้ามีกำลังใจอันนี้ ความทุกข์นั้นเบาไปเลย พอเบาไปเลยก็เปิดช่องทางให้เรามีมุมานะ การปฏิบัติออกไปเห็นไหม

การปฏิบัติออกไป ฟังสิ! ปฏิบัติเข้ามาไง ปฏิบัติให้ใจนี้ออกไปจากกิเลส ออกพ้นจากอำนาจของมัน ถึงว่าพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ทำไมมันพิจารณาซ้ำๆ ซากๆ ล่ะ ซ้ำๆ ซากๆ เพราะจิตมันซ้อนๆ กันมาไง กิเลสเป็นชั้นๆ เข้ามา เราต้องเลาะมันเข้าไปเป็นชั้นๆ เพราะเราเป็นเวไนยสัตว์

เป็นเวไนยสัตว์นี้หมายถึงว่า เป็นผู้มีอำนาจวาสนา ยังจะผ่านพ้นไปได้ การประพฤติปฏิบัติถึงต้องซ้ำเข้าไปในกลางหัวใจของเรา เราไม่เผลอ เราไม่ยก ไม่ให้กิเลสมันมาปอปั้นว่าเรานี้เก่งขนาดนั้น ยกให้เราลอยขึ้นไป แล้วเราก็หัวคะมำ เพราะเราเชื่อกิเลสไง ถึงต้องไม่เชื่อกิเลส เชื่อธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วย้อนกลับมา ย้อนกลับมาสู้กับมันที่กลางหัวใจ มันนั่งคร่อมใจเราอยู่ มันบีบบี้สีไฟให้เราทุกข์อยู่ในปัจจุบันนี้ ในกาย เวทนา จิต ธรรมนั่นล่ะ

เห็นไหมใจจะย้อนกลับเข้ามา ถ้ามีกำลังใจ กำลังใจนี้เราเป็นคนที่นึกขึ้นมาไง สติพร้อมแล้ว ปัญญามันจะหมุนเข้ามา ให้กำลังใจตัวเองก็ได้ ถ้าไม่มีปัญญาหมุนเข้ามาให้กำลังใจตัวเอง กิเลสมันขึ้นมา กิเลสมันจะทำให้ขาอ่อนไง อำนาจวาสนาเราน้อย เรามาถึงแค่นี้เราก็ว่าเรามีวาสนาแล้ว ความคิดใฝ่ต่ำนั้นคือกิเลส ความคิดให้ล้มเลิกจากการปฏิบัติ

ความคิดให้ล้มเลิก ความคิดบอกอยู่แค่นี้ เราทุกข์มาพอแรงแล้ว เราจะไปอีกไม่ไหว นี่ความคิดอันนี้เป็นความคิดของกิเลส ก็คือความคิดของเรา เราต้องใช้สมาธิ สมาธิคือความหยุด หยุดความเคยใจ กิเลสนี้เกิดดับ เกิดดับตลอด แต่ธรรมะนี้เราต้องพยายามประพฤติปฏิบัติ

พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ขุดค้นคว้ามาก่อน แล้วมาวางไว้ วางทางอันเอก มรรคอริยสัจจัง วางทอดไว้ให้เราแย่งอำนาจของมันในกลางหัวใจเรา แต่เราไม่เคยเห็นอย่างนี้เลย เราถึงว่าความคิดเราถูกต้อง ความคิดเรา ความเห็นเรา เห็นความมหัศจรรย์ จิตนี้ธรรมเหนือโลก ฟังสิ สมบัติของโลกเป็นสมบัติของโลกนะ

สมบัติของสมาธิธรรมที่มันก้าวขึ้นไป มันจะมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์นั้นทำให้เราหลงใหล ความมหัศจรรย์คือความสุขไง ความเวิ้งว้างในใจมันเป็นความมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์นั้นทำให้เราข้องในความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์นี้ก็กิเลสมันเสี้ยมมาอีก กิเลสมันบังเงาเห็นไหม แม้แต่ความเป็นทุกข์มันก็ว่าทุกข์ จะให้เราอ่อนแอ พอจิตเราได้เสวยสมาธิหรือสูงขึ้นไป มันก็มาบังเงา บังเงาว่าสิ่งนี้เป็นอย่างนั้น สิ่งนี้เป็นอย่างนั้น หลอกไง หลอกไปข้างหน้า

เข็นขึ้นมาจากทางซ้าย มันก็ว่าผิด เป็นว่าเราเป็นคนวาสนาน้อย เข็นมาทางขวา มันก็ว่าอันนี้ เลยไป มันไม่มัชฌิมาปฏิปทา อยู่ในเลนของตัวไง อยู่ในเลนของที่ว่าจะชำระมันได้ไง กิเลสนะเห็นไหม การพิจารณากายก็เป็นอย่างนั้น กาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณาไป พิจารณาไป จนมันลงตัวอยู่ตรงมัชฌิมาปฏิปทา ลงตัว ธรรมจักรนี้หมุนไป เป็นภาวนามยปัญญาที่เราส่งขึ้นมา จากปัญญาที่ไม่มีขอบเขต ปัญญาที่กว้างขวางมาก เราแต่ง เราคิดขึ้นมา คิดในมรรคนะ ไม่ใช่แบบเราคิดขึ้นมาในโลกๆ อย่างนี้ คิดในโลกคิดไม่ออก คิดไม่เห็น

แต่ใจเป็นธรรมเราเดินมรรคอยู่ มันจะเห็นตามความเป็นจริง กายเป็นกาย จิตเป็นจิต หลุดออกจากกัน โลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง โลกนี้ราบ...เป็นหน้ากลองเลย เวิ้งว้างไปหมดเลย ขาดออกไป ขาดออกไปเห็นไหม ขาดออกไปเลย ว่างหมด ว่างจากขาดนะ จากรู้ว่าใจกับกายนี้แยกออกจากกัน โลกธาตุนี้ราบ มันไม่มีสิ่งใดอีกเลยในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดๆ สิ่งยึดเหลืออยู่เลย ว่างไปหมดเลย เห็นไหมผลของมัน

จากการที่เราค้นคว้า เราต่อสู้กับไอ้เจ้าวัฏจักรที่มันปกครองใจมันอยู่ จิตกับกายแยกออกจากกัน กายคราวนี้หลุดออกไปเลย หลุดออกไป ครั้งก่อนนั้นมันปล่อยตามสภาวะตามความเป็นจริง คราวนี้ปล่อยออกไป หลุดพ้นออกไป สุขมาก... สุขจริงๆ สุขโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ เป็นอยู่อย่างนั้นนะ ไปไหนเดินไหน จิตมันมีพื้นฐานอยู่แล้ว

การก้าวเดินไปของตัวเอง เหมือนกับการลอยไป ไม่เหมือนกับก้าวเดิน เพราะอะไร? เพราะมันเบา มันเบาจากกิเลสพักหนึ่ง กิเลสมันแพ้มา ๒ สเต็ป มันก็จะย้อนกลับมาล่ะ นี่มันยังอยู่ในอำนาจของเขาอยู่ ยังต้องเกิดต้องตายอยู่ แกนของโลกนี้ยังไม่โดนถูกทำลาย ทำลายแบบเปลือกโลกเข้ามาๆ จะหยุดโลกไง ทำลายแรงเหวี่ยงเข้ามา มันถึงหมุนช้าไปเท่านั้นเอง หมุนช้าลง ช้าลงๆ แต่มันยังหมุน แล้วก็เสวยสิ สุขนี้ควรเสวย สุขนี้เป็นความสุขที่จะให้เราก้าวเดินไป

เราล้มลุกคลุกคลานมา บากบั่นกับความทุกข์ ความทุกข์นี้เราแบกมาตลอด การประพฤติปฏิบัติก็ต้องเอาทั้งแรงกายแรงใจ ถ้าร่างกายนี้มันเข้มแข็ง มันมีความแข็งแรง เราก็ปฏิบัติได้ง่าย แรงใจคือแรงที่เราพยายามพัฒนาใจเราขึ้นมา วุฒิภาวะของใจพัฒนาขึ้นเป็นชั้นๆ ขึ้นมา เป็นพระในหัวใจ ไม่ใช่เป็นพระที่ร่างกาย สร้างพระขึ้นมานี่ สร้างพระในกลางหัวใจขึ้นมา ถึง ๒ สเต็ปขึ้นมากลางหัวใจเห็นไหม มันถึงมีความสุข แต่ความสุขนั้นพักเดียว

เราเองเป็นผู้ที่มีหนี้ เราจะพ้นจากหนี้ เราก็ต้องโดนทวงถามอยู่ โดนทวงถาม เราจะหาเจ้าหนี้อย่างไร? นี่... กาย เวทนา จิต ธรรม มันหาไม่เจอ ช่วงนี้หาได้ยาก เพราะอะไร? เพราะกายกับจิตมันแยกกันโดยชัดไง แต่ก่อนเราพิจารณากาย กายที่เราจับต้องได้ ที่จิตมันเกาะเกี่ยวกันอยู่ โดยสังโยชน์ที่มันผูกมัดอยู่ เรายังจับต้องได้ เรายังหาไม่เจอ เห็นกายด้วยความเป็นธรรมยังไม่เคยเห็นกัน แล้วจะไปเห็นกายโดยที่ว่ากายกับจิตนี้มันแยกออกจากกันแล้ว มันยากถึง ๒ ชั้น

จากสติธรรมดาสามัญนี้ไม่ได้ ถึงต้องฝึกสติจนเป็นมหาสติ มหาปัญญา จากสติปัญญานี่ มันใช้ได้แต่ระหว่างกายกับจิตที่มันเกาะเกี่ยวกัน มหาสติ มหาปัญญา สติต้องเป็นมหาสติ เป็นสติที่ละเอียดขึ้นไปอีก ถึงจะเข้าไปจับกายตัวนี้ได้ไง กาย เวทนา จิต ธรรมเหมือนกัน แต่เป็นกายของใจไง เป็นอสุภะ อสุภังที่เป็นกามภพไง นี่เป็นตัวนั้น ฉะนั้นการจับตัวนี้ ถึงได้หาได้ยาก

ถ้าไม่จับตัวนี้ มันก็ไม่ได้ออฟฟิศ มันก็ไม่ได้สนาม มันก็ไม่ได้ภพไง ภวาสวะไง ภพที่กิเสมันอาศัยยืนขึ้นมาเล่นกับเราไง ภพที่กิเลสมาอาศัย มาหลอกเราไง นี่มันยืนตรงนั้น ภพชาติที่ใจ นั่นล่ะภวาสวะ แล้วภพอันนั้นมันก็เป็นกาย ถ้าเราจับในกาย มันก็เป็นกาย กายนี้พิจารณาไป พิจารณาไปสวยและงามไง สวยงามเห็นไหม สวยและไม่สวย สุภะและอสุภะ ถ้าเราตั้งเป็นสุภะมันก็สวยงาม ถ้าตั้งเป็นอสุภะล่ะ เราตั้ง ฟังสิ

เราตั้งเพราะอะไร? เพราะมันเป็นมรรคอริยสัจจัง มรรคะนี้เราเป็นคนเสริมขึ้นไป เราเห็นไหม สติพร้อม นี่เราบังคับให้มาในทางวิปัสสนา ก่อนวิปัสสนาต้องจับต้อง การขุดคุ้ยนี่ การขุดคุ้ยหาเหตุ การขุดคุ้ยหาที่ทำงานไง การขุดคุ้ยเพราะกิเลสมันจะนอนเนื่องมากับใจ มันจะหลบมา มันจะหลบนอนเนื่องมาจากอารมณ์อันนั้น การขุดคุ้ยทวนกระแสเข้าไป ทวนกระแส!

ทวนกระแสความคิดด้วยมรรคอริยสัจจัง ทวนกระแสความคิดด้วยทำนบของธรรม ทวนกระแสเพราะเราเชื่อมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ก้าวเดินล่วงหน้าไปแล้ว เราเชื่อมั่นในองค์พระอัครสาวกต่างๆ ที่พ้นออกไปจากกิเลสไง ทำไมเราจะไม่มีกำลังใจที่เราจะกล้าทวนกระแส ทวนเข้าไปให้เห็นถึงจับกาย! กายที่มันอยู่กับใจนั่นล่ะ

กายกับใจมันอยู่ด้วยกัน มันเป็นภวาสวะ มันถึงมีฐานที่อยู่ที่อาศัย แล้วอาศัยในอะไรล่ะ? อาศัยตรงเชื้อการเกิดภพชาติในกามารมณ์ กามภพ ที่ว่าโลกียะ โลกีย์ กามอารมณ์ อันนั้นภพที่มันเกิดในกามภพเห็นไหม ต้นขั้วมันอยู่ตรงนี้ไง ต้นขั้วมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่ใจมันเป็นจุดศูนย์กลางที่ออกมา

ต้นขั้ว.. ลูกมันเกิดมาจากพ่อแม่ไง ตัวพ่อมันอยู่ที่นี่ ตัวพ่อของกามภพนะ ไม่ใช่อวิชชา ปัจจยา สังขารา เจ้าวัฏจักรนะ เจ้าวัฏจักรมันอีกชั้นหนึ่ง นี้มันตัวพ่อ ตัวพ่อของกาม ของภพไง นี่ย้อนกลับเข้ามาเพราะเราเชื่อ เราเชื่อการพ้นออกไปจากนั้น ความเชื่อในสุตมยปัญญาด้วย ในพระไตรปิฎกด้วย บอกไว้เห็นไหม

นี่ถ้าเราคว้านออกมา เราเป็นสุภาพบุรุษ เราเป็นสุภาพบุรุษใช่ไหม เราเป็นผู้ปฏิบัติ เราต้องซื่อตรงกับตัวเองไง ซื่อตรงกับตัวเองว่าจริงหรือไม่จริงไง ความจริงที่ปรากฏขึ้นในปัจจุบันธรรมที่ทำสถาปนาใจของเรา ไม่ใช่ข้างนอกเขาประทานปริญญาบัตรกัน อันนั้นมันรับมือต่อมือ เปลือกต่อเปลือก เขายังมีศักยภาพ มีความสุขขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นภายใน เป็นปัจจัตตัง เป็นธรรมะที่เป็นธรรมจักร แล้วมันไปชำระข้างในหัวใจ มันถึงว่าต้องเข้าไปดูตรงกามภพ มันเป็นกามภพ มันเป็นสิ่งที่ว่าโอฆะ การก้าวข้ามพ้นโลก

การก้าวข้ามพ้นโลก ถ้าอสุภะ แต่มันมองเป็นสุภะ มองเป็นความสวยความงาม แต่ถ้ามันจับต้องได้ จับกาย เวทนา จิต ธรรม การจับกาย เวทนา จิต ธรรมนี้ได้ เป็นงานอันประเสริฐมาก กว่าจะเจอตรงนี้ จะเจอเป็นมหาสติ มหาปัญญา เน้นย้ำ! “มหาสติ มหาปัญญา” มันไม่ใช่สติปัญญาธรรมดาๆ มันถึงเป็นการที่ว่าก้าวเข้าไปได้ยาก เพราะจะเป็นการก้าวข้ามพ้นภพ! พิจารณาเป็นอสุภะเข้าไป พอจับกายตรงนี้เป็นอสุภะ แต่มันก็แปร่งเป็นสุภะได้ ทีนี่ความว่าอสุภะไง

อสุภะ โอฆะมันเป็นสุภะได้อย่างไร? มันเป็นสุภะได้อย่างไร? มันจะสวยได้อย่างไร? มันเป็นเชื้อก่อเกิด เชื้อก่อเกิดเห็นไหม เชื้อก่อเกิดให้เกิดขึ้น ฉะนั้นพิจารณาเข้าไป มันเป็นกาม จนธรรมจักรนี้หมุนไป จนกลายเป็นภาวนามยปัญญา จนธรรมจักรนี้หมุนไป หมุนไปจนเป็นมัชฌิมาปฏิปทาด้วยนะ ถ้าซ้ายขวากามนะ กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค แต่มันต้องเป็นไป เพราะว่ามันละเอียดอ่อน

สิ่งที่ละเอียดอ่อนที่เป็นเหนืออำนาจควบคุมเรามาตลอด แล้วเพราะเรามีธรรมาวุธไง มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราเชื่อ เราถึงเอาเข้ามา น้อมเข้ามา สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาจนเป็นธรรมจักร ธรรมจักร จักรของธรรมเกิดขึ้นกลางหัวใจ หมุนไปด้วยแรงเราสร้างขึ้น แรงของเราที่เราสร้างขึ้นมาหมุนไป หมุนไปจนเป็นธรรมจักร ไม่มีใครทั้งสิ้น มันเป็นธรรมจักร เป็นธรรมเข้าไปแก้ธรรมชาติ ฟังสิ!

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแก้ธรรมชาติ โดยการเกิดและการตายไง เกิดตายในกามภพ นี่หมุนเข้าไป ธรรมที่เหนือธรรมชาติ กับธรรมที่ต้องเกิดต้องตาย เพราะตัวนี้มันเป็นตัวเจ้าวัฏจักรของกามภพ จนมันทันกัน ฆ่ากัน มันไล่ต้อนกัน มีแพ้มีชนะอยู่ในวงปฏิบัตินั้น มีแพ้มีชนะในการใช้ปัญญา เพราะปัญญาอันนี้มันละเอียดอ่อน มันรุนแรงเพราะมันเป็นการต่อสู้กันแบบว่าจะดับชีวิตคนๆ หนึ่ง ใครจะยอม มันจะสู้ทุกอิริยาบถที่มันจะพลิกสู้ สู้ทั้งนั้น เราก็ต้องต่อสู้ด้วยธรรมจักร จักรเข้าไปทั้งนั้นตลอดเวลาเหมือนกัน

การต่อสู้เข้าไปอันนั้น มันแบบว่า มันว่าจะเหนื่อยอ่อนก็เหนื่อยอ่อน เป็นความที่ว่าเหมือนกับข้าศึก เราเริ่มจากฝ่ายแพ้มาตลอดนะ แล้วเราจะเป็นฝ่ายชนะ ความกระหยิ่มใจของเราก็มี ความกระหยิ่มใจของเรา การจะจับต้อง เราเคยลิ้มรสของธรรมเข้ามาตั้ง ๒ – ๓ ขั้นตอนแล้ว ทำไมถึงตรงนี้มันจะขนาดไหน มันก็ตื่นเต้น มันก็อยากได้ มันอยากจะไขว่จะคว้า ใกล้ๆ แล้วหมุนเข้าไป อันนี้ถึงเป็นกำลังใจที่หมุนเข้ามา หมุนเข้าไปจนเป็นมัชฌิมาปฏิปทานะ

มัชฌิมาปฏิปทาหมุนไปตามธรรมจักรนั้นขาด! กามนี้ขาดออกไปเลย ขาดเห็นๆ พอขาดออกไป โลกธาตุนี้หวั่นไหว จะไม่เกิดอีกแล้วในกามภพ จะไม่เกิดอีกแล้วตั้งแต่เทวดาลงมา เทวดาก็ไม่เป็น เพราะขันธ์มันขาดออกจากใจ จากที่ว่ากายข้างนอก กายข้างในขาดออกหมด กายไม่มี กายตรงนี้หลุดออกหมดเลย ล้วนๆ เลย จิตนี้เป็นจิตล้วนๆ ว่างไปหมด โลกธาตุนี้ไหวไปหมด ไม่เกิดอีก ไม่มีสิ่งที่จับต้องได้ เวิ้งว้างไปหมด นี่มันอยู่ที่ไหนล่ะ? เวิ้งว้างอวกาศ มันก็เป็นอวกาศ แต่ถ้าใจเวิ้งว้าง เวิ้งว้างไปหมดนะ ว่างไปหมดเลย ว่างไปอย่างนั้น แล้วไปของมันเรื่อย

พอว่างอันนั้นมีความสุข ความสุขแบบนี้ ทำไมสุขบ่อยๆ แท้ แต่สุขขึ้นมาทำไมเป็นทุกข์อีกล่ะ ทุกข์! สุขอันนี้มันสุขไม่เกิดในกามภพ ไม่เกิดในกาม ถ้าตายไปก็เป็นพรหม แล้วสุกไปเลย สุกไปข้างหน้า สุทธาวาสไปก็ไปเลย แต่ถ้าปัจจุบันนี้ล่ะ ในหัวใจมีความทุกข์ไหม? สุข สุขมากแต่มันจะเป็นความเฉาไง ใจนี้เป็นใจ ความเฉา ไม้สุมขอน ความเฉาความอะไรในหัวใจนี่ หัวใจมันจะเกิดอย่างนั้น หัวใจมันจะเกิดความสว่าง ความหมองลงมา มันขัดข้องอยู่

ถ้าเป็นกาม เป็นตัวกาม มันจับต้อง แล้วอารมณ์มันหวั่นไหว แต่ตัวนี้มันเป็นตัวรูป โลภ โกรธ หลง หลุดออกไปแล้ว มันเหลือแต่ตัวตอ ตัวตอเป็นตัวเจ้าวัฏจักร อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ในปฏิจจสมุปบาทเป็นวิญญาณปฏิสนธิ ไม่ใช่เป็นวิญญาณกระทบอย่างกองของขันธ์ ๕

จักษุ ตากระทบรูป ใจรับรู้ขึ้น นี่ก็เป็นจักษุวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ ฆานวิญญาณ วิญญาณอย่างนี้มันคนละวิญญาณกับวิญญาณในปฏิจจสมุปบาท อันนั้นอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ วิญญาณตัวนี้มันเป็นวิญญาณปฏิสนธิ ฉะนั้นเวลาคนถ้าภาวนาไม่เป็น เวลาเกิดก็ตัวนี้เกิด ตัวจิตเม็ดในไปเกิดไง เวลาเกิดๆ ตายๆคนถึงเวลาเกิดแล้วระลึกจำชาติตัวเองไม่ได้ตลอดไปไง เพราะข้อมูลตัวนั้นไง

ฉะนั้นมันถึงว่ามันไม่ใช่วิญญาณตัวนอก วิญญาณตัวนอกเราทำลายหมด ไม่มีวิญญาณที่จะรับรู้ข้างล่างอีกแล้ว แต่มันอวิชชา ปัจจยา สังขารา ลงมาเป็นตลอดสายนั้น มันเกิดพร้อมกันและดับพร้อมกันในอันนั้น มันไม่ใช่กองขันธ์ เพราะมันปัจจยาการมันเนื่องกันมาตลอด เหมือนสายไฟที่ส่งออกมาไง เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับพร้อมกัน มันไม่ใช่ขันธ์ มันถึงจับต้องได้ยิ่งยากไปกันใหญ่

ฉะนั้นการจะวนกลับมา มันไม่วนกลับมา ทุกคนจะไม่วนกลับมา หรือวนกลับมามันกลับมาไม่ได้ เมื่อก่อนเราจะสร้างทำนบด้วยธรรม เราพยายามจะจับต้องให้ได้ เรายังจับต้องไม่ได้ แล้วคราวนี้เอาอะไรสร้างอะไรล่ะ? เพราะมันไม่มีสิ่งที่จะตอบโต้กัน มันเป็นตัวของมันเอง มันเป็นเจ้าวัฏจักร นี่คือตัวอวิชชา

นี่ที่ว่าอวิชชาทำให้รู้ไม่จริงเห็นไหม มันรู้เฉยๆ มันเหมือนยางเหนียว ไปแปะอะไรก็ติดมัน เหมือนยางเหนียวๆ เห็นไหม เราไปแปะอะไรสิ สิ่งนั้นจะติดหมด เหมือนกาวยาง เราไปแปะอะไรก็ติด ไปแปะอะไรก็ติด เพราะมันไม่รู้ ติดด้วยไม่รู้ไง นี่ก็เหมือนกัน เวลามันคิดมันคิดแบบอวิชชา คิดรู้แต่รู้แบบไม่รู้ไง ก็ไปติดเขาเฉยๆ นี่ตัวอวิชชา ตัวติด นั้นมันเป็นกาวเหนียว มันจะทำอย่างไรให้กาวทำลายตัวมันเอง

กาวมันเป็นวัตถุ แต่ธาตุรู้มันเป็นธาตุ ธาตุรู้มันมีชีวิต สิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีความรู้สึก สิ่งที่เป็นชีวะ! ชีวิตคืออะไร? ชีวิตคือตัวนี้ไง การเกิดการตายเกิดจากตรงนี้ไง นั่นล่ะย้อนกลับ นี่หมุนกลับมา หมุนกลับมาอีก เพราะอะไร? เพราะมันไฟสุมขอน ความว่างอันนี้มันเป็นพื้นฐานแห่งความสุข ถ้ายกขึ้นมาจากเบื้องต่ำ สุขมาก... ความเวิ้งว้างจากข้างบนสุขมาก อนาคานี่ อารามิกะพ้นจากเรือน ไม่มีเรือน ใจนี้ว่างหมด ใจนี้ไม่มีที่อยู่ ใจไม่มีที่หมาย ทุกอย่างว่างหมด

คิดดูสิ ใจที่เป็นสมาธิ ใจที่ว่าเมื่อก่อนมันมีอยู่ มันไม่มีเลย มันไม่มี เห็นไหมทำไมมันถึงไม่มีความสุข แต่ทำไมมันไฟสุมขอนล่ะ? ทำไมมีความทุกข์ล่ะ? ถ้าขึ้นไปข้างบน นี่ถึงว่าอกุปปธรรม กุปปธรรมมันเป็นอย่างนี้ ไม่เสื่อมลงมา อกุปปธรรม ไม่เสื่อมเด็ดขาด แต่มันพัฒนาขึ้นไปข้างบนได้ มันถึงว่ามันไม่ใช่อกุปธรรมโดยที่ว่าแปรสภาพไม่ได้ไง

อกุปปธรรมหมายถึงธรรมที่ว่าไม่เสื่อม แต่เจริญได้ เจริญขึ้นไป เจริญขึ้นไป นี่มันเจริญขึ้นไป นี่ก็เหมือนกัน ตรงนั้นมันไม่ลงไป แต่มันสุมอยู่ในใจ มันมีความสุข มันเป็นความว่าง แต่ความว่าง ฟังสิ! รูปราคะ อรูปราคะ รูป-อรูปเห็นไหม รูป ความว่างที่เรากำหนดเป็นรูปฌาน อรูปฌาน ทำไมมันเป็นราคะล่ะ? แล้วความว่างในความว่างนั้นมันเป็นอะไรล่ะ? ทำไมเราไปข้องมันไว้ล่ะ?

เราสร้างมันเกือบเป็นเกือบตาย กว่าจะได้ฌาน ได้สมาบัติ แต่เวลาขึ้นไปตรงนั้นทำไมมันเป็นราคะ เป็นราคะเพราะมันติด มันติดในความว่าง ว่างว่าเป็นว่างๆ นั่นล่ะ มันถึงว่าเป็นกาวติดไง มันติดในความว่าง มันไม่มีขันธ์แต่มันติด เพราะมันเป็นอวิชชา

ถ้ามันเป็นรูปราคะ ความเวิ้งว้างล่ะ รูปราคะเห็นไหม รูป ฌานที่กำหนดรูป แล้วอรูปราคะ ความว่างที่ไม่มีตัวตน ทำไมไปติดล่ะ ติด! ไม่มีเลย ว่างหมดเลยก็ติด เอ้า...กาวอะไรไปติดในอากาศได้ ได้เพราะอะไร? เพราะใจมันเป็นอวิชชา มันติดหมด ติดแม้แต่ความว่างเพราะอะไร? เพราะว่ามันเห็นเขาว่างไง มันเห็นเขาว่าง มันรู้เขาว่าง แต่ทั้งตัวมันมองไม่เห็นมัน มันถึงรู้แบบไม่รู้ไง นี่คือตัวอวิชชา รู้แบบอวิชชา รู้แบบรู้ แต่ไม่รู้ตัวเอง รู้แบบติดเขา นั่นธรรมจักรเห็นไหม อรหัตมรรค ฟังสิ!

สร้างอรหัตมรรคจากความว่างๆ สร้างอรหัตมรรคขึ้นมา ไล่ต้อนย้อนกลับมาดูสิ เพราะว่ามันเป็นไฟสุมขอน มันมีความทุกข์อยู่ในหัวใจ มันเศร้าหมอง มันอ่อนไหว คนเรานี่นะถ้าทุกข์ๆ ยากๆ ขอให้มีกินมันก็หายทุกข์ แต่ถ้าคนมันมีกินมีใช้โดยสมบูรณ์แล้ว อาหารมันจะเลือกกินแต่ของดีๆ จิตเราเหมือนกันนะ ว่าเมื่อก่อนทุกข์ยากมาตลอด พอมันเวิ้งว้างมันว่างไปหมด มันทุกข์อะไรอีก

ทุกข์! ทุกข์เพราะอะไร? เพราะคนมันสูงไง คนคิดว่าไม่มีสิ่งใดจะจับต้องเราได้อีกไง เราเป็นคนที่สูงที่สุด เราเป็นคนที่ไม่มีใดๆในหัวใจ แต่ทำไมเราไปคาอยู่กับสิ่งที่มันทับหัวเราอยู่ล่ะ ทำไมจะไม่ทุกข์ ทุกข์เพราะว่าเรามันไม่พ้นเป็นอิสระ ทุกข์เพราะว่าเรายังอยู่ในอำนาจของมัน อำนาจของมันที่กดขี่ในหัวใจไง มันเป็นเจ้าวัฏจักรที่มันขี่ออกมาจากนี่ จุดเริ่มต้นนี่คืออวิชชา นี่ย้อนกลับไป

ต้องย้อนกลับไปดู จะว่างขนาดไหน? จะเวิ้งว้างอย่างไร? ต้องหมุนกลับไปดูไอ้กาวเหนียวที่ติดที่ใจนี่ ไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์มันขาดไปตั้งแต่กามโอฆะแล้ว เพราะขันธ์นี้มันเป็นปฏิฆะ กามราคะ-ปฏิฆะเห็นไหม ปฏิฆะคือความผูกโกรธ ถ้ามีสัญญาอยู่ สัญญาความจำได้หมายรู้อยู่ มันถึงออกไปเป็นผูกโกรธ

เพราะใครทำอะไรไว้เราจะจำไว้เป็นสัญญา เราจะไปนรกชั้นไหน มันก็ด้วยขันธ์ที่พาไป นี่ขันธ์มันขาดออกไปแล้ว ถือว่าไม่ใช่ขันธ์! มันไม่ใช่ขันธ์! ขันธ์ส่วนขันธ์ จิตส่วนจิต คนละอันกัน คนละส่วนกันเลย ขันธ์ได้ขาดออกไปแล้ว แต่คราวนี้เป็นจิตล้วนๆ เป็นอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา แต่เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ ถึงว่าอวิชชาถึงโคตรถึงเหง้ามันเลย เราถึงจะต้องว่าค้นคว้าหาตัวนี้

การค้นคว้าหาตัวต้องย้อนกลับมา จะว่างขนาดไหนก็ไม่ให้ประมาท เพราะคำว่าอรหัตมรรค ฟัง! เกิดขึ้นได้เพราะตรงนั้นเอง สร้างอรหัตมรรคขึ้นมา เพราะตรงนั้นเท่านั้นถึงเป็นผู้ที่สร้างอรหัตมรรคได้ ฐีติจิต จิตที่ว่า “จิตเดิมแท้นี้สว่างไสว หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้สว่างไสว จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลสไง” อยู่ในพระไตรปิฎก แต่เวลาเราพูด เราพูดกันคำเดียวว่า “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส หมองไปด้วยอุปกิเลส” เราว่าจิตเดิมแท้นี้นึกว่าพ้นจากกิเลสแล้ว นี่! จิตเดิมแท้นี่ไง

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ที่ข้ามพ้นกิเลส” อันที่พูดในพระไตรปิฎกนั้นเพียงแค่เปรียบยังเป็นโลกอยู่ แต่นี่ปฏิบัติขึ้นมาจนว่างหมดแล้ว มันถึงว่าเป็นจิตเดิมแท้จริๆง จิตเดิมแท้ที่ไม่มีกิเลสใฝ่ต่ำ! แต่มันมีกิเลสตัวอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารานี้ แล้วจิตเดิมแท้นี่ถ้าเจอแล้วใคร่ครวญ พลิกฟ้าคว่ำดินไง จนพ้นออกไปจากกิเลส

เห็นไหมจิตเดิมแท้นี่ จิตเดิมแท้ไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์นี้ผ่านเพราะจิตเดิมแท้นี้เป็นพลังงานผ่านออกมาเท่านั้น ถึงออกมาเป็นขันธ์ ออกมาเป็นขันธ์ใน ขันธ์นอกออกมาข้างนอกไง ถึงบอกว่ามันละสังโยชน์ขึ้นมาเป็นชั้นๆๆ เข้าไปไง ถึงพ้นทุกข์ไง ถึงออกไป ถึงหยุดโลกไง ดับโลก! ดับการเกิดและการตาย ตั้งแต่วันที่พ้นออกไปจากจิตเดิมแท้ที่ข้ามพ้นออกไป หมด! กิเลสหมดจากหัวใจ หัวใจนั้นเก้อๆ เขินๆ คือมีแต่ความรับรู้อย่างเดียว รับรู้แบบวิชชา

วิชชาคือรู้ตามความเป็นจริง ถ้าคลองของอารมณ์ผ่านมาก็จับ แต่พ้นออกไปนี่ อรหัตมรรค อรหัตผล นิพพาน ๑ พ้นออกไปจากอรหัตผล ออกไปเป็นนิพพาน ๑ เป็นสอุปาทิเสสนิพพานเพราะว่ายังมีชีวิตอยู่ แล้วย้อนกลับเข้ามาสิ เวลาย้อนกลับเข้ามาเป็นการเป็นงานจะย้อนกลับมาสื่อ ถึงว่าจิตตรงนี้เป็นจิตอัตโนมัติ เป็นจิตที่อัตโนมัติ เวลาขันธ์ผ่านมา คือว่าขันธ์คือสัญญา คือความจำผ่านมาในอารมณ์ของตัว มันก็จับแล้วก็ถ้าพอใจ ถ้าจะสื่อ มันก็คิดออกมา ถ้าไม่พอใจ ไม่สื่อเห็นไหม

ไม่พอใจ ฟังสิ! ทำไมถึงไม่พอใจล่ะ? เพราะว่ามันไม่จำเป็น ถึงเป็นประโยชน์โลกก็จริงอยู่ เป็นความดี เป็นความวิชาการที่เป็นประโยชน์นั่นล่ะ แต่มันไม่ใช่กาล ไม่ใช่ควร ไม่ใช่เวลา เพราะสตินี้เป็นอัตโนมัติ มันก็ปล่อย มันปล่อยได้หมด แต่ก็ยังสื่อได้ถ้าออกมา ออกมาสื่อกับโลกก็ออกมาสื่อได้ ออกมาสื่อเป็นสมมุติก็ได้ แต่มันดับเฉพาะอวิชชา ดับเฉพาะกิเลส ดับเฉพาะไอ้เจ้าวัฏจักรที่ข่มหัวเราอยู่ไง เราสลัดออก สลัดอวิชชานั้นออก สลัดความไม่รู้ออกจากใจทั้งหมดเลย

ใจมันถึงเป็น ๑ จะเป็นวิชชาก็ได้ จะอะไรก็ได้แล้วแต่จะเป็น ๑ อยู่อันนั้น แต่ไม่ใช่ ๑ มี ถ้า ๑ มีจะก้าวเป็น ๒ ถึงบอกว่านิพพาน ๑ ไง นี่พ้นออกไป นี่ดับโลก... ดับโลก ธรรมเหนือโลก ธรรมหยุดโลกไง หยุดได้หมดเลย หยุดโลกที่ไหน หยุดโลกไหนมันจะสำคัญกว่าโลกของเราล่ะ หยุดโลกไหนก็เป็นโลกของเขา แต่หัวใจเรามันเดือดเป็นไฟอยู่นี่ มันต้องหยุดโลก หยุด ดับไฟ ดับไฟให้ใจเราเย็นไง ดับไฟที่ใจไง หยุดโลกต้องหยุดโลกที่กลางหัวใจนี้ หยุดที่นี่ แล้วถึงจะเป็นผลของเราไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์ไว้ไง พอจะนิพพาน พระอานนท์ถามว่า ถ้าพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว เมื่อใดมรรคผลจะหมดเขตหมดแดน? อานนท์เธออย่าถามอย่างนั้น เมื่อผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้ใดนะ ไม่ใช่นาย ก. นาย ข. ใครก็แล้วแต่ ผู้ใด.. จิตที่เกิดที่ดับมานี่ แล้วผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม ผู้ใด ผู้ที่เกิดแล้วพบพุทธศาสนา เราถึงว่าเราเกิดเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา วิธีการ มรรคะทางอันเอกเห็นไหม ที่จะให้พ้นออกไปจากทุกข์ ที่จะดับโลกได้ จะหยุดโลกได้ทั้งหมด แล้วทำไมเราจะไม่มีวาสนา

แล้วผู้ใด! “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” แล้วใครที่นั่งปฏิบัติอยู่นี้ ใคร! ผู้ใด! นี่ผู้ที่ปฏิบัติเห็นไหม “ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมนี้จะไม่สูญจากโลกเลย” ท่านพูดนะในพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เรา.. นิพพานไปก็เป็นแต่เฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเอาไปด้วย ในหัวใจของท่าน ท่านเอาไปด้วย แต่ธรรมที่ท่านวางไว้ ที่เมื่อก่อนนั้นโลกนี้มืดบอด โลกนี้ไม่มี ไม่มีใครเคยเห็นเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้มาค้นคว้า เป็นผู้เข้ามาบุกเบิกเป็นพระองค์แรก ผ่านไปก่อน แล้วทอดไว้ไง วางไว้ไง ให้ชาวพุทธนี้ดำเนินต่อ ให้ชาวพุทธ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา บริษัท ๔ เห็นไหม ฝากไว้ด้วยนะ

“มารเอย ถ้าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรา ยังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เมื่อนั้นเราจะไม่นิพพาน”

จนถึงสุดท้าย จนสอนมา ๔๕ ปีไง ฝึกฝนไว้ วางไว้จนภิกษุ ภิกษุณี จากในสมัยพุทธกาลนั้น เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เป็นผู้สืบทอดศาสนาได้มั่นคงแล้วไง มารมาดลใจถึงว่า มารเอย อีก ๓ เดือนเราจะนิพพาน เพราะภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราสามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้แล้ว ศาสนาเรามั่นคงแล้ว จะเจริญต่อไปข้างหน้า จะสามารถสืบต่อกันไปได้ อีก ๓ เดือนจะนิพพานเห็นไหม

แล้วเราเป็นใคร! ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้ใด.. แล้วเราเป็นใคร เป็นนักบวชด้วย แล้วปฏิบัติด้วย ถึงว่าต้องให้เรามีธรรมเข้ามาหยุดโลก! หยุดเกิด หยุดแก่ หยุดเจ็บ หยุดตาย หยุดที่หัวใจ แล้วพ้นออกไปจากอวิชชาอีกต่างหากนะ หยุดโลกไม่หยุดเปล่า พ้นออกไปจากโลก พ้นออกไปจากวัฏฏะ! ไม่ใช่เฉพาะโลกนี้ไง กามภพ พ้นออกไปจากพรหม จากอรูปภพ

ยังพ้นจากอรูปภพอีกเห็นไหม พ้นจากพรหมที่ว่างทั้งหมด ยังพ้นออกไป ด้วยอะไร? ด้วยทางอันเอก มรรคอริยสัจจังอันนี้ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้แล้วนี่ไง ถึงว่าประเสริฐ ประเสริฐต้องว่าประเสริฐนะ

เราเป็นคน เรานักปฏิบัติ ต้องว่าประเสริฐ แล้วมีวาสนาด้วย มีวาสนามากๆ ที่ได้เกิดมาเป็นชาวพุทธไง เกิดมาเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบริษัท ๔ ไง แล้วยังมีโอกาสเกิดมากึ่งกลางพุทธศาสนา ที่ศาสนากำลังเจริญรุ่งเรือง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้ว ศาสนานี้วางไว้ ๕,๐๐๐ ปี

อีกกึ่งกลาง ๒,๕๐๐ นั้น ศาสนาพุทธจะกลับมารุ่งเรืองด้วยผู้ที่ปฏิบัติ ผู้ที่พ้นออกไป ผู้ที่จะรู้จริงตามความเป็นจริง แล้วเราเกิดกึ่งกลางพระพุทธศาสนาเห็นไหม ๒,๕๐๐ น่ะ ๕,๐๐๐ ปี เหลืออีก ๒,๕๐๐ แล้วเรานั่งอยู่นี่ เราปฏิบัติอยู่นี่ ทำไมถึงไม่มีวาสนา? ทำไมถึงว่าเราไม่ใช่ผู้มีบุญ? เราเป็นผู้มีบุญ เราถึงจะมีความตั้งใจ จะประกอบความเพียรไง ให้พ้นออกไปจากทุกข์ ก้าวเดินตามทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ธรรมของเรา พระพุทธเจ้าเอาธรรมของท่านไปแล้ว ธรรมในหัวใจของท่านชำระกิเลส สะอาดหมดจด นิพพานไปแล้ว “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม” ธรรมของผู้นั้นไง มันจะกังวานที่หัวใจ ปัจจัตตัง รู้เห็นตามปกติ รู้เห็นตามความเป็นจริงขณะนั้น ในขณะจิตนั้น ในขณะที่คว่ำกิเลสนั้น เห็นตามความเป็นจริงหมดเลย แล้วถึงจะไปรู้ผลอีกทีหนึ่งเห็นไหม รู้ผลขณะที่ทำนั้นเป็นเหตุ ขณะที่พ้นออกไปเป็นผล ผลอันนั้นมันอยู่ที่ใจ ธรรมถึงสถาปนาไง

ธรรมะ ปัจจัตตังสถาปนาหัวใจของเรา ยกวุฒิภาวะขึ้นมาเป็นขั้นๆๆ ไป นี่ชาวพุทธถึงต้องพอใจ ชาวพุทธถึงได้พอใจแล้วกระหยิ่มยิ้มย่องไง พอใจหรือไม่พอใจ กระหยิ่มยิ้มย่องในบุญกุศลของตัว แต่จะก้าวเดินไปถึงหรือไม่ถึง เห็นไหม ถึงต้องขวนขวาย ต้องตั้งใจ ตั้งใจแล้วขวนขวายทำให้ได้จริง มันจะพ้นออกไป

พ้นออกไปจริงๆ ไม่ใช่จริงแบบที่เราคิด เราสัญญาขึ้นมา จริงตามความเป็นจริงที่กังวานกลางใจ! ต้องให้กังวานกลางใจ กังวานขึ้นมาจากหัวใจของเราเลย แล้วจะไปประสานกันเอง ประสานกับครูบาอาจารย์ ประสานถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด! ทั้งหมด! ไปในครรลองเดียวกัน ต้องไปในทางเดียวกัน ไม่ขัดข้องกันแม้แต่นิดเดียว นั้นคือธรรมเสมอกันไง ทิฏฐิเสมอ ความเห็นเสมอ ธรรมเสมอ! ธรรมยังมีสูงมีต่ำ จากต่ำขึ้นไปจนสูงขึ้นไป จนเสมอกัน จนถึงที่สุดแห่งธรรม! เอวัง

 

เพิ่มเติมท้ายกัณฑ์

ธรรมหยุดโลกก็หยุด หยุดการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายไง ธรรมหยุดโลก คือ พ้นออกไปจากโลก ธรรมหยุดโลก พ้นออกไปจากวัฏฏะ ธรรมหยุดโลก โลกมนุษย์กับธรรมหยุด ๓ แดนโลกธาตุ ธรรมสามารถหยุดออกไปจาก ๓ แดนโลกธาตุนะ หยุด ๓โลก ธรรมหยุดโลกแล้วยังหยุดอีกถึง ๓ โลก พ้นออกไป เหนือโลก เหนือสงสาร เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงได้บอกว่า “ธรรมหยุดโลก” ไง

ธรรมหยุดโลก พ้นออกไปจากวัฏฏะ ๓ แดนโลกธาตุ พ้นออกไป พ้นจริงๆ พ้นออกไปเลย พ้นออกไปด้วยมรรคะ ด้วยเครื่องดำเนิน จะพ้นออกไปเปล่าๆ ไม่ได้ ต้องพ้นออกไปจากเครื่องดำเนิน มีเครื่องดำเนิน มีเหตุและผล ถึงจะพ้นออกไปโดยสภาวะตามความเป็นจริง

สภาวะตามความเป็นจริงที่เดินตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหนือโลก เหนือสงสาร เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เหนือหมด เหนือจนเป็นธรรมอันเอก เอโก ธัมโม ธรรมเป็น ๑ ธรรมอันเยี่ยม ๑ แบบไม่มีตัวตนไง ๑ แบบไม่หลง ๑ แบบรู้เท่า ๑ เยี่ยม พ้นออกไปจากวัฏสงสารมันจะหลงได้อย่างไร (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)