ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ท่องบ่น

๒๑ ก.ย. ๒๕๖๗

ท่องบ่น

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถามตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม : เรื่อง “ความเห็น

กราบนมัสการหลวงพ่อ เห็นแบบนี้เรียกว่าเห็นถูกหรือไม่คะ

หนูพิจารณากายอาการ ๓๒ ใช้วิธีท่องพาจิตไปดูกายในกาย ทำแบบนี้เป็นฐานจนเห็นว่าอวัยวะทุกชิ้นเกิดการประกอบของธาตุ ๔ ไม่มีอะไรเกินนี้ ที่ต่างกันเพราะบางชิ้นมีธาตุที่ประกอบมากน้อยต่างกัน

พอจิตเห็นมีเพียงธาตุ เห็นธาตุนี้มาจากอาหาร น้ำดื่ม อุณหภูมิ อากาศ ทำให้มีชีวิตอยู่ได้ เห็นธาตุเปลี่ยนแปลง เสื่อมตลอดเวลา เกิดมาแล้วไม่สามารถหยุดความเสื่อมได้เลย จิตยอมรับว่า นี่แหละความจริงของกาย ไม่ใช่เรา เกิดเอง เสื่อมเอง เปลี่ยนแปลงเอง จะเห็นความจริงนี้หรือไม่ เขามีสภาพแบบนี้

เมื่อจิตเห็น จิตยอมรับว่าความจริงนี้ว่าทุกข์ พอเห็นแบบนี้เป็นฐาน ทำให้เห็นความรู้สึก ความจำ ความคิด ความรับรู้ พอเห็นว่า กายไม่ใช่เรา นามเหล่านี้ไม่ใช่เรา แต่เกิดจากการกระทบกับภายนอก ทำให้เกิดความรู้สึก ความจำ ความคิด การรับรู้เห็นว่าเกิดชัด เกิดชั่วขณะหนึ่ง ดับไป พอเหตุกระทบใหม่ก็เกิดดับต่อไปเรื่อยๆ

เห็นผ่านฐานกาย เห็นด้วยว่าเวลากระทบจิตแยกว่านี้คือความรู้สึกแบบนี้ นี้คิดดีหรือไม่ดี นี้ความจำ นี้รู้ ทั้งหมดนี้คือรับรู้หรือเห็นแยกในจิต เขาจะดับลงไปเอง ไม่ปรุงแต่งให้ทุกข์กายซ้ำซ้อนอยู่กับการพิจารณากายเป็นฐาน และฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทำให้แยกจิตจนเห็น เพราะอะไรจึงเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เราเพราะอะไร แต่เมื่อไหร่ที่ไม่แยก ไม่เห็นแบบนี้ จะเป็นเราคิด เรารู้สึก เราจำ เรารับรู้ และมีเราเป็นทุกข์ค่ะ

ตอนนี้หนูฝึกแบบนี้ แยกได้แค่นี้ ท่านอาจารย์น้อมทราบค่ะ

ตอบ : นี่คำถามเนาะ ความเห็น ว่าเขาเห็นอย่างนี้มันมีอาการอย่างใด มันมีความรับรู้ขนาดไหน การประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างนี้มันถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ มันเป็นความจริงหรือไม่ นี่ถ้าพูดถึงคำถามเขาถามแบบนี้

แต่ถ้าเป็นเราตอบนะ เราตอบว่า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานไง ฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

อุบาสก อุบาสิกา ชาวพุทธเราเวลาทำบุญทำกุศล เราไปวัดไปวานี้ด้วยศรัทธาความเชื่อของเรา ทำบุญทำกุศลของเรา ถ้าคนที่มีศรัทธาความเชื่อในรากหญ้าเขาบอกว่า ต้องทำบุญกุศล พอเกิดไปภพชาติหน้าๆ เราจะได้มีอยู่มีกิน เราจะได้มีทรัพย์สมบัติ เราจะได้ไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป นี่ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ผลของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

ผู้ที่มีอำนาจวาสนาขึ้นมาเขาก็บอกว่า ชีวิตประจำวันเราทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้ ถ้าทุกข์ยากขนาดนี้นะ เราจะมีความสุขมากน้อยขนาดไหน ถ้ามีความสุขขึ้นมานะ เขาถึงให้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติไง ถ้าฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ถ้าเท่าทันแล้วมันเท่าทันธรรมะ มันเท่าทันกิเลสในใจของตน เวลาเท่าทันกิเลสในใจของตน กิเลสมันแสดงตัวมันไม่ได้เต็มที่ เราก็มีความสุขพอสมควร

แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริงนะ มันเป็นความจริงมันมากกว่านี้เพราะอะไร เพราะว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง ปุถุชนคนหนา ปุถุชน กัลยาณชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ ไง

ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล

เวลาการฝึกหัดปฏิบัติเราก็จะฝึกหัดปฏิบัติของเรา ฉะนั้น ชาวพุทธเรา ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา ถ้าความเชื่อความศรัทธานี่คือทรัพย์สมบัติของตน ใครแสวงหาทรัพย์สมบัติได้มากน้อยขนาดไหนก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราๆ ไง

แต่คนที่มีความฉลาดเขาเอาทรัพย์นั้นขนออกจากบ้านจากเรือนของเขา ทรัพย์ที่ขนออกจากบ้านจากเรือนจะเป็นของเรา ไอ้ทรัพย์ที่อยู่ในบ้านในเรือนของเรานะ มันจะตายไปกับเราโดยที่ไม่มีใครได้ผลประโยชน์จากมันไง ทำบุญทำกุศลคือว่าเราได้เสียสละทรัพย์ออกไปจากสิทธิของเรา จากความคุ้มครองของเรา นั่นน่ะเป็นของเราไง

เหมือนคนเราเกิดมาปลูกบ้านสร้างเรือน เวลาบ้านเรือนมันจะถูกไฟไหม้ ใครขนของทรัพย์สมบัติออกจากบ้านได้เท่าไร นั่นก็สมบัตินั้นได้ออกมาเหลือจากไฟไหม้บ้าน นี่ก็เหมือนกัน ไฟไหม้ชีวิต ชีวิตมันต้องสิ้นไปไง นี่พูดถึงว่าระดับผลบุญและบาปในพระพุทธศาสนา

เวลาประพฤติปฏิบัติล่ะ

หลวงตาพระมหาบัวท่านสอนประจำ เวลาไปทำบุญกับท่านไง

รถมาเปล่าๆ กลับไปให้มีพุทโธไปด้วย

นี่ก็เหมือนกัน การฝึกหัดประพฤติปฏิบัติให้กำหนดอานาปานสติ ลมหายใจเข้าออก ให้ฝึกหัดปฏิบัติของเรา แล้วถ้าฝึกหัดปฏิบัติของเรานะ ได้มากได้น้อยมันก็เป็นวาสนาของคนไง

ฉะนั้น ชาวพุทธเรา เราอยากให้ประพฤติปฏิบัติ อยากให้ได้ฝึกหัด เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศาสนานี้มีคุณค่ามาก

ธรรมทูตๆ เขาไปเผยแผ่ไง ในตะวันตก ในทวีปต่างๆ ถ้าเขาได้นับถือพระพุทธศาสนา เขามหัศจรรย์ๆ เพราะอะไร เพราะลัทธิศาสนาเขาไม่ได้สอนแบบนี้ ลัทธิศาสนาเขาสอนเป็นวิทยาศาสตร์ คงที่ตายตัวเป็นแบบนั้นไง มันไม่เป็นอนิจจัง ไม่เป็นไตรลักษณ์ ไม่เป็นสัจจะความจริง แล้วไม่เป็นการที่ฝึกหัดปฏิบัติ ใครปฏิบัติได้มากได้น้อยขนาดไหน จิตใจเขาจะมีคุณงามความดีของเขาไง

จะย้อนกลับมาคำถาม คำถามไง “หนูพิจารณากายนี้ด้วยวิธีการท่องเอา ท่องพาจิต

เราท่องจำ ภาคปริยัติ ปริยัติคือการท่องจำ ท่องจำเป็นความรู้ไหม เป็นความรู้ชนิดหนึ่ง การท่องจำคือการศึกษาคือภาคปริยัติ แล้วภาคปริยัติแล้วมาปฏิบัติไง

กรณีอย่างนี้มันถึงว่า หลวงตาพระมหาบัวท่านศึกษาจนจบมหา พอจบมหาแล้วท่านจะออกประพฤติปฏิบัติ แล้วกิเลสในใจมันก็แย้งขึ้นมาไง ทั้งๆ ที่ท่านมีศรัทธาของท่านมากมายมหาศาล ท่านอยากปฏิบัติของท่าน แต่คนที่มีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน กิเลสมันก็มีวาสนามากน้อยเหมือนกัน

กิเลสมันเหมือนสวะอยู่บนน้ำ น้ำน้อยสวะก็อยู่ต่ำ พอน้ำเพิ่มมากขึ้นมันก็ดันสวะสูงขึ้น คนมีวาสนามากน้อยขนาดไหน เวลาศึกษาขึ้นมามีภาคปริยัติ มีความรู้ขึ้นมา ทิฏฐิมานะของกิเลสมันก็สูงขึ้นมาเหมือนกัน เวลาจะออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วถ้ามันไม่มีล่ะ

ฉะนั้น จะต้องหาผู้ที่รู้จริงเป็นผู้ยืนยัน ถึงไปหาหลวงปู่มั่น

เวลาไปหาหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่น มันเป็นข้อเท็จจริงว่าหลวงปู่มั่นท่านรออยู่แล้ว รอธรรมทายาทที่จะไปศึกษาค้นคว้า เพราะหลวงปู่มั่นท่านรู้ของท่าน ถ้ารู้ของท่านแล้ว สิ่งที่มาแล้วท่านอยากจะให้มันได้ข้อเท็จจริงไง

มหา มหาเรียนถึงเป็นมหานะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิเศษยอดเยี่ยม เป็นศาสดา เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของชาวพุทธเลยล่ะ แต่ท่องจำๆ ปริยัติการท่องจำมา เวลาปฏิบัติ กิเลสที่มันสุมอยู่ด้วย กิเลสมันก็กีดขวางไปตลอดน่ะ ฉะนั้น เวลาการประพฤติปฏิบัติมันจะทุกข์มาก

ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะเราเคยทุกข์มาแล้วไง

เพราะหลวงปู่มั่นแสวงหาค้นคว้ามันทุกข์มาก่อน กิเลสมันบีบบี้สีไฟ กิเลสมันกีดมันขวางทุกขั้นตอน กิเลสนี่ โอ้โฮลึกลับซับซ้อน แต่ด้วยบุญด้วยกุศลของท่าน ท่านทำปฏิบัติของท่านจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ แล้วท่านก็เห็นพวกเรา ไอ้เด็กน้อย ไอ้พวกทารก ไอ้พวกที่ไม่รู้จักโลก ไม่รู้จักกิเลส มึงมาเถอะ เดี๋ยวกิเลสมันหลอกมึงหัวปั่นน่ะ

ท่านถึงบอกว่า ให้เอาภาคปริยัติ คือกิเลสมันยึดมั่นถือมั่นว่ามันรู้ เพราะเรามีการศึกษาภาคปริยัติท่องจำๆ นี่ไง แล้วท่องจำ ถ้าเราท่องจำแล้วเราก็จะให้เป็นแบบอย่างให้ถูกต้องตามความท่องจำนั้น ตายอยู่นั่นน่ะ ทุกข์อยู่นั่นน่ะ ถ้ามีวาสนามันก็จะแก้ไขมันเป็นชั้นๆ ไง

ท่านถึงบอกว่า การท่องจำมา ภาคปริยัติที่ศึกษามาเป็นมหา ให้ใส่ลิ้นชักสมองไว้ แล้วลั่นกุญแจไว้ด้วยนะ อย่าให้มันแลบออกมา

ตอนนี้กูเก็บไว้ก่อน พอภาวนาไปหน่อยเดี๋ยวมันก็แลบมาแล้ว “เออใช่แล้ว จะเป็นสมาธิแล้ว อ๋อบรรลุธรรมๆ บรรลุแล้ว” เพราะอะไร เพราะรู้หมดแล้ว

ใส่ลิ้นชักสมองไว้ แล้วลั่นกุญแจไว้ด้วย แล้วปฏิบัติไป ถ้าถึงที่สุดแล้วเป็นอันเดียวกัน ถึงที่สุดที่เรียนมานี่ใช่หมดเลย แต่ต้องปฏิบัติเป็นก่อน ถ้าปฏิบัติไม่เป็น โอ้โฮมันปั่นหัวตายเลย

หลวงปู่มั่นบอกว่า มันจะเตะมันจะถีบกัน

คือมันเตะกระเด็นเลย แล้วมันถีบหงายท้องเลย แล้วถ้าไม่มีวาสนานะ “เลิกดีกว่า” ถ้ามีวาสนาท่านก็คุ้มครองดูแล แล้วพยายามทำเต็มที่ขึ้นไป

ฉะนั้น เวลาฝึกหัดมันต้องฝึกหัดอยู่ที่วาสนาของคน ถ้าวาสนาของคนนะ ฉะนั้น หลวงปู่มั่นท่านดูของท่านไว้แล้วว่าผู้ที่จะมาสืบทอดมาอย่างไรไปอย่างไร ฉะนั้น เวลาหลวงตาพระมหาบัวเข้าไปหาท่าน ท่านถึง โอ้โฮทั้งพอใจ ทั้งภูมิใจ เพราะท่านรออยู่แล้ว แล้วพอเข้าไปแล้วท่านก็อบรมบ่มเพาะจนเป็นพระอรหันต์

ฉะนั้น ย้อนกลับมาที่คำถามไง “หนูพิจารณาอาการด้วยการท่องพาจิตค่ะ ท่องบ่นค่ะ ท่องธรรมค่ะ” ปริยัติไง

ท่องมันก็ความจำเรานี่ สัญญานี่ไง มันก็เป็นเรื่องโลกๆ นี่ไง แต่คนปฏิบัติไม่ควร ต้องปฏิบัตินะ เพราะว่าเราก็พยายามปลุกระดมให้คนปฏิบัติเหมือนกัน แต่ถ้าปฏิบัติแล้วให้กิเลสมันหลอกว่าบรรลุธรรมๆ มันเศร้าใจไง

เราจะบรรลุหรือไม่บรรลุธรรมนั่นเรื่องหนึ่งนะ แต่เราทำคุณงามความดี ความดีเป็นของเรา ทำความชั่วก็เป็นของบุคคลที่ทำชั่วนั้น แต่การปฏิบัติ ถ้าหลวงตาพระมหาบัวท่านพูดประจำ

ทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจเข้ามา ทำไม่เป็น สมาธิหัวตอ คร่อมตอไว้นั่นสมาธิหัวตอ ถ้าสมาธิหัวตอมันเป็นมิจฉาสมาธิ มันจะเป็นปัญญาไปได้อย่างไร ทำสมาธิไม่เป็น ทำสมาธิไม่เป็นแล้วมันจะเกิดภาวนามยปัญญาต่อเนื่องไปได้อย่างไร

แต่ในการประพฤติปฏิบัติๆ การท่องจำท่องพาจิตมันก็เป็นการท่องบ่น ทีนี้การท่องบ่น

กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญโดยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ด้วยอำนาจวาสนาบารมีของท่าน เวลาท่านฝึกหัดๆ มา อบรมบ่มเพาะขึ้นมา ได้หลวงตาพระมหาบัวเป็นธรรมทายาท เป็นพระอรหันต์ เป็นลูกศิษย์ของท่าน

หลวงตาพระมหาบัวท่านเขียนตำราเลย ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิก็การท่องบ่นอย่างนี้ ถ้ามีสติปัญญามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ

อบรมสมาธิก็เหมือนคำถามนี้เลย พาท่องจิตไปดูในกาย ฐานกาย เขาว่านะ ฐานกาย นี่ดูฐานกาย ดูไป

ใช่ เราไม่ใช่บอกว่าผิดนะ เราบอกว่า อยากให้ชาวพุทธทุกคนได้ฝึกหัดปฏิบัติ อยากให้ชาวพุทธทุกคนได้สมบัติ

ศาสนานี้เป็นสาธารณะ เป็นธรรมและวินัยของชาวพุทธ พุทธบริษัทเป็นเจ้าของศาสนาทั้งสิ้น แล้วใครฝึกหัดประพฤติปฏิบัติได้มากได้น้อย หัวใจดวงนั้นจะเป็นประโยชน์กับหัวใจผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น

เราไม่ได้คัดค้านการประพฤติปฏิบัติ เราปลุกระดมตลอดให้ปฏิบัติๆ แต่ปฏิบัติแล้วต้องให้เป็นสัมมาทิฏฐิให้มันถูกต้องชอบธรรม ให้มันเป็นผลประโยชน์ เห็นไหม

อาหารที่เป็นคุณประโยชน์กับร่างกาย ไม่ใช่กินสารพิษ อาหารเคมีที่มันมีแต่ความพิษ มันมีแต่พิษภัย มันจะไปทำลายสุขภาพนั่นน่ะ

การปฏิบัติ ปฏิบัติมันต้องเจริญขึ้น ปฏิบัติมันต้องดีขึ้น

ปฏิบัติแล้ว “บรรลุธรรม” บรรลุธรรมคือมันตัดแล้ว ก็บรรลุธรรมก็จบแล้วไง ก็เราบรรลุธรรมแล้ว แล้วบรรลุอะไรล่ะ เอ็งบรรลุอะไรวะเอ็งบรรลุธรรมนี่ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าเอ็งมีความรู้อะไรวะเอ็งบรรลุธรรม

อ้าวก็บรรลุธรรมแล้ว ก็ไม่อยากไง ไม่อยาก ไม่ต้องการ ไม่ปรารถนาอะไร นี่บรรลุธรรม

หา?

โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล มันต้องเป็นโลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา

ปัญญาของเราที่พาจิตท่องมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เราไม่ได้บอกว่าการปฏิบัติมันผิด แต่เขาบอกว่า “เวลามันพิจารณาไปแล้ว กายนี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย กายมันเกิดเอง มันเสื่อมเอง

คำพูดมันฟ้องหมด “มันไม่ใช่เรา มันเกิดเอง

มันเกิดเองที่ไหน มันเกิดเองได้อย่างไร มันเกิดเอง เอ็งเกิดจากใครล่ะ เอ็งจะเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ เอ็งเกิดจากท้องแม่มึงนะ แล้วจิตล่ะ จิตเกิดจากเวรจากกรรมนะ เพราะอะไร

เพราะถ้าเอ็งไม่เกิดจากท้องแม่ เอ็งก็ไปเกิดเป็นอย่างอื่นไง ผลของวัฏฏะ เกิดเป็นเดรัจฉานก็ได้ เกิดเป็นเทวดาก็ได้ เกิดเป็นอินทร์ เป็นพรหมก็ได้ เพราะกำเนิด ๔ กำเนิด ๔ จากจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

นี่มันเกิดเอง

กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา มันไม่เกิดเองหรอก มันต้องมีที่มาที่ไป มันเกิดเองได้อย่างไร เกิดเองนี่มันตัดตอนแล้ว เกิดเองไม่มีรากมีฐาน

เกิดเองมันก็ไม่มีกิเลสไง เพราะกิเลสมันเป็นตัวหนึ่ง ไอ้ความคิดนี้เกิดเอง มันเกิดเอง มันไม่มีกิเลสหรอก มันเกิดเอง แล้วมันก็เสื่อมไปเอง

หา?

มันมีที่มาที่ไปทั้งนั้น ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นโลก เกิดจากพ่อจากแม่ แต่สำหรับเรานี่ใช่ เกิดจากพ่อจากแม่ เราก็ยอมรับ เกิดจากพ่อจากแม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดจากนางมหามายา พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพ่อ ก็เกิดจากพ่อจากแม่ เพราะเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นภพเป็นชาติไง แล้วเราจะล้างภพล้างชาติน่ะ มันผูกฝัง มันผูกมัดขนาดไหน

สัญชาตญาณของสัตว์ สัตว์เวลามันมีลูก โอ้โฮอย่าไปแตะมันนะ สัตว์ที่มันดุร้าย ถ้ามีลูก เข้าใกล้มันทำอันตรายเลย สัญชาตญาณของความผูกพันระหว่างแม่กับลูก พ่อกับลูก นี่ภพชาตินี้

ฉะนั้น พ่อแม่ถึงเป็นพระอรหันต์ของลูกเพราะให้ชีวิตนี้ ชีวิตนี้มีค่ามาก แต่ชีวิตนี้มันเกิดภพนี้ภพเดียวหรือ เกิดเองหรือ

ฉะนั้นบอกว่า การปฏิบัติ อยากให้ปฏิบัติให้มันฉลาด ให้มันรู้ดีขึ้น

ฉะนั้น การฝึกหัดนี้ วิธีการปฏิบัติทั้งหลาย ถ้าเป็นทางโลกใช้สติปัญญานี้ หลวงตาพระมหาบัวท่านเขียนเป็นตำราไว้เลย ท่านเทศน์ไว้เองว่า “ปัญญาอบรมสมาธิ

หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกให้ดูจิตๆ ดูจิตๆ จนมันสงบระงับไง ความคิดทั้งหลายมันต้องหยุดคิด การหยุดคิดก็ต้องใช้ความคิด

เพราะมันไม่ใช่เกิดเองไง นี่ไง หยุดคิดๆ จะหยุดอย่างไรล่ะ

หยุดคิดก็ต้องใช้ความคิด ความคิด คิดเพื่อให้หยุดคิด นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ แล้วถ้าจิตเห็นจิตนั่นน่ะจิตเห็นสติปัฏฐาน ๔ อันนั้นเป็นอีกระดับหนึ่งนะ

นี่เราพูดถึงว่า การท่องจำนี้เป็นภาคปริยัติ เป็นคันถธุระ ในพระพุทธศาสนา ชาวพุทธเรามีการศึกษา ศึกษาพระพุทธศาสนา ศึกษามาแล้วเป็นความรู้ นี่โลกียปัญญา นี่เป็นภาคปริยัติ เป็นคันถธุระ

เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านเรียนจนจบมหา เรียนมาเพื่อเป็นคันถธุระ แต่ท่านตั้งใจไว้เลยว่าจะไม่เป็นอาจารย์สอน เรียนมาเป็นคันถธุระแล้วจะประพฤติปฏิบัติเป็นวิปัสสนาธุระ

หลวงปู่ดูลย์นี่วิปัสสนาธุระ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนี่วิปัสสนาธุระ

ถ้าวิปัสสนาธุระ คันถธุระ วิปัสสนาธุระ ปริยัติ ปฏิบัติ เวลาปฏิบัติต้องให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แต่เวลาปฏิบัติเริ่มต้น ท่องจำมามันก็ต้องท่องจำนะ ไม่ท่องจำจะเริ่มต้นอย่างไร ถ้าท่องจำมามันก็เป็นคันถธุระ เพราะท่องจำ

ถ้ามันสงบระงับ ถ้าท่องจำ การท่องพาจิตภาวนามันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ เพราะวุฒิภาวะสถานะของจิตมันเป็นปุถุชนเป็นมนุษย์ มันอยู่ในโลกียะ มันเป็นคันถธุระ ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาๆ ถ้าจิตมันสงบระงับถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา นี่วิปัสสนาธุระ มันวิปัสสนาธุระมันก็ไปอีกชั้นหนึ่งไง

เราไม่ปฏิเสธการปฏิบัติ เราปลุกระดมให้ปฏิบัตินะ แต่ปฏิบัติแล้วเราอยู่ในคันถธุระหรือวิปัสสนาธุระ ชัดๆ

ถ้าเป็นการปฏิบัติก็โลกียะไง โลกียะ คันถธุระ ก็คิดแบบวิทยาศาสตร์ คิดแบบโลก คิดแบบเรา คิดแบบมีการศึกษา คิดแบบมีผู้รู้ แต่ไม่รู้จักกิเลสหรอก จิตมันยังไม่สงบมันไม่รู้จักกิเลสหรอก แล้วมันเห็นกิเลสไม่ได้ด้วย แล้วไม่รู้จักกิเลส ไม่เห็นกิเลส ชำระกิเลสไม่ได้

จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ามันเห็นนะ วิปัสสนาธุระจะเกิด โลกุตตรปัญญาจะเกิด

อันนี้พูดถึงคำถาม คำถามเขาบอกว่า...มันไม่ใช่คำถามด้วย เขาบอกเป็นความเห็นของเขา แล้วหลวงพ่อเห็นด้วยหรือไม่

เห็นด้วยในการปฏิบัติธรรม เห็นด้วยโดยความเป็นชาวพุทธแล้วฝึกหัดปฏิบัติ แล้วเห็นด้วยว่าการประพฤติปฏิบัตินี้มันเป็นการปฏิบัติเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มีผลนะ มันเข้าใจ มันมีความสุข มันมีความเข้าใจ อย่างที่ว่าเขาเข้าใจมันเกิดเองดับเอง

โอ้โฮถ้าเกิดเองดับเอง ครูบาอาจารย์ท่านรับไม่ได้เลย มันต้องมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น

ฉะนั้นบอกว่า ถ้ามันเกิดเองดับเอง ถ้ามันมีผลกระทบ จิตมันแยก มันเข้าใจไปหมดเลย มันดับลงทั้งสิ้น หลวงพ่อมีความเห็นว่าอย่างไร

ปัญญาอบรมสมาธิคือปัญญาอบรมให้เราสุขสงบ ปัญญาฝึกหัดใหม่ ปัญญาอบรมสมาธิคือให้เรามีความทุกข์น้อยลง ปัญญาอบรมสมาธิคือเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเทียบเคียงกับความคิดความเห็นของเรา

ความคิดความเห็นของเรากิเลสมันปลุกระดม แล้วเราก็ฝึกหัดโดยที่คันถธุระ ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาแล้วเทียบเคียงว่า ความคิดของเรากับธรรมะ ถ้าเอามาพิสูจน์กัน กิเลสมันแพ้หมดน่ะ พอกิเลสมันแพ้หมดมันก็สงบตัวลงๆ เป็นปัญญาอบรมสมาธิ แล้วทำอย่างที่โยมทำนี่แหละ ทำต่อเนื่องไปๆ อย่าทิ้ง

คำว่า “อย่าทิ้ง” เพราะอะไร เพราะเวลาปฏิบัติไปแล้ว “บรรลุธรรม” บรรลุธรรมก็จบไง บรรลุธรรมก็วางไง เพราะฉันสำเร็จแล้ว เหมือนทานข้าวเสร็จก็จะเก็บสำรับ

ทานข้าวอยู่แล้วยังทานข้าวต่อไป ทานข้าวเรื่อยๆ ทานจนอิ่มแปล้ ทานจนทานไม่ได้ เราจะรู้เองว่า เวลาขณะเริ่มต้นทานข้าวกับกำลังอร่อย กับกำลังจะอิ่มนี่มันเป็นอย่างไร กับกำลังที่จะสิ้นนี่มันเป็นอย่างไร นี้ทานข้าวๆ “บรรลุธรรม” เก็บสำรับเลย ก็เลยครึ่งๆ กลางๆ ไง

ใจเย็นๆ เราไม่คัดค้านการปฏิบัติ แต่การปฏิบัติ คันถธุระ วิปัสสนาธุระ โลกียะ โลกุตตระ ปัญญาอบรมสมาธิกับภาวนามยปัญญา เวลามันละเอียดลึกซึ้งเข้าไปมันชัดเจนทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้ามันชัดเจน อย่างนั้นเราถึงจะเห็นชอบด้วย

ฉะนั้นถามว่า หลวงพ่อมีความเห็นอย่างไร

มีความเห็นอย่างนี้ เราไม่คัดค้าน เพราะเราอยากให้ปฏิบัติ เราอยากให้ฝึกหัด แต่อย่าทิ้ง ทำต่อเนื่องไป เพราะการปฏิบัตินี้ในความเห็นเราคือปัญญาอบรมสมาธิ

เพราะยังไม่มีสมาธิ ยังไม่มีสมถกรรมฐาน มันยังแยกโลกียะกับโลกุตตระไม่ได้ ถ้ามีสัมมาสมาธิจิตตั้งมั่นแล้วเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง มันเห็นกิเลส มันวิปัสสนา มันฆ่ากิเลส กิเลสตาย สังโยชน์ขาด เอออย่างนี้เราถึงยอมรับ เพราะเวลามันฆ่า มันนิโรธ มันดับ มันมีขณะ มันมีข้อเท็จจริง สมบูรณ์แบบในอริยสัจ สมบูรณ์แบบในพระพุทธศาสนา

วิธีการปฏิบัติได้ทุกๆ อย่าง ได้หมดน่ะ แต่เวลาในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าบอกสุภัททะไง “ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล” อริยสัจมีหนึ่งเดียว เหมือนกันหมด แต่วิธีการหลากหลาย ผลของมันคือนิโรธ ขณะดับทุกข์ด้วยมรรค ๘ จบ

ถาม : เรื่อง “อยากช่วยประหยัดแต่กลัวบาปค่ะ

กราบหลวงพ่อ แม่ของโยมจะฝากซื้อลอตเตอรี่จากแอปเป๋าตังในมือถือของโยม เพราะจะได้ราคาแปดสิบบาท แต่ถ้าซื้อข้างนอกจะร้อยบาท แม่โยมซื้อเยอะทุกงวด โยมซื้อให้แม่จะบาปไหมหลวงพ่อ

โยมบอกแม่ว่า ไม่ซื้อให้แล้ว กลัวบาป

แม่บอกว่า ช่วยแม่ประหยัด ไม่เป็นไร

โยมเลยถามหลวงพ่อว่าทำอย่างไรดีคะ ไม่ซื้อหรือว่าซื้อให้ดีคะ บอกให้เลิกคงยากค่ะหลวงพ่อ กราบขอบพระคุณ

ตอบ : ไอ้นี่บอกว่าเวลาซื้อลอตเตอรี่จะซื้อให้แม่ๆ ถ้าซื้อให้แม่ก็แปดสิบบาท แม่ซื้อเองก็ร้อยบาท

การเล่นการพนันก็ผิดศีล ๕ อยู่แล้ว การผิดศีล ๕ ศีล ๕ มันผิด

ฉะนั้น เวลาเราซื้อ เราเล่นการพนันหรือไม่เล่นการพนัน แล้วเวลาจะพูดให้แม่เข้าใจ แม่จะเข้าใจเป็นไปไม่ได้ ถ้าแม่เข้าใจเป็นไปไม่ได้ แล้วแม่จะเลิกสิ่งนี้ไม่ได้

ถ้าเป็นการช่วยประหยัด นี่พูดถึงว่าการประหยัดมัธยัสถ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเลย หาเงินมาได้หนึ่งบาท เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่สลึงหนึ่ง ทำธุรกิจสลึงหนึ่ง เลี้ยงเราสลึงหนึ่ง ที่เหลือถึงได้ฝังดินไว้

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าให้ประหยัดมัธยัสถ์ ประหยัดมัธยัสถ์ประหยัดอย่างไร

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าถ้าให้แม่เลิกไม่ได้ การซื้อให้แม่ว่าเป็นการประหยัดของแม่

แต่ความประหยัดมันประหยัดนะ ทุกอย่าง เห็นไหม อิทัปปัจจยตา เพราะมีเหตุนี้ถึงมีอย่างนี้ เพราะมีเหตุนี้ถึงมีอย่างนี้ มันไม่มีอะไรลอยฟ้ามาหรอก ฉะนั้น เกิดเป็นแม่เป็นลูกกันก็เรื่องหนึ่งแล้ว แม่ให้ช่วยประหยัดเงินยี่สิบบาทต่อใบ นี่มันอิทัปปัจจยตา

ฉะนั้น ถ้าจะซื้อให้หรือไม่ซื้อให้ เราก็ดูความสมควร

แต่บอกว่าบอกให้แม่เลิกก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าให้แม่ซื้อเองก็ร้อยนึง ถ้าซื้อให้แม่ก็แปดสิบ ประหยัดใบละยี่สิบบาท

อยู่ที่ความเหมาะสม อยู่ที่เราพิจารณาของเรานะ

ฉะนั้น ไอ้เรื่องเล่นการพนันมันก็ไม่ถูกต้องชอบธรรมอยู่แล้ว แต่ถ้ามันเป็นการประหยัดมัธยัสถ์ให้พ่อให้แม่ ยี่สิบบาทนะต่อไป เราจะประหยัดหรือไม่ประหยัด

แล้วนิสัยหรือความเป็นไปเราก็ทำตัวเราให้ดี แล้วเราก็อยู่ในศีลในธรรม แล้วพ่อแม่ก็ดูเรา จริงๆ พ่อแม่ก็ดูลูกอยู่นั่นน่ะ พ่อแม่ซื้อหวยก็ไม่อยากให้ลูกซื้อ อยากให้ลูกมีเงินมีทอง ไอ้ลูกไม่ซื้อก็อยากให้แม่ไม่ซื้อ ไอ้แม่จะซื้อ ไอ้ลูกไม่ซื้อ แต่เราต้องยืนว่าไม่ซื้อ ไม่ใช่นี่ถามว่า “หลวงพ่อ แม่ซื้อห้าใบ หนูซื้อสิบใบได้หรือเปล่า

ไปๆ มันไปหมดนะ แต่เราก็ต้องมีสติปัญญาดูแลรักษาหัวใจของเรา นี่เป็นคำถามหนึ่งนะ

ดูคำถามนี้

ถาม : เรื่อง “สัมมาอาชีวะ

กราบนมัสการหลวงพ่อ ลูกไม่ได้ทำงาน เลี้ยงชีพด้วยรับเงินของบุคคลที่ประกอบอาชีพหนึ่ง โดยอาชีพนั้นไม่ได้บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่น ไม่ได้ทำประกันสังคมให้ลูกจ้างหรือไม่ได้ตรงไปตรงมากับลูกค้าบ้างในบางครั้ง ซึ่งการหาเงินของเขา เขาหามาเพื่อให้เราได้ใช้รักษาความเจ็บป่วยและปัจจัย ๔ ของเราเป็นหลัก คือตั้งใจหาเพื่อเลี้ยงดูแลเรานั่นเอง ลูกเลี้ยงชีพ มีอาหารการกิน มีที่หลับที่นอนจากการให้ของเขา และอาจได้รับเงินอื่นๆ มาอีกเพื่อใช้จ่ายในอนาคต เช่น มรดก

ขอความเมตตาถามดังนี้

การรับของลูกนี้ถือว่าเป็นการรับที่บริสุทธิ์ไหม ถ้าไม่บริสุทธิ์จะเป็นโทษประการใดเจ้าคะ

การเลี้ยงชีพของลูกแบบนี้ถือว่าเป็นสัมมาอาชีวะไหมเจ้าคะ

ในอนาคตลูกไปบวชเป็นชีเพื่ออยู่ปฏิบัติในวัด จะสามารถรับปัจจัยจากท่านนี้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ และค่ารักษาพยาบาลได้หรือไม่เจ้าคะ ถือว่าบาปไหม เพราะเรารู้ที่มาของปัจจัยว่าไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์

กราบขอบพระคุณหลวงพ่อเจ้าค่ะ

ตอบ : เวลาของคน เวลาความคิดของคนมันสุดโต่ง เวลาสุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่งมันผิดทั้งสองข้าง

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธัมมจักฯ ไง เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนไม่ควรเสพ ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา

ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา แต่พวกเราก็กิเลสหนา พอกิเลสหนา ทางสายกลางตรงไหนล่ะ ถ้าพอใจน่ะกลาง ไม่พอใจก็ไม่กลาง

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าเราเลี้ยงชีพโดยเงินอุดหนุนขององค์กรหนึ่งแล้วเขาไม่บริสุทธิ์ๆ ไม่บริสุทธิ์แต่เขาก็มีเจตนาเพื่อจะดูแลบุคลากร สิ่งที่เราได้มาๆ เราได้มาโดยกฎกติกาขององค์กรนั้น ถ้ามันรู้อย่างนี้ การรับมันจะเป็นความบริสุทธิ์ไหม

ความบริสุทธิ์ของใคร

ความบริสุทธิ์นะ มันบริสุทธิ์ของพระอรหันต์ พระอรหันต์นะ มันบริสุทธิ์ล้านเปอร์เซ็นต์ มันล้านเปอร์เซ็นต์ตรงไหน ล้านเปอร์เซ็นต์ตรงสติวินัย ไม่มีเจตนาใดๆ ทั้งสิ้นในหัวใจดวงนั้น แต่กิริยาข้างนอกอีกเรื่องหนึ่งเลยนะ เพราะออกมาที่ขันธ์

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเหมือนกัน เพราะเวลาเราอยู่ทางโลกไง เวลามันสุดโต่งมันก็สุดโต่งคิดอย่างนี้เลย มันมีคนเขียนไปถามพระ เราฟังแล้วงงเลยนะ เขาบอกว่าเขาไปปล้นมา มาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่นี่เป็นบาปไหม เขาบอกเขาเป็นไหมบาป เพราะเขามาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ด้วยการปล้นมา

โอ้โฮเราฟังแล้วงงเลยนะ ปล้นมันก็เป็นการปล้นชิง มันจะไม่บาปได้อย่างไร แต่เขาบอกเขาเอามาเลี้ยงพ่อแม่เขา นี่คนถามพระอย่างนี้ก็มีนะ นี่สุดโต่งทั้งสองข้างไง

ในสมัยพุทธกาล นางที่ว่าเป็นนางงามกลางเมือง โสเภณีเขาสมัยโบราณเป็นที่เชิดชูไงอาชีพนี้ แล้วคนจะเป็นนางกลางเมืองได้ต้องนางสาวจักรวาลนะ ต้องงามที่สุด ต้องสวยที่สุด คืนละกหาปนะอะไรน่ะ แล้วเขาเอาเงินไปสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า นี่คืออาชีพเขา ถ้าอาชีพเขา

แต่ของเรามันเป็นเงินไม่บริสุทธิ์ มันเป็นอาชีพเขา แล้วเขาทำของเขา ย้อนกลับมาที่คำถามนี้ไง องค์กรๆ องค์กรก็ทำของมัน มันก็เป็นองค์กรของเขา แล้วเวลาเราไปรับขึ้นมา “การรับของลูกนี้ถือว่าเป็นความบริสุทธิ์หรือไม่ ถ้าไม่บริสุทธิ์ จะมีโทษประการใด

เขาให้ชีวิตแล้ว เขาให้ความเป็นอยู่กับเรา สิ่งที่ได้มาเราก็รับรู้ สิ่งที่เรารับรู้เพราะอะไร เพราะเราไปรู้เขาไงว่าเขา หนึ่ง ไม่เสียภาษี เขาทำไม่ถูกต้อง

เราดูข่าวนะ สะอึกเลยนะ ทางวิชาการเขาพูด ธุรกิจใต้ดินเมืองไทยเมื่อก่อน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ ๖๐ แล้วธุรกิจในประเทศไทย ๕๐ เปอร์เซ็นต์เสียภาษี ๔๐ เปอร์เซ็นต์เสียภาษี ๖๐ เปอร์เซ็นต์อยู่ใต้ดิน บริสุทธิ์ไหม

โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้พลิกแพลงนัก แล้วเราจะบอกว่าต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง มันจะเป็นสัมมาอาชีวะ

มันเป็นสัมมาอาชีวะที่จริตนิสัยเรา มันเป็นสัมมาอาชีวะที่เราตั้งสติ ตั้งสติปัญญาของเราว่าเราไม่ทำไปกับเขา เราเห็นแล้ว เห็นเขาทำแล้วก็จะไปกับเขา เขาจะมั่งมีศรีสุข เขาจะร่ำรวยอย่างใด กรรมของสัตว์ สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลาย เราไม่ไปหาเวรหากรรมใส่เราถ้าจิตใจเรามีสติปัญญาเท่าทันกิเลสในใจของตน

พระพุทธศาสนา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก สอนเฉพาะจิตดวงนั้น สอนสังคมด้วย เป็นประเพณี เป็นวัฒนธรรม แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติ ใจดวงนั้นเป็นผู้ที่จะเข้าถึงใจดวงนั้น ฉะนั้น เวลาใจดวงนั้นจะเข้าถึงใจดวงนั้น

ทีนี้มันยังไม่ได้ภาวนาไง คิดว่า ๑มันจะเป็นบาปไหม ๒มันเป็นสัมมาอาชีวะไหม ๓ต่อไปอนาคตจะไปบวชชี ถ้าบวชชีแล้วมันจะปฏิบัติแล้วมันจะพ้นจากทุกข์หรือไม่ เพราะเริ่มต้นขึ้นมาเราดำรงชีพมาด้วยความไม่บริสุทธิ์

มันบริสุทธิ์ในปัจจุบันนี้

เราพูดถึงบ่อย มันมีชาวประมงเขาไปทำประมงในทะเลแล้วเกิดพายุที่รุนแรง ฉะนั้น พอพายุรุนแรง เขารู้อยู่แล้ว เขาเป็นชาวประมง เขาอยู่เผชิญกับทะเลมา เขารู้เลยว่าถ้าอย่างนี้มันไม่รอดหรอก พอไม่รอดนะ เขาตั้งสัจจะอธิษฐานเหมือนพระกรรมฐาน พระกรรมฐานเขาเรียกว่าวิรัติ วิรัติคือวิรัติเอา คือตั้งใจเดี๋ยวนั้น ตั้งใจว่าเราจะทำล้านเปอร์เซ็นต์

ฉะนั้น คนเรามันใกล้ตายอยู่แล้ว คนมันกลัวตายมันอธิษฐานเลยว่า “เราจะถือศีล ๕ ด้วยความบริสุทธิ์” ชาวประมงนั้น นี่อยู่ในพระไตรปิฎก แล้วพายุนั้นก็มาเต็มที่เลย เขาก็เสียชีวิตจากพายุนั้น

ฉะนั้น พวกญาติโยมก็ไปถามพระพุทธเจ้าว่าไอ้ชาวประมงนี้มันไปเกิดที่ไหน เพราะมันบาปขนาดนี้

พระพุทธเจ้าบอกไปเกิดบนสวรรค์

โอ้โฮโลกแตกน่ะสิ ก็เขาฆ่าสัตว์ เขาไปตีอวนปลาเต็มลำเรือ เขาผิดศีลน่ะ แล้วเขาจะไปสวรรค์ได้อย่างไรล่ะ แต่ขณะวิรัติแล้วจิตมันมีสัจจะมีความจริง เอาตรงนั้นน่ะ แล้วเขาสิ้นชีวิตตรงนั้น เขาไปสวรรค์นะ ในพระไตรปิฎก

ฉะนั้น เวลาพูดอย่างนี้ไม่ใช่พูดให้คนประมาท เราก็อีกน่ะ เราติเตียนพระหลายๆ องค์มาก เขาเป็นพระที่ไม่รับผิดชอบ เขาเทศนาว่าการว่า พวกเรายังหนุ่มยังสาวสนุกครึกครื้นให้เต็มที่เลย เวลาแก่เฒ่าเราค่อยภาวนา ภาวนาแล้วเป็นพระอรหันต์เลย เพราะการภาวนาง่ายๆ

หนุ่มสาวนั่งยังทนไม่ไหวเลย แล้วถ้าไปแก่เฒ่ามันจะไปไหนล่ะ อันนี้เราก็ไม่เห็นด้วย

เราให้เห็นด้วยว่า เราอยู่ในท่ามกลางทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ทางมัคโค ทางอันเอก สิ่งใดที่มันเป็นสุดวิสัย เราเองเราไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่เป็นความสุดวิสัย

เราพูดถึงเรื่องกรรม เวลากรรมนะ กรรมคือความสุดวิสัย แต่ถ้าไม่สุดวิสัยเราจะไม่ทำ เราทำคุณงามความดีของเรา ถ้าสุดวิสัยเราก็ไม่ทำ แต่สิ่งที่มันบังคับ มันจำเป็นอย่างนั้นน่ะมันเป็นเรื่องสุดวิสัย ถ้าสุดวิสัยนะ

เวลาพระปฏิบัติ เวลาปฏิบัติเขาบอกว่าไอ้นู่นก็ไม่ได้

เราบอกว่า ให้ถือธุดงค์ ให้ตั้งสัจจะ เว้นไว้แต่...

หลวงตาพระมหาบัว เราจำของท่านมา เวลาท่านถือเนสัชชิกท่านไม่ยอมลุกจากที่นั่ง เว้นไว้แต่หลวงปู่มั่นเจ็บป่วย สอง พระในวัดถ้ามีอุบัติเหตุ

จะหยุดได้ ๒ ข้อ

คือหลวงปู่มั่นเจ็บไข้ได้ป่วย จะต้องลุกขึ้นไปดูแลท่าน

พระในวัดมีปัญหา จะไปดูแล

นอกนั้นไม่ได้ นั่งจนจะเป็นจะตาย ไม่มีทาง เว้นไว้แต่เรื่องสุดวิสัย เว้นไว้แต่สิ่งที่เราทนไม่ได้ไง

เราเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น แล้วหลวงปู่มั่นเจ็บไข้ได้ป่วย เราจะบอกว่า “ฉันภาวนาอยู่นะ นักปฏิบัติ กำลังปฏิบัติเลย จะบูชาพระพุทธเจ้า” กิเลสนี้ร้ายนัก

คำถามก็เหมือนกัน ฉะนั้น สิ่งที่เราได้รับเงินอุดหนุนจากองค์กรนี้ เราก็ได้รับอุดหนุนเพราะทำให้ชีวิตเราดำเนินมาได้ แล้วถ้าเป็นไปได้ เราหาของเราได้เอง แล้วเราบอกว่าทุนอันนี้ไปให้คนอื่นก็ได้

เราไม่เขียนด้วยมือแล้วลบด้วยเท้า เราจะไม่ไปทำลายใคร เราจะไม่ไปแตะต้องคนที่มีคุณกับเรา เราจะเห็นดีเห็นงาม เราจะรู้ว่าอย่างไร ปล่อยเขาไป แล้วถ้าเราแก้ไขสิ่งใดได้เราก็แก้ไข

แต่อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ เราดูข่าว โอ้โฮสะอึกเลยนะ ธุรกิจในเมืองไทย ๕๐ เปอร์เซ็นต์อยู่ใต้ดิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์อยู่บนดิน ตอนนี้จะไป ๖๐ ๔๐ แล้ว เขาถึงพยายามจะออกกฎหมาย จะทำสิ่งใดให้ธุรกิจนี้ให้ตามความถูกต้องชอบธรรม นี้ประเทศไทยนะ

นี่คือชีวิตของเราคนเดียว เราคิดเอง เราแก้ไขเอง เราทำเพื่อความเป็นอยู่และชีวิตของตน เอวัง