เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ ก.พ. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราฟังธรรมนะ ธรรมะนะ “ธรรมะ” กว่าจะได้ธรรมสมัยพุทธกาล ฟังยาก ฟังยากเพราะความรู้จริงหาได้ยาก เวลาเราฟังธรรมะกันน่ะ มันธรรมะไร้เดียงสา ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแยกล่ะ “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” เห็นไหม ต้องมีปริยัติ ปริยัตินี่ไม่ปฏิเสธนะ ต้องมีปริยัติ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติ ไม่มีปริยัติ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าเอง คือประสบการณ์ตรงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสอน ไม่มีปริยัติ คือไม่มีทฤษฎี ทำโดยประสบการณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วใช่ไหม พวกเราสาวก-สาวกะไม่มีอำนาจวาสนาพอที่จะทำเองได้ คือต้องมีการเรียนรู้ การเรียนรู้นี่ปริยัติ

“ปฏิบัติ ปฏิเวธ” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปกครองนะ “คันถธุระ วิปัสสนาธุระ”

คันถธุระ คือ การศึกษาปริยัติ

วิปัสสนาธุระ คือ การปฏิบัติ

ทำไมพระพุทธเจ้าแบ่งเป็นคันถธุระ เป็นวิปัสสนาล่ะ?

แล้วในปัจจุบันเราศึกษากันแล้ว เราศึกษาในภาคปริยัติแล้วเราปฏิบัติกัน มันไร้เดียงสา มันปฏิบัติแบบไร้เดียงสา ไร้เดียงสาเพราะอารมณ์ตัวเองเข้าไปจับ เอาความรู้สึกของตัวเข้าไปจับ ถ้าความรู้สึกของตัวเข้าไปจับ มันไร้เดียงสามาก แล้วก็ทำเป็นพิธีกรรมเท่านั้น มันเป็นปฏิบัติไปไม่ได้

ปฏิบัติ เห็นไหม ปริยัติ.. ปริยัติเรียนมาเพื่ออะไร ปริยัติเรียนมาเพื่อปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติโดยปริยัติ มันก็ติดข้องในทฤษฎีนั้นน่ะ ติดข้องในโลก ในโลกคือในความเห็นของเรา ในความเห็นของเราในปฏิบัติ พอความเห็นของเรานะ เด็กๆ ไร้เดียงสาน่ารักมาก เพราะมันไร้เดียงสาของมัน มันดูของมัน มันไม่มีมารยาสาไถย แต่การไร้เดียงสาของเรา เราโตขึ้นมาเราไร้เดียงสาไม่ได้หรอก เราต้องมีความรู้ เราต้องมีวิชาการ เราต้องมีปัญญายืนกับโลกได้

แต่การรู้ในปริยัติ ถ้าเราไปกอดมัน “ปัจจุบันนี้ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมโลกเป็นอย่างนั้น” เราไปเดือดร้อนไปหมดน่ะ เราไปเดือดร้อนกับโลก เราไม่พอใจสิ่งต่างๆ ของโลกไปหมดเลย แต่ไม่ได้มองนะ ไม่ได้มองถึงใจของเรา เพราะใจของเรานะ..

อัตตา หิ อัตตโน นาโถ.. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน คำว่า “เป็นพระโสดาบัน” มันมีพื้นฐานของใจที่เข้ากระแสแล้ว ขนาดพระโสดาบัน ในการประพฤติปฏิบัติของพระอานนท์ พระอานนท์ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นพหูสูตนะ เป็นเอตทัคคะในทางได้ยินได้ฟังมา เป็นพหูสูตเป็นผู้ที่จำได้มาก แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ร้องไห้แล้วร้องไห้อีก จนพระพุทธเจ้าถามหานะ

“ภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไปไหน?”

“ไปเกาะกลอนประตูร้องไห้อยู่พระเจ้าข้า”

“ไปตามพระอานนท์มา”

“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ตถาคตก็ต้องตายไปในคืนนี้ เธอจะร้องไห้เสียใจไปทำไม เธอได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่พระองค์ไหนก็แล้วแต่ก็ทำไม่ได้มากเท่าเธอ เธอไม่ต้องเสียใจไป อีก ๓ เดือนข้างหน้าที่เราปรินิพพานไปแล้วจะมีการสังคายนา เธอจะเป็นพระอรหันต์ในวันนั้น”

พระอานนท์ยังเสียใจอยู่ ยังอาราธนาอยู่นะ ขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีวิตอยู่ไปเถิด เพื่ออะไร เพื่อจะได้สั่งสอน จะได้ชี้นำ

“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ เราตายไป เราก็ตายไปแต่ธรรมะของเรา”

“ธรรมะของเรา สิ่งต่างๆ ของเรา เราไม่ได้เอาธรรมะของใครไปเลย เราไม่ได้ปิดโอกาสของใครเลย เราเปิดช่องทางไว้มหาศาล..”

กรรมฐาน ๔๐ ห้อง ในการประพฤติปฏิบัติทุกคนจะมีโอกาสปฏิบัติได้หมด เห็นไหม “เราไม่ได้เอาสมบัติของเราไปเลย” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว มันก็เป็นหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาที่โคนต้นโพธิ์นั้น ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้ววางปริยัติ วางทฤษฎีไว้ แล้วเราก็ไปเกาะทฤษฎีกัน เกาะทฤษฎีไว้นะ แล้วกลัวผิดๆ ไปหมดเลย นั่นมันธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเกาะแล้วมันก็สร้างภาพให้ใจเป็นอย่างนั้นนะ

มันเป็นการปฏิบัติแบบไร้เดียงสามาก กลัวจะไม่ได้เป็นๆ นี่มันธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม เราก๊อบปี้มาใช่ไหม เราสร้างอารมณ์ให้เป็นอย่างนั้นใช่ไหม กลัวจะไม่ได้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เลยไม่ได้ไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้เอาธรรมของเรานะ

“อานนท์ อีก ๓ เดือนข้างหน้าจะมีการสังคายนา เธอจะเป็นพระอรหันต์ในวันนั้น”

ความเป็นพระอรหันต์ของวันนั้นน่ะ มันเป็นพระอรหันต์ของใคร? มันเป็นพระอรหันต์ของพระอานนท์ใช่ไหม มันเป็นพระอรหันต์ของพระสารีบุตรใช่ไหม มันเป็นธรรมะส่วนตนใช่ไหม มันเป็นการประพฤติปฏิบัติโดยตัวเองใช่ไหม มันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า

ถ้ามันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็พยายามสิ พยายามประพฤติปฏิบัติ กลัวจะไม่เหมือน กลัวจะไม่เป็น มันไร้เดียงสา! ในปฏิบัติปัจจุบันนี้เกร็งไปหมด เก๊กไปหมดเลย กลัวจะผิด กลัวจะพลาด แล้วก็ผิดหมดเลย

แต่ในการประพฤติปฏิบัติของพวกพระป่าเรานะ คันถธุระ วิปัสสนาธุระ คำว่า “วิปัสสนาธุระ” มันก็มีการผิดพลาดเป็นธรรมดา ความผิดพลาดมันมีบ้าง จะบอกเลยน่ะ วิปัสสนาแล้วจะถูกหมดนะ ใครไปปฏิบัติ ไปพระป่า พระป่าจะพาไปนิพพานหมดนะ

ถ้าพาไปนิพพานหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมท้อใจล่ะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว “จะสั่งสอนได้อย่างไร ใครมันจะรู้ได้.. ใครมันจะรู้ได้..” เพราะความเห็นต่างของโลก

สุตมยปัญญา-จินตมยปัญญา-ภาวนามยปัญญา.. โลกียปัญญา-โลกุตตรปัญญา ภาวนามยปัญญา.. ปัญญามันลึกลับซับซ้อนไปอีกหลายชั้นนัก เห็นไหม เวลาใครประพฤติปฏิบัติ “โอ้โฮ.. มันละเอียดอ่อนนะ มันละเอียด”.. มันจะมีละเอียดกว่านี้ มันจะมีลึกซึ้งกว่านี้ เพราะละเอียดขนาดไหนนะ กิเลสของเรามันละเอียดกว่านั้น

ถ้ามันไม่ละเอียดนะ พระอานนท์บรรลุพระโสดาบัน ทำไมกิเลสมันไม่ขาดไปหมดเลยล่ะ เพราะบรรลุพระโสดาบันต้องมีคุณสมบัตินะ ต้องมีมรรคญาณ ต้องธัมมจักฯ ต้องมีอาวุธเข้าไปทำลายกิเลส แล้วทำไมกิเลสมันไม่ขาดไปให้หมดล่ะ? เพราะกิเลสมันมีหยาบ มีละเอียด ละเอียดสุด สุดละเอียดเข้าไปอีก เห็นไหม แล้วเราปฏิบัติขึ้นไป เราละเอียดขนาดไหน

นี่ไง เวลาปกครองกันในวิปัสสนาธุระ ถ้าครูบาอาจารย์ถ้าไม่รู้จริง.. เราไม่เคยทำ เราฟังมา เราจำมา เราได้ยินได้ฟังมา มันจะเป็นจริงไหม มันเป็นจริง แล้วเวลามีปัญหาขึ้นมา เราจะแก้ไขขึ้นมาอย่างไร

ในการปฏิบัติมันต้องเอาจริง เอาจริงของเรานะ แล้วในปัจจุบันโลกเจริญๆ ดูสิ แต่ก่อน สมัยโบราณความเป็นอยู่ของเรา เราต้องขวนขวายเอง เพราะอะไร? มันต้องช่วยตัวเองกันทั้งนั้นน่ะ เพราะอะไร เพราะการดำรงชีวิตใช่ไหม ในปัจจุบันเทคโนโลยีเจริญมาก ทุกอย่างเจริญมาก ความเจริญมากทำให้คนอ่อนแอลง พอคนอ่อนแอลง แต่เราก็บริหารจัดการ เราทำให้คิด เวลาไฟฟ้ามันดับนะ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ในโลกนี่ถ้าให้ไฟดับสักชั่วโมงเดียว ดูความสูญเสียของภาคธุรกิจสิ มันจะกี่แสนล้าน เพราะอะไร เพราะเราไปพึ่งพาอาศัยเขาจนเกินไป

แต่เวลาเราอยู่กับโลกใช่ไหม เราปฏิเสธไม่ได้หรอก ที่พูดอยู่นี่ก็อะไร นี่ก็เสียง ออกมาจากไหน ก็ออกมาจากเทคโนโลยีทั้งนั้นน่ะ เราไม่ได้ปฏิเสธมัน ของอย่างนี้เราไม่ได้ปฏิเสธมัน แต่เราไม่หลงใหลมัน เราไม่ได้ให้เราเป็นขี้ข้ามัน เราอยู่กับมันเราต้องใช้มัน โลกต้องใช้มันนะ โลกต้องอาศัยเขา เราอาศัยเขาแล้ว แต่ชีวิต.. สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือความรู้สึกของมนุษย์ คือหัวใจของคน หัวใจของสัตว์โลกนี่มีคุณค่ามาก

เราทำหน้าที่การงานมา เราทุกข์ยากขนาดไหน มาเพื่ออะไรล่ะ เพราะเพื่อความสุข แล้วความสุขมันอยู่ที่ไหน ความสุขเราก็อาศัยปัจจัยเครื่องอาศัย ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความสุข แล้วมันสุขจริงหรือเปล่า แล้วก็คาดหวังไปข้างหน้า “ข้างหน้าจะดี.. ข้างหน้าจะดี” พอไปประสบแล้ว ไปได้ครบตามความปรารถนาแล้วดีจริงไหม? มันก็ยังอยากต่อไป มันไม่มีวันพอ มันพอไม่เป็นน่ะ

แต่ถ้าเราฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละนะ เสียสละราชสมบัติ เสียสละทุกอย่างออกมาเลย เพื่อแสวงหาโมกขธรรม เพราะอะไร เพราะถ้าปกครองแผ่นดินอยู่จะเป็นจักรพรรดิ แต่จักรพรรดิแล้วนะ ถึงเวลาจักรพรรดิจะตายนะ ห่วงหาอาลัยอาวรณ์ไปหมดเลย “สมบัตินี้จะเอาไว้ให้ใคร ญาติที่เกิดมาจะมีคนมาแย่งชิงไหม สมบัติ ตระกูลสืบต่อไปจะเป็นไหม” ตายไปด้วยความทุกข์ยากนะ มันจะมีความทุกข์ความยากตายไปน่ะ ว่าสมความปรารถนา มันสมความปรารถนาที่ไหน มันเป็นภาระของโลก

เวลาโลกติเตียนธรรมะนะ บอกว่า “พระภิกษุเห็นแก่ตัว ธรรมะนี่เห็นแก่ตัว จะเอาตัวรอดอย่างเดียว ไม่รับผิดชอบโลก”

โลกคืออะไร? โลกคือหมู่สัตว์ โลกทัศน์คือความเห็น คือความคิด คนเรามันคิดที่ดี สิ่งที่ดี เสียสละที่ดี ทำให้โลกเป็นที่ดี โลกยังต้องมีใครไปปกครอง กฎหมายปกครองได้นะ กฎหมายบังคับมนุษย์ได้ แต่มนุษย์ที่เห็นแก่ตัวจะปกครองมันได้หมดไหม แต่ศีลธรรมทำได้นะ ศีลธรรมเพราะอะไร เพราะเราละอายแก่ใจทุกคนใช่ไหม ทุกคนมีความรู้สึก ทุกคนมีความละอาย ทุกคนมีความเกรงกลัวต่อบาปต่อกรรม เราคิดเราก็รู้ เราก็ทำ

ศีลธรรม-จริยธรรมสามารถปกครองคนได้ แต่คนหยาบมันมี มันต้องมีกฎหมายมา สิ่งนั้นเป็นกฎหมาย นี่เป็นเรื่องของโลก เราอยู่กับโลกเราก็เข้าใจเรื่องโลก คนเรานะ มันมีกายกับใจ หน้าที่ของเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วมันก็มีคุณค่า คุณค่าที่เราจะต้องแสวงหาหน้าที่การงานของเรา เราต้องมีจุดยืนในโลกใช่ไหม

แม้แต่มีการศึกษาเรายังไม่ไร้เดียงสาเลย แล้วเวลาปฏิบัติเราจะไร้เดียงสาได้อย่างไร นี่ทำไปตามกิเลสมันจะพาไป กิเลสพาทำนะ ปฏิบัติก็สักแต่ว่าทำกันไปนะ จะเป็นอย่างนั้นๆ แล้วต้องเป็นอย่างนั้น เพื่อจะให้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...ไม่ใช่! มันไม่เป็นสันทิฏฐิโก มันไม่เป็นความจริงเป็นของเรา ถ้าความรู้จริงเป็นของเรานะ เวลามันทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบเข้ามาได้อย่างไร ถ้าใจมันสงบเข้ามาแล้วมันจะเห็นคุณค่ามาก

เราบอก “ความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง.. ความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง.. จะหาตัวตนของเราเพื่อจะชำระกิเลส” แล้วมันไม่เคยเห็นน่ะ มันเหมือนรอยเกวียนน่ะ รอยเกวียนมันหมุนไปตามรอยเท้าโค มันชักกันไป นี่ก็เหมือนกัน ความคิดมันก็หมุนไปอย่างนั้นน่ะ แล้วมันก็หมุนไปตามความคิดว่า “นี่เป็นธรรมะๆ” มันไม่เคยหยุดสักที

ถ้ามันหยุดขึ้นมา พอจิตมันสงบเข้ามา “โอ้โฮ!” นี่ไง เรามันอยู่ที่นี่นะ ความสุขเราอยู่ที่นี่ สิ่งต่างๆ.. จริงอยู่ สิ่งที่โลกเขาต้องการกันน่ะ มันเป็นความจำเป็น ความจำเป็นของร่างกาย ความจำเป็นของการอาศัยของมนุษย์นี้เป็นความจำเป็น แต่หัวใจล่ะ หัวใจนี่มันต้องกินความละเอียดอ่อนมากกว่านั้น คุณสมบัติของมันมีความละเอียดมากกว่านั้น มันจะทรงตัวของมันได้

ถ้าทรงตัวของมันได้ เราทำบุญกุศลไป อุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวร ให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา นี่เราอุทิศส่วนกุศลไป แล้วเราตายไป เราจะรอให้ลูกหลานมาอุทิศให้เราไหม แต่ถ้าเราทำของเราเดี๋ยวนี้ เราเอาของเราไปเอง เราทำของเราเอง เห็นไหม คนจะออกจากบ้านน่ะ เสบียงกรังเตรียมพร้อม มันอุ่นใจขนาดไหน คนจะออกจากบ้านมีแต่ตัวเปล่าๆ ไม่มีสิ่งใดติดตัวไปเลย ต้องไปอาศัยคนอื่น

จิตใจของคนที่มันสะสมไว้ จิตใจของคนที่ทำไว้ โลกคิดทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม เราแสวงหาของเรามา เราต้องไปเสียสละทำไมๆ เสียสละแล้วได้อะไรขึ้นมา นี่ใจมันหยาบ ถ้าใจมันละเอียดนะ เราเสียสละคือเราได้ไง ลองคิดถึงการทำบุญของเรามาสิ ตั้งแต่เราทำบุญมา มันสูญหายไปไหน มันอยู่ในความคิดเราใช่ไหม มันอยู่ในหัวใจของเราใช่ไหม มันเป็นของเราทั้งหมด แต่วัตถุธาตุมันเป็นการแสดงออกของใจ ใจมันแสดงออก มีการแสดงออกเป็นการเสียสละออกไป สิ่งวัตถุธาตุมันเป็นกำลังของเรา เห็นไหม เราทำหน้าที่การงานมา เราหาสิ่งนั้นมา แล้วเราแลกเปลี่ยนมา แล้วเราไปเสียสละ

เสียสละเพื่ออะไร? เสียสละเพื่อให้หัวใจ บารมีธรรมไง ใจที่มันมีทางออกบ้าง มันมีที่พึ่งอาศัยบ้าง มันมีที่ยึดที่เหนี่ยวบ้าง มันไม่เป็นสัตว์ไม่มีเจ้าของ สัตว์ไม่มีเจ้าของ ดูสัตว์ป่าสิ เขาล่ากันน่ะ ดูสิ มันต้องหนีกระเซอะกระเซิงเลย แต่ของเราสัตว์มีเจ้าของ เจ้าของคืออะไร เจ้าของคือศาสนา คือศาสนาไง ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นชาวพุทธ มันเป็นที่ยึดเหนี่ยวของใจ ใจมีที่เกาะที่เกี่ยว ใจมันไม่เร่ร่อน ใจมันไม่เป็นสัตว์ไม่มีเจ้าของ...มันมีเจ้าของนะ!

ใจเป็นสัตว์ที่มีเจ้าของ แต่พวกเราทำให้มันไม่มีเจ้าของกันเอง ปฏิเสธเอง “นี่วิทยาศาสตร์ๆ มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เชื่อถือไม่ได้ มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์” ทำไมมันไม่คิดวิทยาศาสตร์ให้หัวใจมันพ้นทุกข์ล่ะ หัวใจมันพ้นทุกข์ได้ไหม มันพ้นทุกข์ไม่ได้ มันต้องพ้นทุกข์ด้วยธรรมะนะ

ธรรมะคืออะไร? ธรรมะคือประสบการณ์ตรงของจิตนี่ไง

สติคืออะไร? สมาธิคืออะไร? ปัญญาคืออะไร?

สิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นมาจากใจอย่างไร? แล้วทำลายไอ้ตัวลังเลสงสัย ไอ้ตัวที่มันฐานความคิด ทำลายอย่างไร? มันทำลายได้ไหม? ถ้ามันทำลายไม่ได้พระพุทธเจ้าสอนทำไม แล้วพระพุทธเจ้าสอนขึ้นมา สอนขึ้นมาแล้วพระพุทธเจ้าโกหกไหม? โกหกก็พิสูจน์สิ หลับตาสิ กำหนดพุทโธสิ ลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก.. ลองกำหนดดู พระพุทธเจ้าจะโกหกไหม?

ทำอย่างนี้แล้วเราจะเห็นคุณค่าของศาสนา เราอุตส่าห์เสียสละกัน อุตส่าห์หาทางออกกันก็เพื่อชีวิตของเรานะ ทำดีเพื่อเรา.. ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว.. ดีของใคร ดีของหยาบๆ แข่งดีกัน จะเอารัดเอาเปรียบกัน เอาความดีกัน นั่นก็ความดีของเขา ดีของเรานะ เราให้เขาไปก่อน ใครจะแซงหน้าไปให้ไปเลย เราอยู่ของเรา เราทำของเราให้เป็นความจริงของเรา ให้มันรู้จริงเห็นจริง ไม่ใช่ไร้เดียงสา ไร้เดียงสานี่มันน่าเอ็นดู แต่กิเลสทำให้ใจเราไร้เดียงสานี่น่ารังเกียจมาก มันปฏิเสธความจริง แล้วก็จะไปหมักหมมว่ามันเป็นของจริง นี่ไง ความไร้เดียงสาของกิเลส ทำให้เราจมอยู่กับมันนะ แต่เราต้องตื่นตัวขึ้นมา ทำของเราขึ้นมาให้เห็นจริงขึ้นมาเป็นสมบัติของเรา

สมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ลิ้มรส “รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง” แล้วปรินิพพานไปแล้ว แล้ววางธรรมวินัยนี้ให้เราพยายามแสวงหาขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเรานะ ถ้าเป็นสมบัติของเราธรรมะส่วนบุคคล ธรรมะของเรา ปัญญาของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นปัญญาของเรา ทำไมเราจะไม่รู้จริง ทำไมเราจะพูดไม่ได้ ทำไมเราจะชี้นำไม่ได้ นี่เป็นสมบัติของเราจริง ถ้าเราทำได้จริง เอวัง