ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

มึนงง

๑๙ ต.ค. ๒๕๖๗

มึนงง

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถามตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม : เรื่อง “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ งงมาก

ผมได้ลาออกจากงานช่วงต้นปี ได้เงินโบนัสจากบริษัทก้อนหนึ่งที่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้อีกพักใหญ่ ได้รักษาพักฟื้นร่างกายจนหายปกติดี ได้พาแม่ท่องเที่ยวตามใจหวัง ได้ย้ายที่พักอาศัยมาที่เชียงใหม่บนเขาอย่างที่เคยฝันไว้ ได้ใช้ชีวิตโดยไม่มีความกังวลมากนัก ได้ใช้หนี้รถและบ้านจนหมดตามที่ตั้งเป้า ทุกอย่างดูเหมือนจะดีมาก แต่ทำไมหัวใจช่วงหลังๆ มันไม่สงบเท่าตอนที่ทำงานหนักๆ ก่อนหน้านี้ครับ

ผมล่ะงงมาก มีเวลาภาวนาเยอะกว่าเก่า แต่ไปไม่ถึงไหน เลยติดแหงกอยู่ที่อารมณ์ร้อนกว่าเก่าอีก งงจริงๆ ครับหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อช่วยโขกสับกิเลสที ไม่อยากให้หัวใจเสื่อมลงไปมากกว่านี้

ตอบ : นี่เห็นไหม เวลาเราพูดประจำ พูดประจำว่า ทางสมณะเป็นทางกว้างขวาง ทางของฆราวาสเป็นทางคับแคบ

นี่เราเป็นฆราวาส เราก็ปรารถนาที่จะประพฤติปฏิบัติ อยากจะให้มีหนทางแบบสมณะ หาหนทางที่จะไปประพฤติปฏิบัติ ๒๔ ชั่วโมงไง ไปซื้อบ้านที่เชียงใหม่บนเขาวิวเป็นล้านเลย ทุกอย่างดีงามไปหมดเลย

เวลาของสมณะ ๒๔ ชั่วโมง เวลาของเราเวลาของฆราวาส เราก็จะมาแสวงหาของเรา ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน แต่เวลาจะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา งงๆ เลยล่ะ งงเลยใช่ไหม

เวลาเราตั้งใจๆ เราตั้งใจทั้งนั้นน่ะ ตั้งใจความดีงาม เจตนาทำบุญกุศลไง บุญกุศลแม้แต่เรื่องเป็นวัตถุทาน สิ่งที่แสวงหาเพื่อทำบุญมันแสนทุกข์แสนยาก แล้วได้มา เราเสียสละไปแล้วเป็นบุญเป็นกุศล กิเลสมันดีดมันดิ้นอยู่ในหัวใจของตนไง

แต่ถ้ามันเป็นธรรมๆ นะ ทำบุญทิ้งเหวๆ ทำให้มันเป็นความเคยชิน ศรัทธาของเรามั่นคงขึ้นมาไง ถ้าศรัทธามั่นคงเป็นอจลศรัทธา เวลาฝึกหัดๆ ขึ้นมา สิ่งใดเราทำมาแล้วเราจะฝึกหัดปฏิบัติให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

เวลาเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา กิเลสมันชักเริ่มรู้สึกตัวแล้ว โอ้ไอ้นี่มันชักจะแข็งข้อ ไอ้นี่มันรู้จักจะแข็งข้อ นี่มันตามมาราวีมากมายมหาศาล เวลามันตามมาราวีมากมายมหาศาล

เวลาบอกเลย เวลามาฝึกหัดภาวนาจริงๆ เข้านี่งงมากเลย ไม่เหมือนตอนทำงานหนักๆ ตอนทำงานหนักยังฝึกหัดภาวนามันยังมีความสุขความสงบบ้าง นั่นมันสู้กันโดยข้อเท็จจริงไง

แต่คราวนี้นะ มันอ้อยสร้อย เตรียมบ้านเอาไว้ก่อน ทำทางจงกรมไว้อย่างดี แล้วเราทำที่นั่งสมาธิด้วย เวลาเอาจริงเอาจังหงายท้องเลย

ทำงานหนักๆ มีวิชาอย่างใด มีวิธีการอย่างใดก็สู้กันเต็มที่ เวลาสู้กันเต็มที่ กิเลสมันก็เบาใจ เออไอ้นี่อยู่ในอำนาจของตน เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมามันไม่ยอมให้เข้าไปสู่สัจธรรมอันนั้นหรอก เวลามันพลิกมันแพลงขึ้นมานี่งงมากเลย

เวลาครูบาอาจารย์ของเราเวลาจะคัดเลือกศิษย์ที่จะมาปฏิบัติไง ดูหลวงปู่มั่นสิ เข้ามาแล้วไม่ให้อยู่ เข้ามาแล้วไม่ให้อยู่

เวลาเข้ามาแล้ว เวลาเข้ามา เข้ามาด้วยเจตนาที่ดีงาม เวลากิเลสมันฟูขึ้นมา โอ้โฮวุ่นวายไปหมดเลย แล้ววุ่นวายไปหมดเลย ในคณะสงฆ์ ในการทำสิ่งใดที่มันขัดมันแย้งมันสะเทือนกันไปหมดน่ะ แล้วจะไปฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาให้มันราบเรียบ ให้มันสมควรแก่การปฏิบัติ นี่พูดถึงว่าแค่กิเลสในใจของตนนะ แล้วถ้ามันไม่มีอำนาจวาสนานี่มันพาลแล้ว มันพาลหาเรื่องคนอื่น ใส่ความคนอื่นทั้งสิ้นว่าตัวเองดีทั้งนั้นน่ะ

มันมีเยอะแยะไปหมดนะ ที่เวลาเขามาที่นี่ “หลวงพ่อ หลวงพ่อพยายามพูดให้ผมกลับมาปฏิบัติใหม่สิ ผมเคยปฏิบัติมา ๑๕ ปีที่แล้ว ๒๐ ปีที่แล้ว แล้วเลิกไป” ไอ้ปฏิบัติแล้วเลิกไปๆ เยอะแยะไปหมด เยอะแยะก็อย่างนี้

เราถึงบอกว่า เราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติให้เป็นจริตเป็นนิสัย ถ้ามันเป็นจริตเป็นนิสัยนะ แล้วทำให้มันทำต่อเนื่องไง

นี่ไง การประพฤติปฏิบัติที่ไม่ได้ผลเพราะทำครึ่งๆ กลางๆ มันเป็นไอ้พวกไฟไหม้ฟาง

นี่ไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัว โครงการช่วยชาติฯ กระตุ้นเต็มที่เลย โอ้โฮนักปฏิบัติดาษดื่นไปหมดเลย นั่งสมาธิจริงๆ ได้กี่นาที แล้วปฏิบัติให้มันเป็นสัมมาทิฏฐิความถูกต้องชอบธรรมได้เท่าไร มันไม่ได้เพราะอะไร ไม่ได้เพราะมันตัดตอนไง

ไอ้พวกหัวหน้าบุญ หัวหน้าสายต่างๆ ต่างคนต่างบรรลุธรรมทั้งนั้นน่ะ ไอ้ที่มาช่วยโครงการช่วยชาติฯ เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นหมดเลย หลวงตาพระมหาบัวไม่รู้เป็นพระอะไร แต่ไอ้ลูกศิษย์ลูกหามันยิ่งใหญ่ มันเป็นพระอรหันต์นะ มันเป็นหัวหน้าสาย มันหาคนมาสร้างบุญสร้างกุศลไง พอหามาสร้างบุญสร้างกุศล ไอ้พวกลูกหาบมันก็ โอ้โฮหัวหน้าสายท่านบรรลุอนาคามี ไอ้นั่นบรรลุธรรม ว่างๆ ว่างๆ อยู่นั่นแหละ เพราะมันภาวนาไม่เป็นน่ะ

คนภาวนาเป็นนะ เวลาขวนขวายที่เราจะหาบุญกุศลของเรา เราจะขวนขวายเพื่อการกู้ชาติ กู้ชาติเสร็จแล้วเราจะไปฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาให้มันเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา ถ้าเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา ให้เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา เป็นสัจจะความจริงขึ้นมา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโกไม่ต้องถามใครเลย

ไอ้นี่ล้มลุกคลุกคลานไปหมดน่ะ พอนานไปๆ หางโผล่ทั้งนั้นน่ะ หางแดงเลย แล้วมันเป็นธรรมตรงไหน

นี่พูดถึงเวลาคนที่ขวนขวาย เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัวท่านมากระตุ้น ทุกคนก็ฮึกเหิม พอฮึกเหิมก็ฝึกหัดปฏิบัติ แล้วลืมกิเลสไปใช่ไหม กิเลสมันนั่งพับเพียบให้เข้าไปจัดการมันหรือ

แล้วกิเลสนี้ร้ายนัก กิเลสในใจของคนนี้ร้ายนัก แล้วกิเลสของแต่ละบุคคลมันไม่เหมือนกัน แล้วเวลาฝึกหัดปฏิบัติ กิเลสในหัวใจของคนไม่เหมือนกัน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาท่านฝึกหัดปฏิบัตินะ ท่านให้กรรมฐานเฉพาะๆๆ แล้วเฉพาะแล้ว คนนั้นให้ไปฝึกหัดให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แล้วถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาท่านไม่ต้องถามอะไร

จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร

จิตเป็นอย่างไรคือสัมมาสมาธิไง ถ้ามีสัมมาสมาธิ จิตก็ตั้งมั่น

แล้วถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ จิตก็เหลวไหล จิตคลอนแคลน จิตไม่มีหลักเกณฑ์ จิตมีแต่ฟุ้งซ่าน จิตมีแต่ส่งออก จิตมีแต่ไปกว้านเอาชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ มันเป็นมีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มันออกไปหานู่นน่ะ โลกามิสทั้งนั้นน่ะ ปฏิบัติเพื่อโลกามิสหรือ นี่พูดถึงในวงปฏิบัติไง

ทีนี้เข้ามาที่คำถาม “ผมงงหมดเลย

ตั้งใจ เริ่มต้นใหม่ แล้วทำของเราตามข้อเท็จจริง ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันงง มันไม่มีทางออก เราก็กลับไปที่ศีล เรามีความผิดพลาดสิ่งใดหรือไม่ ถ้าไม่มีความผิดพลาดสิ่งใด เราก็มาดูที่อาหาร ดูที่อาหารเสร็จแล้วนะ เราก็มาดูโดยการฝึกหัดสติ แล้วฝึกหัดไป หนทางมันเป็นแบบนี้ แล้วมันไปติดขัดที่บารมีธรรม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เราวาสนาน้อย เพราะเราสร้างมา ๔ อสงไขย เวลาพระศรีอริยเมตไตรยขึ้นมา ๑๖ อสงไขย ความเป็นอยู่ก็แตกต่างกัน การกระทำก็แตกต่างกัน

นี่ไง พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาเพราะท่านได้สร้างอำนาจวาสนามา เพราะการสร้างอำนาจวาสนาเป็นพระอัครสาวกมันต้องสร้างบุญญาธิการมากกว่าพระอรหันต์โดยทั่วๆ ไป เวลาพระอรหันต์โดยทั่วๆ ไปต้องแสนกัป

พระอรหันต์โดยทั่วไป ดูสิ พระอรหันต์ที่ขิปปาภิญญาที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ไอ้ที่ปฏิบัติยากรู้ยากกระเสือกกระสนขนาดไหน การกระทำมันอีกร้อยแปดพันเก้าเลย

แล้วกว่าจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจากปุถุชนเป็นกัลยาณชน แล้วพระกรรมฐานหรือผู้ที่ประพฤติปฏิบัติโดยส่วนใหญ่ตายแค่นี้ ตายแค่นี้ จากปุถุชนเป็นกัลยาณชน

จากปุถุชนคนหนามีสิ่งใดเข้ามา โอ้โฮมันคับมันแค้นมันทุกข์มันยากไปทั้งนั้นน่ะ พิจารณาๆ พิจารณาไป พิจารณารูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร พอรู้เท่าทัน รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร นั่นเป็นกัลยาณชน มันบอกมันบรรลุพระอรหันต์

ปัญญาแค่นี้นะ ปัญญาอย่างนี้นะ มันเป็นไปได้อย่างไร พระกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้ไง สมาธิยังทำกันไม่เป็น

ปุถุชน กัลยาณชน ถ้าปุถุชนคนหนามันทำสมาธิได้แสนยาก ถ้ามันเป็นกัลยาณชนมันรู้เท่าทัน รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เวลามันขาดไปจากใจ มันรักษาสติ รักษาปัญญาได้ดีงาม เวลาทำสมาธิได้ง่ายเป็นกัลยาณชน ยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้

สมถกรรมฐาน ถ้าไม่มีสมถกรรมฐาน สัมมาสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา สัมมาสมาธินี่ขั้นของปุถุชน ขั้นของกัลยาณชน แล้วขั้นของบุคคลคู่ที่ ๑ โสดาปัตติมรรค มันมีสัมมาสมาธิเป็นบาทเป็นฐาน แล้วมีสติปัญญาเป็นผู้ที่ควบคุมดูแล แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา

การยกขึ้นสู่วิปัสสนาคือสัมมาสมาธิ สมถกรรมฐาน เป็นสัมมาสมาธิ ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนามันจะเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง

เวลาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นโดยสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน เห็นโดยสมถะเป็นพื้นฐาน

ไอ้ที่ว่าปุถุชนมัน “พิจารณากาย

เราฟังมาตลอด พวกฝึกหัดปฏิบัติใหม่จะพิจารณาอสุภะ จะข้ามพ้นกามราคะ พูดอย่างนี้ทั้งนั้นเลย แล้วกรรมฐานม้วนเสื่อเลิกไปหมดแล้ว ไอ้ที่จะฆ่ากามราคะนี่ไม่เห็นหน้าเลย ไปหมดแล้ว แล้วเดี๋ยวก็ “หลวงพ่อ หลวงพ่อช่วยกระตุ้นให้ผมกลับมาประพฤติปฏิบัติใหม่สิ

สิ่งที่มันประพฤติปฏิบัติ เราทำให้เป็นความถูกต้องชอบธรรมตามข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น แล้วเราก็พยายามฝึกหัดของเราด้วยอำนาจวาสนา

ถ้าอำนาจวาสนาของเราบารมีธรรมมันครึ่งๆ กลางๆ มันเป็นไปไม่ได้ จะบอกว่ามันเป็นไปได้ยาก

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาท่านฝึกหัดปฏิบัติลูกศิษย์ลูกหาของท่าน ถ้าคนที่ภาวนาไม่ได้มันสุดวิสัย ท่านก็ให้สร้างอำนาจวาสนาบารมีบวชเป็นพระไป บวชเป็นพระแล้วสร้างบุญสร้างกุศลของตนให้สะสมลงไปที่ภวาสวะ ที่ภพ ที่จิต ฝังดินไว้ๆ ไง ฝังดินไว้คือฝังหัวใจนั้นไว้แล้วให้เป็นจริตเป็นนิสัย เป็นอนาคตกาลที่จะฝึกหัดไปข้างหน้า

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัวทำ เราเข้าใจ เพราะมันเป็นเรื่องสุดวิสัยของเขา เรื่องสุดวิสัยของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น แต่เขาก็มีศรัทธามีความมั่นคง เขาก็ฝึกหัดของเขาไปให้เป็นจริตเป็นนิสัย

แต่เรื่องบรรลุธรรมๆ อริยสัจมีหนึ่งเดียว ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ถ้าจิตมันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ วิปัสสนาเป็น นั่นน่ะจะรู้เลย

แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาอย่างไร

มันมี มันมีวิธีการของมัน แต่ของเรา คนเราไม่มีบารมีธรรมมันก็ล้มลุกคลุกคลานของมันไปอย่างนี้ นี่พูดถึงไง “ทำไมมันเป็นอย่างนี้ งงมากเลย

ไม่ต้องงงหรอก กิเลสมันเป็นอย่างนี้แหละ แล้วยิ่งกว่านี้ด้วย

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์เรา ธรรมะอยู่ฟากตาย ธรรมะอยู่ฟากตาย ท่านเอาจริงเอาจังขึ้นมาเพื่อประโยชน์อันนี้ไง

นี่พูดถึงว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ งงมากเลย

ตั้งสติไว้ แล้วตั้งใจแล้ว ไปซื้อบ้านไว้แล้วบนภูเขาที่เชียงใหม่ วิวมหาศาลเลย ทุกอย่างสะดวกสบายในการปฏิบัติเลย แล้วพยายามควบคุมตัวเอง แล้วฝึกหัดปฏิบัติของเราให้ได้ ให้เป็นจริตเป็นนิสัยของเรา จบ

ถาม : เรื่อง “อยากไปปฏิบัติธรรม

อยากไปปฏิบัติธรรมที่วัด สามารถไปวันไหนได้บ้างครับ

ตอบ : อยากไปปฏิบัติธรรมที่วัด ก็ศึกษาได้ แล้วก็ไปวัดไปวา ไปปรึกษา ไปหาเจ้าหน้าที่แล้วลงทะเบียน แล้วก็ฝึกหัดปฏิบัติ

มันเป็นวัดสาธารณะที่ให้ฝึกหัดปฏิบัติ แต่มันมีกติกา มีข้อวัตรปฏิบัติ เพื่อให้ชาวพุทธปฏิบัติไปในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ในแนวทางความเป็นข้อเท็จจริง ให้ทำความสงบของใจก่อน ใจสงบระงับแล้วถ้าเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง คือจะประพฤติปฏิบัติในแนวทางนั้น

ฉะนั้น ผู้ที่มาปฏิบัติมันมีแนวทางหลากหลาย แล้วเขาพยายามจะมาปฏิบัติ เริ่มต้นก็จะพุทโธๆ ปฏิบัตินี่แหละ แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วนะ เขาก็จะมีแนวทางของเขาด้วยที่วุฒิภาวะอ่อนแอ ด้วยที่พยายามจะคิดว่าตัวเองภาวนาเป็น ภาวนาได้ เพราะการภาวนาในสังคมในโลกภาวนามาหลากหลาย แล้วพอมาปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ “อะไรก็พุทโธๆ มันเสียเวลามากเลย สู้ของฉัน ฉันไปเองดีกว่า

ถ้ามีความขัดแย้ง เราไม่อนุญาตให้เข้ามา ถ้าเข้ามา เข้ามาปฏิบัติตามข้อเท็จจริง นี้ให้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ จบ

ถาม : เรื่อง “กราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์

ตอบ : นี่ไง เขาเขียนมานะ ลูกขอกราบพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยเศียรเกล้า เมื่อ ๑๓ ปีที่แล้ว เขาก็จะเล่าถึงประวัติของเขาเลย เขียนมาเกือบ ๑๐ หน้า โอ้โฮแสดงว่ามีความอดทนมาก เขียนมาจนเครื่องคอมพิวเตอร์มันคงร้อนเลย

ฉะนั้น เราอ่านหมดแล้ว แต่เราไม่อ่านออกในเว็บไซต์นี้ แล้วเราเข้าใจถึงการที่กระเสือกกระสนเพื่อที่จะหาที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าการปฏิบัติๆ ไง เวลาประวัติที่เขียนมานะ ประวัติเขียนมาเต็มที่เลย แล้วสรุปลงด้วยว่า “ผมจึงกราบขออนุญาตนำเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้มากราบเรียนต่อท่านพระอาจารย์ครับ

ทีนี้กราบเรียนเรื่องต่างๆ เรื่องประวัติของแต่ละบุคคล ถ้าประวัติของแต่ละบุคคล เห็นไหม เวลาเราพูดถึง พูดถึงเวลาในวงการประพฤติปฏิบัติ ถ้าในวงการประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านคัดท่านเลือกของท่านเอง ถ้าคัดเลือกเอง ท่านมีอำนาจวาสนาหรือไม่มีอำนาจวาสนา ถ้ามีอำนาจวาสนานะ ท่านก็จะให้กรรมฐาน แล้วท่านจะเจาะจงกำหนดดูแลเลย

เราอยู่ในวงกรรมฐาน อย่างเช่นเวลาท่านพูดกับหลวงปู่เจี๊ยะ “มันจะมีบุคคล มีพระหนุ่มๆ มา เหมือนท่านเจี๊ยะ แต่ไม่ใช่ท่านเจี๊ยะ นั่นน่ะจะเป็นผู้ที่มีอำนาจวาสนา

เวลาหลวงตาพระมหาบัวมาไง หลวงปู่เจี๊ยะถามว่า “ใช่องค์นี้ไหม” ไม่พูดสักคำ แล้วท่านก็พยายามปลุกปั้นๆ เพราะท่านรู้ของท่านว่าองค์ไหนมีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน

ขนาดหลวงตาพระมหาบัวยังไม่ได้เข้าไปหาหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นท่านพยากรณ์เอาไว้เลยว่า “จะมีพระหนุ่มๆ เข้ามาหาเรา พระองค์นั้นจะดีทั้งภายนอกและภายใน แล้วพระองค์นั้นจะเป็นหลักในวงกรรมฐาน” นี่ท่านรู้ขนาดนั้นนะ

เวลาหลวงปู่จวน มันไม่มีพระองค์ไหนที่เขียนจดหมายมาถามปัญหาการปฏิบัติกับหลวงปู่มั่นสมัยนั้นน่ะ หลวงปู่จวนเขียน เพราะท่านไปอยู่เชียงใหม่ เวลาติดขัดขึ้นมาท่านเขียนจดหมายมาถามหลวงปู่มั่นเลย หลวงปู่มั่นท่านตอบด้วย ท่านรู้ว่าใครภาวนาจริงหรือภาวนาไม่จริง

แล้วภาวนาจริง ตั้งแต่สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน ในการประพฤติปฏิบัติในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ มีหนทางเดียว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาชำระล้างกิเลส ฆ่ากิเลสในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศรีอริยเมตไตรยในอนาคตกาลก็จะมาเป็นอย่างนี้ มันเป็นอันเดียวกัน มันไม่มีสิ่งแปลกแยก ไม่มีสิ่งใดที่มหัศจรรย์ ไม่มีสิ่งใดลึกลับซับซ้อนมากไปกว่านี้ มันเป็นอันเดียว ฉะนั้น มันเป็นอันเดียว เวลาจะเข้าสู่อันนี้มันถึงต้องเข้าสู่ข้อเท็จจริง ทีนี้เวลามันจะเข้าสู่ข้อเท็จจริง เวลาฝึกหัดปฏิบัติมันอยู่ที่วาสนาของคน

ฉะนั้น เวลาประวัติ เราอ่านหมดแล้ว บอกว่า ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติไปแล้ว สิ่งที่ปฏิบัติแล้วเวลามันว่างหมดเลย มันเข้าใจหมดเลย มันมีความสุขหมดเลย มันเป็นมรรคตรงไหน มันไม่เห็นมีอะไรเป็นมรรคเลย

สิ่งนี้เวลาประพฤติปฏิบัติไปเขาเรียกว่าธรรมเกิด ธรรมเกิดมันไม่มีที่มาที่ไป เพราะมันไม่มีที่มาที่ไป ผู้ถามถึงบอกว่า “มันเกิดมานี่ผมมีความสุขมาก

แล้วเหตุมันอยู่ไหนล่ะ

อ้าวก็ผมภาวนาเกือบเป็นเกือบตาย

ภาวนาเกือบเป็นเกือบตายนั่นคือวิธีการ แต่มันไม่ได้เข้าสู่มรรค คือจิตมันไม่เป็นสัมมาสมาธิ จิตที่มันเป็นสัมมาสมาธิมันจะมีสติสัมปชัญญะรู้ของมัน ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ

แล้วสมาธิก็อยู่กับเรา สมาธิ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาสมาธิต้องเสื่อมแน่นอน สมาธิไม่อยู่กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นได้ตลอดไป

สิ่งที่มันจะอยู่ได้ตลอดไปเพราะต้องทำเหตุ คือมีพุทโธๆ ไม่ทิ้งผู้รู้ ไม่ทิ้งพุทโธ แล้วอยู่ที่เหตุนั้น พยายามสร้างเหตุให้สมบูรณ์แบบ สมาธิมันไม่หนีไปไหน หรือถ้ามันพลั้งเผลอ มันหนีไปแล้วเราก็ทำให้มันถูกต้องชอบธรรม เดี๋ยวสมาธิมันก็กลับมา

เวลามันกลับมา เรารู้ด้วยตัวเองว่า เออตอนนี้จิตเป็นอิสระแล้ว จิตเป็นอิสระแล้วคือมันไม่เศร้าหมอง มันไม่คับข้องใจ มันไม่มีสิ่งใดตกค้างในจิต มันมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวผู้รู้ตลอดเวลา สัมมาสมาธิ จิตเป็นหนึ่ง ไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

แล้วถ้าไม่พาดพิงอารมณ์สิ่งใดทั้งสิ้น ถ้าวิปัสสนาไม่เป็นมันก็คือไม่เป็นอยู่อย่างนั้น ถ้าวิปัสสนาเป็นคือมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นแล้วต้องฝึกหัดปฏิบัติให้เป็นได้ ต้นทางต้องฝึกหัดได้ มันจะมีต้นทาง ท่ามกลาง และที่สุด

ต้นทางล้มลุกคลุกคลาน เวลาไปเห็นกายก็เห็นกายโดยวอกแวก เห็นกายโดยเหมือนฟ้าแลบ เห็นกายโดยเป็นครั้งเป็นคราว แล้วเห็นเฉยๆ ไง มันต้นทาง มันจับต้นทางไม่ได้

สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตาพระมหาบัว หลวงปู่เจี๊ยะ ครูบาอาจารย์ของเราท่านจะบอกว่า สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงๆ ท่านจะใช้คำว่า “ยกขึ้นสู่” เพราะมันคนละสเต็ปกัน มันคนละเรื่องกัน มันไม่ใช่อันเดียวกัน

แต่เวลาผู้ที่ปฏิบัติไม่เป็นมันปฏิบัติในอันเดียวกัน อันเดียวกัน อยู่ในที่เดียวกัน เริ่มต้นก็เริ่มต้นไม่ได้ ท่ามกลางก็ไม่มี ที่สุดไม่มีเลย ไม่มี มันเลยล้มลุกคลุกคลานไง

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าก็เห็น เห็นกาย เห็นเวทนา นี่จะยกขึ้นสู่ ยกแล้วมันไม่ดำเนินการต่อไป มันดำเนินการไม่ได้ พระกรรมฐานทั้งหมดตายตรงนี้ วิปัสสนาไม่เป็น พอวิปัสสนาไม่เป็นมันก็สับสน พอมันสับสนมันก็กลับไปสมาธิก็ไม่เป็น เพราะมันเข้าสมาธิไม่ได้ก็เลยว่างๆ ว่างๆ ก็นี่ไง ก็อารมณ์นี่ไง

ฉะนั้น เวลาในประวัติที่ว่ามาฝึกหัดปฏิบัติล้มลุกคลุกคลานมามาก แล้วไปหาครูบาอาจารย์มา

ก็เชิญ ก็เชิญตามสบาย อาจารย์องค์ไหนสอนได้ก็สอน แล้วสอนวนอยู่ในวัฏฏะ สอนวนอยู่ในสายบุญไง สายบุญไปหาลูกข่ายมา

มันปฏิบัติเป็นทางพิธีกรรมปฏิบัติ ปฏิบัติถูกต้องตามพิธีกรรมใช่ไหม ใช่ แล้วพิธีกรรมก็พิธีกรรม พิธีกรรม ศาสนพิธี จะทำปีไหน ทำปีต่อๆ ไปก็ทำเหมือนเดิม นี่ก็ปฏิบัติไง ปฏิบัติก็ปฏิบัติไง แล้วเรียกร้องเอาอะไร ปฏิบัติมันก็เป็นผลของเรานี่ไง แล้วถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมามันก็เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาหัวใจดวงนี้

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าปฏิบัติ เขียนมาให้ฟังไง โอ๋ยปฏิบัติล้มลุกคลุกคลาน ปฏิบัติอย่างใหญ่โตเลย แล้วจะมาปฏิบัติที่วัดหลวงพ่อ ก็ตั้งใจปฏิบัติเต็มที่เลย เลยไม่รู้อะไรเลย

เราไปบ้านใครเราก็ต้องรู้จักเจ้าของบ้านเขา หลวงปู่มั่นนะ พระจะเข้าจะออก นิสัยสำคัญมาก อาจริยวัตร อาคันตุกวัตร หลวงปู่ฝั้นท่านก็ฝึกหัดไว้ วงกรรมฐานมาจากหลวงปู่มั่น มันเป็นแนวทางเดียวกัน

ตอนนี้มันเป็นธุรกิจไปหมดแล้ว มันเป็นพวกใครพวกมัน ถ้าพวกที่ไปกว้านเอาเรื่องโลกามิส นั่นน่ะเป็นพวกเรา ไอ้ที่ฝึกหัดปฏิบัติมันไม่ได้อะไรเลย นั่นไม่ใช่พวกเรา

แล้วพวกที่ฝึกหัดปฏิบัติแล้ว ปฏิบัติแล้วก็ยังล้มลุกคลุกคลาน ปฏิบัติแล้วมันไม่มีวาสนา ก็ต้องคุ้มครองดูแลให้เขาปฏิบัติต่อไป ไอ้ที่ปฏิบัติเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา ให้มันเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาถ้ามันเป็นจริงเป็นจัง มันมีไหม

มันมีแต่พวกใครพวกมันไง “พวกเราไม่ต้องมีขณะก็ได้” มันปฏิเสธถึงมรรคถึงผลไปหมดเลย

เวลาผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติเวลาไปรายงานผลกับหลวงตาพระมหาบัว ท่านบอก มันไม่มีขณะ ใช้ไม่ได้

ทีนี้พอใครไปก็ไม่มีขณะ ถ้ามีขณะก็บอกมาสิขณะเป็นอย่างไร

ตัวเองก็ไม่มีใช่ไหม แล้วจะบอกขึ้นมาก็บอกไม่ได้ใช่ไหม บอกไม่ได้มันก็คือความว่างเปล่าไง แล้วทีนี้พอพวกเรามันเยอะขึ้นๆ มันก็เป็นพวกเรา พวกเราก็พวกสิบแปดมงกุฎ พวกโลกไง แล้วปฏิบัติ อู๋ยปฏิบัติเข้มข้น

มันเป็นไฟไหม้ฟาง มันเข้มข้นสองวัน มันไม่มีอะไรต่อเนื่องเลย

เวลาเข้มข้นต้องเข้มข้นให้ถึงที่สุด ธรรมะอยู่ฟากตาย ตายเอาชีวิตถวายกิเลสไปเลย ให้เห็นว่าธรรมะพระพุทธเจ้าไม่มีเหตุไม่มีผล มันไม่เห็นอะไรเป็นจริงเป็นจังเลย

ฉะนั้น ไอ้ที่เขียนมานี่ “กราบเรียนประวัติถวายครูบาอาจารย์

เราดูแล้วนะ อย่างนี้ทั่วสามแดนโลกธาตุ ประวัติที่เขียนมานี่ นักปฏิบัติเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นน่ะ แล้วยิ่งพระเรายิ่งใหญ่เลย แล้วคนที่เขียนมาก็บอกว่าตัวเองเคยบวชพระด้วย แล้วในวงใน วงในพระเป็นอย่างไร วงในพระ พระกับพระมันรู้กัน

แล้วเวลามาปฏิบัติอ้างว่าตั้งใจปฏิบัติมากเลย

คนเราจะปฏิบัตินะ มีสติสัมปชัญญะ สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควรนี่เป็นพื้นฐาน จะไปวัดใด เราก็ต้องรู้จักกติกาของวัดนั้น

ก็ผมบวชมาแล้ว

ก็วัดอย่างนั้น ซ่องโจรอย่างนั้น มันก็เรื่องของซ่องโจรไป วัดที่เขาปฏิบัติเขามีกติกาของเขา คำว่า “กติกา” มันคือธรรมและวินัยนะ ถ้าเราเข้าไปแล้ว เราไปตามธรรมและวินัย ใครๆ จะว่าร้าย ใครๆ จะขับไสไม่ได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะไปเทศน์ชฎิล ๓ พี่น้องไง “พระอรหันต์นะ ๖๐ องค์พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ เธออย่าไปซ้อนทางกัน เราก็จะไปนครราชคฤห์

ชฎิล ๓ พี่น้องเขาถือตัวถือตนว่าเขาเป็นพระอรหันต์ เขาเป็นพราหมณ์ เขาถือตัวถือตนว่าเป็นพระอรหันต์ เขากลัวว่าภิกษุหนุ่ม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่งอายุ ๓๕ ไปหา จะมาแบ่งลาภไง กีดกันไม่ให้ทั้งนั้นน่ะ ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ จะไปโปรดเขานั่นแหละ แต่กิเลสปิดกั้น กิเลสมันหวงแหน กิเลสมันไม่ให้พักอาศัย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับคนพี่ไง “เธอเป็นสมณะหรือไม่เป็นสมณะ

เป็น เป็นพระอรหันต์ด้วย เป็นศาสดาต่างหาก

ถ้าสมณะไม่ให้สมณะพัก สมณะเป็นสมณะได้อย่างไร

จนด้วยเหตุผลก็ต้องยอมจำนนให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพัก แต่ก็มีเล่ห์ ให้ไปพักในโรงไฟ เพราะโรงไฟมีพญานาค จะให้พญานาคฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปพัก พอเจอพญานาค ด้วยฤทธิ์ จับพญานาคใส่บาตรไว้เลย เช้ามาโชว์เลย นี่พญานาคอยู่นี่

มีฤทธิ์มีเดชขนาดไหนเข้าไม่ถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็ยังดื้อรั้น จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก้มานานแล้วแหละ สุดท้ายแล้ว “เธอไม่ใช่พระอรหันต์

มันก็ไม่ใช่จริงๆ อยู่แล้ว แต่ตัวเองเข้าใจว่าใช่ไง พอบอกว่าไม่ใช่พระอรหันต์ คอตกเลย เพราะมันเป็นความจริง แล้วปิดไว้ในใจของตัว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการทิ่มเข้าไปหัวใจของตนเลย คอตกเลยนะ ก็มันไม่ใช่

สมณะไม่ให้สมณะพัก จะเป็นสมณะได้อย่างไร

ไปวัดไปวา ไปกติกาที่วัดไหน เราก็ต้องศึกษาค้นคว้า วัดนี้เขามีพระเวร แล้วเอ็งจะเข้าออกโดยสิทธิโดยว่าเป็นนักปฏิบัติ ถ้าถือว่าปฏิบัติเป็นความยิ่งใหญ่ แล้วไปบ้านเขาแล้วก็ไปตีหัวเขา แล้วก็ไปย่ำยีกฎกติกาของเขา เริ่มต้นนะเนี่ย นี่ยังไม่ได้ปฏิบัติเลยนะมึง

แล้วบอก “นี่ไง นี่ประวัติของผม

ประวัตินั่นประวัติของเอ็ง แต่เอ็งมาทำอะไรที่วัดนี้เราเห็นหมดน่ะ ฉะนั้น เราถึงจะให้พวกพาลชนทั้งหลายมาย่ำยีพระเณรในวัดเราไม่ได้ วัดของเรา บริษัท ๔ ภิกษุ ผู้มาอยู่วัด ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เข้ามาอยู่ด้วยความถูกต้องชอบธรรม เขามีศีลมีธรรมในใจของเขา เขามีมารยาทสังคมของเขา

เอ็งไปเอ็งมาโดยข้ามหัวเขาไปข้ามหัวเขามา กูเห็นแล้วกูทนไม่ได้ กูถึงไล่มึงออกไป

แค่บาทฐานความจะเป็นอาบัติ ศีลน่ะ แล้วสมาธิอยู่ไหน แล้วปัญญาอยู่ไหน ไหนว่ามึงเป็นนักปฏิบัติไง ถ้ามันทุศีลมันก็ได้มิจฉาสมาธิไง ถ้ามันเอาแต่ใจของตัวเองมันก็ได้อารมณ์ว่างๆ นั่นไง

แล้วที่ว่า โอ้โฮมันสว่าง มันรู้ไปหมดเลย

พระอาทิตย์สว่างกว่าอีก

สว่างมันต้องมีปัญญา มันต้องรู้ถึงขอบเขต มันต้องรู้ถึงความถูกต้องชอบธรรม ความถูกต้องชอบธรรม ทาน ศีล ภาวนา

ถ้ามันมิจฉา มันบิดพลิ้วมาตั้งแต่ต้น สมาธิก็มิจฉา ปัญญาก็ปัญญาขี้โกง ก็นี่ไง กรรมฐานที่ปฏิบัติกันอยู่นี่ไง คิดเองเออเอง พูดข้างเดียว

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ เราสร้างศีล สมาธิเกือบตาย ยกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นกิเลส ระหว่างธรรมะกับพญามาร กิเลสในใจของเราเจรจากัน เจรจากันด้วยวิปัสสนา เจรจาด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา วิปัสสนาแยกแยะๆ

ถ้ากิเลสมันเบาบางลง มันเห็นท่ามันดี มันหลบมันหลีก มันปล่อยมันวาง หลบหลีกนะ ไม่ใช่สมุจเฉทปหาน ไม่ใช่ขณะ ไม่ใช่ดับทุกข์

เวลาเจรจากันด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา คือเราใช้สติปัญญาวิปัสสนา ถ้าเราเห็นกิเลส มันมีการเจรจากัน ไม่ใช่พูดข้างเดียว สะดุ้งตื่นบรรลุธรรมเลย นอนหลับตื่นขึ้นมาบรรลุธรรมเลย วิปัสสนามันจะบรรลุธรรมชั้นนั้นๆ เลย เอ็งพูดข้างเดียว พูดข้างเดียว พูดโดยอารมณ์ โดยกิเลสดิบๆ นี่แหละ แล้วมันจะเป็นธรรมๆ ไปตรงไหน

ประวัติที่เอ็งเขียนมาทั้งหมดไปรู้ไปเห็นอะไรน่ะ เขาเรียกธรรมเกิด

ธรรมเกิดคือว่า คนที่ฝึกหัดปฏิบัติแล้วถ้าจิตมันมีความสงบบ้าง ถ้ามันมีบุญมีกุศลมันจะโผล่มาอย่างนี้ มันจะโผล่ขึ้นมาเป็นเรื่องความเข้าใจ เรื่องความเป็นธรรม เรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นหลวงตาบอก นี่กิเลสเกิด

กิเลสเกิด เพราะกิเลสมันเกิด เอ็งเลยติดนี่ไง เอ็งเลยเขียนแต่เรื่องที่ว่าแหมมันรู้ไอ้นั่น มันรู้ไอ้นี่ขึ้นมาไง” นี่เราเคยติด แล้วเราเคยเป็น แล้วเป็นแล้วมันก็ชั่วคราว

ถ้าทำให้เป็นสัมมา ก็ทำความสงบให้มากขึ้น หรือมีสติปัญญา สิ่งที่เกิดขึ้นเราวางๆ เราจะไปข้างหน้า ไปข้างหน้าคือจะให้จิตเรามีกำลังของเราขึ้นมา พอไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นมันก็สะดุ้งแล้ว เห็นมันก็แปลกประหลาดมาก แล้วมันจะเดินวิปัสสนาไปได้ยาก ต้องค่อยๆ ฝึกหัด

หลวงตาใช้คำว่า “วิปัสสนาอ่อนๆ

มันต้องฝึกหัด ฝึกหัดคือเริ่มฝึกหัดใช้ปัญญา แล้วปัญญาอย่างนี้มันจะเป็นภาวนามยปัญญา มันจะต้องพยายามฝึกหัดแล้วทำให้ดำเนินการต่อไป เพราะเป็นมรรค ๘ มันต้องมีองค์ความรู้ ๘ ดำริชอบ งานชอบ งานถูกต้อง มันต้องมีสมาธิที่มีกำลังสมดุลพอดีของมัน มันถึงเป็นปัญญาไปรอบหนึ่งๆ

แล้วถ้าสิ่งใดที่มันใช้แล้วมันไม่สมดุลของมัน นี่มันเจรจา แม้แต่เจรจา กองทัพต้องมีมรรค ๘ กิเลสมันเป็นกิเลสของมันโดยครอบครัวของมารของมันอยู่แล้ว การเจรจานี่เขาเรียกวิปัสสนาๆ วิปัสสนาเพราะมันวางๆ มันวางโดยขั้นของใช้ปัญญา นี่เรื่องหนึ่งนะ

แล้วเวลาที่เราใช้ปัญญาๆ นี่เป็นโลกียปัญญา ปัญญาทางภาคทฤษฎีที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า นั่นเป็นปัญญาอบรมสมาธิ

ปัญญามันก็คนละปัญญา มันแตกต่างหลากหลายไปทั้งหมดน่ะ แต่อาจารย์มึงโง่ อาจารย์มึงน่ะโง่ อาจารย์มึงน่ะไม่รู้ ก็เลยสอนมึงไม่ได้ แล้วมึงก็ไม่มีพื้นฐานไง แล้วเอ็งเขียนประวัติมาทำไม เขียนประวัติมาก็คือประวัติ ไม่ใช่เขียนประวัติมานี่เป็นประวัติ วงกรรมฐาน ลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นกี่หมื่นองค์ มันแตกต่างอะไรกับประวัติเอ็ง

เหมือนกัน ก็เป็นอย่างที่เอ็งเป็นนี่แหละ เพราะถ้าไม่เป็นอย่างที่เอ็งเป็น เขาจะสอนเอ็งอย่างนี้หรือ ก็เขาก็สอนเอ็ง แล้วเอ็งก็เป็นของเอ็งเองนี่ไง นี่ไง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันก็เป็นอันเดียวกันไง พวกเราๆ “พวกเราไม่ต้องมีขณะ” พวกเราไง ในวงกรรมฐาน ในวงการปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น

แต่ถ้าเราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสบวชในพระพุทธศาสนาแล้วเราจะฝึกหัดปฏิบัติ กาลามสูตร ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ เวลาเชื่อ เชื่อครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม

เราอยู่กับพวกนี้มาเยอะ เราศึกษามาทั้งนั้นน่ะ แต่เคยสนทนาธรรมกันมา แต่เวลาจะได้เนื้อได้น้ำต้องมาคุยมาสนทนาธรรม คือมาอยู่กับหลวงตา หลวงตาอัดเราๆๆ

ในพรรษาเดียวกัน ในรุ่นๆ เดียวกัน ตอนที่เราอยู่กับหลวงตา การที่หลวงตาด่าเรา ด่าท่ามกลางศาลาเป็นปีๆ เลย

แต่สำหรับหัวใจเรานะ ท่านกำลังสอนเรา นั่นน่ะคือเทศน์ นั่นน่ะคืออาวุธที่ยิ่งใหญ่ นั่นล่ะทำให้เรามีสติปัญญาที่ชนะตัวเองขึ้นมาได้นี่ไง มาอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะกระทืบเอา กระทืบเอา กระทืบเอา นี่มันมีเหตุมีผล มันไม่ได้พูดข้างเดียว มันไม่ใช่พวกเรา

เพราะพวกเราเป็นอย่างนี้ไง เป็นอย่างที่เอ็งเขียนมานี่ ในวงกรรมฐานก็เป็นอย่างเอ็งนี่แหละ แล้วก็ชื่นชมกันอยู่อย่างนี้ มันถึงเป็นพวกเราไง

ถ้าเป็นพวกพระพุทธเจ้าล่ะ เป็นพวกอริยสัจล่ะ

กาลามสูตร อย่าเชื่อ แล้วฝึกหัดให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

ฉะนั้น ไอ้ประวัตินี่ พระในวงกรรมฐานเยอะแยะเลย แล้วรวมทั้งผู้เขียนนี้ด้วย มันก็เรื่องธรรมดา เรื่องของเอ็ง สิทธิเสรีภาพส่วนตัว ประชาธิปไตยไง

แต่ถ้าจะประพฤติปฏิบัติ ธรรมาธิปไตย ธรรมและวินัย เอ็งไปวัดเขา เอ็งไม่ถามถึงกติกาของเขา แล้วเอ็งจะเอาตามใจตัวของเอ็ง แล้วเอ็งจะสำคัญตนด้วยว่าเอ็งนักปฏิบัติ เอ็งยิ่งใหญ่ ถ้าวัดปฏิบัติต้องเชิดชูบูชาเรา

กูไล่มึงไปเลย พื้นฐานมึงยังไม่ยอมรับ แล้วมึงจะเจริญเติบโตขึ้นมาด้วยความถูกต้องชอบธรรมเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรมได้อย่างไร

เพราะเราต้องการสัมมาทิฏฐิ ต้องการความถูกต้อง ต้องการประพฤติปฏิบัติให้เป็นแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ของพระพุทธศาสนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ฉะนั้น เขียนมานี่เป็นตั้งเลย อ่านแล้ว แล้วไม่มีอะไรสงสัยเลย เพราะกูก็อยู่ในวงการพระนี่แหละ กูก็พระกรรมฐานองค์หนึ่งอยู่ในวงกรรมฐาน ทำไมกูจะไม่รู้ ที่เอ็งเขียนมานี่นะ พระที่ปฏิบัติๆ อยู่ก็เป็นอย่างเอ็งนี่แหละ ก็ได้แค่นี้แหละ แล้วเอ็งก็ยังงงๆ อยู่นี่แหละ แล้วเอ็งจะเขียนมาทำไม จบครับ จบ